โอวาทสมเด็จ : “คนเราควรนึกถึงและรักษาประโยชน์ของชาติเป็นใหญ่กว่าประโยชน์ส่วนสกุล”

ถ้าสัญจรบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 333 ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณอำเภอพยุหคีรี จังหวัดนครสวรรค์ ที่เชื่อมถนนพหลโยธิน เข้าจังหวัดอุทัยธานีแล้ว จะพบกับ ‘สะพานสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี)’ ซึ่งเป็นอนุสรณ์ถึงพระมหาเถระชาวอุทัยธานีที่มีบทบาทสำคัญในการปกครองคณะสงฆ์และการเผยแผ่พระศาสนา ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 จนถึงรัชกาลที่ 8

สมเด็จพระวันรัตผู้นี้มีชื่อเสียงในการเทศนาธรรม อธิบายเรื่องยากให้เข้าใจได้ง่าย มีตัวอย่างอุทาหรณ์ที่ยกมาอธิบายให้เห็นภาพได้แจ่มชัดขึ้น ที่สำคัญยังเป็นพระผู้แสดงพระธรรมเทศนาในการพระราชทานเพลิงศพทหารและตำรวจที่เสียชีวิตจากการปราบกบฏบวรเดชอีกด้วย


สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) พ.ศ.2424-2486
ภาพจาก เขมจารีนิพนธ์ (2500)


สมเด็จเฮง


สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) หรือเดิมคือ ‘กิมเฮง’ เกิดเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2424 (ปฏิทินเก่า) ที่บ้านท่าแร่ จังหวัดอุทัยธานี บิดาชื่อตั้วเก๊า แซ่ชั่ว มาจากเมืองแต้จิ๋ว ประเทศจีน กับนางทับทิม ซึ่งเป็นบุตรของจีนเองและนางแห ที่ค้าขายอยู่ในจังหวัดชัยนาท ตัวท่านเองมีพี่ชายคนหนึ่ง ชื่อกิมฮวด

หลังจากเรียนหนังสือไทยที่วัดขวิด และวัดทุ่งแก้ว รวมถึงบวชเป็นสามเณรแล้ว เมื่ออายุได้ 17 ปี จึงเข้ามาศึกษาต่อในกรุงเทพฯ ที่วัดมหาธาตุ และอุปสมบทเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2445 จนสอบไล่ได้เป็นเปรียญ 9 ประโยค เมื่อ พ.ศ.2447

ต่อมาท่านเป็นครูที่มหาธาตุวิทยาลัย ครั้นอายุย่าง 29 ปี ได้เป็นพระราชาคณะที่ พระศรีวิสุทธิวงศ์ และมีชื่อเสียงว่าเป็นผู้มีปฏิปทาในทางแสดงธรรม เทศนาเป็นที่จับใจผู้ที่มาฟังเทศน์ คราวหนึ่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ทรงสดับจนพอพระทัย ประทานลายพระหัตถ์เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ร.ศ.130 ว่า

“ได้ฟังเทศนาของพระศรีวิสุทธิวงศ์ เฮง วัดมหาธาตุ เห็นว่าเธอมีความรู้และปฏิภาณในทางเทศนา สมควรเป็นธรรมกถึกแท้ เขียนหนังสือฉบับนี้ให้ไว้เป็นเครื่องแสดงความพอใจ”

ไม่แต่ในทางเผยแผ่เท่านั้น ในทางปกครอง ท่านได้เป็นผู้จัดการวัดมหาธาตุแทนสมเด็จพระวันรัต (ฑิต) เจ้าอาวาสในขณะนั้นซึ่งชราแล้ว ดังที่เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ร.ศ.131 สมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้นมีลายพระหัตถ์ถึงสมเด็จพระวันรัต (ฑิต) ความตอนหนึ่งว่า

บัดนี้เจ้าคุณชราแล้ว มีการคณะเกี่ยวกับหน้าที่เจ้าอาวาส จงใช้พระศรีวิสุทธิวงศ์ทำแทนเถิดฯ ต่อไปจะพูดตรงถึงเธอทีเดียวฯ

กล่าวจำเพาะในด้านสมณศักดิ์ ท่านได้เลื่อนเป็น พระราชสุธี เมื่อ พ.ศ.2455 พระเทพโมลี พ.ศ.2459 พระธรรมไตรโลกาจารย์ พ.ศ.2464 พระพิมลธรรม พ.ศ.2471 และที่สุดเป็น สมเด็จพระวันรัต พ.ศ.2482 เมื่ออายุย่างเข้า 59 ปี

สำหรับตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ พ.ศ.2466 เจ้าคณะมณฑลนครสวรรค์ พ.ศ.2467 เจ้าคณะรองหนเหนือ พ.ศ.2471 เจ้าคณะมณฑลอยุธยา พ.ศ.2473 เจ้าคณะแขวงนอก จังหวัดพระนคร พ.ศ.2479 ปลัดคณะแขวงใน จังหวัดพระนคร พ.ศ.2482 และเป็นเจ้าคณะใหญ่หนใต้ พ.ศ.2482 นอกจากนี้ เมื่อมีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับใหม่ กำหนดให้มีสังฆสภาขึ้น ท่านก็ได้รับตำแหน่งประธานสังฆสภาเป็นองค์แรก เมื่อ พ.ศ.2485

แต่เวลาในชีวิตท่านมีน้อย ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ใน พ.ศ.2486 ท่านเริ่มอาพาธด้วยหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ขั้วปอดโตขึ้น ตั้งแต่ต้นปี และถึงมรณภาพเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2486 รวมอายุได้ 63 ปี


หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในหนังสืออนุสรณ์งานศพและหนังสือหายาก หอสมุดสันติวัน วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ที่เพิ่งเผยแพร่ออนไลน์ ปลายเดือนมิถุนายน 2568 ทาง https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/frontend/Search/index/collection:72


โอวาทสมเด็จเฮง


เมื่อสมเด็จพระวันรัต (เฮง) มรณภาพแล้ว คณะศิษย์ต่างวัด มีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม พุทฺธสโร) เป็นอาทิ ได้จัดพิมพ์หนังสือ โอวาทสมเด็ด ซึ่งสมเด็จพระวันรัตผู้นั้นได้แสดงแก่ภิกษุสามเณรนวกะประจำ พ.ศ.2478 ในห้วงแห่งการผลัดแผ่นดินจากรัชกาลที่ 7 มาสู่รัชกาลที่ 8 ทั้งนี้ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) เน้นถึงความสำคัญว่า

โอวาทนี้ แม้จะเปนธัมมะค่อนข้างสูง แต่ด้วยอาสัยปรีชาญานของท่าน อธิบายความแจ่มแจ้งดีมาก ฟังเข้าไจได้ทุกชั้น เปนที่ไพเราะจับไจ

ใจความสำคัญของโอวาทนี้คือการกล่าวถึงหลักไตรลักษณ์ คือ อนิจจตา ทุกขตา และอนัตตตาพร้อมยกตัวอย่างประกอบได้อย่างร่วมสมัยในยุคนั้น

สมเด็จพระวันรัตเริ่มอธิบายว่า สังขารหมายถึงสิ่งที่คุมกันเข้า แบ่งเป็น ‘สังขารที่มีใจครอง’ เช่น สัตว์ และมนุษย์ เป็นต้น กับ ‘สังขารที่ไม่มีใจครอง’ เช่น แผ่นดิน ภูเขา ต้นไม้ เป็นต้น

จากนั้นจึงวางหลักต่อไปว่าสังขารทั้งหลายนี้ย่อมตกอยู่ในลักษณะที่เสมอกันหมด คือไตรลักษณ์ หรือที่เรียกว่าสามัญลักษณะ (สามัญแปลว่า เท่ากัน เสมอกัน) ได้แก่

อนิจจตา – ความเป็นของไม่เที่ยง

ทุกขตา – ความเป็นทุกข์

และอนัตตตา – ความเป็นของไม่ใช่ตน

ซึ่งสังขารในทางธรรมล้วนเสมอกัน “ย่อมไม่เลือกว่าไครเปนไคร ต้องเปนเหมือนกันหมด จะเปนไพร่ ผู้ดี นายหรือบ่าว หรือไครๆ ก็ต้องมีธัม 3 ประการนี้เท่าๆ กัน ที่ว่าเหมือนกันก็คือ มีแก่ แล้วมีตาย เปนของไม่เที่ยงทุกๆ คน

ท่านยกตัวอย่างได้อย่างน่าสนใจ ทันเหตุการณ์ว่า “คนจนอาดจะกลายเปนคนมั่งมี คนมั่งมีอาดจะกลายมาเปนคนจน เหล่านี้ล้วนไม่เที่ยงทั้งนั้น ดูแต่ฮิตเล่อ เดิมเปนคนชั้นต่ำ เดี๋ยวนี้กลายเปนประมุขของชาติไปแล้ว พระเจ้าไกเซอร์เคยเปนกสัตร เดี๋ยวนี้ถูกถอดออกจากราชบัลลังก์ไปแล้ว นี่เปนตัวหย่างของความไม่เที่ยง

จากนั้นท่านอธิบายเรื่อง ‘ขันธ์’ และ ‘ธาตุ’ ก่อนจะกลับมาขมวดประเด็นไตรลักษณ์ต่อ โดยอธิบายความไม่เที่ยงว่า

ความไม่เที่ยงก็คือความไม่คงที่ ย่อมเปลี่ยนแปลงเสมอ ถ้าจะถามว่าอะไรเล่าเปนเครื่องหมายของความไม่เที่ยง? ตอบว่าได้แก่การเกิดกับดับ ความเกิดกับดับเปนความไม่เที่ยง เพราะมีเกิดแล้วก็ต้องดับๆ แล้วก็ต้องเกิด เวียนกันหยู่เช่นนี้ แต่ความที่ตาเราเห็นอยู่ในบัดนี้มันลวงเราทำให้เห็นว่าเปนของจิงจังไป

ท่านปุจฉาว่า “เหตุไดคนเราโดยมากจึงเห็นว่า ของทุกสิ่งไนโลกเปนของเที่ยงเล่า มีอะไรปิดบังหยู่?

วิสัจฉนา “ตอบว่า เพราะมีสันตติ คือความสืบต่อเนื่องนี่เองเปนเครื่องลวง ยกตัวหย่างเช่น พ่อตาย ลูกก็มีหยู่ต่อ พระเจ้าแผ่นดินองค์เก่าไป องค์ใหม่ก็ขึ้นแทน สืบต่อกันหยู่ดังนี้ จึงปิดบังความไม่เที่ยงเสีย มนุสจึงมิค่อยจะแลเห็นความจิงแท้แห่งสังขาร

สำหรับทุกขตา ท่านว่า “สิ่งไดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเปนทุข พูดหย่างง่ายๆ ว่า คนที่เกิดมาเปนทุขตลอดทุกคน … ลูกเจ้าลูกเสตถีจัดว่าไม่ทุขหรือ เปล่า ไม่จิงเลย ลูกเจ้านายก็ต้องออกไปสึกสาวิชาความรู้ให้เชี่ยวชาญสำหรับจะมาทำงานปกครองคนและดำรงตนไห้สมแก่ภาวะ ลูกเสตถีก็ต้องเรียนวิชาบริหารทรัพย์และสะสมไห้มากๆ ขึ้นไป ต้องไช้นโยบายมากขึ้น เหล่านี้เปนความทุขทั้งสิ้น

และอนัตตตา “แปลว่าความเปนสภาพไม่ไช่ตน โดยอัถแปลว่าสิ่งว่างเปล่าปราสจากตัวตน สัตวบุคคลเราเขา แต่โดยเหตุที่สังขารมีปัจจัยเปนเหตุปรุงแต่งคุมกันขึ้น จึงปรากดเปนตัวตนสัตวบุคคลเราเขาโดยสมมติ … ความจิงมันไม่ไช่ตัวไม่ไช่ตนของเรา

ท้ายสุดท่านสรุปว่า “ภาวะ 3 ประการดังกล่าวมานี้แหละ เปนหยู่เสมอกันทุกๆ คน ซึ่งต่างกับเสรีภาพหรือสมภาพในทางโลก เสมอกันแต่ภายไนกดหมายและข้อบังคับเท่านั้นเอง … แต่อนิจฺจตา ทุกฺขตา อนตฺตตา ดังกล่าวมานี้หยู่เสมอกันหมด ไม่เลือกไพร่ ผู้ดี เข็นไจ เสตถี หรือไครๆ จะหนีลักสนะเสมอกันหรือไตรลักสน์นี้ไปไม่ได้


ขณะยังเป็นพระพิมลธรรม นำเสด็จรัชกาลที่ 8 ทอดพระเนตรวัดมหาธาตุ เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2481
ภาพจาก เขมจารีนิพนธ์ (2500)


เทศนาในงานศพวีรชนที่ปราบกบฏบวรเดช


พระธรรมเทศนาที่น่าสนใจของสมเด็จพระวันรัต (เฮง) อีกชิ้นที่สำคัญ คือเทศนาในวันพระราชทานเพลิงศพทหารและตำรวจฝ่ายรัฐบาลจำนวน 17 ศพ ที่เสียชีวิตจากการปราบ ‘กบฏบวรเดช’ หรือคณะกู้บ้านกู้เมือง เมื่อตุลาคม 2476 จากนั้นรัฐบาลได้นำศพของผู้เสียชีวิตมาทำบุญอุทิศส่วนกุศล ณ วัดราชาธิวาส และจัดพิธีพระราชทานเพลิงศพอย่างยิ่งใหญ่ ณ เมรุที่สนามหลวง ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2476 (ปฏิทินเก่า) ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการจัดงานศพของสามัญชนโดยเฉพาะในสถานที่สำคัญเช่นนี้


คัมภีร์เทศน์ของสมเด็จพระวันรัต (เฮง) ‘อักษรขอม ภาษาไทย’ ซึ่งใช้แสดงเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2476 (ปฏิทินเก่า)
ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ในงานสมโภชพระอารามครบ 338 ปี วัดมหาธาตุ กรุงเทพฯ


ในวันดังกล่าว สมเด็จพระวันรัต (เฮง) แต่เมื่อเป็นพระพิมลธรรม ได้แสดงพระธรรมเทศนา ถวายในวันพระราชทานเพลิงศพทหารผู้เสียชีวิตให้แก่ชาติ ความตอนหนึ่งว่า

บัดนี้เป็นเวลาจะพระราชทานเพลิงศพทหารและตำรวจ ซึ่งเสียชีวิตในการทำกิจตามหน้าที่ด้วยความกล้าหาญ และได้รับความยกย่องของรัฐบาล พร้อมด้วยพระบรมราชูปถัมภ์เป็นเกียรติศักดิ์สมกับความชอบ ในการนี้ คณะทหารมีท่านผู้บัญชาการทหารบกเป็นประธาน ได้เป็นธุระจัดการสักการศพเชิดชูเกียรติยศอย่างมโหฬาร บำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทาน อุทิศส่วนบุญให้ตามวิสัยของพุทธศาสนิก ทั้งประชาชนเป็นอันมากก็พลอยมีใจสงสาร ได้มาช่วยเป็นสหายในการนี้ และสมัครพรักพร้อมประชุมกันสักการศพเป็นมหาสมาคม เป็นการไว้อาลัยให้เกียรติยศอย่างสูงแก่ผู้ล่วงลับไปแล้วนั้นๆ

จากนั้นได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของประโยชน์ชาติซึ่งมาก่อนประโยชน์ตน โดยอรรถาธิบายว่า

บรรดาสัตว์ทั้งหลายล้วนมีอันจะตายเป็นสภาวะ ชีวิตของสัตว์ผู้หนึ่งๆ ไม่เป็นไปได้ถึงไหน เพียงไม่กี่สิบปี ก็จักถึงความไม่มีบัญญัติ คือ จักไม่เป็นอะไร อยู่ที่ไหน ไม่มีใครรู้ ฯ ส่วนสกุลที่สืบสายลงไปหลายชั่วอายุ ยังจักตั้งอยู่ได้นานกว่าอายุของคนผู้เดียว คนเราจึงควรนึกถึงและรักษาประโยชน์ของสกุลเป็นใหญ่กว่าประโยชน์ส่วนตน ฯ แม้สกุลเล่าก็เป็นเพียงสาขาอันหนึ่งๆ ของชาติแห่งคนเรา เชื้อสายที่สามารถ ก็ยังอาจรักษาให้สืบลงไป เชื้อสายสิ้นสามารถ ก็อาจสาบสูญ ดุจชีวิตของคนผู้เดียว ไม่ยั่งยืนเหมือนชาติที่สงเคราะห์สกุลหลายสายเข้าไว้ เพราะอย่างนี้คนเราจึงควรนึกถึงและรักษาประโยชน์ของชาติเป็นใหญ่กว่าประโยชน์ส่วนสกุล

และยืนยันเกียรติคุณของวีรชนเหล่านั้นว่า

ชนใดได้ทำประโยชน์ให้แก่สกุลให้แก่ชาติของตน เป็นผู้น้อยได้เข้าสามัคคี เป็นกำลังของหัวหน้า เป็นผู้ใหญ่ได้นำผู้น้อยในวิถีแห่งธรรมและในสามัคคีเพื่อกิจการของสกุลของชาติ ได้บำรุงพระศาสนาอันคุ้มครองตนกับสกุลตลอดถึงชาติ ชนนั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ไม่ปราศจากประโยชน์ แม้เขาสิ้นชีวิตไปแล้ว ก็ย่อยยับไปแต่รูปกายอันเป็นสังขตธรรม คือสภาพอันปัจจัยแต่งขึ้นอันไม่เป็นของคงทนถาวร ส่วนชื่อและโคตรยังจักไม่สาบสูญ ยังจักปรากฏแก่ใจของคนร่วมสกุลร่วมชาติตลอดกาลที่สกุลและชาติยังตั้งอยู่

โดยวีรชนทั้ง 17 นาย ได้แก่

  1. นายพันโท หลวงอำนวยสงคราม (ถม เกษะโกมล)
  2. นายร้อยเอก ขุนศุกรนาคเสนีย์ (เจือ ศุกรนาค)
  3. นายร้อยโท น่วม ทองจรรยา
  4. นายดาบ ละมัย แก้วนิมิต
  5. นายดาบ สมบุญ บัวชม
  6. จ่านายสิบ หล่อ วงศ์พราหมณ์
  7. จ่านายสิบ แฉล้ม ศักดิ์ศิริ
  8. นายสิบเอก ชั้ว เผือกทุ่งใหญ่
  9. นายสิบเอก ทองอิน เผือกผาสุข
  10. นายสิบเอก เช้า สุขสวย
  11. นายสิบเอก พัน ยังสว่าง
  12. นายสิบเอก จัน ศุขเนตร
  13. นายสิบเอก บุญช่วย สุมาลย์มาศ
  14. นายสิบเอก ดา ทูคำมี
  15. นายสิบเอก หลิม เงินเจริญ
  16. นายร้อยตำรวจเอก ขุนประดิษฐ์สกลการ (ไปล่ จันทประดิษฐ)
  17. นายร้อยตำรวจตรี ทอง แก่นอบเชย

อนึ่ง ศรัญญู เทพสงเคราะห์ ให้ข้อมูลว่า หนังสือที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ 17 ทหารและตำรวจที่เสียชีวิตในการปราบกบฏบวรเดชครั้งนี้ มีจำนวน 6 เล่ม หนึ่งในนั้นคือหนังสือ ‘พระธรรมเทศนาของพระพิมลธรรม วัดมหาธาตุ’ ที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัติวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทรงพระกรุณาพิมพ์ อันสันนิษฐานได้ว่าหมายถึงพระธรรมเทศนาที่แสดงในโอกาสนี้นั่นเอง


สมเด็จพระวันรัต (เฮง) ที่วัดมหาธาตุ ในฐานะสิ่งศักดิ์ที่ ‘เฮง’
ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2566


ส่งท้าย


เวลาเนิ่นนานผ่านไปกว่า 80 ปีแล้ว คนรุ่นหลังอาจรู้จัก ‘สมเด็จเฮง’ ในฐานะพระผู้มีชื่อมงคล ดังรูปเคารพของท่านที่วัดมหาธาตุในปัจจุบันก็มีชื่อเสียงไปในทางให้ความ ‘เฮง’ มากกว่าชื่อเสียงในการเทศนา อธิบายพระธรรมในพระพุทธศาสนาไปแล้วอย่างน่าเสียดาย ดังคาถาบูชาที่ปรากฏอยู่ ณ ที่นั้นว่า

ข้าพเจ้าขอกราบไหว้บูชา สมเด็จพระวันรัต เฮง เขมจารี ผู้เป็นอดีตอธิบดีสงฆ์ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ซึ่งเป็นผู้นำในการบริหารกิจการทั้งปวงแห่งหมู่คณะ เป็นพระมหาเถระ ผู้มีความกล้าหาญอย่างประเสริฐ ล้ำเลิศในด้านการปกครองและการศึกษา ผู้รจนาคาถาบูชาพระอรหันต์ ๘ ทิศ ด้วยการน้อมจิตและกายวาจา เป็นเครื่องสักการะบูชาสมเด็จ ผู้มีนามว่าเฮง ขอความเป็นผู้มีโชคลาก ความเอิบอาบด้วยอำนาจแห่งบุญ ความเพิ่มพูนด้วยพลังแห่งบารมี ความมีศรีมีมงคล จงสำเร็จเป็นอิฏฐผล โปรดดลบันดาลให้การงาน และชีวิต สถิตอยู่ในความสุขความสำเร็จและความเก่ง ‘เฮง เฮง เฮง’ ตลอดไป เทอญ


เขมจารีนิพนธ์ (2500) ที่ห้องหนังสือหายาก หอสมุดปรีดี พนมยงค์ หอสมุดแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เขมจารีนิพนธ์ เล่มที่อยู่ในห้องหนังสือหายากนี้ เคยเป็นสมบัติของศาสตราจารย์ไพโรจน์ ชัยนาม มาก่อน


บรรณานุกรม

  • เขมจารีนิพนธ์ รวมนิพนธ์ของสมเด็จพระวันรัต (เฮง ป.9) เขมจารีมหาเถระ วัดมหาธาตุ พระนคร, วิรัต บุณยประสิทธิ์ สร้างเป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพคุณแม่อุบาสิกา เขมา บุณยประสิทธิ์ ณ เมรุวัดประยุรวงศาวาส ธนบุรี วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2500, หน้า 231-237.
  • บันทึกโอวาทสมเด็ด. คนะสิสต่างวัดและผู้ที่เคารพนับถือพิมพ์แจกในงานบำเพ็นกุสลหน้าสพ เจ้าพระคุนสมเด็ดพระวันรัต เขมจารี นะตำหนักวัดมหาธาตุ 13-14 พรึสจิกายน 2486.
  • ประวัติวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์, พิมพ์เนื่องในโอกาสงานสมโภชพระอารามครบ 338 ปี วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร 27 ธันวาคม 2566 – 2 มกราคม 2567, หน้า 202-241.
  • ศรัญญู เทพสงเคราะห์. เปิดบันทึก “ตำรวจเชลย” ตำรวจสันติบาลกับการปราบกบฏบวรเดช, https://pridi.or.th/th/content/2024/10/2173
  • ศรัญญู เทพสงเคราะห์. อนุสาวรีย์ปราบกบฏ: จากจุดเริ่มต้นสู่การอันตรธาน พ.ศ. 2476-2561, https://pridi.or.th/th/content/2024/10/2179

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save