“ในปีที่ยี่สิบ เดือนเจ็ดแห่งคิมหันต์ฤดู งานรจนาสำเร็จลุล่วงจวบสุดสิ้น แม้ถ้อยคำจะครบครันด้วยความพากเพียร แต่เมื่อเทียบกับมาตรฐานแห่งฟ้าดิน ก็ยังห่างไกลนัก การท่องเที่ยวสู่ดินแดนอันห่างไกล ล้วนต้องอาศัยพระบารมีแห่งราชสำนัก และการเรียบเรียงสิ่งพิสดารหลากหลาย ล้วนพึ่งพาพระบุญญาบารมีแห่งองค์พระจักรพรรดิ.”
「二十年秋七月,絕筆殺青;文成油素,塵黷聖鑒,詎稱天規?然則冐遠窮遐,寔資朝化;懷奇纂異,誠賴皇靈。」[1]
พระเปี้ยนจี 辯機
ย่อหน้าข้างต้นคือบทส่งท้ายของพระลูกศิษย์ของพระถังซำจั๋ง นามว่า ‘เปี้ยนจี’ (ค.ศ.619-649)[2] ผู้ทำหน้าที่เรียบเรียง (editor) บันทึกการเดินทางกว่าสองทศวรรษของพระอาจารย์ (author) ของท่าน ทั้งคู่ร่วมกันจัดทำขึ้นเพื่อถวายแด่จักรพรรดิถังไท่จง เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ.646[3] ถือเป็นอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ฉบับสำคัญของนักโบราณคดีตราบเท่าทุกวันนี้
ทว่ากลับเป็นที่น่าเศร้าสลดใจว่า จากบันทึกประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์ซ่งชื่อ ‘หนังสือราชวงศ์ถังใหม่’ (新唐書[4]) และ ‘หนังสือภาพสะท้อนการปกครอง’ (จือจื้อทงเจี้ยน 資治通鑑[5]) กลับระบุว่าชะตากรรมของพระภิกษุนักอักษรศาสตร์ท่านนี้จบลงด้วยการถูกประหารชีวิตอย่างทารุณในปีสุดท้ายของจักรพรรดิพระองค์นี้ หรือเท่ากับอีก 3 ปีคล้อยหลังจากถวายบทบันทึกการเดินทางของพระอาจารย์ ด้วยข้อหาเชิงชู้สาวกับพระราชธิดานามว่า ‘เกาหยาง’ (高陽公主)
ถึงแม้จะมีนักวิชาการบางท่านเห็นแย้งว่าเรื่องเหล่านี้เสกสรรปั้นแต่งขึ้นโดยขุนนางฝั่งลัทธิขงจื้อในสมัยราชวงศ์ซ่ง ซึ่งคล้อยหลังจากเหตุการณ์จริงยาวนานถึงสามร้อยปีเศษ แต่กระนั้นโดยมากยังเชื่อว่าเรื่องนี้บังเกิดขึ้นจริง


ปฐมบท
ปลายปี 2567 สำนักพิมพ์มติชนได้ฟื้นชีพหนังสือ ‘ถังซำจั๋ง จดหมายเหตุการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง’ ผลงานแปลของชิวซูหลุน[6] หลังจากห่างหายไปจากบรรณพิภพร่วม 20 ปี[7] ถึงขนาดวงการหนังสือเก่าซื้อขายกันเสนอราคาค่างวดสูงลิ่ว
การพิมพ์ใหม่ครั้งนี้ผู้เขียนได้รับเกียรติทำบทความพิเศษประกอบ ถ่ายทอดเรื่องราวชีวประวัติพระมหาเถระรูปสำคัญนี้ รวมถึงทบทวนวรรณกรรมตำราพุทธศาสนาจีนในพากย์ไทยไว้จำนวนหนึ่ง[8]

หลังการจัดพิมพ์ครั้งใหม่นี้ อาจารย์นิพนธ์ ศศิภานุเดช แห่งสาขาภาษาจีน คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ อาจารย์สมบัติ มั่งมีสุขศิริ แห่งภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้นำหัวข้อ ‘พระถังซำจั๋ง’ บรรจุเป็นหัวข้อในงาน ‘ศิลป์เสวนา’ ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำของคณะศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์ โดยเชิญผู้เขียนเป็นวิทยากร ร่วมกับอาจารย์เมธี พิทักษ์ธีระธรรม แห่งศูนย์การแปลและวิจัยคัมภีร์พุทธศาสนา Aloko
ในงานเสวนาเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ.2567 นั้น ผู้เขียนเห็นว่ามีประเด็นนอกเหนือจากบทความพิเศษที่ได้ทำไว้แล้วในหนังสือถังซำจั๋ง จึงอยากจะเก็บตกบางแง่มุมมาเล่าไว้ประดับความรู้ในบทความประจำเดือนนี้ (ดูคลิปเสวนาตามลิงก์นี้[9])

วรรณกรรมชั้นต้นเพื่อการศึกษาชีวิตพระถังซำจั๋ง
เรื่องราวของ ‘ถังซำจั๋ง’ 唐三藏 อันแปลว่า ‘ตรีปิฎกจารย์’ หรือสมณะฉายา ‘เสวียนจั้ง’ 玄奘 สามารถศึกษาได้จากหนังสือสมัยราชวงศ์ถังทั้งสิ้น 3 เล่ม (2 ฉบับในนั้นได้รับการถ่ายทอดเป็นภาษาไทยแล้ว) ได้แก่
1.ฉบับ大唐大慈恩寺三藏法師傳[10] คำนำโดยพระเยี่ยนฉงระบุวันที่ 20 เมษายน ค.ศ.688 นายเค็งเหลียน สีบุญเรือง ได้แปลไว้ในชื่อเล่มตรงตัวว่า ‘ประวัติท่านติปิฎกธโร ณ มหาการุณยาราม สมัยราชวงศ์ถังมหาราช’[11] ด้วยการทับศัพท์ชื่อบุคคลในสำนวนแต้จิ๋ว
หนังสือเล่มนี้แต่งโดย พระฮุยลิบ (จีนกลาง ‘ฮุ่ยลี่’ 慧立[12] ค.ศ.615-677[13]) 5 บรรพแรก บรรยายถึงชีวิตนับแต่เกิดจนเดินทางไปและกลับจากอินเดีย อีกครึ่งหลังของเล่มนี้ พระงั่นจง (จีนกลาง ‘เยี่ยนฉง’ 彥悰ไม่ทราบปีชาตะและมรณะ[14]) ช่วยเรียบเรียงเสริมต่อจากนั้นอีก 5 บรรพหลัง เนื้อหาคือส่วนต่อหลังจากพระถังซำจั๋งเดินทางถึงเมืองจีนแล้วจวบจนถึงมรณะกาล
ฉบับนี้สามารถเรียกให้ย่นย่อลงได้ว่า ‘慈恩傳’ (ฉือเอินจ้วน) หนังสือเล่มนี้แปลและตีพิมพ์เป็นภาษาไทยครั้งแรกในอนุสรณ์งานศพของผู้แปล คือนายเค็งเหลียน เมื่อ พ.ศ.2484 เฉพาะเล่มนี้ เสถียร โพธินันทะ ผู้เชี่ยวชาญพระพุทธศาสนาชื่อก้องเคยดื่มด่ำถึงขนาดบังคับให้สุชีพ ปุญญานุภาพ ขณะยังอยู่ในสมณเพศนั่งฟังเฉยๆ โดยเจ้าตัวอ่านตลอดเล่มเมื่อแรกเริ่มรู้จักกันเลยทีเดียว!
ฉบับแปลไทยครั้งแรกนี้ นายเคงเหลียนได้ตรวจสอบฉบับแปลภาษาอังกฤษของ Samuel Beal ร่วมกับต้นฉบับภาษาจีน ต่อมาใน พ.ศ.2505 เจ้าของนามปากกา ‘รัตนบุรี’ เรียบเรียงจากต้นฉบับนี้อีกครั้งด้วยสำนวนแตกต่างกันไป ให้ชื่อหนังสือว่า ‘ถังซำจั๋ง (พระภิกษุสวนจาง)โดย ฮุ่ยลี่’ จัดจำหน่ายโดยสำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์
2.ฉบับ 大唐西域記 จัดพิมพ์ถวายจักรพรรดิถังไท่จงเมื่อ ค.ศ.646 แปลไทยโดย ชิวซูหลุน ชื่อว่า ‘จดหมายเหตุการณ์เดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง’ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มติชนจำนวน 3 ครั้ง คือ พ.ศ.2547 พ.ศ.2549 และครั้งล่าสุด พ.ศ.2567 ที่ผู้เขียนได้ทำบทความพิเศษไว้ดังเกริ่นไว้ข้างต้น
หนังสือเล่มนี้พระถังซำจั๋งได้ให้ลูกศิษย์ชื่อพระเปี้ยนจี ช่วยเรียบเรียงตามคำบอกเล่าในรูปแบบบันทึกการเดินทาง (Travelogue) ทั้งนี้ในบทปิดท้ายเล่ม ลูกศิษย์ท่านนี้ได้เขียนสังเขปประวัติส่วนตัวของตัวเขาไว้ด้วย แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ในฉบับภาษาไทยอาจารย์ชิวซูหลุนไม่ได้แปลส่วนนี้ไว้[15]
3.ฉบับ 續高僧傳 ‘ชีวประวัติพระมหาเถระ ภาคต่อ’ โดย พระเต้าเซวียน (道宣 ค.ศ.596-667) หนังสือฉบับนี้รวบรวมชีวประวัติพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาจีนนับจากอดีตทั้งสิ้นจำนวน 331 รูป หนึ่งในนั้นคือเสวียนจั้ง หรือ ‘พระถังซำจั๋ง’ ผู้ประพันธ์ยังเป็นส่วนหนึ่งของคณะแปลคัมภีร์ของพระถังซำจั๋งด้วย[16]
ชีวประวัติฉบับนี้ยังไม่เคยได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษและไทยอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีนักวิชาการต่างประเทศใช้ AI ในการช่วยแปลเป็นภาษาอังกฤษดังสามารถโหลดอ่านได้ดังลิงก์นี้[17]



จากต้นฉบับทั้ง 3 ฉบับ พอจะฉายภาพชีวประวัติของพระมหาเถระรูปสำคัญนี้ได้ 3 ช่วงจังหวะชีวิตดังต่อไปนี้
ปฐมวัย ก่อนเดินทางไปอินเดีย (ค.ศ.602?-629)
พระถังซำจั๋ง (唐三藏) หรือ ‘พระตรีปิฎกแห่งราชวงศ์ถัง’ เกิดในตระกูลเฉิน ณ เมืองลั่วหยาง ปลายราชวงศ์สุย ราวปี ค.ศ.600 หรือบ้างก็ว่า ค.ศ.602 (พ.ศ.1143) เมื่ออายุ 5 ขวบ มารดาของท่านเสียชีวิต พี่ชายซึ่งเป็นพระสงฆ์จึงทำหน้าที่อุปการะต่อ
เมื่ออายุ 13 ปีได้เข้าบรรพชารับสมณะฉายาว่า ‘เสวียนจั้ง’ (玄奘) และอุปสมบทที่วัดคงฮุ่ย เมืองเฉิงตูในราว ค.ศ.620 (พ.ศ.1163) ด้วยความใส่ใจในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง ท่านมุ่งหวังจะศึกษาคำสอนจากแหล่งกำเนิด จึงเริ่มออกเดินทางนับแต่ ค.ศ.627 หรือบ้างก็ว่า ค.ศ.629 (พ.ศ.1170) ผ่านดินแดนตะวันตกด้วยการเดินเท้า ท่ามกลางอุปสรรคมากมาย รวมถึงการลักลอบผ่านด่านที่ไม่ได้รับอนุญาตจากทางการจีน
มัชฌิมวัย การเดินทางสู่อินเดียเพื่อศึกษาพระคัมภีร์ (ค.ศ.629-645)
พระเสวียนจั้งเดินทางถึงมหาวิทยาลัยนาลันทาใน ค.ศ.631 (พ.ศ.1174) เข้ารับการศึกษาภายใต้การสอนของปรมาจารย์ศีลภัทร ระหว่างนี้ได้เดินทางไปยังแว่นแคว้นต่างๆ ในอินเดียเพื่อแสวงหาความรู้เพิ่มเติม และเข้าร่วมการสนทนาธรรมจนมีชื่อเสียงเลื่องลือ
พระเสวียนจั้งเชี่ยวชาญคำสอนทั้งฝ่ายสาวกยานและมหายาน โดยเฉพาะนิกายโยคาจารและมาธยมิก ระหว่างการเดินทางกลับประเทศจีน พระเจ้าศิลาทิตย์ทรงอุปถัมภ์ให้อย่างสมเกียรติ พร้อมบรรทุกคัมภีร์ 657 ปกรณ์ พระบรมสารีริกธาตุ และสิ่งของสำคัญอื่นๆ ท่านกลับถึงมหานครฉางอานใน ค.ศ.645 (พ.ศ.1188) รวมการเดินทางไปกลับทั้งสิ้นเกือบสองทศวรรษ
ปัจฉิมวัย การแปลคัมภีร์และผลงาน (ค.ศ.646-664)
เมื่อกลับถึงจีน พระถังซำจั๋งถวาย ‘จดหมายเหตุการณ์เดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง’ (大唐西域記) ตามคำขอของจักรพรรดิถังไท่จงในปี ค.ศ.646 (พ.ศ.1189) งานนี้รวบรวมประวัติการเดินทางผ่าน 138 แคว้น เป็นข้อมูลสำคัญด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ นับจากนั้นอุทิศตนแปลคัมภีร์พระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมากด้วยการอุปถัมภ์จากราชสำนัก
พระถังซำจั๋งมรณภาพใน ค.ศ.664 (พ.ศ.1207) ทิ้งมรดกสำคัญทั้งด้านศาสนาและวิชาการไว้ให้ชนรุ่นหลังศึกษาจำนวนมหาศาล

การเมืองในหนังสือชีวประวัติ ‘ถังซำจั๋ง’
ชีวประวัติของพระถังซำจั๋งจากต้นฉบับทั้ง 3 นี้ แวดวงวิชาการต่างประเทศได้นำเสนอแง่มุมไว้อย่างหลากหลาย ในงานศิลป์เสวนาที่ผ่านมาของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปรากฏ 2 ประเด็นการเมืองเบื้องหลังประวัติของพระมหาเถรถรูปสำคัญนี้อยู่ 2 ประเด็นที่ดูลึกลับซ่อนเงื่อน จนเห็นสมควรแก่การนำมาเสนอเป็นพิเศษในบทความนี้
หนึ่ง ราชภัยของบันทึกท่องดินแดนตะวันตก
อาจารย์เมธีได้เสนอความเห็นที่อ้างอิงจากนักวิชาการชื่อดังชาวญี่ปุ่น อาจารย์โชชิน คุวายามะ (桑山正進 Kuwayama Shōshin ชาตะ ค.ศ.1938)[18] ไว้อย่างน่าสนใจต่อประเด็นนี้ โดยกล่าวถึงฉบับของพระฮุ่ยลี่และเยี่ยนฉง (ค.ศ.688) ซึ่งเล่ากันว่าภายหลังท่านพระฮุ่ยลี่แต่งจบไปแล้ว 5 บรรพแรก ได้นำไปฝังไว้ในถ้ำ จนกระทั่งเมื่อใกล้มรณภาพจึงขุดต้นฉบับกลับมาพยายามเรียบเรียงใหม่ แต่ถึงแก่มรณภาพเสียก่อน จนในเวลาต่อมาพระเยี่ยนฉงได้รับหน้าที่ต่อ พร้อมแต่งเพิ่มเสริมต่ออีก 5 บรรพดังว่า กระทั่งเสร็จสิ้นลงเผยแพร่ครั้งแรกใน ค.ศ.688 หรือหลังจากบันทึกจดหมายเหตุการเดินทางฯ ฉบับถวายฮ่องเต้ล่วงแล้วถึง 42 ปี และหลังพระถังซำจั๋งมรณภาพแล้วกว่า 24 ปี ซึ่งก็ล่วงเข้ายุคสมัยเรืองอำนาจของพระนางบูเช็คเทียน
ความเคลือบแคลงน่าสงสัยบังเกิดขึ้นว่า ไฉนภายหลังจากเขียนไป 5 บรรพขณะเนื้อหาดำเนินมาถึงตอนพระถังซำจั๋งเดินทางกลับมาถึงมหานครฉางอานแล้ว พระฮุ่ยลี่จึงจำยุติลงจนต้องนำไปฝังดิน? หนึ่งในคำตอบคือทฤษฎีความเกรงกลัวต่อราชภัย เนื่องด้วยก่อนหน้านั้นใน ค.ศ.649 พระเปี้ยนจีเพิ่งถูกราชทัณฑ์ประหารชีวิตปลิดชีพไปอย่างโหดเหี้ยม ความข้อนี้ต้องย้อนความถึงเรื่องการเขียนบันทึกเดินทางของพระถังซำจั๋งเพื่อนำขึ้นถวายแด่ฮ่องเต้ถังไท่จงแทบจะทันทีที่ก้าวเข้าสู่มาตุภูมิเมื่อ ค.ศ.645 กล่าวคือได้ส่งมอบในปีถัดมาเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ.646 ตามพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิที่ต้องการใช้บันทึกการเดินทางนี้เพื่อยุทธศาสตร์การทหารด้านทิศตะวันตก
นักวิชาการหลายท่านมองว่าการสนับสนุนพุทธศาสนาโดยจักรพรรดิสมัยนั้นอาจเป็นเพียงกลยุทธ์ทางการเมือง มากกว่าจะเป็นความศรัทธาที่แท้จริง[19] แหล่งข้อมูลนอกพระพุทธศาสนาแสดงภาพจักรพรรดิถังไท่จงว่าทรงไม่ถึงกับโปรดปรานพุทธศาสนาดังที่เล่าขาน แต่ต้องสนับสนุนเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง พระองค์อาจชื่นชมพระถังซำจั๋งส่วนตัวหรือสนใจความรู้เรื่องพรมแดนตะวันตก แต่ไม่น่าเชื่อว่าพระองค์จะเห็นด้วยกับภารกิจของพระถังซำจั๋งถึงขนาดเปี่ยมพระราชศรัทธามานับถือพระพุทธศาสนาในวาระสุดท้าย[20]
ถึงแม้ว่าจักรพรรดิไท่จงจะพยายามโน้มน้าวให้พระถังซำจั๋งลาสิกขาออกมาช่วยเหลือราชการเป็นที่ปรึกษา เนื่องจากมีความรู้ทางภูมิประเทศแถบตะวันตกเป็นอย่างดี อีกทั้งถึงขนาดเคยชักชวนพระถังซำจั๋งร่วมเดินทางไปดูการรบยังฝั่งตะวันออกที่คาบสมุทรเกาหลี แต่ใดๆ ล้วนถูกพระถังซำจั๋งปฏิเสธกลับมา การเขียนบันทึกการเดินทางฯ จึงเหมือนเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่เหมาะสม เพราะพระถังซำจั๋งเองก็ต้องการรับการอุปถัมภ์โครงการแปลพระคัมภีร์จำนวนมากที่นำกลับมาจากอินเดีย ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาล ทั้งปัจจัยไทยธรรมและทรัพยากรบุคคล และต้องไม่ลืมว่าในเบื้องต้นพระถังซำจั๋งเป็นฝ่ายเริ่มต้นแนะนำตัวต่อจักรพรรดิถังไท่จงผ่านจดหมายก่อนย่างเข้ามหานครฉางอาน
อย่างไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตว่าบันทึกการเดินทางนี้ อาจมีความเป็นไปได้ว่าฉบับที่นำขึ้นถวายกับฉบับที่เผยแพร่สู่สาธารณะมีรายละเอียดแตกต่างกัน[21] อาจารย์คุวายามะเองก็เชื่อเช่นนั้น เพราะหากพิจารณาจุดประสงค์ของจักรพรรดิถังไท่จงต่ออักขรานุกรมภูมิศาสตร์นี้ในเรื่องการขยายอาณาจักรแผ่เข้าเอเชียกลาง สัดส่วนเรื่องราวของดินแดนแถบนี้กลับปรากฏในฉบับเผยแพร่สาธารณะอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับดินแดนที่ลึกไปกว่านั้นจนถึงอินเดีย ซึ่งดูไม่น่าจะมีประโยชน์เชิงการทหารมากมายอย่างที่ประเมินไว้นัก
ยิ่งเมื่อเทียบกับฉบับของพระฮุ่ยลี่ด้วยแล้ว จะพบว่าข้อมูลแตกต่างกันพอสมควร เช่น เมืองเกาชาง และเมืองซูยับ ในบันทึกการเดินทางฯ ไม่พูดถึงเมืองเกาชางเลย และเมืองซูยับก็พูดถึงแต่เพียงเล็กน้อย ด้านฉบับของพระฮุ่ยลี่กลับเขียนถึงสองเมืองนี้อย่างลงรายละเอียด จึงเชื่อค่อนข้างแน่ว่าฉบับที่ถวายแด่องค์พระจักรพรรดิต้องมีความพิสดารต่อการทหารมากกว่าฉบับที่เผยแพร่สู่สาธารณชนทั่วไป
ด้านกรณีคำสั่งประหารพระเปี้ยนจี ลูกศิษย์พระถังซำจั๋งผู้ช่วยเรียบเรียงบันทึกการเดินทางนั้น อาจารย์เมธียังถ่ายทอดไว้ในงานเสวนานี้ว่า อาจารย์ญี่ปุ่นท่านนี้ไม่เชื่อว่าพระเปี้ยนจีจะมีเวลามากพอมายุ่งกับเรื่องชู้สาว ด้วยต้องรับผิดชอบงานพระคัมภีร์มากถึง 4 ใน 7 เล่มในช่วงต้น โดยเฉพาะงานแปลโยคาจารภูมิ ผลงานขนาดใหญ่ชิ้นสำคัญ ทั้งยังเสนอว่าองค์พระจักรพรรดิคงจงใจเก็บพระเปี้ยนจี เนื่องจากเกรงความลับทางทหารรั่วไหลออกไป
คดีความนี้คาดว่าเกิดขึ้นจริง เพราะหลัง ค.ศ.649 ชื่อของพระเปี้ยนจีก็หายไปจากผลงานของคณะแปลคัมภีร์ ในแง่นี้มีข้อมูลแย้งว่ายังคงปรากฏชื่อของพระรูปนี้ในงานแปลคัมภีร์ชื่อว่า 本事經 ซึ่งตีพิมพ์ใน ค.ศ.650 หรือหนึ่งปีหลังกรณีดังกล่าว ด้านองค์หญิงเกาหยาง高陽公主[22] แต่งงานกับฝางหยีอ้าย 房遗爱[23] บุตรชาย ฝางเสวียนหลิง 房玄齡(ค.ศ.579-648[24])ขุนนางคนสนิทของจักรพรรดิถังไท่จง สามีภริยาคู่นี้หลังสิ้นรัชสมัยของจักรพรรดิถังไท่จงถูกตั้งข้อหากบฏขึ้นในรัชสมัยจักรพรรดิถังเกาจงเมื่อ ค.ศ.653 ฝ่ายสามีถูกประหารชีวิต ส่วนชีวิตของพระองค์หญิงก็จบลงด้วยโศกนาฏกรรมเมื่อถูกบัญชาให้กระทำอัตวินิบาตกรรม
ดังนั้น อาจารย์คุวายามะจึงเชื่อว่า เป็นไปได้ที่เมื่อพระฮุ่ยลี่รับทราบถึงชะตากรรมของพระร่วมคณะ จะรู้สึกหวั่นเกรงราชภัยมาสู่ตน เนื่องจากหนังสือที่กำลังเขียนมีเรื่องเกี่ยวกับดินแดนตะวันตกไม่น้อย จึงเลือกยุติโครงการนี้ทั้งหมด แล้วนำไปฝังกลบทิ้ง
ด้านอาจารย์เมธีก็แสดงทัศนะส่วนตัวอีกแง่หนึ่งว่า เหตุที่พระถังซำจั๋งมิได้เขียนถึงเมืองเกาชาง เพราะขณะนั้นเมืองเกาชางได้ตกเป็นอาณานิคมของจีนแล้ว กระนั้นทั้งเมืองเกาชางและเมืองซูยับ (ปัจจุบันคีร์กีซสถาน) ในช่วงต้นแห่งการเดินทางล้วนแสดงไมตรีจิตรอันดีต่อพระถังซำจั๋ง ทั้งเกื้อกูลอำนวยความสะดวกต่อการกรุยทางสู่อินเดียไว้อย่างมาก จึงอาจจะเลี่ยงเขียนลึกลงรายละเอียด เพราะเกรงจะถูกรุกรานจากกองทัพราชวงศ์ถัง และต่อเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างองค์หญิงเกาหยางกับพระเปี้ยนจีก็ไม่ถึงกับไม่มีมูลดังอาจารย์ญี่ปุ่นว่าไปเสียทั้งหมด เพราะเรื่องความรักความใคร่ไม่เข้าใครออกใคร “คาดเดาได้ยาก”
ทุกวันนี้ชีวประวัติฉบับพระฮุ่ยลี่และพระเยี่ยนฉงยังนับเป็นเอกสารอ้างอิงมากที่สุดเมื่อเอ่ยถึงพระถังซำจั๋ง แต่สำหรับวงวิชาการมักเกิดข้อวิจารณ์ว่าเป็นแหล่งที่ไม่ควรแยกพิจารณาโดยขาดบริบทเปรียบเทียบกับแหล่งอื่น ดังเช่นว่าความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดิถังไท่จงกับพระถังซำจั๋งก็แลดูจะใกล้ชิดเกินจริงไปในฉบับนี้ ซึ่งไม่ได้รับการยืนยันจากแหล่งประวัติศาสตร์ทางราชสำนัก ขณะที่งานของพระเต้าเซวียนกลับถูกมองว่าน่าเชื่อถือได้มากกว่า เนื่องจากเขียนในช่วงที่ถังซำจั๋งยังมีชีวิตอยู่ โดยไม่พยายามขยายภาพลักษณ์ของพระถังซำจั๋งให้เกินจริงจนล้นเกิน ซึ่งนำมาสู่ประเด็นต่อไป

สอง ชีวประวัติถังซำจั๋งในฐานะเครื่องมือปลุกเร้าพุทธศาสนาของพระนางบูเช็คเทียน
ตามประวัติศาสตร์ พระนางบูเช็คเทียน 武則天 (ค.ศ.627-705) มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนพระพุทธศาสนาเหนือลัทธิความเชื่ออื่นๆ ฉะนั้นในบริบท ค.ศ. 688 ซึ่งชีวประวัติของพระถังซำจั๋งถูกเรียบเรียงขึ้นใหม่นี้ ย่อมส่งเสริมภาพลักษณ์ของพระนางในฐานะอุปัฐายิกาของพระพุทธศาสนา
หนังสือนี้เรียบเรียงขึ้นโดยพระเยี่ยนฉง จากการได้นำผลงานต้นฉบับของพระฮุ่ยลี่มาปรับปรุงขยายความให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในยุคนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อส่งเสริมความสำคัญของคัมภีร์ ‘โยคาจารภูมิ’ (Yogācārabhūmi) และสร้างความสัมพันธ์เชิงศาสนากับอำนาจของพระนางบูเช็คเทียน พระเยี่ยนฉงได้ดัดแปลงประวัติของพระถังซำจั๋งในลักษณะเพิ่มการยกย่องเกียรติยศ และเชื่อมโยงกับการสนับสนุนจากราชสำนัก งานเขียนนี้จึงเลี่ยงมิได้ที่จะถูกสันนิษฐานว่าเป็นเครื่องมือเชิงการเมือง ช่วยเพิ่มความชอบธรรมให้พระนางบูเช็คเทียนในฐานะผู้ปกครองสตรี
เมื่อเทียบเคียงกับชีวประวัติของพระถังซำจั๋งกับฉบับพระเต้าเซวียนด้วยแล้ว ฉบับนี้กลับมีลักษณะการนำเสนอตรงไปตรงมาและอิงข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์มากกว่าของพระเยี่ยนฉงที่ออกจะดูคล้อยไปทาง ‘กฤษดาภินิหารนิพนธ์’ Hagiography มิพักต้องเอ่ยถึงว่าพระเต้าเซวียนเริ่มเขียนชีวประวัติตั้งแต่ช่วงที่พระถังซำจั๋งยังดำรงชีวิตอยู่ (ประมาณ ค.ศ. 646-649) ทำให้รายละเอียดหลายส่วน เช่น การเดินทางไปอินเดีย การเรียนรู้ภาษา และการปฏิสัมพันธ์กับบุคคลในต่างแดน ล้วนถูกถ่ายทอดด้วยมุมมองที่สมจริงและปราศจากการปรุงแต่งมากเกิน
ในขณะที่ฉบับของพระเยี่ยนฉงที่เรียบเรียงในปี ค.ศ. 688 เน้นเสริมเกียรติยศของพระถังซำจั๋งในฐานะตัวแทนของพุทธมหายาน และเพิ่มรายละเอียดเหนือจริง แม้แต่เรื่องการผจญผภัยข้ามทะเลทรายโดยลำพังจนสามารถหลีกเลี่ยงอันตรายด้วยปาฏิหาริย์ ก็แตกต่างอย่างมากจากข้อสันนิษฐานที่ว่าพระถังซำจั๋งน่าจะได้ร่วมเดินทางกับกองคาราวานพ่อค้า รวมถึงได้รับความช่วยเหลือจากชาวบ้านตามรายทาง [25]
จุดเน้นอีกประการ คือฉบับของพระเยี่ยนฉง (ค.ศ.688) ปรากฏการสร้างภาพว่าจักรพรรดิถังไท่จงมีความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งในบั้นปลายชีวิต ขณะที่พระเต้าเซวียนไม่ได้เน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดในเชิงศาสนาระหว่างจักรพรรดิและพระถังซำจั๋งมากมายเท่า แต่กลับน้อมน้าวไปในการนำเสนอความสำเร็จของพระถังซำจั๋งในฐานะพระนักปราชญ์นักแปลคัมภีร์รูปสำคัญ และบทบาทของท่านในฐานะนักแสวงบุญผู้ยึดมั่นต่อเป้าหมายทางวิชาการและศาสนา

อาจจะพอสามารถนิยามฉบับของพระฮุ่ยลี่และเยี่ยนฉง มีความเป็น Hagiography ค่อนข้างมาก ส่วนจดหมายเหตุแห่งการเดินทางฯ คือ Autobiography และฉบับของพระเต้าเซวียนเข้าข่าย Biography
ปัจฉิมบท
ปี 2025 นี้นับว่าเข้าใกล้ 1,400 ปีแห่งการเริ่มออกเดินทางของพระถังซำจั๋ง (หากนับ ค.ศ.627 ก็จะขาดอีกเพียง 2 ปี) ด้วยลักษณะสังคมจีนที่อุดมไปด้วยลายลักษณ์การจดบันทึกจำนวนมหาศาล เฉพาะเรื่องราวของพระตรีปิฎกาจารย์ ถังซำจั๋ง หากมองผ่านสายตาพุทธศาสนิกชน ย่อมต้องมีฉันทาคติซาบซึ้งไปกับบันทึกเรื่องเล่าตามกระแสหลักถึงพระราชศรัทธาอันแรงกล้าของจักรพรรดิถังไท่จงต่อพระพุทธศาสนา
แน่นอนว่าด้วยข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ พระองค์ทรงสนับสนุนงานแปลพระคัมภีร์ที่อัญเชิญมาจากอินเดียอย่างจริงจังแข็งขัน ในระดับทรงมีพระราชสาสน์ยกย่องพระถังซำจั๋งชื่อว่า ‘คำนำแห่งคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์ของพระไตรปิฎกในราชวงศ์ถัง’[26] 大唐三藏聖教序[27] ดังปรากฏคำยกย่องพระถังซำจั๋งท่อนหนึ่งว่า
“有玄奘法師者,法門之領袖也。…萬里山川,撥煙霞而進影;百重寒暑,躡霜雨而前蹤。誠重勞輕,求深願達,周遊西宇,十有七年。”
แปลว่า
“ปรากฏเสวียนจั้งภิกษุผู้นำประตูธรรม …ท่านข้ามภูเขาและแม่น้ำกว่าหมื่นลี้ ฝ่าม่านหมอกควันเพื่อมุ่งหน้าต่อไป; และผ่านฤดูกาลทั้งร้อยครั้ง ด้วยความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปข้างหน้า ความเหน็ดเหนื่อยของท่านกลับดูเบาบาง เมื่อเทียบกับความมุ่งหมายอันลึกซึ้งของท่าน ท่านเดินทางทั่วดินแดนทางตะวันตกถึง 17 ปี”
กระนั้นการพกพาข้อสงสัยของนักประวัติศาสตร์ต่อเบื้องหลังหลักฐานชั้นต้นเหล่านี้พึงเข้าใจได้ ปริศนาต่างๆ ไม่ว่าจะว่าด้วย “บันทึกการเดินทางมีกี่เวอร์ชั่น?” “การสั่งประหารชีวิตผู้ร่วมจัดสร้างบันทึกสำคัญชิ้นนี้ในปลายรัชสมัยมีมูลไหม ด้วยสาเหตุอันใดแน่?” “เหตุใดพระฮุ่ยลี่ต้องนำชีวประวัติที่เขียนไว้ไปฝังดิน ใช่เพราะหวั่นเกรงต่อราชภัยหรือไม่?” รวมถึงว่า “การฟื้นฟูชีวประวัติพระถังซำจั๋งนับเป็นหนึ่งในนโยบายทางการเมืองเชิงรัฐประศาสนศาสตร์ของจักรพรรดินีบูเช็คเทียน?” ฯลฯ
คำถามทั้งหมดทั้งมวลนี้ย่อมมิใช่เป็นไปเพื่อลดทอนสถานภาพของพระมหาเถระรูปสำคัญแห่งราชวงศ์ถังผู้นี้ แน่นอนว่าชื่อเสียงของพระถังซำจั๋งนอกจากจะปรากฏการสร้างคุณูปการต่อแวดวงพระพุทธศาสนาในจีน ยังคงต้องจารึกไว้ในฐานะบุคคลสำคัญระดับโลก แต่เพราะไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ในแง่ของการเป็นนักประวัติศาสตร์ การยืนบนหลักการวิเคราะห์หลักฐานชั้นต้นเช่นนี้นับว่าช่วยเสริมสร้างมุมมองใหม่ให้กับวิธีวิทยาการตีความพุทธศาสนาที่ส่งผลกระทบซึ่งกันและกันของศาสนจักรและอาณาจักรตลอดระยะตั้งต้นของราชวงศ์ถัง อันมักเอ่ยอ้างว่าเป็นสมัยยุคทองเรืองรองถึงขีดสุดของพระพุทธศาสนา ท่ามกลางวิถีความขัดแย้งระหว่าง ‘พุทธ’ ‘ขงจื้อ’ และ ‘เต๋า’ ที่ดำเนินไปอยู่เนืองนิตย์ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของประเทศจีน
ในงานเสวนาออนไลน์นี้ยังมีเกร็ดเรื่องราวอีกมากมายของพระถังซำจั๋งในฐานะบุคคลจริงในประวัติศาสตร์ และ ‘ไซอิ๋ว’ หรือการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของพระมหาเถระที่ต่อมาวิวัฒนาการปรุงแต่งเป็นนวนิยายยอดนิยมสมัยราชวงศ์ ผู้ที่สนใจเพิ่มเติมสามารถย้อนกลับไปฟังได้ในลิงก์ที่ให้ไว้แล้ว พร้อมกับการหาหนังสือ ‘ถังซำจั๋ง’ มาอ่านประกอบเพื่อเพิ่มพูนรายละเอียดให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

[1] 大唐西域記 卷第十二 Taisho 51 No.2087 https://cbetaonline.dila.edu.tw/zh/T51n2087_012
[2] 辯機(Biàn Jī)ภาษาอังกฤษ ดู https://en.wikipedia.org/wiki/Bianji และ ดู https://zh.wikipedia.org/zh-hk/辯機
[3] Takata Tokio, On the Emendation of the Datang Xiyuji duing Gaozong’s Reign An Examination Based on Ancient Japanese Manuscripts, Studies in Chinese Manuscripts: From The Warring States Period to The 20th Century, Institute of East Asian Studies, Eötvös Loránd University Budapest 2013, p.49-58.
[4] 新唐書 卷096 ดูต้นฉบับ https://zh.wikisource.org/wiki/新唐書/卷096 “與浮屠辯機亂,帝怒,斬浮屠,殺奴婢數十人,主怨望,” แปลเป็นไทยว่า “องค์หญิงมีความสัมพันธ์นอกสมรสกับพระภิกษุ เปี้ยนจี (辯機) เมื่อจักรพรรดิทรงทราบเรื่อง จึงทรงพิโรธและสั่งประหารชีวิตเปี้ยนจี พร้อมทั้งฆ่าทาสและนางรับใช้จำนวนหลายสิบคน องค์หญิงจึงเก็บความแค้นใจไว้”
[5] 資治通鑑 卷199 ดูต้นฉบับ https://zh.wikisource.org/zh-hans/資治通鑑/卷199 “會御史劾盜,得浮屠辯機寶枕,雲主所賜。主與辯機私通,餉遺億計,更以二女子侍遺愛。太宗怒,腰斬辯機,殺奴婢十餘人;主益怨望,太宗崩,無戚容。” แปลเป็นไทยว่า “ในขณะเดียวกัน มีคดีที่เกี่ยวข้องกับการโจรกรรม ขุนนางผู้ตรวจการพบเบาะแสเป็นหมอนอันล้ำค่าของ เปี้ยนจี (辯機) ซึ่งเป็นสมบัติที่เจ้าหญิงทรงประทานให้ ข้อเท็จจริงนี้เผยว่าเจ้าหญิงมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเปี้ยนจี และทรงมอบของมีค่าให้อย่างมากมาย อีกทั้งยังส่งหญิงรับใช้สองคนให้ฟางอี๋อ้าย เมื่อจักรพรรดิถังไท่จงทรงทราบเรื่อง ทรงพิโรธอย่างยิ่งและมีพระบัญชาให้ประหารชีวิตเปี้ยนจีด้วยการประหารกลางลำตัว และสังหารทาสชายหญิงอีกสิบกว่าคน เจ้าหญิงเก็บความโกรธเคืองนี้ไว้ในพระทัย และเมื่อจักรพรรดิสิ้นพระชนม์ เจ้าหญิงมิได้แสดงความโศกเศร้าอย่างสมควร”
[6] ชิวซูหลุน (แปล), ถังซำจั๋ง จดหมายเหตุการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง, พิมพ์ครั้งที่ 3 พ.ศ.2567. (มติชน).
[7] “นริศ เปิดเบื้องหลัง ‘ถังซำจั๋ง’ ขาดตลาด 20 ปี แย้มปริศนาพระไสยาสน์ที่สาบสูญ” ดู https://www.matichon.co.th/prachachuen/book/news_4848122 และ ดูคลิปเสวนา https://www.facebook.com/matichonbook/videos/832489628771212
[8] นริศ จรัสจรรยาวงศ์ (บทความพิเศษ), พระถังซำจั๋ง ”เสวียนจั้ง” (พ.ศ.1143-1207), ถังซำจั๋ง จดหมายเหตุการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง, พิมพ์ครั้งที่ 3 พ.ศ.2567, (มติชน), น.588-623. และ ดู https://www.youtube.com/watch?v=VmA1EuaDwuo&t=2s
[9] ศิลป์เสวนา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หัวข้อ “ถังซัมจั๋ง และ ต้าถังซีอวี้จี้” วันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ.2567 ดู https://www.facebook.com/watch/live/?ref=watch_permalink&v=1290455458760376
[10] Taisho Tripitaka Volume 50, No. 2053 ดู https://cbetaonline.dila.edu.tw/zh/T2053 และ https://zh.wikipedia.org/wiki/大慈恩寺三藏法師傳
[11] เค็งเหลียน สีบุญเรือง, ประวัติพระถังซัมจั๋ง พิมพ์เป็นที่ระลึกในการฌาปนกิจศพ นายเค็งเหลียน สีบุญเรือง ณ วัดเทพศิรินทราวาส 27 เมษายน พ.ศ.2484, น.6.
[12] 慧立(Huìlì) ดู https://authority.dila.edu.tw/person/?fromInner=A001194
[13] Jeffrey Kotyk, Chinese State and Buddhist Historical Sources on Xuanzang, T’oung Pao, 2019, Vol” 105, Fasc. 5/6 (2019), p.513.
[14] 彥悰 (Yàncóng) https://authority.dila.edu.tw/person/?fromInner=A000827
[15] ดูต้นฉบับส่วนที่ไม่ได้แปลนี้ได้ในจุดเชื่อมต่อนี้ https://cbetaonline.dila.edu.tw/zh/T51n2087_012
[16] 道宣 (Dàoxuān) https://en.wikipedia.org/wiki/Daoxuan และภาษาจีน https://authority.dila.edu.tw/person/?fromInner=A001194
[17] Jayarava Attwood, Daoxuan’s Biography of Xuanzang ดู https://www.academia.edu/122800220/Daoxuans_Biography_of_Xuanzang
[18] Shōshin Kuwayama ดู https://en.wikipedia.org/wiki/Shōshin_Kuwayama
[19] Guo Wu, Context and Text: Historicizing Xuanzang and the Da Tang Xiyu Ji, From Chang’an to Nālandā : The Life and Legacy of the Chinese Buddhist Monk Xuanzang (602?-664), p.314.
[20] Jeffrey Kotyk, Chinese State and Buddhist Historical Sources on Xuanzang, T’oung Pao, 2019, Vol” 105, Fasc. 5/6 (2019), p.532-535.
[21] Takata Tokio, On the Emendation of the Datang Xiyuji duing Gaozong’s Reign An Examination Based on Ancient Japanese Manuscripts, Studies in Chinese Manuscripts: From The Warring States Period to The 20th Century, Institute of East Asian Studies, Eötvös Loránd University Budapest 2013, P.57-58.
[22] Princess Gaoyang https://en.wikipedia.org/wiki/Princess_Gaoyang
[23] 房遺愛 (Fáng Yí’ài) https://zh.wikipedia.org/zh-hk/房遗爱
[24] 房玄齡 (Fáng Xuánlíng) https://en.wikipedia.org/wiki/Fang_Xuanling และ https://zh.wikipedia.org/zh-hk/房玄龄
[25] Jeffrey Kotyk, Chinese State and Buddhist Historical Sources on Xuanzang, T’oung Pao, 2019, Vol” 105, Fasc. 5/6 (2019), p.530.
[26] 大唐三藏聖教序 ดู https://zh.wikisource.org/zh-hant/大唐三藏聖教序
[27] Jeffrey Kotyk, Chinese State and Buddhist Historical Sources on Xuanzang, T’oung Pao, 2019, Vol” 105, Fasc. 5/6 (2019), p.527.