นักเขียนการ์ตูนญี่ปุ่นรุ่นเก๋าอย่าง ชิเกรุ มิซึกิ[1] เจ้าของผลงาน อสูรน้อยคิทาโร่ ( ゲゲゲの鬼太郎 หรือ GeGeGe no Kitarō)[2] เคยบันทึกความโหดร้ายของสงครามผ่านมังงะกึ่งอัตชีวประวัติของเขาเรื่อง Onward Towards Our Noble Deaths (総員玉砕せよ! หรือ Soin Gyokusai Seyo, 1973) มาก่อน เนื้อเรื่องมีแกนหลักอยู่ที่หน่วยทหารญี่ปุ่นที่ทำการรบอย่างสิ้นหวังบนเกาะแห่งหนึ่งในมหาสมุทรแปซิฟิก ในช่วงที่ญี่ปุ่นไม่มีอะไรจะไปสู้แล้ว
ในสายตาของผู้บังคับบัญชา การยอมจำนนและการเป็นเชลยคือสิ่งที่ไร้เกียรติและน่าอับอาย ดังนั้น พวกเขาควรจบชีวิตลงด้วยการตายอันมีเกียรติ แต่สำหรับผู้อยู่แนวหน้าแล้ว การจากไปเช่นนี้คือความเหลวไหลไร้สาระเหลือทน ฉากสะเทือนใจที่สุด คงไม่พ้นตอนที่ผู้บังคับบัญชาสั่งให้ทหารไปรบจนตัวตายเพื่อเกียรติภูมิของชาติ แทนที่คนสั่งการจะนำหน้าทหารชั้นผู้น้อยไปสู่ความตายอันสง่างามตามที่เขาพร่ำบอก แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ กลับทอดทิ้งทหารใต้บังคับบัญชาโดยอ้างว่า จะต้องมีคนกลับไปรายงานว่าเกิดอะไรขึ้น วินาทีนั้น ผู้ใต้บังคับบัญชาเหมือนถูกหลอกให้ไปตาย โดยผู้บังคับบัญชาที่หน้าไม่อายที่พูดอย่างทำอย่าง มังงะเรื่องนี้ต่อมาได้ถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์โทรทัศน์ในอีกชื่อว่า Witnesses Our Noble Deaths (鬼太郎が見た玉砕 หรือ Kitarō ga Mita Gyokusai 2007)
มิซึกิคั้นประสบการณ์ชีวิตของเขาออกมาเขียนมังงะอีกชุด ตีพิมพ์ในช่วงปี 1988-1989 ชื่อว่า Showa: A History of Japan (コミック昭和史 หรือ Komikku Shōwa-shi) ฉากทั้งหมดเกิดในยุคอันยาวนานที่ชื่อว่า ‘โชวะ’ ธรรมเนียมการเรียกชื่อยุคเช่นนี้ เป็นจารีตการตั้งชื่อตามรัชสมัยของจักรพรรดิ ซึ่งในที่นี้คือ ‘โชวะ’ หรือจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ นับตั้งแต่ปี 1926-1989 กินระยะเวลากว่า 43 ปี ความพิเศษของยุคนี้คือ มีศูนย์กลางของเรื่องที่อยู่ภายใต้ไฟสงครามและผลกระทบ เป็นยุคที่ญี่ปุ่นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสงครามภูมิภาคและสงครามโลกในเวลาต่อมา
ใต้สงครามอันน่าสยดสยองนี้เอง มิซึกิ เป็นหนึ่งในชายญี่ปุ่นที่ถูกเกณฑ์เป็นทหาร การรอดชีวิตของเขาสังเวยไปพร้อมกับแขนหนึ่งข้าง ขณะที่เพื่อนๆ ร่วมสมรภูมิอีกจำนวนมากกลับไม่มีโอกาสกลับมาเหยียบแผ่นดินเกิดแบบมีชีวิต ในเวลาใกล้เคียงกัน ก็มีอนิเมะต่อต้านสงครามเรื่องหนึ่งที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในนาม สุสานหิ่งห้อย (火垂るの墓 หรือ Grave of the Fireflies) ซึ่งออกฉายเมื่อปี 1988
มิซึกิได้แสดงให้เห็นถึงเรื่องเล่าของเขาที่มีชีวิตผ่านร้อนและหนาว สอดแทรกด้วยเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ แกนหลักของเรื่องยึดหลักการต่อต้านสงครามอย่างแข็งขัน คำนำของหนังสือฉบับภาษาอังกฤษกล่าวว่า มิซึกินั้นต่างจากนักเขียนมังงะรุ่นหลังที่ไม่ได้มีประสบการณ์สงครามโดยตรง ทำให้บางคนสามารถทำให้สงครามเป็นเรื่องโรแมนติก หรือกระทั่งหลงใหลในเครื่องจักรสังหารจนแยกแยะไม่ออกจากความเลวร้ายของมัน
มังงะชุดนี้ในฉบับที่ผู้เขียนได้อ่าน เป็นฉบับแปลภาษาอังกฤษ แบ่งเป็น 4 เล่ม เล่าเรื่องตามปีและยุคสมัยของมัน คือ เล่มที่ 1 ปี 1926-1939 (แปลเป็นอังกฤษในปี 2013), เล่มที่ 2 ปี 1939-1944 (2014), เล่มที่ 3 ปี 1944-1953 (2014) และเล่มที่ 4 ปี 1953-1989 (2015) แต่ละเล่มทำให้เราเห็นชีวิตของมิซึกิที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นมา จากวัยเด็กที่เคยหลงใหลกับตัวละครนักรบทางประวัติศาสตร์ เขาท่องจำชื่อและเพลงที่เกี่ยวกับทหารผู้กล้าได้ เคยก่อเหตุวิวาทโดยจำลองสถานการณ์สู้รบแบบสงคราม เรียกได้ว่าเป็นภาพตัวแทนของยุวชนญี่ปุ่นรักชาติที่เกิดจากการส่งเสริมทั้งภาครัฐ และกระแสนิยมสงครามจากสื่อและนิตยสารสำหรับเด็ก แต่เมื่อเข้าสู่ภาวะสงครามที่ชีวิตลำบากมากขึ้น อาหารการกินเริ่มขาดแคลน คนใกล้ชิดและตัวเขาเองถูกเรียกเกณฑ์ทหาร ยิ่งนานวัน เนื้อเรื่องค่อยๆ เผยความไร้สาระของสงครามไปจนจบเล่ม
เล่มแรก 1926-1939[3]
เล่มนี้เปิดมาในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 แสดงให้เห็นว่า ญี่ปุ่นที่เคยรุ่งเรืองมาในยุคก่อนหน้านั้น เผชิญหน้ากับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำตั้งแต่แผ่นดินไหวใหญ่คันโต (1927) หายนะครั้งนั้นสร้างความพังพินาศให้กับญี่ปุ่น ไม่เพียงเท่านั้น ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจขนานใหญ่ยังได้รับผลกระทบจาก Great Depression จากอเมริกาในทศวรรษ 1930
ในเขตชนบท ชาวนายากจนข้นแค้นลงทุกที ไม่เพียงขายข้าวไม่ได้ ภัยธรรมชาติยังทำให้ผลผลิตตกต่ำจนอาหารประเภทข้าวใส่เกลือยังเป็นของที่หรูหรา จึงไม่แปลกที่ผู้คนฆ่าตัวตายเพราะทนความยากลำบากของชีวิตไม่ไหว ว่ากันว่า การพบศพชาวบ้านที่ชายฝั่งเพราะการปลิดชีพตัวเองถือเป็นเรื่องปกติ มิซึกิเล่าถึงเพื่อนบ้านที่ต้องทำงานอย่างหนักทั้งครอบครัว พวกเขามี ลูกชายชื่อยูทากะที่มีอายุใกล้เคียงกับเขา ถูกพ่อตีเพราะไม่ยอมไปทำงานบนเรือประมง แน่นอนว่าเด็กคนนั้นไม่ได้เล่าเรียน เมื่อเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องขึ้นเรือประมงไปเพื่อทำหน้าที่เป็นคนรับใช้และหุงหาอาหาร สุดท้ายจบชีวิตเพราะเรือล่มจากพายุ ความยากไร้ของชาวนาทำให้เกิดการตัดสินใจขายลูกสาวเข้าเมืองไปเป็นเกอิชา สาวบาร์เหล้า โสเภณี หรืออาชีพต่างๆ ที่ไม่สง่างามนัก โศกนาฏกรรมของชาวนาเป็นที่รับรู้กัน แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ง่ายดายนัก
ครอบครัวของมิซึกิต่างออกไป พวกเขาค่อนข้างมีอันจะกินมาก่อน ปู่ของเขาเคยเป็นทหารที่เคยรบในสมรภูมิรัสเซีย ต่อมาก็มีกิจการที่ชวา พ่อของเขาเองก็เคยลงทุนสร้างโรงหนังก่อนจะเจ๊งเพราะถูกขโมยเครื่องฉาย ขณะที่แม่ของเขาก็มาจากตระกูลซามูไร สาแหรกของตระกูลแม่มักถูกเล่าจากปากแม่อยู่เสมอๆ ด้วยความภาคภูมิใจ มิซึกิยังมียายอันเป็นที่รักของเขา แม้จะไม่ใช่ยายแท้ๆ แต่ก็เป็นคนอยู่ใกล้ชิดเขาในตอนเด็ก เป็นผู้เล่าเรื่องผีและปิศาจของญี่ปุ่นให้เขาฟังอยู่บ่อยๆ เรียกได้ว่า ภายใต้ครอบครัวที่ทันสมัย ก็ยังมียายคนนี้ที่เป็นคนเชื่อมสายใยโลกเก่าและใหม่ทอดผ่านตัวของมิซึกิ
ท่ามกลางความเดือดร้อน รัฐบาลเองกลับมิได้แสดงความจริงใจในการแก้ไขปัญหา พวกทุนใหญ่ของประเทศก็ยิ่งรวยเอารวยเอา ภาวะตึงเครียดทางการเมืองภายในและระหว่างประเทศ กระตุ้นให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าผู้ก่อการร้ายฝ่ายขวา และพวกชาตินิยมหัวรุนแรงที่นำไปสู่การลอบสังหารนักการเมือง และนักธุรกิจอยู่เนืองๆ เช่นเดียวกับการเติบโตของอิทธิพลของกองทัพที่เริ่มสยายปีกของอำนาจเหนือรัฐบาลพลเรือนมากขึ้นทุกที โดยเฉพาะการขยายอิทธิพลเข้าไปในจีนและสหภาพโซเวียต
ก่อนจะกระโจนเข้าสู่สงครามใหญ่ พลเมืองญี่ปุ่นถูกลิดรอนอำนาจทางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่การออกกฎหมายควบคุมพรรคการเมือง การควบคุมพรรคฝ่ายซ้ายและพรรคคอมมิวนิสต์ ไปจนถึงการยกเลิกเสรีภาพการแสดงออก เสรีภาพทางวิชาการ จึงไม่แปลกที่อาจารย์มหาวิทยาลัยจะถูกคุกคามอย่างหนัก ที่แย่ไปกว่านั้น การตัดสินคดีของศาลยุติธรรมก็น่ากังขาต่อสิ่งที่เรียกว่านิติรัฐ โดยเฉพาะกระบวนการยุติกรรมที่มีแนวโน้มว่าจะเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายขวาคลั่งชาติที่ก่ออาชญากรรม
ในทางวัฒนธรรม เราจะพบการปลูกฝังเด็กและเยาวชนให้รักชาติและนึกถึงฮีโร่ทางประวัติศาสตร์ในยุคซามูไร และผู้กล้าในสมรภูมิรบร่วมสมัย ทั้งในโรงเรียนและนิตยสารสำหรับเด็ก เด็กๆ ยุคนี้จึงเติบโตมากับอุดมการณ์ชาตินิยม ทหารนิยม จักรพรรดินิยม เด็กอย่างมิซึกิจดจำฮีโร่ทางประวัติศาสตร์และฮีโร่ทหารร่วมสมัยได้เป็นอย่างดี เหตุการณ์กระสุนมนุษย์ที่ให้ทหารสามนายแบกไม้ไผ่ที่บรรจุระเบิดไว้ข้างใน ได้โจมตีข้าศึกด้วยระเบิดจนตัวตาย กลายเป็นความตายอันน่ายกย่อง แท้จริงแล้วเกิดจากการที่กองทัพทำสายชนวนที่สั้นมากเกินไป หากสายชนวนยาวกว่านี้ทั้งสามก็ไม่จำเป็นต้องเสียชีวิตอย่างไม่จำเป็น ยังไม่ต้องนับเรื่องการเชิดชูจักรพรรดิว่าสูงส่งเทียมเทพเจ้า การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้
ญี่ปุ่นเริ่มหาความชอบธรรมเพื่อรุกรานจีน หลังจากที่ยึดครองเกาหลีได้ตั้งแต่ปี 1910 หลายกรณีได้ปั่นกระแสความเกลียดชังชาวจีนจากข่าวเท็จ หรือการสร้างสถานการณ์โดยกองทัพญี่ปุ่นที่จ้างคนจีนมาทำร้ายคนญี่ปุ่นเพื่อหาข้ออ้างในการทำสงคราม
เล่มที่ 2 1939-1944[4]
เล่มนี้เล่าถึงการเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเต็มตัว ญี่ปุ่นจับมือกับเยอรมนีและอิตาลีในนามฝ่ายอักษะ นายพลฮิเดกิ โตโจขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมกับดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหาร ญี่ปุ่นเปิดศึกในทะเลแปซิฟิกยึดครองดินแดนทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ว่ากันว่าสังคมญี่ปุ่นแทบไม่ต่างจากเยอรมนีที่นาซีครอบครองอำนาจ หากเยอรมนีมีเกสตาโป ที่ญี่ปุ่นก็มีเค็มเปไต (Kempeitai) หรือสารวัตรทหารที่จับตามองการกระทำของผู้คนพลเรือน
มิซึกิถูกหมายเรียกเกณฑ์ทหารในช่วงนี้ แม้ว่าช่วงแรกเขาจะรู้สึกสะดวกสบายและกินดีอยู่ในค่าย แต่เขาจะค่อยๆ พบความจริงว่า กับทหารชั้นผู้น้อยนั้น การถูกข่มเหงและทำร้ายร่างกายนั้นเป็นเรื่องที่แสนปกติในสังคมทหารที่แบ่งชั้นอย่างชัดเจน
การปะทะกันในสมรภูมิมิดเวย์ในปี 1942 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้กองทัพญี่ปุ่นเพลี่ยงพล้ำและตกเป็นรองในน่านน้ำแปซิฟิก ฝ่ายสัมพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐอเมริกาสามารถกลับมาครองความเหนือกว่าและนำไปสู่การยึดครองน่านน้ำและน่านฟ้าจนสามารถเข้าไปทิ้งระเบิดที่ญี่ปุ่นได้อย่างง่ายดาย
เมื่อมิซึกิถูกส่งเข้าสู่สนามรบ เขาและครอบครัวต่างคิดว่า คงไม่มีชีวิตรอดกลับมาจากการเดินทางไกลครั้งนั้นแล้ว ปลายทางที่เขาถูกส่งไปคือ บริเวณเกาะนิวบริเตน ประเทศปาปัวนิวกีนีในปัจจุบัน ช่วงที่ญี่ปุ่นเป็นรองกว่าในสงครามทำให้พวกเขาเป็นฝ่ายตั้งรับ ฐานที่มั่นของพวกเขาอยู่ตอนเหนือของเกาะ ขณะที่ฝ่ายศัตรูนั้นยึดครองส่วนใต้ของเกาะและทำการรุกคืบขึ้นมาเรื่อยๆ หน่วยทหารของมิซึกิเผชิญหน้ากับไข้มาลาเรีย ไข้เลือดออก โรคบิด การขาดแคลนเสบียง จระเข้ร้ายที่กินคน ที่สำคัญคือ การใช้แรงงานทหารเกณฑ์อย่างเข้มข้นเพื่อสร้างค่ายและงานแรงงานอื่นๆ การที่ทหารเกณฑ์ถูกทำร้ายโดยทหารผู้คุมเกิดขึ้นอย่างเป็นปกติ
ความบันเทิงที่จะพอมีสำหรับทหารก็คือ ซ่องเคลื่อนที่ที่พวกเขานำโสเภณีจากญี่ปุ่นมาบำเรอทหารหรือที่เรารู้จักกันในนาม ‘คอมฟอร์ต วูเม่น’ ที่ตลกร้ายก็คือ ความสุขนั้นมีเวลาอย่างจำกัด ทุกคนมีโควตาเพียง 30 วินาที เพื่อกระชับเวลาภายใต้ผู้ใช้บริการจำนวนมาก โสเภณีเหล่านี้มักเดินทางมากับเรือพยาบาล มีอยู่ครั้งหนึ่ง พวกเธอเคราะห์ร้ายที่กลับไม่ถึงบ้าน เพราะเรือถูกจมลงด้วยเรือดำน้ำของฝ่ายศัตรู มิซึกิเล่าว่า เขาปลีกตัวจากเวลาที่ควรได้เที่ยวซ่องไปเจอหมู่บ้านคนพื้นถิ่น และได้หาทางผูกมิตรกับชาวบ้านเหล่านั้นแทน
เล่มที่ 3 1944-1953[5]
เป็นเล่มที่เล่าถึงช่วงปิดท้ายสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงสงครามเกาหลี เจาะไปที่ชีวิตทหารของมิซึกิที่ต้องหลบหนีข้าศึก และป่วยไข้หนักด้วยโรคมาลาเรีย กระนั้นเขายังถูกสั่งให้ใช้แรงงานหนัก ช่วงนั้นน่านฟ้าแถบตอนเหนือของเกาะนิวบริเตนถูกควบคุมโดยฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างเด็ดขาดแล้ว จึงไม่สามารถส่งเสบียง หรือหาทางหนีออกไปได้ เหล่าทหารจึงไม่ค่อยมีความหวังอะไรมากนัก มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาออกไปลาดตระเวนเพื่อจับสปายในวันที่ฝนตกหนัก เพื่อนทหารถูกยิง เขาถูกเรียกตัวไปให้ตัดนิ้วเพื่อส่งกลับไปทำพิธีศพ ทั้งที่ทหารนายนั้นยังไม่ตาย แน่นอนว่า เขาถูกทิ้งไว้ที่ตรงนั้นในฐานะทหารผู้ไร้ประโยชน์ และการลากเพื่อนกลับไปยังฐานทัพคงไม่คุ้มค่าอีกแล้ว
ที่ญี่ปุ่น ผู้ชาย 1 ใน 6 เป็นทหาร อายุเกณฑ์ต่ำลงถึงอายุ 18 ปี สิ้นปี 1944 มีทหารจำนวน 5.4 ล้านคน และปี 1945 จำนวนเพิ่มเป็น 7.2 ล้านคน เด็กและผู้หญิงต้องมาเป็นแรงงานในโรงงาน ส่วนในเหมืองถ่านหิน ชาวจีนและเกาหลีถูกนำมาใช้เป็นแรงงานทาสในฐานะผู้คนในบังคับอาณานิคมซึ่งอยู่ในสถานะที่เลวร้ายกว่าคนญี่ปุ่นอย่างเทียบกันไม่ได้ น่านฟ้าญี่ปุ่นถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดรุกล้ำ มีการอพยพเด็กไปสู่ชนบทเพื่อความหวังที่จะรอดชีวิต บ้านในเขตเมืองถูกรื้อเพื่อไม่ให้เป็นเชื้อไฟ บ้านของพ่อแม่มิซึกิที่อยู่ไกลออกไปก็ไม่พ้นชะตากรรมนี้
เมื่อศัตรูยกพลขึ้นบก ความตึงเครียดของหน่วยของมิซึกิมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มมีการพูดถึงการสู้จนตัวตาย วันหนึ่งมิซึกิถูกมอบหมายให้ไปตักน้ำ หมู่ของเขาที่อยู่ในแนวป้องกัน คิดว่าข้าศึกบุกโจมตีจึงมีการยิงต่อสู้ แต่ปรากฏว่าในความมืด มันคือการโจมตีของพวกเดียวกันที่เข้าใจผิด พวกเขาไม่รู้ว่าข้าศึกยังอยู่อีกไกลนัก เพื่อนทหารในหมู่ของมิซึกิตายทั้งหมด เหลือเพียงเขาที่รอดชีวิต ในสงครามและกองทัพญี่ปุ่น ผู้รอดชีวิตไม่เพียงแต่จะแบกความรู้สึกผิดด้วยตัวเอง แต่ทหารที่เหลืออยู่ก็จะส่งความรู้สึกผิดให้คุณด้วย มิซึกิถูกมองอย่างนั้นจากทหารหน่วยใหม่ที่เขาไปสังกัด
เมื่อถูกโจมตีอย่างหนักเข้า ก็มีอยู่สองแนวทาง คือ สู้จนตัวตายอย่างสง่างาม หรือการกลับไปหาที่หน่วยบัญชาการหลัก แต่นายทหารมองว่า การตายอย่างมีเกียรติควรเป็นทางออกมากกว่า การตัดสินใจถอยทัพเพื่อมารวมกับกองกำลังหลักเพื่อกลับไปสู้ต่อถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าพอใจ หากไม่ถูกกดดันให้ฆ่าตัวตาย ก็มีเหตุต้องให้ประหารนายทหารผู้ตัดสินใจไม่ได้เรื่องเช่นนั้น
มิซึกิเจอพิษไข้มาลาเรียเล่นงาน อยู่มาวันหนึ่งระหว่างที่นอนพัก ก็ถูกลูกหลงจากสะเก็ดระเบิดที่ถูกทิ้งมาจากเครื่องบิน จนได้รับบาดเจ็บที่แขนซ้าย อาการสาหัสจนไม่สามารถจะเก็บไว้ได้ หมอจึงตัดสินใจตัดแขนทิ้ง เขาเสียเลือดมากจนหมอก็คิดว่าคงไม่รอดแล้ว แต่มิซึกิกลับผ่านมาได้ เขาถูกส่งตัวไปที่หน่วยบัญชาการใหญ่ที่ราบาอูลด้วยเรือขนส่งที่เล็ดลอดผ่านสายตาข้าศึก และในที่สุดก็ไปถึงโรงพยาบาลสนาม ที่นี่เขาพาตัวเองออกไปหาเสบียงจึงไปเจอหมู่บ้านคนพื้นถิ่นเผ่า Tolai ที่นี่เองที่เขาได้ผูกสัมพันธ์ใกล้ชิด สิ่งที่สื่อใจเขากับคนแถวนั้นคือไบเบิ้ล ด้วยความรู้บางอย่างทำให้เขาถูกเรียกว่า ‘พอล’ เขาแลกเปลี่ยนบุหรี่ที่ได้รับปันส่วนมากับอาหาร จากนั้นอาการของเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ มิซึกิอยู่มาจนถึงวันที่จักรพรรดิประกาศยอมแพ้ เขาสามารถกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย แม้จะทิ้งแขนข้างหนึ่งไว้ที่นั่น
แม้มิซึกิจะกลับมาได้อย่างปลอดภัย แต่พี่ชายถูกจับในฐานะอาชญากรสงคราม เนื่องจากอยู่ในตำแหน่งนายทหารและถูกจองจำอยู่ 8 ปี ชีวิตผู้คนหลังสงครามนั้นแสนยากลำบาก ทั้งอาหารการกินและงานการ มิซึกิเคยรวมตัวกับเพื่อนเพื่อขอทานจากผู้คนในนามของทหารผ่านศึก ลองเปลี่ยนงานไปหลายครั้งตั้งแต่ไปรับจ้างขายปลา ไปเรียนศิลปะ สู่การเริ่มเขียนมังงะป้อนธุรกิจการเล่านิทานเร่ (คามิชิไบ หรือ 紙芝居 หรือ Kamishibai) ซึ่งจะเป็นฐานสำคัญก่อนที่จะเข้าจะยึดเป็นอาชีพไปจนตาย
หลังสงคราม ญี่ปุ่นถูกรื้อถอนชาตินิยมแบบเดิม สหรัฐอเมริกาพยายามสร้างความเป็นประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม ส่งผลให้นักโทษการเมืองทั้งหลายถูกปล่อยตัวออกมา รวมถึงสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ ทำให้ในช่วงแรก ความเป็นประชาธิปไตยเบ่งบานเป็นอย่างดี เสรีนิยมและสังคมนิยมแสดงบทบาทในพื้นที่ทางการเมืองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในช่วงสงครามโลก การเรียกร้องเพื่อความเป็นธรรมที่มาพร้อมกับสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ถือว่าตอบโจทย์ผู้คนในยุคนั้น
สงครามเกาหลีที่เริ่มในปี 1950 กลายเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นกำลังฟื้นตัวจากสงครามด้วยสงครามนอกญี่ปุ่นที่สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ สงครามนี้รู้จักกันในนาม ‘สงครามเย็น’ เป็นสงครามตัวแทนที่รบในประเทศที่ 3 สหรัฐอเมริกาใช้ญี่ปุ่นเป็นฐานในการผลิตและส่งกำลังบำรุงให้สงครามเกาหลี ผลพวงจากสิ่งนี้ได้กระตุ้นเศรษฐกิจญี่ปุ่นขึ้นมาระลอกใหญ่
เล่มที่ 4 1953-1989[6]
เล่มสุดท้ายคือช่วงเวลาต่อเนื่องไปถึงสงครามเวียดนามจนสิ้นสุดยุคโชวะ การฟื้นตัวของญี่ปุ่นจากฐานสงครามของสหรัฐอเมริกายังเป็นผลพวงต่อเนื่อง ภาพยนตร์ก็อตซิลลา ออกฉายครั้งแรกในปี 1954 สัตว์ประหลาดขนาดมหึมาที่จำศีลอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกถูกปลุกขึ้นมาโดยการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ ก็อตซิลลานับเป็นสัญลักษณ์ความหวาดกลัวของชาวญี่ปุ่นต่อระเบิดนิวเคลียร์ที่ไม่หายไปไหน ขณะที่ชีวิตของมิซึกิก็เริ่มหันเหไปสู่ทิศทางใหม่ นั่นคือการเริ่มเป็นนักเขียนมังงะ และแต่งงาน
ภายใต้ความตึงเครียดของสงครามเย็น ฝ่ายซ้ายมีบทบาทมากขึ้นกระทั่งในญี่ปุ่น การรวมตัวเดินขบวนเรียกร้องของกลุ่มสังคมนิยม คอมมิวนิสต์ และแรงงานเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางช่วงกลางทศวรรษ 1950 เป็นต้นมา แต่การใช้ความรุนแรงมากขึ้นของบางฝ่ายทำให้การสนับสนุนจากสาธารณะลดน้อยลงช่วงทศวรรษ 1960-1970 ไม่เพียงเท่านั้น ในอีกฟากฝ่ายขวาหัวรุนแรงเองได้ก่อเหตุลอบสังหารนักการเมืองฝ่ายซ้าย กระแสฝ่ายซ้ายจะเติบโตขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับสงครามเวียดนามปลายทศวรรษ 1960-1970 แต่ครั้งนี้ผู้นำหลักจะเป็นกลุ่มนักศึกษา
ชีวิตมิซึกิก็เปลี่ยนผันในยุคนี้เองเมื่อเขาได้รับการติดต่อจากสำนักพิมพ์โคดันฉะเพื่อผลิตผลงานตีพิมพ์ลงนิตยสาร ฐานะที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนนี้เองทำให้เขากลับไปไถ่ของที่เขาเคยจำนำกว่า 15 ปีจากโรงจำนำกลับมาได้ มิซึกิมักเขียนถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในลักษณะประวัติศาสตร์สังคม ตั้งแต่เรื่องอื้อฉาวของนักการเมืองไปจนถึงคดีอาชญากรรมต่างๆ สำหรับชนชั้นล่างที่ก่อคดีบางคนเขาพยายามมองอย่างเห็นอกเห็นใจ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกใส่ความหรือยัดข้อหา
เขายังกล่าวถึงละครโอชินซึ่งเป็นที่นิยมอย่างยิ่งในปี 1984 มันเป็นละครที่คนไทยในยุคหนึ่งก็รู้จักกันดี เรื่องเล่าถึงชีวิตอันทุกข์ยากของหญิงสาวที่มีชีวิตในสมัยเมจิ มาจนถึงทศวรรษ 1980 จนผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘โอชิน’ ในยุคดังกล่าว หมายถึงผู้ที่มีชีวิตอันย่ำแย่และทุกข์ทน มิซึกิเข้าใจดีจากประสบการณ์ที่เขาเคยผ่านมา เมื่อชีวิตเขาดีขึ้นมากพอจึงกลับไปเยี่ยมมิตรสหายชาติพันธุ์ที่เกาะนิวบริเตนที่เคยช่วยเหลือเขาไว้และตอบแทนคืนในสิ่งที่เขาพอจะทำได้
ตอนจบของเล่มเขาสรุปว่า ยุคโชวะแสดงให้เห็นถึงทั้งสงครามและสันติภาพ สิ่งไหนเล่าที่เราจะเลือกสำหรับอนาคต เราจำเป็นต้องเรียนรู้จากอดีตเพื่อมิให้เกิดความผิดพลาด อย่าลืมว่ามันเคยเกิดอะไรขึ้นกับเรา มิซึกิไม่เคยลืมสงคราม ไม่เคยลืมว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อทหารครองประเทศ เพราะสิ่งเหล่านั้นคือใบหน้าแห่งความตาย โลกจะต้องไม่ลืมบทเรียนประวัติศาสตร์ เขาวิงวอนต่อผู้อ่านว่า สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับพวกคุณ อย่าสร้างความผิดพลาดแบบเดิมอีก
ท้ายเรื่อง
อนิเมะล่าสุดอย่างกำเนิดคิทาโร่ ที่เกิดขึ้นหลังจากมิซึกิจากโลกนี้ไปพอสมควร ชี้ให้เห็นตัวละครสมมติหนึ่งที่เป็นเจ้าของกิจการยาใหญ่โต และต้องการสร้างความยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่นให้กลับมาอีกครั้งหลังสงคราม ด้วยการทดลองสร้างยาความเป็นอมตะให้กับทหาร โดยต้องใช้เลือดของผีและวิญญาณทั้งหลายมาผลิตยาดังกล่าว ตาแก่คนนั้นพร่ำบอกให้เหล่าภูตผีจงเสียสละเพื่อความยิ่งใหญ่ของประเทศ นั่นเป็นสิ่งที่ตัวละครมิซึกิในเรื่องรับไม่ได้ และไม่ยอมรับข้อเสนอว่าด้วยเงินทองและความมั่นคงของชีวิตที่ตาแก่คนนั้นหยิบยื่นให้ นี่คงเป็นการตีความความคิดของมิซึกิที่ปฏิเสธสงครามและอุดมการณ์ที่คลั่งชาติ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนและทุกข์ยากให้กับคนจำนวนมาก
ก่อนหน้านี้ คงไม่มีใครคิดว่า ปี 2568 ประเทศไทยยังต้องเผชิญหน้ากับสงครามชายแดนกันอีก การป้องกันดินแดนอาจเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ แต่ในความไม่ปกติที่อาจจับสังเกตได้จากการที่รัฐบาลพลเรือนกำลังถูกกองทัพเข้ามามีบทบาทนำ การส่งเสียงของมวลชนฝ่ายขวาด้วยท่วงทำนองแบบชาตินิยม-ทหารนิยม ขณะที่สื่อมวลชนส่วนใหญ่ก็ร่วมสร้างความชอบธรรมของสงครามด้วยการทำตัวเป็นกระบอกเสียงให้กับกองทัพ การปั่นประสาท สาดความเกลียดชังให้กับเพื่อนบ้าน แบบเดียวกับที่พวกเขาเคยทำกับผู้ต้องสงสัยในคดีอาชญากรรมหลายคดี และทำตัวราวกับเป็นผู้พิพากษามากกว่าวิชาชีพสื่อมวลชน เช่นเดียวกับอินฟลูเอนเซอร์ที่ขี่กระแสไปพร้อมกับยอดเอนเกจเมนต์ที่จะส่งผลต่อบัญชีรายรับของพวกเขา ขณะที่พรรคการเมืองทั้งหลายก็ไม่มีใครส่งเสียงคัดค้านต่อการใช้อำนาจของกองทัพที่เลยเถิดอย่างจริงจัง มันทำให้การสู้รบกันครั้งนี้มิใช่เป็นเรื่องของทหารทั้งสองฝ่ายอีกต่อไป
บาดแผลจากสงครามมิได้มีแค่การบาดเจ็บล้มตาย มิได้มีแค่ความเสียหายทางเศรษฐกิจ แต่มันยังสร้างแผลเป็นจากความเกลียดชังของผู้คน และความดีงามของมนุษยธรรมลงไปอีกด้วย
เราจะเรียนรู้อะไรจากมังงะประวัติศาสตร์ยุคโชวะได้บ้างไหม?
[1] ชื่อจริงของเขาคือ ชิเกรุ มูระ คำว่า มิซึกิเป็นนามปากกาที่เขาได้มาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อเข้าสู่วงการมังงะ ส่วน เกะเกะ มาจากชื่อเล่นของเขา เนื่องจากว่า ตอนเด็ก เขาออกเสียง ชิเกรุ ที่เป็นชื่อตัวเองไม่ได้ แต่ออกเป็นเสียง ‘เกะเกะ’
[2] สำหรับคนไม่รู้จักมาก่อน อสูรน้อยคิทาโร่ คือมังงะที่เล่าเรื่องแฟนตาซีในโลกของความตายโดยมีตัวเอกที่กำเนิดจากหลุมศพ แม้จะดูน่าหดหู่และหม่นหมองแต่มันก็ครองใจผู้อ่านมาตั้งแต่ปี 1967 และเรื่อยมาหลังจากนั้น นอกจากตีพิมพ์เป็นมังงะแล้ว ความนิยมของมังงะเรื่องนี้ยังถูกสร้างเป็นอนิเมะตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1960 ผลงานมังงะและอนิเมชั่นถูกผลิตซ้ำอย่างต่อเนื่องมาหลายสิบปี เพลงเปิดด้วยท่อน “เกะ เกะ เกะ” และภาพที่ชวนขนลุก ก็เป็นจุดเด่นสำคัญที่ถูกจดจำ ล่าสุดคิทาโร่ถูกนำมาทำเป็นอนิเมะที่ชื่อว่า กำเนิดคิทาโร่ ปริศนาของเกะเกะเกะ (鬼太郎誕生 ゲゲゲの謎 หรือ Kitarō Tanjō: Gegege no Nazo, 2023) หลังจากที่มิซึกิตายไปแล้ว 9 ปี ตัวละครหลักที่ชื่อ มิซึกิ ก็ชัดเจนว่าเป็นการระลึกถึงตัวเขา ในอนิเมะยังมีหลายฉากที่นำเรื่องราวประสบการณ์ทหารช่วงสงครามโลกใส่เข้ามาด้วย
[3] Shigeru Mizuki, Showa: A History of Japan, 1926-1939, Zack Davisson, translated (Montréal, Québec : Drawn & Quarterly, 2013)
[4] Shigeru Mizuki, Showa: A History of Japan, 1939-1944, Zack Davisson, translated (Montréal, Québec : Drawn & Quarterly, 2014)
[5] Shigeru Mizuki, Showa: A History of Japan, 1944-1953, Zack Davisson, translated (Montréal, Québec : Drawn & Quarterly, 2014)
[6] Shigeru Mizuki, Showa: A History of Japan, 1953-1989, Zack Davisson, translated (Montréal, Québec : Drawn & Quarterly, 2015)