“เศรษฐกิจไทยที่ผ่านมามักรอ ‘สายลมแห่งโชคชะตา’ ช่วยเหลือเรา แต่สิ่งที่ควรทำคือควรมองตัวเองมากกว่านี้ กล้าผ่าตัดตัวเอง โดยไม่ต้องรอให้ต่างชาติมากระทุ้งเราก่อนถึงจะแก้ไข”
เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ ทั้งจากปัญหาโครงสร้างภายในประเทศ รวมไปถึงผลกระทบจากการแข่งขันด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มข้นระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ท่ามกลางปัจจัยท้าทายเหล่านี้ส่งผลให้ประเทศไทยไม่สามารถเติบโตได้แบบที่เคยเป็นได้ จนอาจกล่าวได้ว่าถึงเวลาที่เศรษฐกิจไทยต้อง ‘ผ่าตัดโครงสร้างทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่’ เพื่อให้ยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจตอบรับกับสถานการณ์ของโลกมากขึ้น
วันโอวัน สนทนากับ รศ.ดร.วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน วิเคราะห์โครงสร้างเศรษฐกิจของไทย และหน้าตาของยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ควรเป็นอย่างไร ทั้งในฐานะ ‘นักวิชาการ’ ที่คิดค้นนโยบาย และ ‘นักการเมือง’ ที่ทำให้นโยบายเกิดขึ้นจริง
หมายเหตุ: เรียบเรียงเนื้อหาจากรายการ 101 One-on-One Ep.348: ‘เดินเกมเศรษฐกิจใหม่ในโลกหลังโลกาภิวัตน์’ กับ วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร
ยุคแห่งคลื่นโลกาภิวัตน์ลูกที่สาม
วีระยุทธนิยามสถานการณ์ของโลกในปัจจุบันว่าเป็น ‘ยุคสมัยของคลื่นโลกาภิวัตน์ลูกที่สาม’ กล่าวคือหากนับจากประวัติศาสตร์ของโลก เราจะพบว่า ‘คลื่นลูกที่หนึ่ง’ คือยุคสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงของฟื้นฟูการเงินเพื่อให้อุตสาหกรรมเติบโต และถือเป็นยุคที่ค่อนข้างเปิดเสรี ประเทศมหาอำนาจให้โอกาสประเทศกำลังพัฒนาได้ใช้นโยบายของตัวเอง
ต่อมาที่คลื่นลูกที่สอง คือช่วงทศวรรษ 70 ซึ่งเรียกได้ว่าจุดเปลี่ยนสำคัญ เนื่องจากเศรษฐกิจทั่วโลกเกิดความปั่นป่วน จนเกิดการออกกฎระเบียบทางการเงินและเศรษฐกิจที่เริ่มเข้มงวดมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้ประเทศขนาดเล็กผูกติดอยู่กับนโยบายหรือมาตรการของประเทศมหาอำนาจ
ทั้งนี้ หากมองยุคสมัยปัจจุบันเป็น ‘ยุคแห่งคลื่นโลกาภิวัตน์ลูกที่สาม’ วีระยุทธอธิบายต่อว่า เนื่องจากประเทศต่างๆ ในโลกมีแนวโน้มที่จะกังวลกับการเติบโตในประเทศตัวเองมากขึ้นและยังให้ความสำคัญกับแนวคิดอย่าง ‘Inward-looking’ หรือการใช้นโยบายที่มุ่งเน้นผลประโยชน์ของประเทศของตนเอง
อาจกล่าวได้ว่าโลกกำลังอยู่ในยุคโลกาภิวัตน์คลื่นที่ 3 อันป็นคลื่นที่มีความมองเข้าหาตัวเองเพื่อการเอาตัวรอด ยุคสมัยดังกล่าวชัดเจนขึ้นเมื่อโลกผ่านผ่านการแพร่ระบาดของวิกฤตการณ์โควิด-19 แต่สำหรับวีระยุทธอธิบายว่าช่วงเวลาในปัจจุบันอาจไม่สามารถเรียกว่า ‘ยุคหลังยุคโลกาภิวัตน์’ เนื่องจากเมื่อประเทศต่างๆ ยังคงมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่เชื่อมโยงกับโลกนานาชาติ ดังนั้น ‘ยุคโลกาภิวัตน์’ จึงยังคงอยู่ แต่อยู่ในบริบทที่แตกต่างกันออกไป
“ช่วงก่อนโควิดเริ่มมีการต่อต้านหรือตั้งคำถามในวงวิชาการว่า สภาวะที่โลกอยู่ในสภาวะโลกาภิวัตน์มากไป อาจทำให้ประเทศกำลังพัฒนาแทบไม่เหลือพื้นที่การเลือกทิศทางของตัวเอง เนื่องจากต้องผูกติดทิศทางของประเทศไปกับมหาอำนาจ สถานการณ์ดังกล่าวยิ่งชัดเจนมากขึ้นตั้งแต่ช่วงหลังโควิด เนื่องจากแต่ละประเทศเหมือน ‘จมน้ำ’ ส่งผลให้แต่ละประเทศพยายามเอาตัวรอด
“หากในทุกวันนี้คุณยังใช้ไอโฟนอยู่ สิ่งนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันแล้วว่า ยุคโลกาภิวัตน์ด้านการผลิตก็ยังคงอยู่ เพราะไอโฟนมีพื้นที่การผลิตจากหลายประเทศและหลายแหล่ง สินค้าเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้าก็ล้วนแต่เชื่อมโยงกับการผลิตข้ามชาติทั้งนั้น หรือหากแค่เปิดโทรศัพท์แทบทุกแอปพลิเคชันที่เราใช้ต่างก็เป็นของต่างชาติทั้งนั้นเลย ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าการไหลเวียนของเม็ดเงินผ่านระบบดิจิทัลก็ยังคงมีลักษณะความข้ามชาติอยู่ ความหมายพื้นฐานยุคโลกาภิวัตน์จึงยังดำรงอยู่” วีระยุทธกล่าว
ทั้งนี้ วีระยุทธเน้นย้ำว่าโลกาภิวัตน์แต่ละยุคย่อมเชื่อมโยงกับการเมืองโลกด้วย กล่าวคือในแต่ละยุคสมัย ใครขึ้นมาเป็นคู่แข่งกันในเวทีโลก เช่น ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศจีน ส่งผลต่อพัฒนาของโลกาภิวัตน์ในยุคปัจจุบัน จึงอาจกล่าวได้ว่าเมื่อผู้เล่นที่เปลี่ยนไปย่อมทำให้กติกาการค้าต่างๆ เปลี่ยนไปด้วย
“ความย้อนแย้งอย่างหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับประเทศจีนคือ จากประเทศคอมมิวนิสต์ที่ไม่เคยมีการแข่งขัน ไม่มีตลาด เน้นจัดสรรจากคนกลาง แต่เมื่อจีนกลายเป็นทุนนิยม ประเทศจีนกลับมีการแข่งขันที่เดือดยิ่งกว่าญี่ปุ่นหรือสหรัฐฯ เสียอีก ส่งผลให้เมื่อจีนขึ้นมาเป็นผู้นำที่แข่งขันกับสหรัฐฯ ลักษณะของโลกาภิวัตน์จึงถูกหล่อหลอมใหม่จากการแข่งขันของมหาอำนาจในยุคนั้นๆ
“ลักษณะของโลกโลกาภิวัตน์คลื่นลูกที่ 3 คือภาพของพญาอินทรีกับพญามังกรสู้กัน ส่งผลให้ประเทศที่เล็กกว่าต้องดูให้ถูกว่าอยู่ตรงไหนในเวทีที่จีน-สหรัฐฯ กำลังแข่งขันกันอยู่ หากคุณอยู่ตรงหางมังกร คุณก็ต้องระวังจะโดนหางมังกรฟาด หรือในปัจจุบันที่พญาอินทรีก็เริ่มน่ากลัว แต่ประเทศเหมือนจะมองไม่ออกว่าสองชาตินี้สู้กันด้วยวิธีไหน ส่งผลให้ประเทศไทยไม่รู้ว่าเราจะอยู่ตรงไหน” วีระยุทธกล่าว
สำหรับเขา จุดเปลี่ยนสำคัญที่ส่งผลต่อพัฒนาการของยุคโลกาภิวัตน์คือ ‘ยุคโควิด’ ซึ่งส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อโลกที่เราดำรงอยู่ กล่าวคือประเทศที่จัดการโควิดได้ดีมักนำไปสู่การเมืองในประเทศที่มั่นคงมากกว่า โดยวีระยุทธชี้ให้เห็นว่า แนวโน้มอย่างหนึ่งที่ชัดเจนในยุคหลังโควิดคือ ‘เงินเฟ้อสูงขึ้น’ ด้วยปัจจัยด้านพลังงานต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลง ไม่เว้นแม้แต่สหรัฐฯ หากสำรวจเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ ช่วงเวลาดังกล่าวแม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ค่อนข้างดี กล่าวคือเงินเฟ้อต่ำกว่ายุโรป อัตราการจ้างงานไม่ต่ำมาก แต่ในขณะเดียวกันสินค้าในสหรัฐฯ ก็มีราคาแพงขึ้นจากเงินเฟ้อ หรือแม้งานอาจไม่ได้หายากมาก แต่ก็ไม่ใช่งานที่คนประเทศพึงพอใจ
จากสภาวะเศรษฐกิจดังกล่าวของสหรัฐฯ จึงไม่น่าแปลกใจนักที่เมื่อมีการเลือกตั้งหลังยุคโควิด ผลของการเลือกตั้งหลังสถานการณ์โควิดจึงกลายเป็นการโหวตต่อต้านรัฐบาลที่ครองอำนาจในช่วงโควิด แนวโน้มดังกล่าวไม่ใช่เพียงแค่การเลือกตั้งของสหรัฐฯ แต่เกิดขึ้นในหลากหลายพื้นที่ อาจกล่าวได้ว่ามีแนวโน้มต่ำมากที่รัฐบาลเดิมจะได้ไปต่อหลังช่วงยุคโควิด เพราะพวกเขาไม่สามารถทำให้ชีวิตคนกลับมามั่นคงเท่ายุคก่อนโควิดได้

ยุคทรัมป์ 2.0 VS การคานอำนาจของจีน
เมื่อกล่าวถึงผู้เล่นสำคัญของโลกในยุคปัจจุบัน แน่นอนว่าย่อมไม่พ้นจีนและสหรัฐฯ วีระยุทธชี้ให้เห็นว่า ใน ‘ยุคทรัมป์ 2.0’ มีลักษณะที่ย้อนแย้งกันอยู่คือ ในด้านหนึ่งพรรครีพับลิกันกับทรัมป์มีอำนาจมากกว่าเดิม อีกทั้งผลของการเลือกตั้งครั้งนี้ยังทำให้พรรครีพับลิกันชนะทั้งสภาสูงและสภาล่าง อีกทั้งตุลาการก็ค่อนไปทางขวาย่อมหมายความว่าพรรคอาจมีอำนาจเบ็ดเสร็จในตัวเองมากกว่ายุคปี 2017 แต่สิ่งที่ต่างไปจากอดีตคือบริบทที่ปลี่ยนไป กล่าวคือในปัจจุบันเป็นช่วงเงินเฟ้อขาขึ้นและดอกเบี้ยนโยบายเป็นขาขึ้น ส่งผลให้พื้นที่ในการดำเนินนโยบายต่างๆ ยากขึ้น อีกทั้งในปี 2017 หรือยุคทรัมป์สมัยแรก จีนพึ่งพาสหรัฐฯ ค่อนข้างสูง แต่ในปัจจุบันจึงลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ลดลงส่งผลให้ประเทศจีนไม่ได้พึ่งสหรัฐฯ มากเท่าเดิม
นอกจากนี้ อีกหนึ่งประเด็นที่เปลี่ยนแปลงไปจาก ‘ยุคทรัมป์ 1.0’ คือ ประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์และปัญหาสงครามต่างๆ กล่าวคือช่วงปี 2017 ประเด็นเหล่านี้ค่อนข้างซา กลุ่มผู้ก่อการร้ายค่อนข้างอ่อนกำลังลง แตกต่างจากปัจจุบันที่สงครามปะทุขึ้นเป็นระยะ ส่งผลให้แม้ว่าทรัมป์มีอำนาจเบ็ดเสร็จมากขึ้น แต่บริบทกลับไม่เอื้อเท่าเดิม ดังนั้น วีระยุทธมองว่าแนวโน้มของสหรัฐในยุคทรัมป์ 2.0 อาจเห็นทรัมป์กลับมาแข่งขันกับประเทศจีนมากขึ้นผ่านการขึ้นภาษีเบ็ดเสร็จเพื่อทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ดีขึ้นและอัตราการจ้างงานสูงขึ้น
ทั้งนี้ วีระยุทธเน้นย้ำว่า หากทรัมป์ไม่สามารถสู้กับประเทศจีนได้มีโอกาสสูงที่ทรัมป์จะหาแพะตัวใหม่ ซึ่งจะตกมาสู่กลุ่มประเทศ ‘middle-power’ ซึ่งรวมถึงประเทศไทย สภาวะเช่นนี้นับว่าเป็นอันตรายต่อประเทศระดับกลางอย่างมาก เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยพึ่งพาสหรัฐฯ ด้านการค้าสูงมาก หากประธานาธิบดีคนใหม่ดำเนินนโยบายที่กดดันกลุ่มประเทศเหล่านี้ผ่านการตั้งกำแพงภาษี ประเทศไทยย่อมได้รับผลกระทบยิ่งกว่าประเทศอื่นที่ไม่ได้พึ่งพิงสหรัฐฯ เท่าประเทศไทย
สำหรับประเด็นที่น่าห่วงกังวลต่อไปคือ ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ และขาดดุลทางการค้ากับประเทศจีนฝั่ง ส่งผลให้ในปี 2025 การเปลี่ยนแปลงทางนโยบายของยุคทรัมป์ 2.0 อาจทำให้ไทยได้ดุลทางการค้ากับสหรัฐไม่มากเท่าเดิม อีกทั้งหากจีนถูกสหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีมากขึ้นจนตัดสินใจค้าขายกับภูมิภาคอาเซียน อาจส่งผลให้ประเทศไทยขาดดุลทางการค้ากับประเทศจีนมากขึ้น
“ลองคิดดูว่า ถ้าจีนลดค่าเงินหยวนให้สินค้าถูกลงอีก สินค้าจีนที่ถูกอยู่แล้วเข้ามาในตลาดไทย เช่น ทิชชู่ราคา 1 บาท ถ้าเข้ามาเยอะกว่าเดิมจะเป็นอย่างไร ตอนนี้สินค้าจีนเข้ามาในไทยไปจนถึงตลาดเกษตรโดยที่เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ”
“ความน่ากังวลคือฝั่งขาดดุลกับจีนมีโอกาสที่จะขาดดุลเพิ่มมากขึ้นอีก ทั้งสองขาส่งผลกระทบและสร้างความเสี่ยงทางเศรษฐกิจต่อเราหมด ถ้าเราไม่ทำอะไรหรือยังดำเนินนโยบายเช่นเดิมอาจมีผลเสียทั้งสองเด้ง เราจึงจำเป็นต้องตั้งโจทย์เศรษฐกิจใหม่”
การเจรจากับ ‘พญาอินทรี’ และ ‘พญามังกร’
เมื่อสนทนาถึงการตั้งโจทย์เศรษฐกิจใหม่ของประเทศไทยภายใต้การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐ-จีน วีระยุทธอธิบายว่าสองชาติมหาอำนาจมักใช้วิธีการเจรจาแบบทวิภาคี ซึ่งมักต้องการสิ่งแลกเปลี่ยนกัน คำถามคือประเทศไทยจะแลกเปลี่ยนอะไรกับสหรัฐฯ เพื่อให้ได้สิทธิ์ทางภาษีเท่าเดิม กล่าวคือประเทศไทยจะเจรจาเรื่องสินค้าอย่างไรเพื่อไม่ให้เสียเปรียบมากนัก ดังนั้นประเทศไทยควรเปิดเวทีพูดคุยกับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่ค้าขายกับสหรัฐฯ เพื่อหาแนวทางแก้ไขต่อไป
“การเจรจากับจีนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เราต้องดูเรื่องของการอุดรูรั่ว ปัจจุบันเศรษฐกิจกิจไทยรูรั่วเยอะมาก อัดเงินไปเท่าไหร่ก็รั่วออก อย่างนโยบายเงินดิจิทัลของรัฐบาล ซึ่งการดำเนินนโยบายรอบแรกก็ใช้ไปประมาณหนึ่งแสนห้าหมื่นล้านบาท เปรียบเทียบกับสมัยที่พรรคไทยรักไทยเข้ามาเป็นรัฐบาลตอนแรกที่มีกองทุนหมู่บ้าน ในปัจจุบันเราเสียเงินมากกว่าถึงสองเท่าของรอบนั้น แต่กลับไม่เห็นผลเท่ากับรอบที่แล้ว
“ต้องบอกว่า ภาพของเศรษฐกิจที่คึกคัก ไม่ต้องรอการรายงานผลอย่างเป็นทางการ เราก็มองเห็นเองได้ จากภาพตลาดที่แม่ค้า พ่อค้าออกมาค้าขาย หาของมาขายได้มากขึ้น มีเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจท้องถิ่น แต่การกระตุ้นเศรษฐกิจรอบนี้ค่อนข้างนิ่ง ทั้งการประเมินข้อมูลและภาพที่เราเห็นด้วยตา ปัญหาคือรูรั่วทางเศรษฐกิจของเราเยอะมาก ส่วนหนึ่งเกิดจากสินค้าจากประเทศจีนที่เข้ามาในประเทศโดยไม่รู้ตัว” วีระยุทธกล่าว
วีระยุทธระบุว่า ประเทศไทยมีเครื่องมือในการอุดรูรั่วอยู่ 2 ทางหลัก หนึ่งคือ ‘Anti-Dumping’ หรือมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด มาตรการดังกล่าวเป็นมาตรการทางการค้าที่ประเทศผู้นำเข้าใช้เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในที่ได้รับความเสียหาย กล่าวคือเป็นกฎที่อยู่ใน องค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) เพื่อให้ประเทศไทยสามารถตั้งกำแพงภาษีใหม่ได้ และอีกเครื่องมือหนึ่งคือ ‘มาตรฐานอุตสาหกรรม’ ที่ควรต้องเริ่มแก้กฎระเบียบและเพิ่มจำนวนบุคลากรในการตรวจสอบ
“โจทย์ที่เรามีต่อนโยบายของของสหรัฐฯ คือการไม่ดึงกำแพงภาษีให้สูงขึ้น หรือกระจายความเสี่ยงเรื่องการส่งตลาด ไม่ได้ส่งแค่ตลาดของสหรัฐฯ ส่วนโจทย์ฝั่งจีนคือการอุดรูรั่ว ไม่ให้เลือดของเราไหลออกไปมากกว่านี้” วีระยุทธกล่าว

ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่อาจเป็นเพียงมายาคติ
เมื่อมองไปถึงภาพความหวังในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจท่ามกลางโจทย์ทางการเมืองและระเบียบโลกที่ท้าทายมากขึ้นเช่นนี้ วีระยุทธให้ความเห็นว่า จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยยืนบนลำแข้งตัวเองน้อยไป เพราะที่ผ่านมาเรามักเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์จากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ จนหลายภาคส่วนไม่ค่อยวางแผนและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงประเทศล่วงหน้า
อีกทั้งการดำเนินนโยบายในรูปแบบเดิมอาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาในสมัยปัจจุบันได้ เช่น แคมเปญ ‘Made in Thailand’ (โครงการรับรองสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย) ที่ยังคงใช้ในการโปรโมทสินค้าจนถึงปัจจุบัน คำถามสำคัญคือถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่ต้องกลับมาตั้งคำถามว่ามันยังใช้ได้อยู่ไหมในยุคนี้ โดยวีระยุทธเสนอว่าภาครัฐต้องสร้างระบบนิเวศให้เกิดขึ้นจริง
ประเทศไทยที่ผ่านมาอาจชื่นชมตัวเลขการลงทุนภายในประเทศมากเกินไป จนลืมดูว่า ‘เนื้อใน’ ของตัวเลขการลงทุนเหล่านั้นทำให้ประเทศไทยเข้มแข็งได้จริงหรือไม่ เช่น เมื่อภาครัฐเห็นตัวเลขนักท่องเที่ยวเพิ่มมาก ภาครัฐก็เข้าใจว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นแล้ว โดยที่ไม่ดูว่าแท้จริงแล้วเงินที่นักท่องเที่ยวใช้ในประเทศคิดเป็นมูลค่าต่อหัวเท่าไหร่ กล่าวคือไม่ได้ดูรายละเอียดว่าเงินสะพัดภายในประเทศจริงหรือไม่
“เศรษฐกิจไทยที่ผ่านมามักรอ ‘สายลมแห่งโชคชะตา’ ช่วยเหลือเรา แต่สิ่งที่ควรทำคือควรมองตัวเองมากกว่านี้ กล้าจะผ่าตัดตัวเอง โดยไม่ต้องรอให้ต่างชาติมากระทุ้งเราก่อนถึงจะแก้ไข เหมือนไปตรวจสุขภาพแล้วเห็นตัวเลขบางด้านจนรู้สึกไปเองว่าร่างกายเราแข็งแรงดี แต่ยังไม่ไต้ตรวจภายใน”
วีระยุทธเน้นย้ำว่าโลกาภิวัตน์ยังมีผลสำคัญ กล่าวคือปัจจุบันการค้าส่งออกของประเทศไทยมีสัดส่วนเป็น 60% ของ GDP ประเทศไทย แต่มิติอีกด้านหนึ่งก็สะท้อนว่าเศรษฐกิจภายในของประเทศไทยยังไม่ค่อยโต เนื่องจากประเทศที่จะโตในอนาคตได้ดี จำเป็นต้องมีการลงทุนอย่างน้อย 25% ของ GDP ประเทศ ซึ่งการลงทุนดังกล่าวหมายถึงของภาคเอกชน บริษัทต่างๆ ในประเทศ ที่เห็นได้ว่าตัวเลขการลงทุนถดถอยตั้งแต่ต้มยำกุ้งและไม่เคยฟื้นกลับมา
“ดัชนีที่ต้องผลักดันคือ ‘การลงทุนภาคเอกชน’ เพราะบริษัทใหญ่ของไทยมักจะลงทุนกับต่างชาติมากกว่า สะท้อนตลาดในประเทศไม่น่าลงทุนมากเท่าต่างประเทศ ฝ่ายบริหารต้องดูภาพความสมดุลในระยะยาวมากกว่าระยะสั้น
“งบประมาณประเทศเราปีหนึ่งไม่น้อย แต่เราใช้ไปกับอะไร ส่วนใหญ่เราเอาไปสร้างถนน ไม่มีประเทศไหนที่ยั่งยืนได้ด้วยการสร้างถนนเพียงอย่างเดียว ถ้าใช้ได้คุ้มค่ากว่านี้ ประเทศจะมั่นคงกว่านี้มาก ผมมองว่าตอนนี้ถึงเวลาลงรายละเอียดที่อยู่บนความเป็นจริง นี่เรื่องสำคัญกว่าตัวเลขที่ไม่เคยเกิดอิมแพคกับสังคมจริงๆ” วีระยุทธกล่าวทิ้งท้าย
