สารภาพตามตรงว่าเดือนนี้ผมตั้งใจจะเขียนถึงเรื่องอื่น แต่คิดว่าไหนๆ ก็ดันไปมีส่วนร่วมถกเถียงเรื่องการล่มสลายของชนชั้นกลางที่เป็นกระแสอยู่ตอนนี้บ้างแล้ว เลยอยากใช้พื้นที่นี้ชวนอ่านงานวิจัยจำนวนหนึ่งที่น่าจะช่วยให้เราเข้าใจความสำคัญของข้อถกเถียงนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ประเด็นของผมมีง่ายๆ แค่สองเรื่องซึ่งผมคิดว่าบางคนยังเข้าใจผิด หนึ่งคือวิกฤตชนชั้นกลางหรือ ‘การล่มสลายของชนชั้นกลาง(เก่า)’ เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงในระดับโลกมาสักพักแล้วและมีความสำคัญของมันอยู่ โดยไม่สำคัญว่าคนพูดจะเป็นคนชนชั้นไหน
สอง ผมคิดว่าภาวะทัวร์ลงเมื่อเห็นว่าคนจุดประเด็นเรื่องวิกฤตชนชั้นกลางดูอาจไม่ได้เป็นชนชั้นกลางขนาดนั้น มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากแนวคิดเรื่อง ‘ชนชั้นกลาง’ ที่คลุมเครือไม่ชัดเจนอยู่แต่เดิม และอีกส่วนมาจากระยะห่างมหาศาลระหว่างประสบการณ์ตรงในชีวิตของคนทั่วไปในสังคมไทยที่มองว่าตัวเองเป็นชนชั้นกลาง กับจินตนาการเกี่ยวกับ ‘ชนชั้นกลาง’ ที่ถูกนำเสนอออกมาในวงสนทนาเหล่านั้น
ทั้งสองประเด็นนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก เพราะในขณะที่วิกฤตชนชั้นกลางนี้มีจริง เป็นความท้าทายในระดับสังคมจริงๆ และในทางวิชาการมีเหตุผลอธิบายอยู่ว่าทำไมการล่มสลายของชนชั้นกลางจึงสำคัญต่อความเป็นไปและเสถียรภาพของสังคม แต่เราจะพูดคุยกันเรื่องนี้ได้อย่างตรงประเด็นมากขึ้นก็ต่อเมื่อเราเข้าใจแนวทางการนิยามชนชั้นกลาง ซึ่งเป็นทั้งเรื่องตัวเลข สถานะทางสังคม ประสบการณ์ส่วนบุคคล และลักษณะของงานในระบบเศรษฐกิจ
ผมอยากชวนถกเถียงด้วยในตอนท้ายว่า วิกฤตชนชั้นกลางที่เรากำลังพูดถึง แท้ที่จริงก็คือ ‘ภาวะฝันสลาย’ ในวันที่ความฝันแบบชนชั้นกลางเดิมดูจะเป็นได้เพียงความฝันสำหรับคนส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ความฝันของชนชั้นกลางกับชนชั้นกลางใหม่ (ถ้ามี) อาจไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ถ้าเราไม่กล้าพัฒนาตัวเองให้ไปไกลกว่าตัวเอง ชนชั้นกลางใหม่ก็เสี่ยงจะวนเวียนกลับไปสู่วังวนของความฝันที่ไม่มีวันเอื้อมถึง
ผมอยากเริ่มด้วยเรื่องพื้นๆ ว่าชนชั้นกลางคืออะไรและสำคัญอย่างไร ขอออกตัวว่าแนวคิดเรื่อง ‘ชนชั้นกลาง’ เป็นปัญหาโลกแตกทางสังคมศาสตร์ เพราะมีข้อถกเถียงมากมายว่าควรหรือไม่ควรใช้แนวคิดนี้หรือไม่อย่างไร เพื่อให้กระชับ ผมขออนุญาตข้ามข้อถกเถียงพวกนี้ไปและเน้นเฉพาะนิยามที่งานวิจัยช่วงหลังใช้เวลาพูดถึงวิกฤตของชนชั้นกลาง
ในปี 2019 องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organisation for Economic Co-operation and Development : OECD) เผยแพร่รายงานชื่อดัง Under pressure: The Squeezed Middle Class ซึ่งอธิบายสถานการณ์ที่ชนชั้นกลางในกลุ่มประเทศ OECD กำลังหดตัวลงในทุกๆ ด้าน
รายงานฉบับนี้อธิบายว่า ชนชั้นกลางมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเมือง เพราะนอกจากจะเป็นแรงบันดาลใจและหมุดหมายของการได้มีชีวิตครอบครัวและหน้าที่การงานที่มั่นคง ทั้งยังสามารถส่งต่ออนาคตที่ดีกว่าไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลานได้ ครอบครัวชนชั้นกลางยังเป็นจักรกลแห่งการบริโภคและการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะมีกำลังมากพอจะจับจ่ายเกินกว่าปัจจัยพื้นฐาน และเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐผ่านการจ่ายภาษี
การหดตัวลงของชนชั้นกลางมีนัยอยู่สองอย่างด้วยกัน หนึ่งคือสัดส่วนของครอบครัวที่เข้าข่ายว่าเป็น ‘ชนชั้นกลาง’ ลดน้อยลงเมื่อเทียบกับประชากรทั้งหมด และสองคือการได้มาและรักษาไว้ซึ่งไลฟ์สไตล์แบบชนชั้นกลางกลายเป็นเรื่องยากขึ้นโดยเปรียบเทียบ เพราะคนกลางๆ มีรายได้น้อยลง สวนทางกับค่าครองชีพที่พุ่งทะยาน งานการที่ไม่มั่นคง หนี้สินที่พอกพูน ซ้ำร้ายเมื่อเงยหน้าไปบนฟ้า รายได้และความมั่งคั่งของกลุ่มคนที่รวยที่สุดร้อยละ 10 กลับโตเอาๆ (ภาพที่ 1)

ที่มา: รายงาน Under pressure: The Squeezed Middle Class
เข้าใจได้ไม่ยากว่าสถานการณ์เช่นนี้เป็นความท้าทายในระดับสังคมอย่างไร เพราะเมื่อรายได้หดตัว กำลังซื้อก็ถดถอย เมื่อรายได้โตไม่ทันรายจ่าย คนก็เป็นหนี้กันมากขึ้นและต้องทำงานมากขึ้นเพื่อจะได้มีคุณภาพชีวิตเท่าเดิม เมื่อโอกาสในการมีชีวิตที่มั่นคงดูยากเกินเอื้อมถึง การลงทุนกับอนาคตในระดับครัวเรือนจึงเริ่มกลายเป็นกิจกรรมของคนหมู่น้อยลงทุกที เศรษฐกิจโตยาก รัฐสูญเสียรายได้ สังคมสั่นคลอน
แต่คำถามสำคัญก็คือ ใครคือชนชั้นกลางในความหมายของ OECD และเราเห็นภาพเดียวกันนี้ไหมในสังคมไทย
รายงานของ OECD รวมถึงงานศึกษาสถานการณ์ของชนชั้นกลางในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชียชิ้นอื่นๆ มักนิยามคล้ายๆ กันว่า ชนชั้นกลางหรือคนรายได้กลางๆ (middle income) กล่าวคือกลุ่มคนที่มีรายได้อยู่ในช่วงร้อยละ 75 ถึงประมาณสองเท่าของรายได้มัธยฐานของประเทศ (ทั้งนี้ งานวิจัยแต่ละชิ้นกำหนดขอบบนของชนชั้นกลางไม่เท่ากัน และคำว่า ‘รายได้’ มีให้เลือกคำนวณได้หลายประเภท)
พูดง่ายๆ คือถ้าเอาคนทั้งประเทศมายืนเรียงลำดับจากรายได้น้อยไปมาก แล้วสมมติให้คนตรงกลางมีรายได้ 10,000 บาทต่อเดือน ชนชั้นกลางในนิยามนี้ก็คือกลุ่มคนที่มีรายได้ตั้งแต่ 7,500 จนถึงสัก 20,000 บาทต่อเดือน แปลว่ายิ่งค่ากลางสูงขึ้น ช่วงของชนชั้นกลางก็จะขยับขึ้น ยิ่งค่ากลางต่ำลง ช่วงของชนชั้นกลางก็จะขยับลง (ส่วนว่าทำไมถึงใช้ค่ากลาง ไม่ใช้ค่าเฉลี่ยรายได้ แนะนำให้ลองอ่านบทความนี้ดู)
เพราะฉะนั้น นัยแรกของการบอกว่าชนชั้นกลางกำลังหดตัวลงก็คือ จำนวนของคนที่มีรายได้อยู่ในช่วงรายได้นี้ลดน้อยลงโดยเปรียบเทียบกับช่วงรายได้ (หรือชนชั้น) อื่นนั่นเอง
ความน่าสนใจคือแบบนี้ครับ ในขณะที่มีข้อมูลว่าสหรัฐอเมริกาหรือประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป รวมถึงหลายประเทศในเอเชีย เผชิญกับภาวะคนรายได้กลางๆ ไม่เติบโตหรือกระทั่งหดตัวลงมาหลายทศวรรษ ในปี 2021 งานวิจัยของ OECD อีกชิ้นพบว่า ประเทศไทยดันเป็นประเทศที่สวนทางกับชาวบ้าน เพราะสัดส่วนชนชั้นกลางของเรากลับเพิ่มสูงขึ้นจากราวร้อยละ 45 ของประชากรทั้งหมดในปี 1981 เป็นร้อยละ 52 ในปี 2018 (ภาพที่ 2)
อ่านแล้วต้องขยี้ตา เพราะชนชั้นกลางบ้านเราไม่เพียงไม่ลดลง แต่ยังขยายตัวจนกลายเป็นครึ่งหนึ่งของคนทั้งประเทศเสียด้วย

ที่มา: รายงาน The middle class in Emerging Asia: Champions for more inclusive societies?
ผมลองใช้เกณฑ์เดียวกันนี้ไปดูข้อมูลรายได้ครัวเรือนของสำนักงานสถิติแห่งชาติเพื่อตามหาว่าชนชั้นกลางที่รายงานของ OECD พูดถึงคือใคร
ด้วยความช่วยเหลือของมิตรสหายนักคณิตศาสตร์สองสามท่าน เราลองคำนวณรายได้มัธยฐานของครัวเรือนไทยแบบคร่าวๆ (บนสมมติฐานว่าข้อมูลมีการแจกแจงเอกรูปนะเว้ย! มิตรสหายนักคณิตศาสตร์ย้ำ) และทำกราฟง่ายๆ ออกมาได้ประมาณนี้ (ภาพที่ 3)

เทียบข้อมูลทั้งประเทศ (สีฟ้า) กับกรุงเทพฯ และปริมณฑล (สีส้ม)
ที่มา: รายงานการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน สำนักงานสถิติแห่งชาติ
ถ้าใช้มาตรฐานเดียวกับ OECD ครอบครัวชนชั้นกลางไทยในปี 2566 ก็จะหมายถึงครอบครัวที่มีรายได้ประมาณ 16,800-44,800 บาทต่อเดือน โดยครอบครัวตรงกลางของประเทศมีรายได้ประมาณ 22,000 บาทต่อเดือน หรือถ้าเอาตัวเลขของครอบครัวในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมาเทียบด้วย ฐานของครอบครัวชนชั้นกลางก็จะสูงขึ้นอีกหน่อยคือราวๆ 22,000-60,000 บาทต่อเดือน โดยครอบครัวตรงกลางในพื้นที่นี้มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนราวๆ 30,000 บาท
แน่นอนว่ารายได้รวมของครัวเรือนอาจไม่ได้สะท้อนรายได้ต่อคนจริงๆ รายงานชุดนี้จึงนำรายได้ของครัวเรือนหารด้วยจำนวนสมาชิก แล้วจัดกลุ่มประชากรออกเป็น 5 ส่วนเท่าๆ กัน (ควินไทน์ – quintile) ตามลำดับรายได้จากน้อยไปมาก สิ่งที่ได้คือภาพที่ 4
จากข้อมูลนี้ สมมติให้ค่ากลางคือรายได้เฉลี่ยของควินไทน์ที่ 3 พอดี มนุษย์ชนชั้นกลางไทยตามนิยามรายได้ในปี 2566 ก็คือคนที่มีรายได้ประมาณ 6,900-18,000 บาทต่อเดือน และถ้าใส่ข้อมูลกรุงเทพฯ และปริมณฑลมาเปรียบเทียบด้วย ชนชั้นกลางในพื้นที่นี้ก็คือคนที่มีรายได้ประมาณ 10,000-29,000 บาท โดยค่ากลางอยู่ประมาณ 14,000 บาท

ที่มา: รายงานการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน สำนักงานสถิติแห่งชาติ
ถ้าข้อมูลของ OECD และสำนักงานสถิติแห่งชาติถูกต้อง อาจกล่าวได้ว่า ‘ชนชั้นกลาง’ บนฐานของรายได้ ซึ่งเป็นประชากรประมาณครึ่งหนึ่งของสังคมไทยก็น่าจะมีหน้าตาประมาณนี้
เห็นตัวเลขนี้หลายคนก็มักจะหนาวๆ ร้อนๆ โดยเฉพาะถ้าเราดันมีรายได้เกินเกณฑ์ชนชั้นกลางนี้ไปหลายเท่าตัว คอมเมนต์ที่ผมเห็นบ่อยๆ คือคนมักไม่เชื่อกันว่ารายได้ประมาณนี้จะเป็นค่าเฉลี่ยมัธยฐานของประเทศและพอให้เรียกว่า ‘ชนชั้นกลาง’ ได้เต็มปาก
คำอธิบายมีหลายส่วนด้วยกัน ที่ชัดเจนที่สุดคือการรับรู้เรื่องชนชั้นมักเป็นเรื่องของการเปรียบเทียบเสมอ และเพราะแบบนั้นความเข้าใจของเราจึงอาจขัดแย้งกับข้อมูลทางสถิติได้ง่ายๆ
อย่างที่อาจารย์ณัฐวุฒิ เผ่าทวี เคยอธิบายไว้ว่าในกรณีสังคมไทยที่มีความเหลื่อมล้ำสูง คนที่มีรายได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศมักกระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่และแวดล้อมด้วยผู้คนที่ฐานะใกล้เคียงกับเราหรือมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ เราจึงมีแนวโน้มจะเปรียบเทียบตัวเองกับคนที่มีรายได้สูงกว่าและไม่ได้รู้สึกว่ารายได้เท่าเราจะอยู่บนยอดพีระมิดรายได้ของประเทศนี้แล้ว
นอกจากนี้ เวลาพูดเรื่อง ‘ชนชั้น’ ทางเศรษฐกิจ หลายคนยังอดไม่ได้ที่จะนึกเปรียบเทียบตัวเองกับชนชั้นนำทางการเมือง ซึ่งไม่ใช่แค่ร่ำรวยกว่าเรา แต่ยังมีอำนาจมากกว่าจนการพูดว่าเราเป็นชนชั้นบนๆ ไม่กลางแล้ว ก็พูดได้ไม่เต็มปาก คำว่า ‘ชนชั้นกลาง’ เลยทำหน้าที่เป็นหลุมหลบภัยทางภาษา ให้คนที่รายได้เกินกว่ามัธยฐานไปมากแต่ไม่ถึงกับเป็นมหาเศรษฐีและไม่ได้มีอำนาจทางการเมืองอะไรขนาดนั้น สามารถนิยามตัวเองได้อย่างสบายใจขึ้นมาหน่อย
ผมไม่คิดว่าการนิยามตัวเองแบบนั้นเป็นเรื่องผิด มิหนำซ้ำยังเป็นของสนุกของนักวิชาการเสียด้วย เพราะการเรียกตัวเองว่าเป็นชนชั้นอะไร โดยสอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางเศรษฐกิจหรือไม่ บอกอะไรเราได้มากเกี่ยวกับสังคมที่เราอาศัยอยู่ ไม่ว่าจะเป็นในมิติของวัฒนธรรม อำนาจ หรือโครงสร้างเศรษฐกิจ
ประเด็นสำคัญที่ผมยกตัวเลขนี้ขึ้นมาไม่ใช่แค่จะย้ำว่า ถ้าเราอยากพูดถึง ‘ชนชั้นกลาง’ กันแบบซีเรียสและมีข้อมูลสนับสนุนสักหน่อยก็ทำได้ไม่ยาก แต่ผมยังคิดด้วยว่าระยะห่างมหาศาลระหว่างชีวิตจริงของคนกลางๆ ในประเทศไทย กับชีวิตของ ‘ชนชั้นกลาง’ ที่คนเลยกลางไปมากแล้วพูดถึง คือสิ่งที่ใครก็ตามที่ต้องการเสนออะไรบางอย่างที่ยึดโยงกับคนส่วนใหญ่ของสังคมควรใช้เวลาทำความเข้าใจ
เพราะต่อให้เราอยากจะเชื่อแค่ไหนว่าชนชั้นกลาง ‘ฐานมันกว้าง’ แต่ยอดพะเนินเทินทึกของประชากรครึ่งประเทศก็กองอยู่แถวๆ ค่ามัธยฐาน ซึ่งต่อให้เศรษฐกิจไม่เปลี่ยน เทคโนโลยีไม่เข้ามาทำงานแทนคน ก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าพวกเขาจะฝันส่งลูกเรียนโรงเรียนอินเตอร์ได้อย่างที่เราอยากให้ฝัน
แต่สมมติว่าเราตัดปัญหาเรื่องคำเรียกออกไปก่อน และพยายามทำความเข้าใจว่าทำไมสมมติฐานว่าชนชั้นกลางไทยมีรายได้เลยค่อนแสน ซึ่งขัดกับข้อเท็จจริงแม้กระทั่งในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลซึ่งมีรายได้ต่อหัวมากที่สุดในประเทศ จึงเป็นสิ่งที่คนไม่น้อยเชื่อกันโดยไม่เอะใจ ผมคิดว่านอกเหนือจากประเด็นที่ว่าไปก่อนหน้านี้แล้ว ความแตกต่างในแง่รายได้และความมั่งคั่งระดับเกินจินตนาการ ระหว่างคนกลุ่มต่างๆ ในสังคมไทยคืออีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่ายังไงตัวเองก็ยังเป็นชนชั้นกลาง
ในแง่รายได้ อาจารย์ธนสักก์ เจนมานะจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพิ่งให้ข้อมูลว่ารายได้เฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่ประมาณ 15,000 บาทต่อเดือน โดยคนไทย 10% บนมีรายได้เฉลี่ย 73,000 บาทต่อเดือน ขณะที่คน 1% บนมีรายได้เฉลี่ย 228,000 บาทต่อเดือน เรียกว่าถ้าคุณได้เงินเดือนเจ็ดหมื่นและใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ มีโอกาสที่คุณจะเจอคนที่มีรายได้มากกว่าคุณถึงสามสี่เท่า เค้าทำงานสี่เดือนเท่ากับคุณทำงานทั้งปี! ใครจะไปคิดว่าตัวเองไม่ใช่ชนชั้นกลาง
ลองดูภาพที่ 4 อีกทีก็ได้ครับ ตัดเรื่องที่ว่าข้อมูลประเภทนี้มักเข้าไม่ถึงรายได้ของอภิมหาเศรษฐีทิ้งไปก่อนได้เลย เพราะแค่รายได้เฉลี่ยของคนควินไทน์ที่ 5 หรือ 20% บน ก็ยังพุ่งกระโดดฉีกรายได้ของคนกลุ่มอื่นไปไกลกว่า และพนันได้เลยว่าถ้ารายงานฉบับนี้แบ่งคนเป็น 10 กลุ่มเหมือนที่เคยทำ รายได้ของ 10% บนจะยิ่งทิ้งห่างคนกลุ่มอื่นๆ ไปไม่เห็นฝุ่น
ในแง่ทรัพย์สินยังมีอีกข้อมูลชุดหนึ่งที่ผมอยากให้ทุกคนได้เห็น นั่นคือสัดส่วนการถือครองทรัพย์สินของคนไทยจาก Global Wealth Databook ซึ่งจัดทำโดยธนาคารเครดิตสวิส ข้อมูลนี้ระบุสัดส่วนทรัพย์สินหรือความมั่งคั่งโดยเฉลี่ยของประชากรวัยทำงานของไทยประมาณ 50 กว่าล้านคน แล้วแบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆ ค่อนข้างละเอียด ผมลองย้อนหาข้อมูลไปเท่าที่จะหาได้และทำกราฟง่ายๆ มาให้ดูด้านล่าง (ภาพที่ 5)

ที่มา: รายงาน “Global Wealth Databook”
ใครติดตามข้อมูลพวกนี้อยู่แล้วคงพอทราบว่า ความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งของประเทศไทยย่ำแย่กว่าเรื่องรายได้อยู่มาก ข้อมูลจากเครดิตสวิสแสดงให้เห็นว่า ประชากรครึ่งล่างของประเทศ (27 ล้านคน) มีทรัพย์สินรวมกันประมาณร้อยละ 4.9 ของทรัพย์สินทั้งหมด และอยู่ในช่วงนี้มาอย่างน้อยตลอดสิบปีให้หลัง ในขณะที่กลุ่มคนตรงกลางที่เรียกว่า ‘Middle 40%’ (21 ล้านคน) มีทรัพย์สินรวมกันอยู่ประมาณร้อยละ 30 เติบโตขึ้นนิดหน่อยจากทศวรรษที่แล้ว และเพิ่งแซงหน้ากลุ่ม ‘Next 9%’ (4 ล้านคน) ไปได้ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา
ในทางกลับกัน ประชากรไทยในกลุ่ม ‘Top 1%’ หรือประมาณห้าแสนคนถือครองความมั่งคั่งรวมกันประมาณครึ่งประเทศ จนกระทั่งถึงช่วงโควิดที่มูลค่าสินทรัพย์ของพวกเขาลดลงมาอย่างมีนัยสำคัญ (ผมเดาว่าหลังจากนั้นก็จะกลับไปทิ้งห่างกันเหมือนเดิมเพราะมูลค่าสินทรัพย์ลงทุนเด้งกลับขึ้นมา ภาวนาให้ผมคิดผิด)
ถ้าดูเฉพาะความมั่งคั่งสุทธิ เราพบว่าในปี 2022 คนไทยร้อยละ 50.9 มีความมั่งคั่งน้อยกว่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่อีกร้อยละ 46.2 มีความมั่งคั่งเฉลี่ยประมาณ 10,000-100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราวสามสี่แสนถึงสามสี่ล้านบาท
ดังนั้น ถ้าคุณดันมีทรัพย์สินรวมกันเกินสี่ล้าน (ซึ่งอาจจะไม่พอเกษียณด้วยซ้ำ!) ยินดีด้วยครับ คุณเป็นยอดพีระมิดสามเปอร์เซ็นต์บน…ในประเทศที่ค่าเทอมโรงเรียนนานาชาติปีละล้าน และหลายคนยืนยันว่าไข่เจียวปูราคาหนึ่งในสี่ของรายได้มัธยฐานต่อเดือนถือว่า “ไม่แพง”
ผมไม่ได้มีข้อเสนออะไรใหม่ เพียงแต่เชื่อลึกๆ จากก้นบึ้งของความเป็นมนุษย์ว่า สังคมไทยคงน่าอยู่กว่านี้มาก ถ้ากลุ่มวิชาชีพระดับบนๆ เช่น แพทย์ นักกฎหมาย อาจารย์ นักธุรกิจ ผู้บริหาร นักการเงินการธนาคาร อินฟลูเอนเซอร์ ศิลปินดารา ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ฯลฯ ซึ่งมีพลังเงิน พลังเครือข่าย และ/หรือพลังสื่อ เข้าใจตำแหน่งแห่งที่ของตัวเองในความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับคนอื่นๆ ในสังคมเดียวกันบ้าง
ในสังคมที่ความแตกต่างในแง่รายได้และทรัพย์สินสูงขนาดนี้ ผมสงสัยว่าความฝันแบบชนชั้นกลางอาจจะแตกสลายไปก่อนที่ชนชั้นกลางจะหดตัว ก่อนเอไอจะมาทำงานแทนเรา ก่อนที่ใครจะประกาศว่ามันล่มสลาย
อภิจิต บาเนอร์จี กับเอสเธอร์ ดูโฟล สองศาสตราจารย์เศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลเมื่อปี 2019 เคยเสนอไว้ในบทความเลื่องชื่อ What Is Middle Class about the Middle Classes around the World? ที่ระบุว่าไม่มีอะไรที่สะท้อนความเป็นชนชั้นกลางได้ดีเท่ากับการมีงานที่มั่นคง รายได้ที่แน่นอนที่ทำให้พวกเขาสามารถวางแผนอนาคตให้ตัวเองและลูกๆ ได้
ผมสงสัยว่าปริมาณของแรงงานนอกระบบและแรงงานชั่วคราวที่คิดเป็นร้อยละ 52 ของผู้มีงานทำทั้งหมดในประเทศไทย ซึ่งต้องเผชิญกับสภาวะเปราะบางทางเศรษฐกิจ รายได้ที่ไม่แน่นอน ขาดสวัสดิการ ไร้อำนาจต่อรอง ซ้ำยังอยู่ในสัญญาจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม อาจเป็นสัญญาณว่าความฝันแบบชนชั้นกลางพังทลายไปแล้ว ทั้งๆ ที่จำนวนชนชั้นกลางในประเทศเรากำลังเพิ่มสูงขึ้น
ผมสงสัยว่าอัตราการเกิดที่ต่ำเตี้ยลงทุกปีเป็นอีกสัญญาณว่าความฝันแบบชนชั้นกลางพังทลายไปแล้ว ทั้งๆ ที่จำนวนชนชั้นกลางในประเทศเรากำลังเพิ่มสูงขึ้น
ผมสงสัยด้วยว่า ความพลิกผันทางเศรษฐกิจแบบที่เรากำลังเห็นเป็น ‘วิกฤตของชนชั้นกลาง’ จริงแค่ไหน
ไม่นานมานี้ แจด โมอาวัด และเดเนียล เอิร์ช นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดและมหาวิทยาลัยโลซานน์ ตีพิมพ์งานวิจัยที่ชี้ว่าชนชั้นกลางในโลกตะวันตกไม่ได้ถูกบีบหรือกำลังจะล่มสลายอย่างที่ OECD หรือสื่อตะวันตกประโคมข่าว
ทั้งสองศึกษาอัตราการจ้างงานและแนวโน้มรายได้ระหว่างทศวรรษ 1980-2020 ของคนจาก 6 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน เยอรมัน และโปแลนด์ และเสนอว่าถ้าเราปรับเกณฑ์ในการมองชนชั้นคือไม่ใช้มาตรวัดเรื่องรายได้เป็นเครื่องจำแนกคน เราจะเห็นว่าผู้แพ้ตัวจริงของความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีตลอดสี่ทศวรรษที่ผ่านมาไม่ใช่ชนชั้นกลาง
นักวิจัยทั้งสองคนเสนอให้ลองปรับวิธีนิยามชนชั้นให้ละเอียดขึ้น โดยใช้มิติของอาชีพตามการจัดประเภทอาชีพตามมาตรฐานสากล ISCO-88 และระดับการศึกษาเป็นตัวตั้ง จากนั้นจึงค่อยเอามิติเรื่องรายได้ครัวเรือนและขนาดครัวเรือนเข้ามาคิดคำนวณ
สูตรการจำแนกใหม่นี้แบ่งคนได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ ชนชั้นแรงงานทักษะต่ำ ชนชั้นแรงงานทักษะกลาง ชนชั้นกลางสายวิชาชีพ และชนชั้นกลางระดับบนและชนชั้นบน ซึ่งนับรวมกลุ่มอาชีพผู้จัดการและนักวิชาชีพระดับสูงทั้งหลายเข้าไว้ด้วย
งานวิจัยชิ้นนี้พบว่า ครัวเรือนชนชั้นกลางสายวิชาชีพ ผู้จัดการ และผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค ต่างมีการจ้างงานและรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่แรงงานไม่ว่าจะทักษะสูงหรือต่ำล้วนมีการจ้างงานและรายได้ที่ถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง ในบางประเทศ เช่น เยอรมนีและสหรัฐฯ ชนชั้นแรงงานรุ่นเบบี้บูมเมอร์และเจน X มีรายได้น้อยกว่าหรือเทียบเท่ากับรุ่นพ่อแม่ ในขณะที่ชนชั้นกลางสายวิชาชีพขึ้นไปสามารถยกระดับฐานตัวเองให้สูงขึ้นกว่ารุ่นพ่อแม่ได้
ในภาพรวม ชนชั้นกลางเติบโตช้ากว่าที่คาดหวัง แต่ก็ยังเติบโตได้เมื่อเทียบกับคนครึ่งล่างของสังคม
“การกล่าวว่าชนชั้นกลางถูกทิ้งไว้เบื้องหลังจึงเป็นความจริงเมื่อเปรียบเทียบกับโชคชะตาของผู้ที่อยู่บนยอดพีระมิด” ทั้งสองกล่าวทิ้งท้ายบทความ “แต่คำกล่าวนี้กลับเพิกเฉยอย่างสิ้นเชิงต่อข้อเท็จจริงที่ว่า ในหลายประเทศ ผู้แพ้ตัวจริงของหลายทศวรรษที่ผ่านมาอยู่ที่ฐานล่าง นั่นคือชนชั้นแรงงาน” (p.1662)
ผมไม่ได้เสนอว่าสังคมไทยกำลังเผชิญสถานการณ์เดียวกัน แต่อย่างน้อยข้อมูลเกี่ยวกับการเติบโตของชนชั้นกลางไทยก็น่าจะชวนให้เราตั้งคำถามว่าเรื่องเล่าเกี่ยวกับการล่มสลายของชนชั้นกลาง(เก่า)จริงๆ แล้วกำลังพูดถึงการล่มสลายของอะไร และใครบ้างที่ไม่เคยได้อยู่ในเรื่องเล่าเหล่านี้เลยเพราะล่มสลายไปนานแล้วตลอดประวัติศาสตร์การพัฒนาประเทศไทย
มองในแง่ดี การถูกปลุกให้ตื่นจากฝันแบบชนชั้นกลางคือจังหวะเวลาสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะอาจจะเป็นครั้งแรกในรอบครึ่งศตวรรษที่คนที่เคยเชื่อมั่นในฝันแบบอเมริกันดรีมจะเริ่มเข้าใจว่า หน้าตาความสำเร็จในชีวิตคนเป็นผลจากการออกแบบกฎกติกาที่เป็นธรรมกว่าในอดีต
ฝันของการ ‘ทำงานหนัก-เก็บเงิน-ซื้อบ้าน-เกษียณ’ เป็นไปไม่ได้เลย ถ้าขาดการออกแบบสถาบันที่เห็นหัวคนที่เชื่อว่ามนุษย์มีศักยภาพทัดเทียมกันไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดแบบไหน และดังนั้นจึงควรจะสามารถเป็นเจ้าของทรัพย์สินได้ เลื่อนฐานะได้ มีชีวิตที่ดีกว่ารุ่นพ่อแม่ได้ และสามารถใฝ่ฝันถึงความสุขสบายและเสรีภาพในชีวิตได้ โดยไม่จำเป็นต้องบังเอิญคลอดจากครรภ์ผู้ลากมากดีเท่านั้น
ข้อเท็จจริงที่ไม่รู้จะเสียเวลาปฏิเสธไปทำไมก็คือ ความสามารถในการฝันถึงชีวิตที่ดีกว่า ชีวิตที่มั่นคง และสามารถส่งต่อจากมันจากรุ่นสู่รุ่น ไม่ใช่ผลผลิตเฉพาะตัวของมนุษย์ผู้พร้อมปรับตัว พัฒนาตัวเอง และกล้าฝัน แต่สัมพันธ์กับเงื่อนไขเชิงเศรษฐกิจ-สังคม-การเมือง ที่ทำให้คนบางกลุ่มฝันถึงสิ่งนี้ได้ง่ายดาย คนบางกลุ่มไม่กล้าแม้แต่จะฝัน ขณะที่คนบางกลุ่มไม่ต้องฝันเลยก็ได้ เพราะครอบครองสิ่งนี้อยู่แล้วตั้งแต่ต้น
ปัญหาก็คือ ท่ามกลางข้อเสนอให้ชนชั้นกลางเดิมเอาตัวรอดจากวิกฤตและพลิกผันพัฒนาตนไปเป็นชนชั้นกลางใหม่ ดูเหมือนหลายคนจะยังมองไม่ออกจริงๆ ว่า ระดับของความวิตกกังวลทางสังคมในหมู่ชนชั้นกลางนี้นี้สัมพันธ์มากๆ กับตาข่ายรองรับทางสังคมที่ทำให้การหลุดร่วงไปสู่ความยากลำบากทางเศรษฐกิจหรือความเสี่ยงที่จะตกชนชั้น (risk of downward mobility) ไม่ได้น่ากลัวเท่ากันทุกที่ และในบางสังคมอาจไม่ใช่จุดชี้เป็นชี้ตายของชีวิตตนและครอบครัว
ไม่มีวลีไหนที่อธิบายภาวะฝันสลายของชนชั้นนี้ได้ดีไปกว่าความรู้สึกที่ว่า “ระบบนี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อเราอีกต่อไป”
ผมคิดว่าความเป็น ‘ชนชั้นกลาง’ ของวิกฤตนี้ อาจไม่ใช่เรื่องน้ำหนักของผลกระทบทางเศรษฐกิจ เท่ากับการที่คนไม่น้อยได้ตระหนักเสียทีว่า ชีวิตตัวเองมีโอกาสมากมายเช่นนี้ได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะระบบที่เคยออกแบบมาเพื่อเรา (ส่วนจะ ‘ยอมรับ’ ไหมก็อีกเรื่องหนึ่ง)
ผมเชื่อเหมือนทุกคนว่าคนเราต้องขยับ ต้องปรับ ต้องเปลี่ยน ไม่ว่าอยู่ชนชั้นไหน เราต้องลุก ต้องสู้ ต้องเคี่ยวกรำตัวเองบ้าง อยู่เฉยๆ ในสังคมแบบนี้ก็ยิ่งเสี่ยงจะล้ม และถ้าทุนทางสังคมน้อยไปก็อาจไม่มีวันได้ลุกขึ้นมาใหม่
เพียงแต่ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า ‘ชนชั้นกลางใหม่’ ที่ปรับตัวให้อยู่รอดในระบบเศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนได้จะฝันถึงอะไรบ้าง
พูดในฐานะมนุษย์ผู้รักในการปรับตัว เลเวอเรจ พัฒนาตัวเอง มีรายได้หลายทาง มีวินัยทางการเงิน พอมีสินทรัพย์สร้างความมั่นคงอยู่บ้าง และกำลังทำงานที่สอดคล้องกับคุณค่าและเป้าหมายของชีวิตตามสูตรสำเร็จของชนชั้นกลางใหม่ ผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่า ชนชั้นกลางเหล่านี้ในอนาคตฝันว่าตัวเองจะใช้ชีวิต ‘ร่วมกับคนอื่น’ ในสังคมที่หน้าตาแบบไหน
บางทีต้นตอแห่งวิกฤตของชนชั้นกลางเดิมอาจจะอยู่ในความฝันของการ ‘ทำงานหนัก-เก็บเงิน-ซื้อบ้าน-เกษียณ’ นี้ก็ได้ เพราะฝันแบบนั้นไม่มีใครอื่นอยู่เลย และฝันแบบนั้นไม่ได้สนใจด้วยว่าคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนร่วมสังคมจะตกต่ำย่ำแย่ได้แค่ไหน
สุดท้ายความฝันสลายของชนชั้นกลางเก่าและการเกิดขึ้นของชนชั้นกลางใหม่อาจไม่ได้นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายนัก ถ้าทั้งหมดยังเป็นเรื่องแค่ว่าในที่สุดตัวฉันก็ค้นพบวิธีการใหม่ที่จะหาเงินได้มากพอที่จะมีชีวิตที่ฉันพึงพอใจและส่งต่อมันไปให้ลูกๆ ได้
เป็นไปได้มากๆ ว่า ถ้าเราไม่พัฒนาตัวเองให้คิดและทำไปไกลกว่าตัวเองเสียบ้าง ต่อให้ชนชั้นกลางจะผลัดใบ ฝันของชนชั้นกลางใหม่ก็อาจจะยังเป็นฝันเดิมๆ ที่ไม่ได้มีใครในสังคมนี้อยู่ด้วยเลยสักคน นอกจากฉันและครอบครัวอันแสนสุขสันต์
ผมเกรงว่าต้นทุนของความฝันประเภทนี้มีแต่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ จนชนชั้นกลางใหม่เองก็อาจจะไล่ตามไม่ทันอยู่ดี
เพราะการมีชีวิตส่วนตัวที่สุขสบายท่ามกลางสังคมที่ล่มสลายมีราคาแพงเสมอ