ภาพปกโดย wikicommon
“You are not my king”, “You are not our king”, “This is not your land”
เสียงตะโกนก้องในรัฐสภาออสเตรเลียมาจาก ลิเดีย ธอร์ป (Lidia Thorpe) สมาชิกวุฒิสภาจากรัฐวิคทอเรีย หลังจากกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 ทรงมีพระราชดำรัสต่อที่ประชุมร่วมสองสภาในกรุงแคนเบอราซึ่งถือว่าเป็นหมายกำหนดการสำคัญของการเสด็จเยือนครั้งแรกตั้งแต่เสด็จขึ้นครองราชย์ เสียงตะโกนดังกล่าวได้กลายเป็นข่าวดังทั่วโลกและเป็นสัญญาณที่น่าจับตา
ลิเดีย ธอร์ป นักเคลื่อนไหวทางการเมืองอายุ 51 ปี แม้ว่าเธอมีเชี้อสายเป็นชาวอะบอริจินซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมือง แต่เธอมีสายเลือดผสมปะปนทั้งอังกฤษและไอริช เธอเคยเคลื่อนไหวในประเด็นสิ่งแวดล้อมและสิทธิชาวพื้นเมืองอย่างโดดเด่นจนได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา
สำนักพระราชวังบักกิงแฮมมิได้แสดงท่าทีต่อการประท้วงนี้ระหว่างการเยือน แต่หลังจากเสด็จกลับถึงลอนดอน สำนักพระราวังกลับประกาศแถลงการณ์ว่า กษัตริย์ชาร์ลทรงตระหนักว่าเสรีภาพในการแสดงออก (freedom of speech) เป็นเสาหลักของประชาธิปไตย (cornerstone of democracy)
ด้านแอนโทนี อัลบานีส (Anthony Albanese) นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย แม้ว่าเขาเคยแสดงท่าทีชัดเจนว่าสนับสนุนให้ยกเลิกสถาบันกษัตริย์ ได้กล่าวตำหนิ ลิเดีย ทอร์ป ว่าการกระทำของเธอไม่ถูกกาลเทศะและไม่เหมาะสมกับตำแหน่งสมาชิกรัฐสภา อีกทั้งยังมีกลุ่มผู้อาวุโสของคนพื้นเมืองอะบอริจินหลายคน ออกมาตำหนิว่าไม่มีมารยาทและทำให้พวกตนอับอาย
ประเทศสมาชิกเครือจักรภพทั้ง 56 ประเทศ ส่วนใหญ่มีระบบการปกครองเป็นสาธารณรัฐไปแล้ว แต่ยังคงมี 14 ประเทศที่ยังรักษาธรรมเนียมให้กษัตริย์อังกฤษมีตำแหน่งเป็นประมุขแห่งรัฐของตนโดยกำหนดเพื่อเป็นสัญญลักษณ์เท่านั้น และไม่มีอำนาจทางการเมืองแต่อย่างไร เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา และดินแดนที่เป็นเกาะต่างๆ ในแคริบเบียนและแปซิฟิก เป็นต้น ล่าสุดบาเบโดสประกาศยกเลิกสถาบันกษัตริย์แล้วเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ เมื่อปี 2021 ส่วนจาไมกาได้ประกาศเมื่อสองปีที่แล้วว่าจะจัดการลงประชามติเพื่อเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นสาธารณรัฐในปี 2025
ในยุคสมัยหนึ่งจักรวรรดิบริติช (British Empire) เคยรุ่งเรืองและแผ่อิทธิพลในช่วงศตวรรษที่ 19 จนเป็นที่กล่าวขานว่า บริเตนซึ่งเป็นเพียงเกาะเล็กๆ แต่มีอำนาจปกครองพื้นที่คลุมไปทั่วโลกถึงหนี่งในสี่ รวมประชากรกว่า 450 ล้านคนจึงเรียกกันว่าเป็น ‘ดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่ตกดิน’ โดยมีสัญญลักษณ์การปกครองสุงสุดคือ ‘สถาบันกษัตริย์’ โดยเฉพาะในรัชสมัยพระนางเจ้าวิคทอเรีย ที่มีอิทธิพลทางด้านการเมือง รัฐธรรมนูญ ภาษา กฎหมาย วรรณกรรมและวัฒนธรรม แม้ว่าหลายดินแดนจะได้เอกราชมาหลายสิบปี แต่อิทธิพลยังแผ่กระจายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ในดินแดนเหล่านี้สืบเนื่องกันมา เห็นได้ชัดในหลายประเทศเครือจักรภพที่ยังใช้หลักการปกครอง ภาษา การศึกษา ระบบกฎหมาย และระบบราชการ ที่เจ้าอาณานิคมมาวางรากฐานไว้
ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองก็มีขบวนการเรียกร้องเอกราชในอาณานิคมหลายแห่งอยู่แล้ว อีกทั้งช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง หลายประเทศเริ่มทยอยประกาศเอกราชและตัดขาดจากสถาบันกษัตริย์โดยจัดการปกครองเป็นสาธารณรัฐ หมุดหมายสำคัญที่แสดงว่า ‘ดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่ตกดิน’ มาถึงวาระสุดท้ายแล้ว คือ หลังจากที่สหราชอาณาจักรส่งมอบอำนาจการปกครองฮ่องกงให้แก่จีนแผ่นดินใหญ่เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 1997
ทั้งนี้ประเทศออสเตรเลียเคยจัดการลงประชามติเมื่อปลายปี 1999 เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญและเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบบสาธารณรัฐ โดยยกเลิกสถาบันกษัตริย์ไป แต่ผลของการประชามติในครั้งนั้นมีผู้ต้องการให้รักษาสถาบันพระมหากษัติย์ต่อไปถึง 54.87% อย่างไรก็ตามเวลาผ่านไปแล้ว 15 ปีและหลังจากที่สมเด็จพระราชีนีอลิซาเบ็ธเสเด็จสวรรคตไปแล้วหนึ่งปี พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ไม่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชนในดินแดนเหล่านี้อีกเลย โดยเฉพาะช่วงสงครามโลกจึงไม่มีบุญบารบีเทียบเท่า และบรรยากาศกับความรู้สึกผูกพันแต่ดั้งเดิมเจือจางลง จนกลายเป็นเสียงเรียกร้องให้มีการลงประชามติอีกครั้งจะเริ่มดังขึ้นตามลำดับ
ยิ่งไปกว่านั้นการประท้วงของลิเดีย ทอร์ป ยังมีมิติที่สำคัญมากกว่าเพียงการยกเลิกสถาบันกษัตริย์อีกด้วย โดยเธอให้สัมภาษณ์บีบีซีว่า ตนต้องการส่งสัญญาณถึงกษัตริย์อังกฤษว่า “เขาไม่ใช่กษัตริย์ของพวกเรา แผ่นดินนี้ไม่ใช่ของเขา กษัตริย์อังกฤษได้มาขโมยทรัพยากรจากประชาชนและแผ่นดินแห่งนี้” เธอกล่าวด้วยว่า “พวกเราไม่ต้องการก้มหัวให้กับเจ้าอาณานิคมที่บรรพบุรุษของพวกเขา เข้ามาเข่นฆ่า ทารุณ และกวาดล้างพวกเรา”
หลังจากการชุมนุมประท้วง ‘Black lives matter’ มีผู้ประท้วงโค่นล้มอนุสาวรีย์พ่อค้าทาส Edward Colston ที่เมืองบริสตอลเมื่อปี 2020 และมีเสียงเรียกร้องติดต่อกันมาในดินแดนที่เคยเป็นอาณานิคมขอให้รัฐบาลสหราชอาณาจักรและพระมหากษัตริย์บริเตนกล่าวคำขอขมาที่ก่อทารุณเหตุโหดร้ายในดินแดนอาณานิคม อีกทั้งชดเชยความเสียหายให้แก่ลูกหลานของอดีตทาสในดินแดนเหล่านั้น แต่จนบัดนี้ยังไม่มีคำขอขมาดังกล่าว
เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ที่ประชุมสุดยอดผู้นำประเทศเครือจักรภพที่เกาะซามัว กษัตริย์ชาร์ลเดินทางไปเปิดประชุมหลังจากการเยือนออสเตรเลีย การประชุมครั้งดังกล่าวมีประเด็นคำขอขมาและการชดเชยความเสียหายให้แก่ลูกหลานอดีตทาสถูกผลักดันขึ้นมาอีกครั้ง แม้ว่ารัฐาลสหราชอาณาจักรพยายามบ่ายเบี่ยงประเด็นให้โฟกัสเรื่องภัยคุกคามจากภาวะโลกร้อนที่จะมีผลใหญ่หลวงต่อประเทศเกาะแก่งต่างๆ ทั้งในคาริบเบียนและปาซิฟิก มากกว่าเรื่องความเจ็บปวดเสียหายในอดีต
แม้กระนั้นเสียงเรียกร้องให้สหราชอาณาจักรแสดงความรับผิดชอบต่อความอัปยศทางประวัติศาสตร์คงจะดังมากขึ้นตามลำดับ อีกทั้งยังดูเหมือนว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ประเด็นแหลมคมนี้เข้าสู่การหารือในระดับที่ประชุมสุดยอดผู้นำเครือจักรภพและประสบความสำเร็จในการบันทึกข้อความในแถลงการณ์ว่าเครือจักรภาพจะเปิดการหารือเรื่องนี้เพื่อหาข้อตกลงที่เหมาะสมต่อไปในอนาคต เรียกได้ว่าผู้นำประเทศอดีตอาณานิคมคงไม่หยุดยั้งที่จะทวงถามความเป็นธรรมในการประชุมครั้งต่อไปอีกสองปีข้างหน้า
สัญญาณเช่นนี้ชี้ให้เห็นว่า นอกจากพระอาทิตย์ตกดินแล้วยังมีภาระต้องชำระรอยด่างที่ค้างคาจากประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปี สหราชอาณาจักรคงต้องยอมรับความผิดพลาดในอดีตและหาวิธีทางชดใช้หนี้กรรมที่เคยก่อไว้
จากผลการสำรวจทัศนคติ British Social Attitude Survey ตีพิมพ์เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ในบริเตนเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของตนมากขึ้นและความภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ในอดีตก็ลดถอยลงอย่างฮวบฮาบ โดยเฉพาะบทบาทและพฤติกรรมของชนชั้นปกครองในช่วงที่เป็นนักล่าอาณานิคมและในอุตสาหกรรมค้าทาส อีกทั้งยังมีประเด็นที่แหลมคมมากกว่านั้นคือ การตั้งคำถามเกี่ยวกับพฤติกรรมของสมาชิกราชวงศ์ที่เคยพัวพันกับการค้าทาส
เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วในพิธีทางศาสนาที่วิหาร St. Giles ในเมืองเอดินเบอระเพื่อเฉลิมฉลองการเสด็จขื้นครองราชย์ของกษัตริย์ชาร์ลที่สาม ปรากฎว่ามีผู้นิยมการปกครองแบบสาธารณรัฐ (Republican) จำนวนหนึ่งชุมนุมประท้วงถือป้าย ‘Not my king’ ส่งเสียงร้องตะโกนหน้าวิหารเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญและเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยมีประมุขแห่งรัฐมาจากการเลือกตั้ง
แกนนำของกลุ่มผู้ชุมนุมที่เรียกตนเองว่า Our Republic กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า พวกตนในฐานะผู้เสียภาษีควรมีเสรีภาพในการแสดงออกว่าต้องการเลือกตั้งประมุขแห่งรัฐ อีกทั้งในภาวะที่ประชาชนกำลังลำบากเนื่องจากภาวะวิกฤตค่าครองชีพ พวกตนไม่ต้องการนำเงินภาษีไปใช้จ่ายให้สมาชิกราชวงศ์อย่างฟุ่มเฟีอย
แม้ว่าการชุมนุมประท้วงดังกล่าวยังคงจำกัดตัวในคนกลุ่มน้อย แต่หลังจากเปลี่ยนรัชสมัยเมื่อกษัตริย์ชาร์ลเสด็จขึ้นครองราชย์ต่อจากพระมารดา ดูเหมือนเสียงประท้วง ‘not my king’ จะดังมากขึ้นตามลำดับและกลายเป็นสโลแกนของกลุ่มที่ต้องการให้ยกเลิกระบบกษัตริย์
ที่ผ่านมาตำรวจจับกุมผู้ชุมนุมไปสี่คน เพราะพยายามปีนข้ามรั้วกั้นตามแนวถนน หลังจากให้ลงชื่อรับข้อตักเตือน ตำรวจก็ปล่อยตัวไป ทั้งนี้เพราะการชุมนุมเรียกร้องให้ยกเลิกสถาบันกษัตริย์ในสหราชอาณาจักรเป็นเพียงการใช้สิทธิแสดงออกตามหลักประชาธิปไตย (freedom of speech) และตามหลักนิติธรรม โดยไม่ถือว่าเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายและไม่ถือเป็นความผิดในคดีความมั่นคง
ในหน้าเพจของ Liberty ซึ่งเป็นหน่วยงงานปกป้องสิทธิมนุษยชน รายงานว่าลังจากเปลี่ยนรัชสมัย ตำรวจใช้มาตรการเข้มงวดมากขึ้นในการควบคุมกดดันผู้ชุมนุมประท้วง ทั้งนี้หลังจากมีการแก้กฎหมายเพิ่มอำนาจตำรวจเพื่อจัดการกับกลุ่มรณรงค์สิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นกลุ่มประท้วงที่มีความเข้มข้นกดดันมากกว่ากลุ่มอื่นๆ แต่อำนาจที่เพิ่มให้ตำรวจมากขึ้นนี้ Liberty ชี้ว่าถูกนำไปใช้กับกลุ่มผู้ประท้วงทางการเมืองเช่นกลุ่มเรียกร้องให้ยกเลิกสถาบันกษัตริย์ และกลุ่มเรียกร้องสันติภาพในปาเลสไตน์
หน้าเพจของ Liberty ให้ข้อมูลว่าบุคคลมีสิทธิตามกฎหมายที่จะแสดงออกว่าต้องการหรือไม่ต้องการสถาบันกษัตริย์ หรือตำหนิติเตียนบุคคลสาธารณะผู้มีชื่อเสียงในสังคม ซึ่งรวมไปถึงสมาชิกในราชวงศ์ทั้งด้านพฤติกรรมและผลงาน สิทธิดังกล่าวระบุให้ไว้ในกฎหมาย Human Rights Act 1998 กล่าวคือตำรวจมีหน้าที่บริหารจัดการให้การชุมนุมดำเนินการได้อย่างสันติ โดยกำหนดขั้นตอนและวางมาตรการให้ประชาชนสามารถออกมาใช้สิทธิในการแสดงออก (freedom of speech) และจัดชุมนุมประท้วงได้อย่างสงบ ขณะเดียวกันต้องป้องกันมิให้การชุมนุมประท้วงดังกล่าวไปรบกวนหรือคุกคามผู้อึ่น