หนาม

หนามของความจน

หนาม

บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาส่วนสำคัญของภาพยนตร์

คุณคิดว่าบ้านหลังคาสังกะสีติดแอร์ได้ไหม?

โดยทั่วไป บ้านหลังคาสังกะสีนั้น ถือกันว่าเป็นบ้านของคนฐานะไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ เพราะถึงอย่างไร สังกะสีก็ราคาถูกว่าหลังคากระเบื้องลอนคู่หรือหลังคาเมทัลชีต ที่สำคัญคือ บ้านหลังคาสังกะสีมักจะร้อนอบอ้าว เพราะใต้สังกะสี มักไม่มีการวางฉนวนกันความร้อน และบ้านหลังคาสังกะสีส่วนใหญ่ก็ไม่มีฝ้าด้วย

คำถามคือ – แล้วถ้าเรา ‘ติดแอร์’ ในบ้านหลังคาสังกะสีล่ะ – จะเป็นอย่างไร?

ไม่ใช่ความบังเอิญแน่ๆ ที่บ้านหลังหลักบนเนินสูงในภาพยนตร์เรื่อง ‘วิมานหนาม’ (2024) จะมุงหลังคาสังกะสี – และติดแอร์

นั่นเพราะหนัง ‘ขับเน้น’ ให้เราเห็นอยู่สองฉาก ฉากแรกคือฉากที่มีบางสิ่งตกลงมาบนหลังคาเสียงดังสนั่น จนตัวละครที่เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกต้องตกอกตกใจ กับอีกฉากหนึ่งคือตัวละครกดรีโมตแอร์ แล้วก็บ่นกันถึงการทำงานของแอร์นั้น

ถ้าดูเผินๆ เราอาจคิดว่าการใส่สองฉากนี้เข้ามา เป็นเรื่องไม่จำเป็นแม้แต่น้อย เหมือนเป็น ‘เศษ’ เล็กๆ น้อยๆ ในหนัง คล้ายว่าผู้สร้างใส่เข้ามาเพื่อให้เนื้อหนังมัน ‘เต็ม’ เท่านั้น

แต่สำหรับผม – สองฉากนี้นี่แหละ ที่พูดถึง ‘แก่นแกน’ (motive) สำคัญที่สุดของหนัง และผู้สร้างก็พยายามบอกเราด้วยวิธีที่ subtle หรือ ‘เนียน’ ที่สุด – เพื่อไม่ให้คนดูกระโตกกระตากรู้ตัว ว่าหนังกำลังจะพูดถึงเรื่องนี้

บ้านมุงหลังคาสังกะสีติดแอร์ – และการที่ชายรักชายพยายามจะลงโทษหญิงตัวร้ายด้วยการข่มขืน จึงคือสององค์ประกอบที่แสดงให้เราเห็นแก่นแกนที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นหนังเรื่องนี้

สำหรับผม หนังเรื่อง ‘วิมานหนาม’ พูดถึงสองประเด็นหลัก เรื่องแรกคือ ‘เพศหลากหลาย’ ที่ไม่ได้แค่หลากหลายเฉยๆ แต่ยังลื่นไหลด้วย แม้ว่าบางส่วนของหนังจะ ‘ล่วงล้ำ’ เข้าไปในดินแดนนิยายแฟนตาซีที่ไม่ได้วางอยู่บนฐานของสัจนิยมสักเท่าไหร่ (ซึ่งดูเหมือนจะกลายเป็นขนบของหนังประเภท ‘วาย’ ไปเสียแล้ว ที่จะมีข้อยกเว้นอันไม่สมจริงได้หลายเรื่อง – โดยเฉพาะเรื่องเพศ) แต่หนังทำให้เราเห็นว่าเรื่องเพศนั้นลื่นไหลได้ เช่น ต่อให้ไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่เมื่อจะ ‘ลงโทษ’ ผู้หญิงให้ถึงที่สุด ชายรักชายคนหนึ่งก็ยังพยายามใช้อาวุธดึกดำบรรพ์ที่สุด – อย่างการข่มขืน, มาทำร้ายให้สาสม แม้จะไม่ได้ทำจนสำเร็จก็ตาม ทว่าการที่มันอยู่ในฉากไคลแม็กซ์ ก็แสดงให้เห็นว่าผู้สร้าง ‘เก็บ’ เรื่องนี้เอาไว้มาตลอดเพื่อนำมาใช้ในช่วงสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ผมจะไม่พูดถึงเรื่องเพศในที่นี้ เพราะคิดว่าอีกเรื่องที่สำคัญกว่าความหลากหลายลื่นไหลของเพศ ก็คือเรื่องของบ้านหลังคาสังกะสีติดแอร์หลังนั้น

ความ ‘ไม่สมจริง’ ของบ้านหลังคาสังกะสีติดแอร์ก็คือ – ถ้าเราคิดว่าบ้านหลังคาสังกะสีเป็นบ้านของ ‘คนจน’ (อย่างน้อยก็ไม่ได้ร่ำรวยมากพอจะใช้วัสดุอื่น) มันก็ไม่น่าจะ ‘เข้าคู่’ กับการ ‘ติดแอร์’ ไปได้ เพราะถ้าเราไม่ได้ทำให้บ้านนั้นกันความร้อนได้ในระดับหนึ่ง (เช่น ใช้ฝ้าหรือฉนวนกันความร้อนช่วย) เวลาอากาศร้อนๆ แอร์จะทำงานหนักมาก แถมบ้านก็เป็นไม้กระดาน จึงน่าจะมีช่องที่ทำให้ลมจากแอร์รั่วไหลออกไปได้เยอะด้วย นั่นแปลว่าต้องสิ้นเปลืองค่าไฟมากกว่า และแอร์ก็น่าจะมีอายุการทำงานสั้นกว่าด้วย

มันจึงไม่ make sense เอาเสียเลย ที่หนังจะแสดงภาพบ้านสังกะสีติดแอร์!

แต่เพราะความไม่ make sense ที่ ‘จงใจ’ ยัดเข้ามาให้เราเห็นแบบปะทะหน้านี่แหละครับ จึงทำให้ต้องตั้งคำถามว่า – ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น

ผมเคยรู้จักคนฐานะไม่ร่ำรวยคนหนึ่ง อาจไม่ได้ ‘จน’ ถึงขนาดอยู่บ้านหลังคาสังกะสี แต่การติดแอร์สำหรับเธอก็ดูจะเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยอยู่ดี อย่างไรก็ตาม เธอเคยบอกว่าอยากติดแอร์ที่บ้านซึ่งอยู่ในภาคเหนือ เนื่องจากเมื่อถึงฤดูร้อน อากาศจะร้อนมากจนอยากเปิดแอร์ 

“เงินซื้อแอร์น่ะ พอมีอยู่ เก็บสักหน่อยก็ซื้อได้” เธอว่าขำๆ “แต่เงินค่าไฟที่ต้องจ่ายตอนเปิดแอร์นี่สิ – คิดหนัก”

แต่สุดท้ายเธอก็ติดแอร์จนได้ ทว่าแอร์นั้นเปิดน้อยมากจนถึงน้อยที่สุด แม้ในฤดูร้อนที่อากาศร้อนจัด ถ้าทนได้ เธอก็จะไม่เปิด

คำถามสำหรับผมก็คือ – ก็ถ้าซื้อแอร์มาแล้วไม่เปิด เพราะกลัวค่าไฟแพง แล้วเราจะ ‘เสียเงินก้อน’ (ในรูปของเงินผ่อน) ซื้อแอร์มาติดตั้งแต่แรกทำไมเล่า กลัวเสียเงินน้อย แต่ไม่กลัวเสียเงินก้อนกระนั้นหรือ

มันไม่ make sense เอาเสียเลย!

แต่ความ ‘ไม่เป็นเหตุเป็นผล’ ทำนองนี้นี่แหละครับ ทำให้ผมนึกถึงงานวิจัยจำนวนไม่น้อยทีเดียว ที่บอกว่า ‘ความจน’ คือสาเหตุที่ทำให้ ‘คนจน’ ตัดสินใจทำสิ่งที่แลดูแปลกประหลาดในสายตาของคนที่มีฐานะและ ‘ทางเลือก’ ในชีวิตมากกว่า

ใน ‘วิมานหนาม’ นั้น มีการกระทำหลายอย่างที่ทำให้เราเห็นว่าตัวละครตัดสินใจทำอะไรต่อมิอะไรแปลกๆ จนหลายคนต้องตั้งคำถามว่า การทำอย่างนั้นมัน ‘คุ้ม’ ด้วยหรือ เช่น แทนที่จะเลือกเดินจากไปเงียบๆ ปล่อยให้คนที่อยู่ผจญกรรมกับการดูแลสวนทุเรียน (ที่ไม่ใช่เรื่องง่าย) กันเอาเอง กลับพยายามทำทุกอย่างเพื่อแก้แค้นด้วยวิธีการที่ก็ไม่ค่อยจะ make sense อีกนั่นแหละ จนสุดท้ายก็นำไปสู่โศกนาฏกรรมอันหดหู่

มีงานวิจัยหลายงานนะครับ ที่บอกว่า ‘ความจน’ เป็นสาเหตุของการตัดสินใจแย่ๆ ในชีวิต เช่นบทความที่ชื่อ How Poverty Affects People’s Decision-Making Processes (ความจนส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจอย่างไร)

บทความนี้พูดถึงงานวิจัยของ เจนนิเฟอร์ ชีฮี-สเกฟฟิงตัน (Jennifer Sheehy-Skeffington) เป็นงานวิจัยเกี่ยวกับความยากจนและการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจ มีผลกระทบไปถึง ‘พฤติกรรม’ ของคนเราได้อย่างไรบ้าง

งานนี้บอกว่า ‘ความยากจนที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก’ (child poverty) นั้น ไม่ได้ส่งผลแค่เรื่องความคิดจิตใจของเราในช่วงสั้นๆ เท่านั้น แต่ ‘สำนึกยากจน’ จะส่งผลต่อ ‘รูปแบบการตัดสินใจ’ ของคนเราไปชั่วชีวิต คนที่ ‘อยู่ในความยากจน’ มักตัดสินใจโดยมุ่งเน้นไปที่การรับมือกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก ‘ในปัจจุบัน’ หรือเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามากกว่าจะคิดไปถึงเป้าหมายในอนาคต

ตัวอย่างง่ายๆ คือ คนที่มีเงินน้อยมักจะซื้อกระดาษชำระทีละม้วนหรือทีละซอง เพราะไม่มีเงินจะซื้อทีละห่อใหญ่ๆ ดังนั้น ‘คนจน’ จึงมักจะ ‘จ่ายแพง’ กว่าคนรวยอยู่เสมอ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาลืมตาอ้าปากได้ยาก ในขณะที่คนรวยสามารถประหยัดได้มากกว่า จ่ายถูกกว่า ก็จะเกิดวงจรแบบ spiral ที่ทำให้คนจนยิ่งจนลง และคนรวยยิ่งรวยขึ้นได้โดยอัตโนมัติ และสะท้อนออกมาให้เห็นใน ‘การตัดสินใจ’ที่จะใช้เงินเพื่อบริโภค

ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ สถานะทางเศรษฐกิจและสังคมในระดับต่ำ จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของคนเหล่านี้แย่ลงไปด้วย มีการวัดความสามารถทางวิชาการและสิ่งที่เรียกว่า ‘ทรัพยากรทางปัญญาพื้นฐาน’ ที่จำเป็นต่อการเรียนในโรงเรียน พบว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเชื่อมโยงถึงกัน

เรื่องหดหู่ที่สุดก็คือ – คนจนยังมี ‘ความมั่นใจในการเรียนรู้’ ต่ำกว่าคนรวยด้วย ถ้าเราจับเด็กจนกับเด็กรวยมาเรียนรู้เรื่องเดียวกัน งานวิจัยนี้บอกว่าโดยเฉลี่ยแล้ว เด็กที่มีสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูงกว่า มีแนวโน้มจะเรียนรู้ได้เร็วกว่า ไม่ใช่เพราะคนรวยฉลาดกว่าหรอกนะครับ แต่เป็นเพราะเด็กรวยนั้น ‘มั่นใจ’ ที่จะเรียนรู้มากกว่า เหมือนที่เราเห็นภาพตามโฆษณานมสำหรับเด็ก ที่บอกว่าถ้าได้ดื่มนมยี่ห้อโน้นนั้นนี้แล้วจะทำให้เด็กฉลาดจนแทบจะเป็นไอน์สไตน์อะไรทำนองนั้น แต่งานวิจัยนี้บอกว่าที่จริงแล้วเป็นเพราะความ ‘มั่นใจ’ ที่จะเรียนรู้ต่างหากที่สร้างความต่างและ ‘ช่องว่าง’ นี้ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

เมื่อเป็นอย่างนี้ เราจะเห็นได้เลยว่าคนจนมีแนวโน้มที่จะ ‘หลีกเลี่ยงความเสี่ยง’ ได้น้อยกว่าคนรวย แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญกับการกีดกันทางสังคม (เช่นการรับเข้าทำงาน ฯลฯ) มากกว่าคนรวยด้วย ปัจจัยเหล่านี้อาจอธิบายเชื่อมโยงไปถึง ‘ระดับความก้าวร้าว’ ที่เกิดขึ้นกับย่านเสื่อมโทรมหรือย่านยากจนของเมืองได้ด้วย 

งานอีกชิ้นหนึ่ง คือ Poverty and Decision-Making: Impact and Mechanism โดย Yiran Wang งานชิ้นนี้บอกว่า ‘นิยาม’ ของความยากจนไม่ใช่แค่เรื่องของรายได้หรือเงินทอง แต่ที่สำคัญกว่าก็คือการขาดทรัพยากร อาหาร สุขภาพ การศึกษา และที่อยู่อาศัยที่ดี และหมายรวมถึงมิติทางจิตวิทยา เช่น ความสิ้นหวัง ความเปราะบาง และความเป็นอยู่ที่ดีทางจิตใจด้วย ที่สำคัญก็คือ ความสิ้นหวังเปราะบางพวกนี้ จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเพราะความขาดแคลนทางกายภาพ

คนที่ยากจนกว่าจึงมีความสุขและความพึงพอใจในชีวิตน้อยกว่า และนั่นส่งผลไปถึง ‘การตัดสินใจ’ ในชีวิต เพราะคนจนมักจะเลือก ‘ผลประโยชน์ระยะสั้น’ มากกว่าระยะยาว 

ตัวอย่างเรื่องการติดแอร์ในบ้านหลังคาสังกะสีนั้นบอกเรื่องนี้ไว้ชัดเจน ว่าการเลือก ‘ผ่อนแอร์’ ให้มีแอร์อยู่ในบ้าน ทำให้ในแต่ละเดือนต้องเสียเงินค่าผ่อนแอร์เสียจนไม่สามารถเหลือเงินมาใช้ ‘เปิดแอร์’ ได้ แต่อย่างน้อยก็รู้สึกอุ่นใจว่าถ้าอากาศร้อนขึ้นมา แอร์ก็ยังอยู่ตรงนั้นในบ้านให้เลือกเปิดได้ (ทั้งที่จริงๆ เลือกไม่ได้ – เพราะไม่มีเงินมากพอจะจ่ายค่าไฟหากเปิดแอร์) จึงเป็นความ ‘ย้อนแย้ง’ ที่กรีดลึกอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม เรามักจะมองกลับด้าน คือไปมองว่าคนจนมักจะตัดสินใจอะไรผิดๆ เพราะความ ‘โง่-จน-เจ็บ’ หรือเพราะโง่ (และขี้เกียจ) จึงจน แต่ the true story (ที่ได้จากงานวิจัยต่างๆ) บอกเราว่าเป็นเพราะ ‘ความจน’ ที่ทำให้ขาดโอกาสหลายๆ อย่างนี่แหละ คนจนจึงตัดสินใจทำอะไรแปลกๆ แบบที่หลายคนตั้งคำถามว่า – ทำแบบนี้มัน ‘คุ้ม’ จริงหรือ

แล้วไม่ใช่แค่กับ ‘คนจน’ ที่จนจริงๆ เท่านั้นนะครับ แต่กับคนที่มี ‘ความจนในวัยเด็ก’ แม้โตขึ้นจะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีหมื่นล้านแสนล้านแล้ว แต่ ‘สำนึกของความจน’ ก็ยังฝังอยู่ในตัวอยู่ดี ทำให้คนเหล่านี้มี ‘พฤติกรรม’ แปลกๆ อย่างที่เราเห็นในแวดวงการเมืองของไทยปัจจุบัน ซึ่งนัก ‘เล่น’ การเมืองหลายคนทำสิ่งที่เราต้องตั้งคำถามแบบเดียวกับวิมานหนาม – ว่ามัน ‘คุ้ม’ จริงหรือ ที่เลือกเดินหมากแบบนั้นแบบนี้

อย่างไรก็ตาม สำหรับผมแล้ว หนังเรื่อง ‘วิมานหนาม’ เลือกขับเน้น (dramatize) ความจนหนักมือเกินไป จนทำให้เห็นเลยว่า ผู้สร้างอาจไม่ได้เข้าใจ ‘โครงสร้างความจน’ ในแบบที่มันเป็นจริงๆ ตัวอย่างเช่น การพยายามเปรียบเทียบ ‘บ้านหลังคาสังกะสี’ กับ ‘บ้านหลังคามุงจาก’ ซึ่งแม้จะน่าสนใจ และแลดูขัดแย้ง พร้อมกับใช้เป็นสัญลักษณ์ของการ ‘ไล่ระดับความจน’ ได้ดี แต่ก็มาตกหลุมความ ‘ไม่สมจริง’ ต่อพล็อตและความรู้สึกนึกคิดของตัวละครอยู่ดี เช่น ตัวละครรักแม่มากขนาดไปหลอกลวงทั้งผู้หญิงผู้ชายมาเป็นเมียเพื่อดูแลแม่ อย่างที่โบราณเรียกว่า ‘ร้อยก้นไว้ใช้’ แต่ทำไมถึงปล่อยให้แม่อยู่ใน ‘บ้านหลังคามุงจาก’ และทุกข์ทรมานกับการเก็บกะหล่ำปลีขายอยู่บนดอยอันยากลำบากโดยไม่อินังขังขอบกับความเป็นอยู่ของแม่มาตั้งแต่ต้น ทั้งที่หลายๆ องค์ประกอบในหนังก็บอกเราว่าตัวละครหลักไม่ได้ยากจนหรือ ‘ไร้ความรู้’ ขนาดนั้น เพราะสวนทุเรียนที่ปรากฏ ทำให้เราเห็นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่หลายอย่าง เช่น การผสมเกสรเทียม หรือใช้สปริงเกลอร์รดน้ำ รวมไปถึงการใช้ทั้งปุ๋ยและยาฆ่าแมลง (ซึ่งเป็นต้นทุนที่หนักหนาสาหัสของเกษตรกร) เพื่อให้ได้ทุเรียนใน ‘ระดับ’ ที่เอาไปขายล้ง (ที่มีการแข่งขันสูง) ได้ ปัจจัยเหล่านี้จึงอาจ ‘ขัด’ กับแก่นแกนหลักเรื่อง ‘ความจน’ ที่อุตสาหะปั้นขึ้นมาอย่างยากลำบาก

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อยากบอกคุณก็คือ – อย่าพยายามตั้งคำถามเลยว่า ตัวละครทำสิ่งต่างๆ ที่แลดูไม่สมเหตุสมผลเหล่านั้นมัน ‘คุ้ม’ ไหม เพราะถ้าเราเชื่อว่าความยากจนบั่นทอนความสามารถในการตัดสินใจ เราก็ไม่อาจตัดสินใครได้ว่าควรหรือไม่ควรทำอะไร รวมไปถึงการนำ ‘คำเทศนาสั่งสอน’ แบบคนชั้นกลางไปใช้กับคนยากจนด้วย

เพราะเราไม่อาจรู้ได้หรอกว่า เสื้อที่พวกเขาสวมใส่อยู่นั้นเป็นอย่างไร

แต่สิ่งสำคัญคือ ‘ภาครัฐ’ ต่างหาก ที่ต้องเปลี่ยนความเข้าใจต่อคนจนเสียใหม่ เพื่อสร้าง ‘นโยบาย’ ที่จำเป็นต้องทำ ทั้งช่วยเรื่องการตัดสินใจเฉพาะหน้า (เช่น ด้านการเงินและสภาพความเป็นอยู่) ไปจนถึงกระบวนการทางจิตวิทยา สังคม และวัฒนธรรม ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ในชีวิต

เพราะสำหรับคนจำนวนมากที่อยู่ในความยากจน ทางเลือกของพวกเขาที่หลายคนเห็นว่า ‘แย่’ สำหรับพวกเขา อาจไม่ได้ ‘แย่’ เสมอไป แต่คือการปรับตัวให้เข้ากับ ‘ข้อจำกัด’ ของชีวิตที่มีทรัพยากรน้อยมาก 

ดังนั้น การที่ภาครัฐต้อง ‘เปลี่ยนกรอบคิด’ เกี่ยวกับคนจน – จึงสำคัญมาก

เพราะแค่การแจกเงินให้กลุ่มเปราะบางโดยหวังจะตีหัวเข้าบ้านนั้น – มันไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย

หนาม

หนาม

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save