แม้ว่า ‘โอลิมปิก 2024’ ที่ผ่านมาจะทรมานไปบ้างสำหรับคนเชียร์กีฬา เนื่องจากเป็นการจัดการแข่งขันในเวลาประเทศฝรั่งเศส อีกทั้งหลายๆ กีฬาที่นักกีฬาทีมชาติไทยได้เข้าชิงเหรียญทอง เวลาก็ปาเข้าไปเกือบเช้า ใครได้ดูการแข่งขันของนักกีฬาไทยทุกคนที่มีลุ้นเหรียญรางวัล พวกคุณนับว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้มาก และผมต้องขอคารวะจากใจ
อย่างไรก็ตาม ‘ข้างสนาม’ ตอนนี้ไม่ได้มาพูดถึงนักกีฬาไทย เนื่องจากวันสุดท้ายของการแข่งขันโอลิมปิกมีการแข่งขันกีฬา ‘วิ่งมาราธอนหญิง’ และโชคดีที่ผู้เขียนได้นั่งดูอยู่ทำให้ได้ข้อมูลที่น่าสนใจมาประการหนึ่ง ซึ่งต่อยอดได้มาเป็นเนื้อหาที่ท่านกำลังอ่านอยู่
จากการค้นหาข้อมูลอย่างละเอียดพบว่าการแข่งขันมาราธอนในโอลิมปิก 2024 นั้นได้ ‘ซ่อน’ เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสเอาไว้ในการแข่งขันเยอะมาก หากแต่ไม่ได้ถูกพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้งเหมือนในพิธีเปิดที่เล่นเอาพระนางมารี อ็องตัวแน็ต มายืนถือพระเศียรของตนเองอยู่ริมแม่น้ำแซน เพื่อสื่อความหมายที่ชัดเจนอย่างที่พวกเขาต้องการจะสื่อ สำหรับการ ‘ซ่อน’ เรื่องราวในกีฬาวิ่งมาราธอน โอลิมปิกได้ซ่อนรายละเอียดไว้ ‘ระหว่างทาง’ และเป็นการซ่อนที่มีศิลปะ แยบยล และมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อยู่ในนั้นอย่างเต็มเปี่ยม
เส้นทางประวัติศาสตร์
หากจะพูดถึงคุณค่าของมาราธอนในโอลิมปิก 2024 สิ่งแรกที่ต้องพูดถึงคือเรื่องของเส้นทาง โดยตลอดระยะทาง 42.195 กิโลเมตรของเส้นทางนี้ นักวิ่งจะต้องวิ่งไป-กลับเมืองปารีส-แวร์ซาย โดยมีจุดเริ่มต้นอยู่ที่ โอเตล เดอ วิลล์ (Hôtel de Ville) หรือ ศาลากลางกรุงปารีส ไปจนถึงหน้าพระราชวังแวร์ซาย ก่อนวิ่งเข้าปารีสในอีกเส้นทางหนึ่งซึ่งขนานกัน
เส้นทางนี้นับเป็นเส้นทางที่ฝ่ายจัดการแข่งขันต้องการ ‘ขาย’ เรื่องราวและประวัติศาสตร์ของเมืองหลวงแห่งนี้อย่างเต็มที่ เพราะมันอัดแน่นด้วยเรื่องราวมากมาย เริ่มต้นด้วยจุดสตาร์ทบริเวณศาลากลาง หรือ โอเตล เดอ วิลล์ เป็นจุดเริ่มต้นที่รายล้อมไปด้วยสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส เพราะห่างออกไปอีกไม่ไกลทางทิศตะวันออก ก็เป็นที่ตั้งของ ปลัส เดอ ลา บัสตีย์ (Place de la Bastille) หรือ จัตุรัส บาสตีล ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของคุกบัสตีย์อันโด่งดัง ขณะที่ทางใต้หากมองข้ามแม่น้ำไปก็เป็นมหาวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีส ส่วนทางตะวันตกเป็นพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
หลังจากวิ่งมาได้ 3 กิโลเมตร เส้นทางนี้ก็จะพานักวิ่งไปบรรจบกับโรงอุปรากรปาแลการ์นีเย (Palais Garnier) ซึ่งเป็นโรงละครที่เก่าแก่กว่าร้อยปีสร้างด้วยศิลปะบาโรกซึ่งเปิดใช้งานตั้งแต่ปี 1875
หลังผ่านกิโลเมตรที่ 4 นักวิ่งจะมาผ่านปิระมิดแก้วแห่งลูฟร์ และเมื่อผ่านกิโลเมตรที่ 8 ก็จะมองเห็น ‘หอไอเฟล’ อยู่ทางฝั่งซ้ายมืออีกฟากฝั่งของแม่น้ำแซนด้วย
เมื่อนักวิ่งผ่านกิโลเมตรที่ 14 นักวิ่งก็จะพบกับ ‘พิพิธภัณฑ์การผลิตแห่งชาติ’ ซึ่งในนั้นยังมีพิพิธภัณฑ์เซรามิกแห่งชาติอยู่ด้วย นับเป็นหนึ่งในสถานที่เก่าแก่และทรงคุณค่าอย่างมาก
และเมื่อพ้นกิโลเมตรที่ 21 นักวิ่งจะได้พบกับสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกอย่าง ‘พระราชวังแวร์ซาย’ ซึ่งหน้าพระราชวังนี้เองจะเป็นเสมือนจุดกลับตัวให้นักวิ่งได้วนกลับไปยังกรุงปารีสผ่านถนนอีกเส้นซึ่งอยู่ฝั่งใต้ของแม่น้ำแซน
เมื่อนักวิ่งกลับตัวแล้ววิ่งตามเส้นทางมาเรื่อยๆ ผ่านกิโลเมตรที่ 35 คราวนี้พวกเขาจะได้วิ่งเคียงข้างกับหอไอเฟลโดยครั้งนี้เป็นฝั่งเดียวกันกับแลนด์มาร์กชื่อดังตรงช็องส์ เดอ มาร์ส (Champ de Mars)
หลังจากนั้นนักวิ่งจะเลี้ยวขวาเพื่อไปจบเส้นทางที่ เลส์ แซงวาลิด หรือที่ตั้งศพของนโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoléon Bonaparte) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์กองทัพฝรั่งเศสอันเต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสและทวีปยุโรป จะเห็นว่าจากที่ไล่เรียงมาทั้งหมด เส้นทางมาราธอนของโอลิมปิกครั้งนี้ถูกคิดมาอย่างดี เพื่อให้ผ่านจุดขายจุดสำคัญของฝรั่งเศสอย่างแนบเนียนและมีศิลปะ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็น ‘การโปรโมต soft power แบบไม่ต้องมีคำว่า soft power แม้แต่คำเดียว!’
วีแมนส์ มาร์ช กับการให้ความสำคัญกับผู้หญิง
ความพิเศษของเส้นทางมาราธอนในโอลิมปิกครั้งที่ผ่านมายังไม่หมดแค่การแทรกสถานที่สำคัญไว้ในเส้นทางการวิ่งเท่านั้น แต่เส้นทางแห่งนี้ยอดเยี่ยมกว่านั้นด้วยการทำให้เส้นทางวิ่งนี้ล้อไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส อย่างเหตุการณ์ ‘การเดินขบวนของสุภาพสตรีสู่แวร์ซาย’ หรือ ‘Women’s March’ อีกด้วย
เหตุการณ์ ‘วีแมนส์ มาร์ช’ (Women’s March) เกิดขึ้นในวันที่ 5 ตุลาคม 1789 หรือราว 230 ปีก่อนหน้านี้ โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่สตรีกว่า 7,000 คนรวมตัวกันและเดินขบวนไปยังพระราชวังแวร์ซาย เพื่อประท้วงเรื่องปัญหาปากท้องและข้าวยากหมากแพงที่เกิดขึ้น
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในปีเดียวกันกับวันทลายคุกบัสตีย์ในวันที่ 14 กรกฎาคมปีเดียวกัน โดยหลังจากนั้นมีการกดดันให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศสปฏิรูปทางการเมืองและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน แต่พระองค์ก็ดูเหมือนไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้ จนในเช้าวันเกิดเหตุ วีแมนส์ มาร์ช เป็นอีกวันที่เหล่าสตรีไปจ่ายตลาดในปารีส ก่อนพวกเธอจะพบว่าราคาขนมปังในท้องตลาดพุ่งขึ้นอย่างน่าตกใจทำให้ความอดทนของประชาชนได้หมดลง โดยพวกเธอที่โกรธแค้นได้เดินหน้าไปยังศาลาว่าการเมืองเพื่อเรียกร้องอาหารและขนมปัง
ระหว่างทางได้มีคนเข้าร่วมมากขึ้นและสตรีบางคนได้คว้ามีดหรืออุปกรณ์ครัวต่างๆ ติดมือไปด้วย โดยเมื่อไม่ได้สิ่งที่พวกเธอต้องการ ณ ศาลาว่าการ พวกเธอจึงเดินทางต่อไปยังพระราชวังแวร์ซาย โดยมีจุดประสงค์ให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เสด็จกลับกรุงปารีสเพื่อเร่งให้มีการเดินหน้าปฏิรูป
ฝูงชนเดินขบวนกันกว่า 5 ชั่วโมง (บางเอกสารก็ว่ากันว่ากว่า 6 ชั่วโมง) ท่ามกลางสายฝน ทำให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ต้องออกมาให้คำมั่นว่าจะมีการแก้กฎหมาย แต่เหตุการณ์ก็ไม่จบลงง่ายๆ เพราะในวันรุ่งขึ้นก็มีการบุกเข้าโจมตีพระราชวังแวร์ซาย ซึ่งในเวลานั้นว่ากันว่ามีผู้มาร่วมชุมนุมแตะหลัก 50,000 คนเลยทีเดียว ทั้งนี้การชุมนุมจบลงด้วยการนำตัวพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 มาประทับ ณ พระราชวังตุยเลอรีในกรุงปารีส และการชุมนุมครั้งนี้ก็จบลงในวันที่ 7 ตุลาคม หรือเพียง 2 วันหลังการชุมนุมเริ่มต้นขึ้น
จากเหตุการณ์นี้จะเห็นว่า จุดเริ่มต้นของ ‘วีแมนส์ มาร์ซ’ คือ ศาลาว่าการกรุงปารีส หรือ ออแตล เดอ วิลล์ ก่อนไปยังแวร์ซาย และเมื่อได้ตัวพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 มาแล้ว ผู้ชมนุมก็วกกลับมายังปารีสอีกครั้ง ไม่ต่างจากเส้นทางมาราธอนในโอลิมปิกเกมส์ครั้งนี้เลย – แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นความตั้งใจให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น
โรเบอร์ตา กิบบ์ – แคธรีน สวิตเซอร์
ความกล้าหาญของผู้หญิงที่ลุกขึ้นมาวิ่งมาราธอน
มาราธอนโอลิมปิกในปีนี้ไม่ได้พูดถึงแค่เรื่องราวทางประวัติศาสตร์อย่างเดียว แต่ยังให้การแข่งขันรายการนี้เล่าเรื่องราวของสิทธิสตรี, ความเท่าเทียม และให้เกียรติต่อผู้หญิงเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย สังเกตได้จากพวกเขาจงใจให้การแข่งขันในประเภทหญิงในหลายๆ ชนิดกีฬามาชิงชัยกันในวันสุดท้ายของการแข่งขันโดยเฉพาะ ‘มาราธอนหญิง’
เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น นอกจากพวกเขาจะยกย่องถึงผู้หญิงที่เป็นจุดเริ่มต้นในเหตุการณ์ ‘วีแมนส์ มาร์ช’ แล้ว พวกเขายังให้เกียรติพวกเธอที่ต้องต่อสู้อย่างหนัก เพื่อที่จะได้ลงแข่งขันกีฬาชนิดนี้ทัดเทียมกับผู้ชายด้วย และผู้หญิงสองคนที่เป็นตัวแปรสำคัญในการเปลี่ยนแปลงนี้คือ โรเบอร์ตา กิบบ์ กับ แคธรีน สวิตเซอร์
ในอดีตก่อนปี 1966 มีความเชื่อกันว่าการวิ่งมาราธอนส่งผลเสียต่อสุขภาพผู้หญิงโดยจะทำให้มดลูกหย่อน นอกจากนี้ยังมีความคิดที่เป็นเชิงเหยียดเพศปะปนอยู่ด้วย เช่น ผู้หญิงไม่มีทางจบมาราธอนได้เนื่องจากเป็นเพศที่มีร่างกายอ่อนแอ จากแนวคิดดังกล่าวทำให้ บอสตัน มาราธอน ซึ่งเป็นหนึ่งในหกของรายการระดับเมเจอร์ และเป็นมาราธอนที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ไม่อนุญาตให้นักวิ่งหญิงเข้าร่วมการแข่งขัน
จนในปี 1966 โรเบอร์ตา กิบบ์ ตัดสินใจวิ่งโดยไม่ลงทะเบียนโดยเธอซ่อนตัวแถวๆ จุดปล่อยตัว แล้วเนียนวิ่งไปกับคนอีกจำนวนมาก และเข้าเส้นชัยได้สำเร็จ แม้ในครั้งนั้น ฝ่ายจัดการแข่งขันของบอสตัน มาราธอน ไม่ได้รับรองผลการวิ่งของเธอ เพราะเธอไม่มี BIB แต่เธอก็สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสังคมที่ยังมองว่า การที่ผู้หญิงวิ่งมาราธอนเป็นการทำร้ายตัวเองและสังคมที่ยังไม่เชื่อว่า ‘ผู้หญิงจะวิ่งมาราธอนได้’
จุดเริ่มต้นของกิบบ์ ในปี 1966 ส่งผลไปยังผู้หญิงอีกคนที่มีชื่อว่า แคธรีน สวิตเซอร์ หญิงสาวจากนิวยอร์ก ผู้ที่จะสร้างประวัติศาสตร์เป็นผู้หญิงคนแรกที่จบบอสตัน มาราธอน อย่างเป็นทางการในปีต่อมา
เธอซุ่มซ้อมอยู่ที่มหาวิทยาลัยซีราคิวส์ตลอดปี 1966 ก่อนไปลงสมัครบอสตันมาราธอนในปี 1967 โดยเป็นการสมัครแบบกลุ่ม โดยใช้ชื่อว่า เควี สวิตเซอร์ เนื่องจากในตอนนั้น หากเธอไปสมัครในชื่อผู้หญิงทางฝ่ายจัดการแข่งขันคงไม่ให้ BIB กับเธออย่างแน่นอน
เธอได้ BIB หมายเลข 261 ซึ่งจะเป็นเลขตำนานประจำการแข่งขันบอสตัน มาราธอนในเวลาต่อมา เนื่องจากมันถูกรีไทร์ไม่ให้คนอื่นๆ สามารถเอาไปใช้ได้อีก เพื่อยกย่องวีรกรรมของเธอ แต่ในวันที่เธอลงวิ่งนั้นเธอต้องต่อสู้กับอุปสรรคมากมาย อุปสรรคดังกล่าวมีแม้กระทั่งคนมาพยายามดึง BIB ของเธออกไปเพื่อไม่ให้เธอวิ่งต่อ แต่จนแล้วจนรอด สวิตเซอร์ ก็สามารถเข้าเส้นชัยได้สำเร็จ และกลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่วิ่งมาราธอนจบอย่างเป็นทางการ จนเรียกได้ว่าเป็นผู้เบิกทางให้กับผู้หญิงอีกมากมายได้เดินมาสู่เส้นทางของมาราธอนอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
จาก โจน เบอนัวส์ ถึง ซีฟาน ฮัสซัน
หลังจากเหตุการณ์ของ แคธรีน สวิตเซอร์ ในปี 1967 เวลาล่วงเลยมาอีกห้าปีจนในปี 1972 บอสตัน มาราธอน ก็อนุญาตให้ผู้หญิงสมัครเข้าร่วมการแข่งขันได้ และนั่นกลายเป็นประตูบานสำคัญที่ส่งผลให้มาราธอนรายการอื่นๆ อนุญาตให้ผู้หญิงเข้าร่วมการแข่งขันได้เช่นกัน
ปี 1974 เบอร์ลิน มาราธอน และ นิวยอร์ก มาราธอน อนุญาตให้ผู้หญิงเข้าร่วมการแข่งขันได้ ขณะที่ลอนดอน มาราธอน มาเปลี่ยนกฎให้ผู้หญิงเข้าร่วมได้ครั้งแรกในปี 1981 เช่นกัน และโอลิมปิก 1984 ก็เป็นครั้งแรกที่มีการแข่งขันมาราธอนหญิง
ในโอลิมปิก แอลเอ 1984 ที่สหรัฐอเมริกา โจน เบอนัวต์ นักวิ่งเจ้าถิ่นกลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่คว้าเหรียญทองวิ่งมาราธอนหญิง ในตอนนั้นการแข่งขันของเธอเกิดขึ้นในวันอาทิตย์สัปดาห์แรกของโอลิมปิก ไม่ใช่สัปดาห์สุดท้ายแบบที่เกิดขึ้นในปารีส 2024
เส้นทางวิ่งเริ่มต้นจากซานตาโมนิกาและวิ่งไปตามเส้นทางฟรีเวย์เป็นส่วนใหญ่ก่อนจะสิ้นสุดที่ ‘แอลเอ โคลิเซียม’ สนามหลักของการแข่งขันโอลิมปิกในครั้งนั้น เบอนัวต์ทำมันสำเร็จพร้อมกับครองสถิติโลกด้วยเวลา 2 ชั่วโมง 24 นาที 52 วินาที และสร้างประวัติศาสตร์เป็นผู้ชนะการแข่งขันมาราธอนหญิงโอลิมปิกคนแรก
ขณะที่ผู้ชนะในการแข่งขันมาราธอนหญิงโอลิมปิกคนล่าสุด ได้แก่ ซีฟาน ฮัสซัน นักวิ่งหญิงชาวดัตช์ เธอคว้าชัยได้ในวันสุดท้ายของโอลิมปิกเกมส์ที่ปารีส หลังทำเวลาเป็นสถิติโอลิมปิกที่ 2 ชั่วโมง 22 นาที 55 วินาทีโดยเธอเป็นนักวิ่งมาราธอนในโอลิมปิกคนที่ 11 และเป็นคนแรกที่ได้รับเกียรติรับเหรียญรางวัลในพิธีปิดการแข่งขันโอลิมปิกด้วย
เหรียญโอลิมปิกเหรียญสุดท้ายในปารีส 2024
ตามธรรมเนียมปฏิบัติที่ผ่านมา เหรียญโอลิมปิกเกมส์เหรียญสุดท้ายที่จะมอบกันในพิธีปิดการแข่งขันมักจะเป็นเหรียญในการแข่งขันมาราธอนชายมาเสมอ เนื่องจากมาราธอนเป็นการแข่งขันที่อยู่คู่กับโอลิมปิกมาตั้งแต่โอลิมปิกเกมส์ครั้งแรกในปี 1896 แต่ในโอลิมปิก 2024 พวกเขาตัดสินใจให้เกียรติสุภาพสตรี และยกย่องพวกเธอที่มีบทบาทตลอดในหน้าประวัติศาสตร์ช่วง วีแมนส์ มาร์ช และการต่อสู่ของพวกเธอเพื่อแข่งขันในกีฬามาราธอน โดยการให้เกียรติมอบเหรียญรางวัลเหรียญสุดท้ายในการแข่งขันให้กับ ซีฟาน ฮัสซัน ผู้ชนะในมาราธอนหญิงโอลิมปิกเกมส์
อย่างที่รู้กันดีว่า โอลิมปิกเกมส์ครั้งนี้เน้นเรื่องความหลากหลาย และความเท่าเทียม แม้กระทั้งมาสคอตยังไม่มีเพศ และโลโก้การแข่งขันเองก็สามารถมองเป็นใบหน้าผู้หญิงได้เช่นเดียวกับที่สามารถมองเป็นรูปเปลวเพลิงได้เช่นกัน
ดังนั้น การแข่งขันมาราธอนในโอลิมปิกที่มีเส้นทางเป็น ‘วีแมนส์ มาร์ช’ โดยถูกนำมาแข่งขันกันในวันสุดท้ายและมอบเหรียญให้พวกเธอเป็นเหรียญสุดท้ายจึงเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะทั้งหมดสะท้อนถึงการต่อสู้ของผู้หญิงผ่านหน้าประวัติศาสตร์เพื่อแสดงออกถึงความเท่าเทียม และการมอบเหรียญรางวัลมาราธอนหญิงในพิธีปิดการแข่งขันเป็นเหรียญสุดท้ายก็อาจจะมีความหมายว่า ในปัจจุบัน ‘ผู้หญิง’ ก็สามารถมีสิทธิ์ มีเสียง และได้รับสิทธิ์ รวมไปถึงสามารถทำได้ แบบที่ผู้ชายเคยทำได้
อ้างอิง
Why Are Men’s Marathon Medals Given At The Closing Ceremony? It’s Tradition
Women’s Olympic marathon in Paris records a 1st by running last instead of the men’s race
Paris Held a ‘Marathon for All’ for Amateur Runners That Followed the Iconic Official Race Route
Paris 2024 pays tribute to Women’s March on Versailles with marathon course for Olympics
Paris 2024 : the Marathon for All
The Women’s March on Versailles
Paris 2024 Olympics: A marathon route honoring the October 1789 Women’s March on Versailles
The Manufacture Nationale de Sèvres
The Real Story of Kathrine Switzer’s 1967 Boston Marathon