ทำไม ‘สับปะรด’ ถึงอยู่บนยอดถ้วยแชมป์วิมเบิลดัน?

ระหว่างที่หลายคนรวมถึงตัวผู้เขียนต่างต้องอดหลับอดนอนเพื่อดูฟุตบอลยูโร พร้อมกันนั้นสัปดาห์ที่ผ่านมาก็เป็นสัปดาห์ของเทนนิสวิมเบิลดัน (Wimbledon) ที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดด้วยเช่นกัน โดยผลการแข่งขันในฟุตบอลยูโร กับ วิมเบิลดัน จบลงคล้ายๆ กัน นั่นคือชาวสเปนมีความสุขแบบคูณสอง เพราะนอกจากทีมชาติสเปนจะเอาชนะทีมชาติอังกฤษและคว้าแชมป์ยูโรไปได้สำเร็จ ที่ออล อิงแลนด์ ลอว์น เทนนิส คลับ ก็เป็น การ์ลอส อัลการาซ (Carlos Alcaraz) ที่เอาชนะ โนวัค โจโควิช (Novak Djokovic) คว้าแชมป์ประเภทชายเดี่ยวไปครองได้สำเร็จด้วย

อัลการาซสามารถครองถ้วยแชมป์เป็นปีที่สองติดต่อกัน และเป็นการเอาชนะคู่แข่งคนเดิมอย่าง โจโควิช แบบขาดลอยด้วยสกอร์ 3 เซตรวด ทั้งที่ปีก่อนต้องดวลกันยาวถึง 5 เซต ความน่าสนใจคือถ้วยแชมป์ใบนี้มีชื่อที่ยาวว่า ‘The All England Lawn Tennis Club Single Handed Championship of the World’

อีกทั้งถ้าหากใครสังเกตเจ้าถ้วยชื่อยาวใบนี้ดีๆ ก็จะเห็นว่าถ้วยเคลือบทองคำสูง 18 นิ้วใบนี้มียอดเป็น ‘สับปะรด’ และเป็นถ้วยแกรนด์สแลมที่ไม่เหมือนกับถ้วยรางวัลรายการอื่นๆ ทั้งออสเตรเลียน โอเพน, เฟรนซ์ โอเพน หรือ ยูเอส โอเพน

ว่าแต่ ทำไมต้องเป็น ‘สับปะรด’ ล่ะ?

สำหรับคำตอบของคำถามนี้เป็นเรื่องของ ‘ยุคสมัยและค่านิยม’ มากกว่า ‘ความสวยงาม’ อีกทั้งสับปะรดบนยอดถ้วยใบนี้ก็มีความหมายมากกว่าดีไซน์หรือเป็นเพียงแค่ผลไม้ด้วย

ไม่ใช่ถ้วยใบแรก

ถึงแม้ในตอนนี้เราจะพูดถึงถ้วยรางวัลที่มีชื่อยาวอย่าง ‘The All England Lawn Tennis Club Single Handed Championship of the World’ แต่ก็ต้องเล่าก่อนว่า วิมเบิลดัน แชมเปียนชิพ ไม่ได้มีเจ้าถ้วยรางวัลใบนี้เป็นถ้วยรางวัลใบแรก ถ้วยรางวัลประเภทชายเดียว หรือที่วิมเบิลดันใช้คำหรูหราอย่าง ‘ถ้วยรางวัลในการแข่งขันของสุภาพบุรุษ’ ถูกทำขึ้นครั้งแรกด้วยสปอนเซอร์อย่างหนังสือพิมพ์ ‘The Field’ ทำให้ถ้วยใบนี้ใช้ชื่อว่า เดอะ ฟิลด์ คัพ หรือ ฟิลด์ คัพ และกลายเป็นของ วิมเลียม เรนชอว์ (William Renshaw) หลังจากที่เขาคว้าแชมป์ได้ 3 สมัยติดระหว่างปี 1881-1883

หลังจากนั้น วิมเบิลดันจึงทำถ้วยรางวัลใบใหม่โดยใช่ชื่อว่า ชาลเลนเจอร์ คัพ แต่ภายในเวลาแค่ 3 ปีหลังจากนั้น วิมเลียม เรนชอว์ คนดีคนเดิมก็เก็บมันกลับบ้านไปได้ ด้วยการที่เขาคว้าแชมป์แบบแฮตทริก ระหว่างปี 1884-1886

หลังจากที่ วิมเลียม เรนชอว์ได้ถ้วยกลับไปครอบครองสองใบในเวลาเพียงแค่ 6 ปี ทางฝ่ายจัดการแข่งขันอย่าง ออล อิงแลนด์ ลอว์น เทนนิส คลับ ก็ได้ข้อสรุปอย่างชาญฉลาดว่า ถ้วยรางวัลใบต่อไปที่พวกเขาจะทำต้อง “ไม่มีวันตกเป็นสมบัติของผู้ชนะ” อีกต่อไป จึงเป็นที่มาของถ้วยใบที่สาม หรือ ‘The All England Lawn Tennis Club Single Handed Championship of the World’

ถ้วยรางวัลใบที่สามนี้ทำมาจากเงินปิดทองโดยรอบ มีความสูง 18 นิ้ว และเส้นผ่านศูนย์กลาง 7.5 นิ้ว เป็นถ้วยแบบคลาสสิกที่มีการตกแต่งโดยการแกะสลักด้วยมือเป็นรูปดอกไม้และเครือเถาวัลย์อย่างประณีตพร้อมที่จับแบบดั้งเดิมสองข้าง แถมยังมีลูกสับปะรดไว้ด้านบนด้วย เพื่อให้แน่ใจว่า ถ้วยใบนี้จะไม่มีทางตกเป็นของใครอย่างแน่นอน จึงมีการแกะสลักชื่อผู้ชนะลงไปบนตัวถ้วยในทุกๆ ปี ทว่านั่นเองก็ทำให้เกิดปัญหาขึ้นเพราะในปี 2009 ถ้วยใบนี้ไม่มีที่ว่างให้สลักชื่อผู้ชนะลงไป ทางฝ่ายจัดจึงแก้ปัญหาด้วยการทำเป็นฐานที่วางถ้วย เพื่อเพิ่มพื้นที่แกะสลักผู้ชนะเพิ่มลงไปได้นั่นเอง และเพราะถ้วยใบนี้มีประวัติมาอย่างยาวนานเช่นนี้ ถึงเป็นที่มาว่าทำไมส่วนบนสุดของมัน จึงเป็นรูปสับปะรดเนื่องจากเป็นเรื่องของยุคสมัยในตอนนั้น

สับปะรดผลไม้แห่งยุคสมัย

เหตุที่สับปะรดไปอยู่บนถ้วยวิมเบิลดันได้ เพราะยุคสมัยนั้น สับปะรดเป็นผลไม้สุดฮิตแห่งยุคและมีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะหามาครอบครองได้ ทำให้ในยุคหนึ่งสับปะรดถูกใช้เป็นสัญลักษณ์เพื่อแสดงออกถึง ‘เกียรติยศ การต้อนรับ และการเฉลิมฉลอง’

เรื่องนี้ต้องเล่าย้อนไปตั้งแต่ยุคสมัยการล่าอาณานิคมช่วงศตวรรษที่ 17 สับปะรดเป็นผลไม้หายากและเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเพาะปลูกมันให้เติบโตในสหราชอาณาจักร ดังนั้น หนทางเดียวที่จะได้มาคือ การนำเข้าจากต่างประเทศซึ่งในสมัยนั้นการขนส่งก็ต้องพึ่งการเดินทางโดยเรือเป็นหลักจึงกินเวลาแรมเดือน หรืออาจจะมากกว่าหนึ่งเดือนเสียด้วยซ้ำ

ธรรมชาติของสับปะรดเป็นผลไม้ที่เกิดและเติบโตได้ดีในย่านทะเลแคริบเบียน แถบทวีปอเมริกา มันไม่เคยเป็นที่รู้จักของชาวยุโรปจนกระทั้งคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ไปค้นพบทวีปอเมริกา และหลังจากนั้นก็มีการนำเข้ามาในยุโรป สับปะรดเป็นที่นิยมในยุโรปอย่างรวดเร็ว จากรสชาติที่ชาวยุโรปหาไม่ได้จากบรรดาผลไม้ที่พวกเขาเคยกินกันในตอนนั้น และยิ่งประกอบกับความหวาน เป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือยในยุคสมัยนั้น ทำให้สับปะรดถูกพูดถึงกันแบบปากต่อปากโดยเฉพาะในแวดวงชนชั้นสูง

ยิ่งเมื่อสับปะรดเข้ามาในอังกฤษ มันจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งมี วิถีชีวิตที่หรูหราและสังคมไฮโซอย่างรวดเร็ว ถึงขนาดที่ว่าบ้านหลังไหนมีสับปะรดประดับอยู่บนโต๊ะในงานสังสรรค์ ก็จะทำให้เจ้าของงานดูกลายเป็นผู้ดีมีอันจะกินไปในพริบตา

สิ่งที่ตามมาคือ ความฮิตของสับปะรดในหมู่ผู้ดีชาวอังกฤษ มูลค่าของสับปะรดเพียงลูกเดียวอาจมีค่ามากถึงหลักพันปอนด์ได้เลย แถมยังมีธุรกิจแปลกๆ เช่น การให้เช่าสับปะรดไว้ในบ้านเพื่อรับแขก หรือ การเช่าเพื่อนำไปถือในตอนที่มีการวาดภาพเหมือน เป็นต้น

สับปะรดจึงกลายมาเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมของสังคมชั้นสูงของอังกฤษเรื่อยมา ถึงขนาดที่ในราวปี 1770 มีการใช้วลีที่ว่า “สับปะรดที่มีรสชาติดีที่สุด (a pineapple of the finest flavour)” โดยมันถูกใช้ครั้งแรกในละคร The Rivals ของเชอริดันในปี 1775 เมื่อนางมาลาพอร์พ พูดคำนี้กับพินนาเคิลและอุทานว่า “เขาเป็นสับปะรดแห่งความสุภาพมาก! (He is the very pineapple of politeness!)” ซึ่งสื่อความหมายได้ว่า ‘สุภาพอย่างถึงที่สุดและมากไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว’ นั่นเอง

ค่าของความหรูหราที่คู่ควร

ภาพจำของสับปะรดจึงเป็นภาพจำที่เกี่ยวข้องกับความหรูหรา ชนชั้นสูง หายาก และความเป็นที่สุด ผู้คนมักจะเสิร์ฟสับปะรดเฉพาะในงานเลี้ยงที่หรูหราและสำคัญมากจริงๆ เท่านั้น

สับปะรดจึงถูกนำไปต่อยอดถึงสิ่งอื่นๆ เพื่อแสดงถึงความเป็นที่สุดเช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่ในงานศิลปะโดยในยุคนั้น สับปะรด ถูกนำมาใช้กับเสาประตูบ้านอันโอ่อ่า เพื่อสื่อถึงความเป็นคนมีฐานะและมีคลาส ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลเกิดขึ้นเพราะความหายากของมันในยุคสมัยนั้นเท่านั้น

ดร.ลอเรน โอ ฮาแกน (Lauren O’Hagan) จากภาควิชาภาษาอังกฤษ การสื่อสารและปรัชญา มหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ อธิบายความงมงายต่อสับปะรดที่เกิดขึ้นในยุคสมัยนั้นว่า “สับปะรดไม่เคยเป็นที่รู้จักมาก่อนในโลกเก่า ดังนั้นจึงปราศจากเสียงสะท้อนทางวัฒนธรรมของผลไม้ชนิดอื่น ซึ่งช่วยให้ผู้คนสามารถสร้างความหมายใหม่จากสับปะรดได้”

ยกตัวอย่างผลไม้อื่นๆ ให้เห็นภาพ อาทิ แอปเปิ้ลมีความเกี่ยวข้องกับผลไม้ต้องห้ามในสวนเอเดน เมล็ดทับทิมก็มีเรื่องราวที่เทพธิดากรีกอย่างเพอร์เซโฟนีเก็บไว้ในยมโลกเป็นเวลาครึ่งปี ทำให้พวกมันมีความหมายแฝงที่ตามมาสำหรับคนในแต่ละยุคสมัย

ในทางกลับกัน ตำนานและเรื่องราวต่างๆ กลับไม่มีสับปะรดถูกระบุไว้เลย ทำให้มันง่ายต่อการนิยามสับปะรดด้วยความหมายใหม่จากคนที่เพิ่งรู้จักมัน และในตอนนั้นมันก็ถูกนิยามเป็นสิ่งที่หรูหรา มีค่า และเมื่อคนนำมันมากินในวาระสำคัญ เพื่อการเฉลิมฉลอง ทำให้ภาพของมันกลายเป็นเช่นนั้นไปด้วย จึงไม่แปลกที่ในยุคนั้นสับปะรดจะไปปรากฏอยู่ในหลายๆ สถานที่และหลายๆ ผลิตภัณฑ์ ไล่ไปตั้งแต่เสาบ้าน, ลายประตู รวมไปถึงของใช้ในบ้านอย่างชุดกาน้ำชา หรือลายประดับบนจาน, ชาม ช้อน และเครื่องเรือนต่างๆ

แม้หลังจากนั้นต่อมาราคาสับปะรดอาจจะลดลงจากการนำเข้าที่มากขึ้น ทำให้มีคนได้ลิ้มลองมันมากขึ้น แต่ภาพจำที่ถูกสลักลงไปเกี่ยวกับสับปะรด กลายเป็นภาพจำที่อยู่คู่กับวัฒนธรรมไปแล้ว ดังนั้น การออกแบบสิ่งต่างๆ ที่ตามมาก็ยังยกให้สับปะรดเป็นตัวแทนของความสูงส่ง หรูหรา ไฮโซ หรือการเฉลิมฉลองอยู่ดี

ดังนั้น เมื่อมีการออกแบบถ้วยวิมเบิลดันใบที่สามขึ้น ถ้วยชื่อยาวของเราอย่าง ‘The All England Lawn Tennis Club Single Handed Championship of the World’ จึงมีสับปะรดอยู่ตำแหน่งบนสุดของถ้วย โดยที่คนยุคสมัยนั้นไม่ได้ติดใจ หรือแปลกใจแต่อย่างใด

ความคลาสสิกจากอดีตกาล

จากปี 1887 ล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบันกว่า 100 ปี สับปะรดไม่ได้หากินยากอีกต่อไปสำหรับคนยุโรป หรือแม้กระทั่งคนอังกฤษ ความหรูหราที่มาพร้อมกับเรื่องราวของสับปะรด จึงบางเบาไปตามห้วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงเช่นกัน จึงไม่แปลกที่เมื่อผู้คนเห็นสับปะรดบนถ้วยแชมป์วิมเบิลดันแล้วจะแปลกใจแล้วตั้งคำถามว่า ‘ทำไมต้องเป็นสับปะรด’ เพราะพวกเขาไม่ได้อยู่ในห้วงเวลาที่สับปะรดเพียงผลเดียวจะมีราคาหลักพันปอนด์อีกต่อไป

ปัจจุบันนี้ คุณสามารถเดินเข้าไปซื้อสับปะรดในร้านสะดวกซื้อของสหราชอาณาจักร คุณสามารถหาสับปะรดได้ในราคาไม่ถึง หนึ่งปอนด์เสียด้วยซ้ำ แต่เรื่องราวของสับปะรดราคาหลายพันปอนด์ ยังคงอยู่คู่กับโบราณสถาน หรือ โบราณวัตถุ เช่นเดียวกับในถ้วนแชมป์วิมเบิลดัน ซึ่งเป็นเรื่องราวเล่าขานจากยุคอดีตที่บ่งบอกว่า ครั้งหนึ่งสับปะรดเคยมีค่าและมีราคามหาศาล จนมันกลายเป็นสัญลักษณ์ของฐานะทางสังคม

และเรื่องราวนั้นจะกลับมาเล่าขานอีกครั้งเมื่อมีคนเห็นร่องรอยจากอดีต และตั้งคำถามถึงมัน


อ้างอิง

The rise, fall, and rise of the status pineapple

King Pine, The Pineapple

Why is there a pineapple on the Wimbledon trophy?

Information about the five Championship trophies

The Wimbledon Championship Trophy

What is the Wimbledon trophy called, how much is it worth and what is it made of?

Why is there a pineapple on the Wimbledon trophy?

Wimbledon trophy: Why does men’s trophy have a pineapple on top of it?

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save