การเมืองในชีวประวัติ ‘ถังซำจั๋ง’

“ในปีที่ยี่สิบ เดือนเจ็ดแห่งคิมหันต์ฤดู งานรจนาสำเร็จลุล่วงจวบสุดสิ้น แม้ถ้อยคำจะครบครันด้วยความพากเพียร แต่เมื่อเทียบกับมาตรฐานแห่งฟ้าดิน ก็ยังห่างไกลนัก การท่องเที่ยวสู่ดินแดนอันห่างไกล ล้วนต้องอาศัยพระบารมีแห่งราชสำนัก และการเรียบเรียงสิ่งพิสดารหลากหลาย ล้วนพึ่งพาพระบุญญาบารมีแห่งองค์พระจักรพรรดิ.”

「二十年秋七月,絕筆殺青;文成油素,塵黷聖鑒,詎稱天規?然則冐遠窮遐,寔資朝化;懷奇纂異,誠賴皇靈。」[1]

พระเปี้ยนจี 辯機

ย่อหน้าข้างต้นคือบทส่งท้ายของพระลูกศิษย์ของพระถังซำจั๋ง นามว่า ‘เปี้ยนจี’ (ค.ศ.619-649)[2] ผู้ทำหน้าที่เรียบเรียง (editor) บันทึกการเดินทางกว่าสองทศวรรษของพระอาจารย์ (author) ของท่าน ทั้งคู่ร่วมกันจัดทำขึ้นเพื่อถวายแด่จักรพรรดิถังไท่จง เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ.646[3] ถือเป็นอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ฉบับสำคัญของนักโบราณคดีตราบเท่าทุกวันนี้  

ทว่ากลับเป็นที่น่าเศร้าสลดใจว่า จากบันทึกประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์ซ่งชื่อ ‘หนังสือราชวงศ์ถังใหม่’ (新唐書[4]) และ ‘หนังสือภาพสะท้อนการปกครอง’ (จือจื้อทงเจี้ยน 資治通鑑[5]) กลับระบุว่าชะตากรรมของพระภิกษุนักอักษรศาสตร์ท่านนี้จบลงด้วยการถูกประหารชีวิตอย่างทารุณในปีสุดท้ายของจักรพรรดิพระองค์นี้ หรือเท่ากับอีก 3 ปีคล้อยหลังจากถวายบทบันทึกการเดินทางของพระอาจารย์ ด้วยข้อหาเชิงชู้สาวกับพระราชธิดานามว่า ‘เกาหยาง’ (高陽公主) 

ถึงแม้จะมีนักวิชาการบางท่านเห็นแย้งว่าเรื่องเหล่านี้เสกสรรปั้นแต่งขึ้นโดยขุนนางฝั่งลัทธิขงจื้อในสมัยราชวงศ์ซ่ง ซึ่งคล้อยหลังจากเหตุการณ์จริงยาวนานถึงสามร้อยปีเศษ แต่กระนั้นโดยมากยังเชื่อว่าเรื่องนี้บังเกิดขึ้นจริง


จักรพรรดิถังไท่จง (ชาตะ ค.ศ.598 ครองราชย์ระหว่าง ค.ศ.626-649)
เสวียนจั้ง ‘พระถังซำจั๋ง’ (ค.ศ.600-664)


ปฐมบท


ปลายปี 2567 สำนักพิมพ์มติชนได้ฟื้นชีพหนังสือ ‘ถังซำจั๋ง จดหมายเหตุการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง’ ผลงานแปลของชิวซูหลุน[6] หลังจากห่างหายไปจากบรรณพิภพร่วม 20 ปี[7] ถึงขนาดวงการหนังสือเก่าซื้อขายกันเสนอราคาค่างวดสูงลิ่ว

การพิมพ์ใหม่ครั้งนี้ผู้เขียนได้รับเกียรติทำบทความพิเศษประกอบ ถ่ายทอดเรื่องราวชีวประวัติพระมหาเถระรูปสำคัญนี้ รวมถึงทบทวนวรรณกรรมตำราพุทธศาสนาจีนในพากย์ไทยไว้จำนวนหนึ่ง[8]


ปก ‘ถังซำจั๋ง’ โดยสำนักพิมพ์มติชน ฉบับล่าสุด พ.ศ.2567


หลังการจัดพิมพ์ครั้งใหม่นี้ อาจารย์นิพนธ์ ศศิภานุเดช แห่งสาขาภาษาจีน คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ อาจารย์สมบัติ มั่งมีสุขศิริ แห่งภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้นำหัวข้อ ‘พระถังซำจั๋ง’ บรรจุเป็นหัวข้อในงาน ‘ศิลป์เสวนา’ ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำของคณะศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์ โดยเชิญผู้เขียนเป็นวิทยากร ร่วมกับอาจารย์เมธี พิทักษ์ธีระธรรม แห่งศูนย์การแปลและวิจัยคัมภีร์พุทธศาสนา Aloko

ในงานเสวนาเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ.2567 นั้น ผู้เขียนเห็นว่ามีประเด็นนอกเหนือจากบทความพิเศษที่ได้ทำไว้แล้วในหนังสือถังซำจั๋ง จึงอยากจะเก็บตกบางแง่มุมมาเล่าไว้ประดับความรู้ในบทความประจำเดือนนี้ (ดูคลิปเสวนาตามลิงก์นี้[9])


โปสเตอร์งาน ‘ศิลป์เสวนา’ วันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ.2567


วรรณกรรมชั้นต้นเพื่อการศึกษาชีวิตพระถังซำจั๋ง


เรื่องราวของ ‘ถังซำจั๋ง’ 唐三藏 อันแปลว่า ‘ตรีปิฎกจารย์’ หรือสมณะฉายา ‘เสวียนจั้ง’ 玄奘 สามารถศึกษาได้จากหนังสือสมัยราชวงศ์ถังทั้งสิ้น 3 เล่ม (2 ฉบับในนั้นได้รับการถ่ายทอดเป็นภาษาไทยแล้ว) ได้แก่

1.ฉบับ大唐大慈恩寺三藏法師傳[10] คำนำโดยพระเยี่ยนฉงระบุวันที่ 20 เมษายน ค.ศ.688 นายเค็งเหลียน สีบุญเรือง ได้แปลไว้ในชื่อเล่มตรงตัวว่า ‘ประวัติท่านติปิฎกธโร ณ มหาการุณยาราม สมัยราชวงศ์ถังมหาราช’[11] ด้วยการทับศัพท์ชื่อบุคคลในสำนวนแต้จิ๋ว

หนังสือเล่มนี้แต่งโดย พระฮุยลิบ (จีนกลาง ‘ฮุ่ยลี่’ 慧立[12] ค.ศ.615-677[13]) 5 บรรพแรก บรรยายถึงชีวิตนับแต่เกิดจนเดินทางไปและกลับจากอินเดีย อีกครึ่งหลังของเล่มนี้ พระงั่นจง (จีนกลาง ‘เยี่ยนฉง’ 彥悰ไม่ทราบปีชาตะและมรณะ[14]) ช่วยเรียบเรียงเสริมต่อจากนั้นอีก 5 บรรพหลัง เนื้อหาคือส่วนต่อหลังจากพระถังซำจั๋งเดินทางถึงเมืองจีนแล้วจวบจนถึงมรณะกาล

ฉบับนี้สามารถเรียกให้ย่นย่อลงได้ว่า ‘慈恩傳’ (ฉือเอินจ้วน) หนังสือเล่มนี้แปลและตีพิมพ์เป็นภาษาไทยครั้งแรกในอนุสรณ์งานศพของผู้แปล คือนายเค็งเหลียน เมื่อ พ.ศ.2484 เฉพาะเล่มนี้ เสถียร โพธินันทะ ผู้เชี่ยวชาญพระพุทธศาสนาชื่อก้องเคยดื่มด่ำถึงขนาดบังคับให้สุชีพ ปุญญานุภาพ ขณะยังอยู่ในสมณเพศนั่งฟังเฉยๆ โดยเจ้าตัวอ่านตลอดเล่มเมื่อแรกเริ่มรู้จักกันเลยทีเดียว!

ฉบับแปลไทยครั้งแรกนี้ นายเคงเหลียนได้ตรวจสอบฉบับแปลภาษาอังกฤษของ Samuel Beal ร่วมกับต้นฉบับภาษาจีน ต่อมาใน พ.ศ.2505 เจ้าของนามปากกา ‘รัตนบุรี’ เรียบเรียงจากต้นฉบับนี้อีกครั้งด้วยสำนวนแตกต่างกันไป ให้ชื่อหนังสือว่า ‘ถังซำจั๋ง (พระภิกษุสวนจาง)โดย ฮุ่ยลี่’ จัดจำหน่ายโดยสำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์

2.ฉบับ 大唐西域記 จัดพิมพ์ถวายจักรพรรดิถังไท่จงเมื่อ ค.ศ.646 แปลไทยโดย ชิวซูหลุน ชื่อว่า ‘จดหมายเหตุการณ์เดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง’ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มติชนจำนวน 3 ครั้ง คือ พ.ศ.2547 พ.ศ.2549 และครั้งล่าสุด พ.ศ.2567 ที่ผู้เขียนได้ทำบทความพิเศษไว้ดังเกริ่นไว้ข้างต้น

หนังสือเล่มนี้พระถังซำจั๋งได้ให้ลูกศิษย์ชื่อพระเปี้ยนจี ช่วยเรียบเรียงตามคำบอกเล่าในรูปแบบบันทึกการเดินทาง (Travelogue) ทั้งนี้ในบทปิดท้ายเล่ม ลูกศิษย์ท่านนี้ได้เขียนสังเขปประวัติส่วนตัวของตัวเขาไว้ด้วย แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ในฉบับภาษาไทยอาจารย์ชิวซูหลุนไม่ได้แปลส่วนนี้ไว้[15]

3.ฉบับ 續高僧傳 ‘ชีวประวัติพระมหาเถระ ภาคต่อ’ โดย พระเต้าเซวียน (道宣 ค.ศ.596-667) หนังสือฉบับนี้รวบรวมชีวประวัติพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาจีนนับจากอดีตทั้งสิ้นจำนวน 331 รูป หนึ่งในนั้นคือเสวียนจั้ง หรือ ‘พระถังซำจั๋ง’ ผู้ประพันธ์ยังเป็นส่วนหนึ่งของคณะแปลคัมภีร์ของพระถังซำจั๋งด้วย[16]

ชีวประวัติฉบับนี้ยังไม่เคยได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษและไทยอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีนักวิชาการต่างประเทศใช้ AI ในการช่วยแปลเป็นภาษาอังกฤษดังสามารถโหลดอ่านได้ดังลิงก์นี้[17]

ปกประวัติพระถังซัมจั๋ง โดย นายเค็งเหลียน สีบุญเรือง
ปก ‘ถังซำจั๋ง’ โดย รัตนบุรี
ปก ‘ถังซำจั๋ง’ ฉบับพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์มติชน พ.ศ.2547


จากต้นฉบับทั้ง 3 ฉบับ พอจะฉายภาพชีวประวัติของพระมหาเถระรูปสำคัญนี้ได้ 3 ช่วงจังหวะชีวิตดังต่อไปนี้

ปฐมวัย ก่อนเดินทางไปอินเดีย (ค.ศ.602?-629)

พระถังซำจั๋ง (唐三藏) หรือ ‘พระตรีปิฎกแห่งราชวงศ์ถัง’ เกิดในตระกูลเฉิน ณ เมืองลั่วหยาง ปลายราชวงศ์สุย ราวปี ค.ศ.600 หรือบ้างก็ว่า ค.ศ.602 (พ.ศ.1143) เมื่ออายุ 5 ขวบ มารดาของท่านเสียชีวิต พี่ชายซึ่งเป็นพระสงฆ์จึงทำหน้าที่อุปการะต่อ

เมื่ออายุ 13 ปีได้เข้าบรรพชารับสมณะฉายาว่า ‘เสวียนจั้ง’ (玄奘) และอุปสมบทที่วัดคงฮุ่ย เมืองเฉิงตูในราว ค.ศ.620 (พ.ศ.1163) ด้วยความใส่ใจในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง ท่านมุ่งหวังจะศึกษาคำสอนจากแหล่งกำเนิด จึงเริ่มออกเดินทางนับแต่ ค.ศ.627 หรือบ้างก็ว่า ค.ศ.629 (พ.ศ.1170) ผ่านดินแดนตะวันตกด้วยการเดินเท้า ท่ามกลางอุปสรรคมากมาย รวมถึงการลักลอบผ่านด่านที่ไม่ได้รับอนุญาตจากทางการจีน

มัชฌิมวัย การเดินทางสู่อินเดียเพื่อศึกษาพระคัมภีร์ (ค.ศ.629-645)

พระเสวียนจั้งเดินทางถึงมหาวิทยาลัยนาลันทาใน ค.ศ.631 (พ.ศ.1174) เข้ารับการศึกษาภายใต้การสอนของปรมาจารย์ศีลภัทร ระหว่างนี้ได้เดินทางไปยังแว่นแคว้นต่างๆ ในอินเดียเพื่อแสวงหาความรู้เพิ่มเติม และเข้าร่วมการสนทนาธรรมจนมีชื่อเสียงเลื่องลือ

พระเสวียนจั้งเชี่ยวชาญคำสอนทั้งฝ่ายสาวกยานและมหายาน โดยเฉพาะนิกายโยคาจารและมาธยมิก ระหว่างการเดินทางกลับประเทศจีน พระเจ้าศิลาทิตย์ทรงอุปถัมภ์ให้อย่างสมเกียรติ พร้อมบรรทุกคัมภีร์ 657 ปกรณ์ พระบรมสารีริกธาตุ และสิ่งของสำคัญอื่นๆ ท่านกลับถึงมหานครฉางอานใน ค.ศ.645 (พ.ศ.1188) รวมการเดินทางไปกลับทั้งสิ้นเกือบสองทศวรรษ


ปัจฉิมวัย การแปลคัมภีร์และผลงาน (ค.ศ.646-664)

เมื่อกลับถึงจีน พระถังซำจั๋งถวาย ‘จดหมายเหตุการณ์เดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง’ (大唐西域記) ตามคำขอของจักรพรรดิถังไท่จงในปี ค.ศ.646 (พ.ศ.1189) งานนี้รวบรวมประวัติการเดินทางผ่าน 138 แคว้น เป็นข้อมูลสำคัญด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ นับจากนั้นอุทิศตนแปลคัมภีร์พระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมากด้วยการอุปถัมภ์จากราชสำนัก

พระถังซำจั๋งมรณภาพใน ค.ศ.664 (พ.ศ.1207) ทิ้งมรดกสำคัญทั้งด้านศาสนาและวิชาการไว้ให้ชนรุ่นหลังศึกษาจำนวนมหาศาล


ภาพวาดพระถังซำจั๋ง ในถ้ำตุนหวง


การเมืองในหนังสือชีวประวัติ ‘ถังซำจั๋ง’


ชีวประวัติของพระถังซำจั๋งจากต้นฉบับทั้ง 3 นี้ แวดวงวิชาการต่างประเทศได้นำเสนอแง่มุมไว้อย่างหลากหลาย ในงานศิลป์เสวนาที่ผ่านมาของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปรากฏ 2 ประเด็นการเมืองเบื้องหลังประวัติของพระมหาเถรถรูปสำคัญนี้อยู่ 2 ประเด็นที่ดูลึกลับซ่อนเงื่อน จนเห็นสมควรแก่การนำมาเสนอเป็นพิเศษในบทความนี้

หนึ่ง ราชภัยของบันทึกท่องดินแดนตะวันตก

อาจารย์เมธีได้เสนอความเห็นที่อ้างอิงจากนักวิชาการชื่อดังชาวญี่ปุ่น อาจารย์โชชิน คุวายามะ (桑山正進 Kuwayama Shōshin ชาตะ ค.ศ.1938)[18] ไว้อย่างน่าสนใจต่อประเด็นนี้ โดยกล่าวถึงฉบับของพระฮุ่ยลี่และเยี่ยนฉง (ค.ศ.688) ซึ่งเล่ากันว่าภายหลังท่านพระฮุ่ยลี่แต่งจบไปแล้ว 5 บรรพแรก ได้นำไปฝังไว้ในถ้ำ จนกระทั่งเมื่อใกล้มรณภาพจึงขุดต้นฉบับกลับมาพยายามเรียบเรียงใหม่ แต่ถึงแก่มรณภาพเสียก่อน จนในเวลาต่อมาพระเยี่ยนฉงได้รับหน้าที่ต่อ พร้อมแต่งเพิ่มเสริมต่ออีก 5 บรรพดังว่า กระทั่งเสร็จสิ้นลงเผยแพร่ครั้งแรกใน ค.ศ.688 หรือหลังจากบันทึกจดหมายเหตุการเดินทางฯ ฉบับถวายฮ่องเต้ล่วงแล้วถึง 42 ปี และหลังพระถังซำจั๋งมรณภาพแล้วกว่า 24 ปี ซึ่งก็ล่วงเข้ายุคสมัยเรืองอำนาจของพระนางบูเช็คเทียน

ความเคลือบแคลงน่าสงสัยบังเกิดขึ้นว่า ไฉนภายหลังจากเขียนไป 5 บรรพขณะเนื้อหาดำเนินมาถึงตอนพระถังซำจั๋งเดินทางกลับมาถึงมหานครฉางอานแล้ว พระฮุ่ยลี่จึงจำยุติลงจนต้องนำไปฝังดิน? หนึ่งในคำตอบคือทฤษฎีความเกรงกลัวต่อราชภัย เนื่องด้วยก่อนหน้านั้นใน ค.ศ.649 พระเปี้ยนจีเพิ่งถูกราชทัณฑ์ประหารชีวิตปลิดชีพไปอย่างโหดเหี้ยม ความข้อนี้ต้องย้อนความถึงเรื่องการเขียนบันทึกเดินทางของพระถังซำจั๋งเพื่อนำขึ้นถวายแด่ฮ่องเต้ถังไท่จงแทบจะทันทีที่ก้าวเข้าสู่มาตุภูมิเมื่อ ค.ศ.645 กล่าวคือได้ส่งมอบในปีถัดมาเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ.646 ตามพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิที่ต้องการใช้บันทึกการเดินทางนี้เพื่อยุทธศาสตร์การทหารด้านทิศตะวันตก

นักวิชาการหลายท่านมองว่าการสนับสนุนพุทธศาสนาโดยจักรพรรดิสมัยนั้นอาจเป็นเพียงกลยุทธ์ทางการเมือง มากกว่าจะเป็นความศรัทธาที่แท้จริง[19] แหล่งข้อมูลนอกพระพุทธศาสนาแสดงภาพจักรพรรดิถังไท่จงว่าทรงไม่ถึงกับโปรดปรานพุทธศาสนาดังที่เล่าขาน แต่ต้องสนับสนุนเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง พระองค์อาจชื่นชมพระถังซำจั๋งส่วนตัวหรือสนใจความรู้เรื่องพรมแดนตะวันตก แต่ไม่น่าเชื่อว่าพระองค์จะเห็นด้วยกับภารกิจของพระถังซำจั๋งถึงขนาดเปี่ยมพระราชศรัทธามานับถือพระพุทธศาสนาในวาระสุดท้าย[20]

ถึงแม้ว่าจักรพรรดิไท่จงจะพยายามโน้มน้าวให้พระถังซำจั๋งลาสิกขาออกมาช่วยเหลือราชการเป็นที่ปรึกษา เนื่องจากมีความรู้ทางภูมิประเทศแถบตะวันตกเป็นอย่างดี อีกทั้งถึงขนาดเคยชักชวนพระถังซำจั๋งร่วมเดินทางไปดูการรบยังฝั่งตะวันออกที่คาบสมุทรเกาหลี แต่ใดๆ ล้วนถูกพระถังซำจั๋งปฏิเสธกลับมา การเขียนบันทึกการเดินทางฯ จึงเหมือนเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่เหมาะสม เพราะพระถังซำจั๋งเองก็ต้องการรับการอุปถัมภ์โครงการแปลพระคัมภีร์จำนวนมากที่นำกลับมาจากอินเดีย ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาล ทั้งปัจจัยไทยธรรมและทรัพยากรบุคคล และต้องไม่ลืมว่าในเบื้องต้นพระถังซำจั๋งเป็นฝ่ายเริ่มต้นแนะนำตัวต่อจักรพรรดิถังไท่จงผ่านจดหมายก่อนย่างเข้ามหานครฉางอาน

อย่างไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตว่าบันทึกการเดินทางนี้ อาจมีความเป็นไปได้ว่าฉบับที่นำขึ้นถวายกับฉบับที่เผยแพร่สู่สาธารณะมีรายละเอียดแตกต่างกัน[21] อาจารย์คุวายามะเองก็เชื่อเช่นนั้น เพราะหากพิจารณาจุดประสงค์ของจักรพรรดิถังไท่จงต่ออักขรานุกรมภูมิศาสตร์นี้ในเรื่องการขยายอาณาจักรแผ่เข้าเอเชียกลาง สัดส่วนเรื่องราวของดินแดนแถบนี้กลับปรากฏในฉบับเผยแพร่สาธารณะอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับดินแดนที่ลึกไปกว่านั้นจนถึงอินเดีย ซึ่งดูไม่น่าจะมีประโยชน์เชิงการทหารมากมายอย่างที่ประเมินไว้นัก

ยิ่งเมื่อเทียบกับฉบับของพระฮุ่ยลี่ด้วยแล้ว จะพบว่าข้อมูลแตกต่างกันพอสมควร เช่น เมืองเกาชาง และเมืองซูยับ ในบันทึกการเดินทางฯ ไม่พูดถึงเมืองเกาชางเลย และเมืองซูยับก็พูดถึงแต่เพียงเล็กน้อย ด้านฉบับของพระฮุ่ยลี่กลับเขียนถึงสองเมืองนี้อย่างลงรายละเอียด จึงเชื่อค่อนข้างแน่ว่าฉบับที่ถวายแด่องค์พระจักรพรรดิต้องมีความพิสดารต่อการทหารมากกว่าฉบับที่เผยแพร่สู่สาธารณชนทั่วไป

ด้านกรณีคำสั่งประหารพระเปี้ยนจี ลูกศิษย์พระถังซำจั๋งผู้ช่วยเรียบเรียงบันทึกการเดินทางนั้น อาจารย์เมธียังถ่ายทอดไว้ในงานเสวนานี้ว่า อาจารย์ญี่ปุ่นท่านนี้ไม่เชื่อว่าพระเปี้ยนจีจะมีเวลามากพอมายุ่งกับเรื่องชู้สาว ด้วยต้องรับผิดชอบงานพระคัมภีร์มากถึง 4 ใน 7 เล่มในช่วงต้น โดยเฉพาะงานแปลโยคาจารภูมิ ผลงานขนาดใหญ่ชิ้นสำคัญ ทั้งยังเสนอว่าองค์พระจักรพรรดิคงจงใจเก็บพระเปี้ยนจี เนื่องจากเกรงความลับทางทหารรั่วไหลออกไป

คดีความนี้คาดว่าเกิดขึ้นจริง เพราะหลัง ค.ศ.649 ชื่อของพระเปี้ยนจีก็หายไปจากผลงานของคณะแปลคัมภีร์ ในแง่นี้มีข้อมูลแย้งว่ายังคงปรากฏชื่อของพระรูปนี้ในงานแปลคัมภีร์ชื่อว่า 本事經 ซึ่งตีพิมพ์ใน ค.ศ.650 หรือหนึ่งปีหลังกรณีดังกล่าว ด้านองค์หญิงเกาหยาง高陽公主[22] แต่งงานกับฝางหยีอ้าย 房遗爱[23] บุตรชาย ฝางเสวียนหลิง 房玄齡(ค.ศ.579-648[24])ขุนนางคนสนิทของจักรพรรดิถังไท่จง สามีภริยาคู่นี้หลังสิ้นรัชสมัยของจักรพรรดิถังไท่จงถูกตั้งข้อหากบฏขึ้นในรัชสมัยจักรพรรดิถังเกาจงเมื่อ ค.ศ.653 ฝ่ายสามีถูกประหารชีวิต ส่วนชีวิตของพระองค์หญิงก็จบลงด้วยโศกนาฏกรรมเมื่อถูกบัญชาให้กระทำอัตวินิบาตกรรม

ดังนั้น อาจารย์คุวายามะจึงเชื่อว่า เป็นไปได้ที่เมื่อพระฮุ่ยลี่รับทราบถึงชะตากรรมของพระร่วมคณะ จะรู้สึกหวั่นเกรงราชภัยมาสู่ตน เนื่องจากหนังสือที่กำลังเขียนมีเรื่องเกี่ยวกับดินแดนตะวันตกไม่น้อย จึงเลือกยุติโครงการนี้ทั้งหมด แล้วนำไปฝังกลบทิ้ง

ด้านอาจารย์เมธีก็แสดงทัศนะส่วนตัวอีกแง่หนึ่งว่า เหตุที่พระถังซำจั๋งมิได้เขียนถึงเมืองเกาชาง เพราะขณะนั้นเมืองเกาชางได้ตกเป็นอาณานิคมของจีนแล้ว กระนั้นทั้งเมืองเกาชางและเมืองซูยับ (ปัจจุบันคีร์กีซสถาน) ในช่วงต้นแห่งการเดินทางล้วนแสดงไมตรีจิตรอันดีต่อพระถังซำจั๋ง ทั้งเกื้อกูลอำนวยความสะดวกต่อการกรุยทางสู่อินเดียไว้อย่างมาก จึงอาจจะเลี่ยงเขียนลึกลงรายละเอียด เพราะเกรงจะถูกรุกรานจากกองทัพราชวงศ์ถัง และต่อเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างองค์หญิงเกาหยางกับพระเปี้ยนจีก็ไม่ถึงกับไม่มีมูลดังอาจารย์ญี่ปุ่นว่าไปเสียทั้งหมด เพราะเรื่องความรักความใคร่ไม่เข้าใครออกใคร “คาดเดาได้ยาก”

ทุกวันนี้ชีวประวัติฉบับพระฮุ่ยลี่และพระเยี่ยนฉงยังนับเป็นเอกสารอ้างอิงมากที่สุดเมื่อเอ่ยถึงพระถังซำจั๋ง แต่สำหรับวงวิชาการมักเกิดข้อวิจารณ์ว่าเป็นแหล่งที่ไม่ควรแยกพิจารณาโดยขาดบริบทเปรียบเทียบกับแหล่งอื่น​ ดังเช่นว่าความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดิถังไท่จงกับพระถังซำจั๋งก็แลดูจะใกล้ชิดเกินจริงไปในฉบับนี้ ซึ่งไม่ได้รับการยืนยันจากแหล่งประวัติศาสตร์ทางราชสำนัก ขณะที่งานของพระเต้าเซวียนกลับถูกมองว่าน่าเชื่อถือได้มากกว่า เนื่องจากเขียนในช่วงที่ถังซำจั๋งยังมีชีวิตอยู่ โดยไม่พยายามขยายภาพลักษณ์ของพระถังซำจั๋งให้เกินจริงจนล้นเกิน ซึ่งนำมาสู่ประเด็นต่อไป


หนังสือ From Chang’an to Nālandā : The Life and Legacy of the Chinese Buddhist Monk Xuanzang (602?-664) แสดงแผนผังการเดินทางบนหน้าปก


สอง ชีวประวัติถังซำจั๋งในฐานะเครื่องมือปลุกเร้าพุทธศาสนาของพระนางบูเช็คเทียน

ตามประวัติศาสตร์ พระนางบูเช็คเทียน 武則天 (ค.ศ.627-705) มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนพระพุทธศาสนาเหนือลัทธิความเชื่ออื่นๆ ฉะนั้นในบริบท ค.ศ. 688 ซึ่งชีวประวัติของพระถังซำจั๋งถูกเรียบเรียงขึ้นใหม่นี้ ย่อมส่งเสริมภาพลักษณ์ของพระนางในฐานะอุปัฐายิกาของพระพุทธศาสนา

หนังสือนี้เรียบเรียงขึ้นโดยพระเยี่ยนฉง จากการได้นำผลงานต้นฉบับของพระฮุ่ยลี่มาปรับปรุงขยายความให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในยุคนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อส่งเสริมความสำคัญของคัมภีร์ ‘โยคาจารภูมิ’ (Yogācārabhūmi) และสร้างความสัมพันธ์เชิงศาสนากับอำนาจของพระนางบูเช็คเทียน พระเยี่ยนฉงได้ดัดแปลงประวัติของพระถังซำจั๋งในลักษณะเพิ่มการยกย่องเกียรติยศ และเชื่อมโยงกับการสนับสนุนจากราชสำนัก งานเขียนนี้จึงเลี่ยงมิได้ที่จะถูกสันนิษฐานว่าเป็นเครื่องมือเชิงการเมือง ช่วยเพิ่มความชอบธรรมให้พระนางบูเช็คเทียนในฐานะผู้ปกครองสตรี

เมื่อเทียบเคียงกับชีวประวัติของพระถังซำจั๋งกับฉบับพระเต้าเซวียนด้วยแล้ว ฉบับนี้กลับมีลักษณะการนำเสนอตรงไปตรงมาและอิงข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์มากกว่าของพระเยี่ยนฉงที่ออกจะดูคล้อยไปทาง ‘กฤษดาภินิหารนิพนธ์’ Hagiography มิพักต้องเอ่ยถึงว่าพระเต้าเซวียนเริ่มเขียนชีวประวัติตั้งแต่ช่วงที่พระถังซำจั๋งยังดำรงชีวิตอยู่ (ประมาณ ค.ศ. 646-649) ทำให้รายละเอียดหลายส่วน เช่น การเดินทางไปอินเดีย การเรียนรู้ภาษา และการปฏิสัมพันธ์กับบุคคลในต่างแดน ล้วนถูกถ่ายทอดด้วยมุมมองที่สมจริงและปราศจากการปรุงแต่งมากเกิน

ในขณะที่ฉบับของพระเยี่ยนฉงที่เรียบเรียงในปี ค.ศ. 688 เน้นเสริมเกียรติยศของพระถังซำจั๋งในฐานะตัวแทนของพุทธมหายาน และเพิ่มรายละเอียดเหนือจริง แม้แต่เรื่องการผจญผภัยข้ามทะเลทรายโดยลำพังจนสามารถหลีกเลี่ยงอันตรายด้วยปาฏิหาริย์ ก็แตกต่างอย่างมากจากข้อสันนิษฐานที่ว่าพระถังซำจั๋งน่าจะได้ร่วมเดินทางกับกองคาราวานพ่อค้า รวมถึงได้รับความช่วยเหลือจากชาวบ้านตามรายทาง [25]

จุดเน้นอีกประการ คือฉบับของพระเยี่ยนฉง (ค.ศ.688) ปรากฏการสร้างภาพว่าจักรพรรดิถังไท่จงมีความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งในบั้นปลายชีวิต ขณะที่พระเต้าเซวียนไม่ได้เน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดในเชิงศาสนาระหว่างจักรพรรดิและพระถังซำจั๋งมากมายเท่า แต่กลับน้อมน้าวไปในการนำเสนอความสำเร็จของพระถังซำจั๋งในฐานะพระนักปราชญ์นักแปลคัมภีร์รูปสำคัญ และบทบาทของท่านในฐานะนักแสวงบุญผู้ยึดมั่นต่อเป้าหมายทางวิชาการและศาสนา​


จักรพรรดินี ‘บูเช็คเทียน’ (พ.ศ.627-705)


อาจจะพอสามารถนิยามฉบับของพระฮุ่ยลี่และเยี่ยนฉง มีความเป็น Hagiography ค่อนข้างมาก ส่วนจดหมายเหตุแห่งการเดินทางฯ คือ Autobiography และฉบับของพระเต้าเซวียนเข้าข่าย Biography


ปัจฉิมบท


ปี 2025 นี้นับว่าเข้าใกล้ 1,400 ปีแห่งการเริ่มออกเดินทางของพระถังซำจั๋ง (หากนับ ค.ศ.627 ก็จะขาดอีกเพียง 2 ปี) ด้วยลักษณะสังคมจีนที่อุดมไปด้วยลายลักษณ์การจดบันทึกจำนวนมหาศาล เฉพาะเรื่องราวของพระตรีปิฎกาจารย์ ถังซำจั๋ง หากมองผ่านสายตาพุทธศาสนิกชน ย่อมต้องมีฉันทาคติซาบซึ้งไปกับบันทึกเรื่องเล่าตามกระแสหลักถึงพระราชศรัทธาอันแรงกล้าของจักรพรรดิถังไท่จงต่อพระพุทธศาสนา

แน่นอนว่าด้วยข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ พระองค์ทรงสนับสนุนงานแปลพระคัมภีร์ที่อัญเชิญมาจากอินเดียอย่างจริงจังแข็งขัน ในระดับทรงมีพระราชสาสน์ยกย่องพระถังซำจั๋งชื่อว่า ‘คำนำแห่งคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์ของพระไตรปิฎกในราชวงศ์ถัง’[26] 大唐三藏聖教序[27] ดังปรากฏคำยกย่องพระถังซำจั๋งท่อนหนึ่งว่า

“有玄奘法師者,法門之領袖也。…萬里山川,撥煙霞而進影;百重寒暑,躡霜雨而前蹤。誠重勞輕,求深願達,周遊西宇,十有七年。”

แปลว่า

“ปรากฏเสวียนจั้งภิกษุผู้นำประตูธรรม …ท่านข้ามภูเขาและแม่น้ำกว่าหมื่นลี้ ฝ่าม่านหมอกควันเพื่อมุ่งหน้าต่อไป; และผ่านฤดูกาลทั้งร้อยครั้ง ด้วยความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปข้างหน้า ความเหน็ดเหนื่อยของท่านกลับดูเบาบาง เมื่อเทียบกับความมุ่งหมายอันลึกซึ้งของท่าน ท่านเดินทางทั่วดินแดนทางตะวันตกถึง 17 ปี”

กระนั้นการพกพาข้อสงสัยของนักประวัติศาสตร์ต่อเบื้องหลังหลักฐานชั้นต้นเหล่านี้พึงเข้าใจได้ ปริศนาต่างๆ ไม่ว่าจะว่าด้วย “บันทึกการเดินทางมีกี่เวอร์ชั่น?” “การสั่งประหารชีวิตผู้ร่วมจัดสร้างบันทึกสำคัญชิ้นนี้ในปลายรัชสมัยมีมูลไหม ด้วยสาเหตุอันใดแน่?” “เหตุใดพระฮุ่ยลี่ต้องนำชีวประวัติที่เขียนไว้ไปฝังดิน ใช่เพราะหวั่นเกรงต่อราชภัยหรือไม่?” รวมถึงว่า “การฟื้นฟูชีวประวัติพระถังซำจั๋งนับเป็นหนึ่งในนโยบายทางการเมืองเชิงรัฐประศาสนศาสตร์ของจักรพรรดินีบูเช็คเทียน?” ฯลฯ 

คำถามทั้งหมดทั้งมวลนี้ย่อมมิใช่เป็นไปเพื่อลดทอนสถานภาพของพระมหาเถระรูปสำคัญแห่งราชวงศ์ถังผู้นี้ แน่นอนว่าชื่อเสียงของพระถังซำจั๋งนอกจากจะปรากฏการสร้างคุณูปการต่อแวดวงพระพุทธศาสนาในจีน ยังคงต้องจารึกไว้ในฐานะบุคคลสำคัญระดับโลก แต่เพราะไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ในแง่ของการเป็นนักประวัติศาสตร์ การยืนบนหลักการวิเคราะห์หลักฐานชั้นต้นเช่นนี้นับว่าช่วยเสริมสร้างมุมมองใหม่ให้กับวิธีวิทยาการตีความพุทธศาสนาที่ส่งผลกระทบซึ่งกันและกันของศาสนจักรและอาณาจักรตลอดระยะตั้งต้นของราชวงศ์ถัง อันมักเอ่ยอ้างว่าเป็นสมัยยุคทองเรืองรองถึงขีดสุดของพระพุทธศาสนา ท่ามกลางวิถีความขัดแย้งระหว่าง ‘พุทธ’ ‘ขงจื้อ’ และ ‘เต๋า’ ที่ดำเนินไปอยู่เนืองนิตย์ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของประเทศจีน

ในงานเสวนาออนไลน์นี้ยังมีเกร็ดเรื่องราวอีกมากมายของพระถังซำจั๋งในฐานะบุคคลจริงในประวัติศาสตร์ และ ‘ไซอิ๋ว’ หรือการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของพระมหาเถระที่ต่อมาวิวัฒนาการปรุงแต่งเป็นนวนิยายยอดนิยมสมัยราชวงศ์ ผู้ที่สนใจเพิ่มเติมสามารถย้อนกลับไปฟังได้ในลิงก์ที่ให้ไว้แล้ว พร้อมกับการหาหนังสือ ‘ถังซำจั๋ง’ มาอ่านประกอบเพื่อเพิ่มพูนรายละเอียดให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น


ประติมากรรม ‘ถังซำจั๋ง’ หน้าเจดีย์ห่านป่าใหญ่ วัดฉือเอิน เมืองซีอาน (ภาพโดย นริศ จรัสจรรยาวงศ์)




[1] 大唐西域記 卷第十二 Taisho 51 No.2087 https://cbetaonline.dila.edu.tw/zh/T51n2087_012

[2] 辯機(Biàn Jī)ภาษาอังกฤษ ดู https://en.wikipedia.org/wiki/Bianji และ ดู https://zh.wikipedia.org/zh-hk/辯機

[3] Takata Tokio, On the Emendation of the Datang Xiyuji duing Gaozong’s Reign An Examination Based on Ancient Japanese Manuscripts,  Studies in Chinese Manuscripts: From The Warring States Period to The 20th Century, Institute of East Asian Studies, Eötvös Loránd University Budapest 2013,  p.49-58.

[4] 新唐書 卷096  ดูต้นฉบับ  https://zh.wikisource.org/wiki/新唐書/卷096    “與浮屠辯機亂,帝怒,斬浮屠,殺奴婢數十人,主怨望,” แปลเป็นไทยว่า “องค์หญิงมีความสัมพันธ์นอกสมรสกับพระภิกษุ เปี้ยนจี (辯機) เมื่อจักรพรรดิทรงทราบเรื่อง จึงทรงพิโรธและสั่งประหารชีวิตเปี้ยนจี พร้อมทั้งฆ่าทาสและนางรับใช้จำนวนหลายสิบคน องค์หญิงจึงเก็บความแค้นใจไว้”

[5] 資治通鑑 卷199 ดูต้นฉบับ https://zh.wikisource.org/zh-hans/資治通鑑/卷199  “會御史劾盜,得浮屠辯機寶枕,雲主所賜。主與辯機私通,餉遺億計,更以二女子侍遺愛。太宗怒,腰斬辯機,殺奴婢十餘人;主益怨望,太宗崩,無戚容。” แปลเป็นไทยว่า “ในขณะเดียวกัน มีคดีที่เกี่ยวข้องกับการโจรกรรม ขุนนางผู้ตรวจการพบเบาะแสเป็นหมอนอันล้ำค่าของ เปี้ยนจี (辯機) ซึ่งเป็นสมบัติที่เจ้าหญิงทรงประทานให้ ข้อเท็จจริงนี้เผยว่าเจ้าหญิงมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเปี้ยนจี และทรงมอบของมีค่าให้อย่างมากมาย อีกทั้งยังส่งหญิงรับใช้สองคนให้ฟางอี๋อ้าย เมื่อจักรพรรดิถังไท่จงทรงทราบเรื่อง ทรงพิโรธอย่างยิ่งและมีพระบัญชาให้ประหารชีวิตเปี้ยนจีด้วยการประหารกลางลำตัว และสังหารทาสชายหญิงอีกสิบกว่าคน เจ้าหญิงเก็บความโกรธเคืองนี้ไว้ในพระทัย และเมื่อจักรพรรดิสิ้นพระชนม์ เจ้าหญิงมิได้แสดงความโศกเศร้าอย่างสมควร”

[6] ชิวซูหลุน (แปล), ถังซำจั๋ง จดหมายเหตุการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง, พิมพ์ครั้งที่ 3 พ.ศ.2567. (มติชน).

[7] “นริศ เปิดเบื้องหลัง ‘ถังซำจั๋ง’ ขาดตลาด 20 ปี แย้มปริศนาพระไสยาสน์ที่สาบสูญ” ดู https://www.matichon.co.th/prachachuen/book/news_4848122  และ ดูคลิปเสวนา https://www.facebook.com/matichonbook/videos/832489628771212

[8] นริศ จรัสจรรยาวงศ์ (บทความพิเศษ), พระถังซำจั๋ง ”เสวียนจั้ง” (พ.ศ.1143-1207), ถังซำจั๋ง จดหมายเหตุการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง, พิมพ์ครั้งที่ 3 พ.ศ.2567, (มติชน), น.588-623. และ ดู https://www.youtube.com/watch?v=VmA1EuaDwuo&t=2s

[9] ศิลป์เสวนา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หัวข้อ “ถังซัมจั๋ง และ ต้าถังซีอวี้จี้” วันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ.2567 ดู https://www.facebook.com/watch/live/?ref=watch_permalink&v=1290455458760376

[10] Taisho Tripitaka Volume 50, No. 2053 ดู https://cbetaonline.dila.edu.tw/zh/T2053   และ https://zh.wikipedia.org/wiki/大慈恩寺三藏法師傳

[11] เค็งเหลียน สีบุญเรือง, ประวัติพระถังซัมจั๋ง พิมพ์เป็นที่ระลึกในการฌาปนกิจศพ นายเค็งเหลียน สีบุญเรือง ณ วัดเทพศิรินทราวาส 27 เมษายน พ.ศ.2484, น.6.

[12] 慧立(Huìlì) ดู https://authority.dila.edu.tw/person/?fromInner=A001194

[13] Jeffrey Kotyk, Chinese State and Buddhist Historical Sources on Xuanzang, T’oung Pao, 2019, Vol” 105, Fasc. 5/6 (2019), p.513.

[14] 彥悰 (Yàncóng) https://authority.dila.edu.tw/person/?fromInner=A000827

[15] ดูต้นฉบับส่วนที่ไม่ได้แปลนี้ได้ในจุดเชื่อมต่อนี้ https://cbetaonline.dila.edu.tw/zh/T51n2087_012

[16] 道宣 (Dàoxuān) https://en.wikipedia.org/wiki/Daoxuan และภาษาจีน https://authority.dila.edu.tw/person/?fromInner=A001194

[17] Jayarava Attwood, Daoxuan’s Biography of Xuanzang ดู https://www.academia.edu/122800220/Daoxuans_Biography_of_Xuanzang

[18] Shōshin Kuwayama ดู https://en.wikipedia.org/wiki/Shōshin_Kuwayama  

[19] Guo Wu, Context and Text: Historicizing Xuanzang and the Da Tang Xiyu Ji, From Chang’an to Nālandā : The Life and Legacy of the Chinese Buddhist Monk Xuanzang (602?-664), p.314.

[20] Jeffrey Kotyk, Chinese State and Buddhist Historical Sources on Xuanzang, T’oung Pao, 2019, Vol” 105, Fasc. 5/6 (2019), p.532-535.  

[21] Takata Tokio, On the Emendation of the Datang Xiyuji duing Gaozong’s Reign An Examination Based on Ancient Japanese Manuscripts,  Studies in Chinese Manuscripts: From The Warring States Period to The 20th Century, Institute of East Asian Studies, Eötvös Loránd University Budapest 2013,  P.57-58.

[22] Princess Gaoyang https://en.wikipedia.org/wiki/Princess_Gaoyang

[23] 房遺愛 (Fáng Yí’ài) https://zh.wikipedia.org/zh-hk/房遗爱

[24] 房玄齡  (Fáng Xuánlíng) https://en.wikipedia.org/wiki/Fang_Xuanling  และ https://zh.wikipedia.org/zh-hk/房玄龄

[25] Jeffrey Kotyk, Chinese State and Buddhist Historical Sources on Xuanzang, T’oung Pao, 2019, Vol” 105, Fasc. 5/6 (2019), p.530.

[26] 大唐三藏聖教序 ดู https://zh.wikisource.org/zh-hant/大唐三藏聖教序

[27] Jeffrey Kotyk, Chinese State and Buddhist Historical Sources on Xuanzang, T’oung Pao, 2019, Vol” 105, Fasc. 5/6 (2019), p.527.

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save