“เวลาอยู่ห้องมืด ผมเห็นภาพหลอนไปหมด”
ภาพเลวร้ายที่ยังฝังใจเหยื่อค้ามนุษย์สแกมเมอร์กัมพูชา
“ตอนผมกลับมาใหม่ๆ เวลาผมอยู่ในห้องมืดๆ ผมจะเห็นภาพหลอนไปหมดเลย เหมือนเห็นคนเดินไปทั่วห้อง กลัวไปหมด”
เอ (นามสมมติ) หนุ่มวัย 17 ปี บรรยายให้เราเข้าใจความย่ำแย่ของสภาพจิตใจตัวเอง หลังจากที่เขาได้รับความช่วยเหลือออกมาจากการถูกหลอกไปทำงานเป็นสแกมเมอร์ที่ตึกสูงแห่งหนึ่งในเมืองบาเวต จังหวัดสวายเรียง ประเทศกัมพูชา เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เอเล่าว่าสาเหตุที่เขากลัวห้องที่ปิดไฟมืดนี้มาจากตอนที่เขาถูกกลุ่มชาวจีนที่ดูแลศูนย์สแกมเมอร์แห่งนั้นลงโทษด้วยการลากไปขังในห้องมืดอยู่บ่อยครั้ง
“ตั้งแต่อาทิตย์แรกที่ผมเข้าไปทำงาน ผมทำไม่ได้ (หลอกคนไม่ได้) ตามเป้าที่เขาวางไว้ คือภายในเจ็ดวันนั้น ผมหลอกคนไม่ได้สามคนต่อวันตามที่เขากำหนด ผมเลยโดนลากเข้าไปห้องมืด คือห้องมืดเป็นห้องที่ใครก็ตามโดนลากเข้าไปแล้ว จะมีใครก็ได้เข้ามาซ้อม รุมกระทืบเรา” เอเล่าถึงความโหดร้ายของการถูกขังในห้องมืด
จากคำบอกเล่าของเอ วิธีการลงโทษของกลุ่มบอสชาวจีนต่อลูกจ้างนั้นมีหลากหลาย ทั้งการช็อตไฟฟ้า การทำร้ายร่างกาย การข่มขู่ว่าโยนลงตึกหรือนำไปขายต่อ รวมถึงการขังในห้องมืดซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่หลายคนกลัวที่สุด
“มีครั้งหนึ่ง เขาหาว่าผมโกงเงินเขาไป ผมบอกว่าไม่ได้โกง เขาก็ไม่เชื่อ จากนั้นก็มีบอสประมาณ 6-7 คนเข้ามารุมข่มขู่และด่าผมด้วยคำไม่สุภาพ (เข้าใจเพราะมีล่ามแปล) แล้วก็ลากผมเข้าไปห้องมืด จับผมนั่งลงแล้วก็รุมกระทืบเลย คนหนึ่งถือกระบองไฟฟ้าช็อตผม คนหนึ่งถือเหล็กดิ้วมาตีผม คนหนึ่งก็ถือเชือกมาลากคอผม คนที่เหลือก็กระทืบ แล้วเวลาเขาตี เขาไม่ได้ตีหัว แต่ตีตามร่างกายให้เราช้ำใน ผมก็เจ็บหนัก มือหัก ขยับข้อมือไม่ได้ หลังก็หัก บวมเลย และตีหัวเข่าผมจนขาหักด้วย ตอนนั้นเขายังขู่ผมว่าจะเอาไปปล่อยในป่าให้ตาย” เอบรรยายความทุกข์ทรมานในตอนนั้น

แต่แรกเริ่มนั้น เอไม่ได้คาดคิดว่างานที่เขาจะได้มาทำคืองานสแกมเมอร์หลอกลวงคนอื่น โดยในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา เอได้เห็นโฆษณาประกาศรับสมัครงานดังกล่าวจากเฟซบุ๊ก (Facebook) ซึ่งให้ข้อมูลว่าเป็นงานแอดมินตอบแชตลูกค้า ด้วยเงินเดือนที่สูงถึง 50,000 บาท กลายเป็นแรงจูงใจหอมหวานสำหรับเอ
“ผมเป็นนักเรียนอยู่ แล้วพอถึงช่วงปิดเทอม ผมก็หางานทำ แต่งานที่ทำอยู่เงินน้อย แล้วผมอยากได้มากกว่านั้น เพราะผมก็อยากเก็บเงินให้พ่อกับแม่ ตอนนั้นพ่อผมโดนโกงเงินไปเยอะ ผมก็ไม่อยากให้พ่อแม่ลำบาก แล้วเราเห็นคนอื่นมี (เงิน) เราก็อยากมีบ้าง เลยต้องหางานทำ จนมาเจองานนี้” เอเล่า
นอกจากอัตราเงินเดือนที่หอมหวานแล้ว เอยังได้รับการติดต่อโดยตรงจากพนักงานหญิงคนหนึ่งของบริษัทตามโฆษณาหางานดังกล่าว ซึ่งสามารถพูดคุยโน้มน้าวจนเอเกิดความเชื่อใจและทำให้เอตัดสินใจรับงานในที่สุด ก่อนที่พนักงานคนนั้นจะจัดการทุกอย่างให้ รวมถึงการจองตั๋วรถโดยสารให้เอเดินทางจากภูมิลำเนาที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ข้ามพรมแดนจากฝั่งอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ไปยังกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา
ระหว่างการเดินทางนั้น เอเริ่มเอะใจถึงความไม่ชอบมาพากลเนื่องจากเส้นทางดูไม่ปกติ จนกระทั่งไปถึงตึกสำนักงานนั้น ผู้คุมถึงได้บอกกล่าวกับเอว่าต้องมาทำงานหลอกคน จังหวะนั้นทำให้เอหวาดกลัวและอยากกลับบ้านทันที แต่เอก็ไม่สามารถกลับบ้านได้ เนื่องจากทรัพย์สินทุกอย่างรวมถึงโทรศัพท์มือถือถูกยึด จึงไม่มีเงินใช้ในการเดินทางกลับและไม่สามารถติดต่อใครได้ เอจึงต้องจำใจทำงานในที่สุดโดยไม่ได้รับค่าจ้างเลยแต่สตางค์แดงเดียว ก่อนที่อีกระยะหนึ่ง เอจะถูกขายต่อไปยังแหล่งสแกมเมอร์อีกแห่งในเมืองบาเวต
หลังทนทรมานกับการทำงานที่ไม่อยากทำและการถูกทารุณกรรมมากมาย ในที่สุดเอตัดสินใจหลบหนีออกมา โดยกระโดดลงมาจากชั้นที่แปดของตึก แต่กลับติดอยู่ที่ชั้นห้าของอีกตึกที่ติดกัน ด้วยสภาพอวัยวะร่างกายที่แตกร้าวไปเกือบทุกส่วน ก่อนที่กลุ่มผู้คุมชาวจีนจะพาส่งโรงพยาบาล และ ณ ที่นั้น เอก็ได้รับความช่วยเหลืออย่างลับๆ จากหมอ พร้อมประสานกับมูลนิธิอิมมานูเอล (Immanuel Foundation) ที่ทำงานช่วยเหลือเหยื่อการค้ามนุษย์ จนสามารถกลับมาถึงไทยได้ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ก่อนที่เอจะผ่านการคัดกรองกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยและถูกจัดว่าเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ จึงได้รับการปล่อยตัวกลับบ้านในท้ายสุด
“ดีใจมากที่ได้กลับมาเหยียบบ้านเป็นครั้งที่สอง เพราะทีแรกผมคิดว่าผมน่าจะตายไปแล้ว” เอเล่าความรู้สึกหลังหลุดพ้นจากชะตากรรมเลวร้าย
แต่ด้วยภาพฝันร้ายที่ยังสดใหม่ในความทรงจำ เอจึงไม่ได้รู้สึกโล่งใจเต็มที่เท่าไหร่นักแม้จะได้กลับมายังบ้านที่คุ้นเคยแล้ว โดยจิตใจของเอยังเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ทั้งระแวงว่ากลุ่มผู้คุมชาวจีนจะตามหาทางมาคุกคามเขา และยังเกิดความไม่ไว้ใจใครหลายคนรอบข้าง แม้กระทั่งคนที่พยายามหยิบยื่นมือเข้ามาให้ช่วยเหลือก็ตาม และขณะเดียวกัน ภาพประสบการณ์เลวร้ายที่ผ่านมาแล้วก็ยังคงไม่อาจสลัดหลุดไปจากหัว
“บางทีเราถึงขั้นฝันว่าเราตายแล้ว ถูกทำร้ายจนไม่รอดแล้ว แต่พอสะดุ้งตื่นมาอีกที ถึงรู้ว่าเรายังมีชีวิตอยู่” เอเล่า

เอื้อเฟื้อภาพโดยคุณจารุวัฒน์ จิณห์มรรคา รองประธานมูลนิธิอิมมานูเอล
“ผมฝันว่ากลับไปโดนกักขังอีกรอบ”
เสียงเหยื่อค้ามนุษย์สแกมเมอร์พม่ากับความหวาดระแวงที่ไม่หายขาด
“ตอนกลับมาใหม่ๆ ผมเคยฝันว่าได้กลับไปอยู่ที่โน่น โดนกักขังอีกรอบ คือมันฝังใจเราอยู่ เพราะสิ่งที่เราเจอที่นั่นเลวร้าย เห็นน้องๆ (ที่ถูกหลอกไปทำงานด้วยกัน) โดนทำร้ายร่างกายทุกวัน ก็ยังติดตาอยู่”
ภัทรพล วงศ์ดาว หรือพาริช หนุ่มวัย 41 ปี เป็นอีกคนหนึ่งที่เคยถูกหลอกไปทำงานเป็นสแกมเมอร์ที่ประเทศเพื่อนบ้าน และยังโดนประสบการณ์เลวร้ายในตอนนั้นตามมาหลอกหลอนแม้จะได้รับอิสระแล้วก็ตาม
สถานที่ที่พาริชถูกหลอกไปทำงานนั้นอยู่ในเมืองเล่าก์ก่าย ในเขตปกครองพิเศษโกก้าง ประเทศพม่า แต่อันที่จริงนี่ไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่พาริชคิดไว้ตั้งแต่แรก เพราะโพสต์เฟซบุ๊กประกาศรับสมัครงานที่พาริชไปพบนั้นบอกว่าเป็นงานที่ประเทศเกาหลีใต้ ในตำแหน่งแอดมินตอบแชตลูกค้า พร้อมด้วยข้อเสนอเงินเดือนที่ดึงดูดใจ
“เดิมผมเปิดธุรกิจส่วนตัว เป็นร้านขายเสื้อผ้า และมีการขายทางออนไลน์ด้วย แต่อยู่ๆ เกิดโควิดระบาดขึ้นมา ทำให้การขายของแย่ไปเป็นปีกว่า แล้วเราก็ไม่ค่อยมีงานทำ และเห็นว่าเพื่อนๆ ที่เคยขายของเหมือนกันไปทำงานที่เกาหลีกันเยอะ กับมันเป็นความใฝ่ฝันของเราที่จะไปทำงานเกาหลีด้วย เราเลยไปติดตามตามกลุ่มเฟซบุ๊กหางานเกาหลีต่างๆ จนไปเจองานนี้ และเห็นว่าด้วยความที่เราทำงานเกี่ยวกับการขายสินค้ามาอยู่แล้ว ก็ดูเป็นทางที่เราถนัด เลยคิดว่าน่าสนใจดี” พาริชเล่า

หลังติดต่อพูดคุยรายละเอียดกับต้นทางผู้รับสมัครงานนั้น พาริชก็ตัดสินใจตอบตกลงก่อนเริ่มเดินทางในเดือนมิถุนายน 2566 โดยต้นทางจัดหาตั๋วเครื่องบินให้เดินทางไปพร้อมกับคนอื่นที่ตกลงไปทำงานพร้อมกันอีกสามคน แต่เส้นทางการบินนั้นคือเส้นทางจากกรุงเทพฯ ไปเมืองมัณฑะเลย์ของพม่า ซึ่งก่อนนั้นพาริชเชื่อว่าจากที่ดังกล่าวจะสามารถเดินทางต่อไปยังจีนผ่านทางสิบสองปันนาได้ ก่อนจะเดินทางต่อไปยังเกาหลีใต้ แต่หลังจากที่พาริชถึงมัณฑะเลย์และมีรถมารับจากโรงแรมแล้ว กลับพบว่าเส้นทางที่ตนถูกพาเดินทางไปนั้นแปลกๆ และบางช่วงก็ถูกสั่งให้นั่งหลบใต้เบาะรถโดยมีผ้าคลุมตัวไว้เพื่อหลบการตรวจตราของเจ้าหน้าที่ รวมถึงมีการเปลี่ยนรถ ตอนนั้นพาริชถึงได้รู้ตัวว่าโดนหลอก แต่ก็ไม่มีโอกาสหลบหนีได้แล้ว จนกระทั่งพาริชถูกพาเดินทางไปถึงตึกสูงแห่งหนึ่งในเมืองเล่าก์ก่าย ซึ่งกำลังจะเป็นนรกของเขาเองในไม่ช้า
“ตึกที่ผมอยู่เรียกว่าตึกหมายเลขเก้า มีทางเข้าออกทางเดียว มีทหารถืออาวุธยืนคุม พอผมไปถึงตึกแล้วก็โดนยึดทุกสิ่งทุกอย่างที่ติดตัวเรา ทั้งโทรศัพท์มือถือ บัตรประชาชน พาสปอร์ต แล้วก็พาผมไปดูว่าจะได้ทำงานอะไร ก็มารู้ว่าเป็นงานโรแมนซ์สแกม (Romance Scam) ให้เราสร้างบัญชีในเฟซบุ๊ก ปลอมตัวตนไปหลอกคนที่มีโปรไฟล์ดีๆ หลอกให้ผู้หญิงรักแล้วหลอกเขาให้เงินมาลงทุน ตอนที่ไปถึงเขาก็ให้เริ่มทำงานเลย ตื่นประมาณแปดโมง เลิกงานประมาณตีหนึ่ง-ตีสอง” พาริชเล่า
เช่นเดียวกับแหล่งสแกมเมอร์ที่อื่นๆ ที่ที่พาริชถูกหลอกไปทำงานนั้นก็มีการทารุณกรรมแรงงานเช่นกัน พาริชเล่าว่า “มันมีการบังคับทำยอด ถ้าทำไม่ได้ตามเป้า ก็จะโดนลงโทษ มีทั้งทุบตี ช็อตไฟฟ้า จับขังห้องดำ และให้อดข้าว ผมเองก็เคยโดนตีด้วยท่อนไม้ ตีด้วยท่อพีซีหุ้มเหล็ก โดนสั่งลงโทษให้กระโดดกบ และโดนจับขังห้องมืด และยิ่งถ้าเป็นคนที่โดนจับได้ว่าแอบขอความช่วยเหลือจากทางบ้านก็จะยิ่งโดนทารุณหนัก”
หลังทนอยู่มาราวสี่เดือน จุดเปลี่ยนก็มาถึงเมื่อการสู้รบระหว่างกองกำลังชาติพันธุ์ในพื้นที่กับกองทัพพม่าปะทุขึ้นอย่างรุนแรงในเดือนตุลาคม 2566 ประกอบกับมีการขอความช่วยเหลือจากเหยื่อผู้ถูกหลอกไปทำงานด้านใน ทำให้เกิดการประสานงานช่วยเหลือกลุ่มเหยื่อออกมา ซึ่งเรื่องนี้ก็ถือเป็นข่าวดังในไทยเมื่อปีที่แล้ว
พาริชเล่าว่าทหารพม่าได้พาตัวเขาพร้อมเหยื่อคนอื่นออกจากพื้นที่ในวันที่ 20 ตุลาคม 2566 แต่ก็ยังไม่อาจเดินทางกลับไทยได้ทันที
“ผมต้องติดอยู่ในค่ายทหารอีกประมาณหนึ่งเดือน เพราะมันเป็นภาวะสงคราม ทางการเลยขนย้ายพวกเราออกมาไม่ได้ ก่อนหน้านี้เราทนอยู่ในตึกหมายเลขเก้าก็ทรมานแล้ว ยังต้องมาทรมานในค่ายทหารในภาวะสงครามอีก แต่ละวันต้องนอนฟังเสียงระเบิด กับข้าวและน้ำก็ไม่เพียงพอ ก็เกิดปัญหาทะเลาะแย่งข้าวกันข้างใน แล้วทหารพม่าก็เอาเราไปใช้แรงงานด้วย” พาริชเล่า
แต่ในที่สุด พาริชก็สามารถเดินทางกลับถึงไทยได้ในเดือนพฤศจิกายน 2566 โดยต้องผ่านระบบคัดกรองจากทางการไทยอีกสามวัน ซึ่งพาริชนั้นอยู่ในหมวดของผู้ที่ตรวจสอบไม่ได้ชัดเจนว่าเป็นเหยื่อค้ามนุษย์หรือเป็นผู้ร่วมขบวนการ และถูกปล่อยตัวในเวลาต่อมาโดยไม่โดนตั้งข้อหาใด
“ตอนนั้นรู้สึกเหมือนได้ชีวิตใหม่ จากที่เราโดนกักขัง เสียอิสรภาพทุกสิ่งอย่าง ต้องอยู่ใต้ระบบกฎเกณฑ์ของเขา ไปไหนมาไหนไม่ได้ วันนั้นเราได้อิสรภาพกลับคืนมา” พาริชเล่าความรู้สึกในตอนนั้น
แม้พาริชจะได้อิสรภาพกลับมาสู่ชีวิตอีกครั้ง แต่สภาพจิตใจที่เสียไปกลับยังไม่อาจเยียวยากลับมาได้เต็มที่นัก อย่างไรก็ดี พาริชมองว่ากรณีของตนยังถือว่าเบาเมื่อเทียบกับกรณีอื่นๆ เพราะตนไม่ได้โดนทำร้ายหนักหนาสาหัสมากเท่าอีกหลายๆ คน แต่พาริชก็บอกว่าตนยังมีความหวาดระแวงผู้คนอยู่บ้าง

เอื้อเฟื้อภาพโดยคุณจารุวัฒน์ จิณห์มรรคา รองประธานมูลนิธิอิมมานูเอล
ชีวิตที่สองของเหยื่อค้ามนุษย์ หลังได้รับโอกาสและการบำบัดเยียวยา
“คนส่วนใหญ่ที่เข้าไปถูกทำร้ายร่างกายและขัง (ในแหล่งสแกมเมอร์) มักจะมีปัญหาทางสภาพจิต ออกมาแล้วยังมีภาวะอาหารกลัวและหวาดระแวงอยู่ บางคนก็ฝันว่าถูกหลอกอีกแล้วหรือถูกขังอีกแล้ว” จารุวัฒน์ จิณห์มรรคา รองประธานมูลนิธิอิมมานูเอล ผู้อยู่เบื้องหลังการช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ในแหล่งสแกมเมอร์ประเทศเพื่อนบ้านหลายราย เล่าให้ฟังถึงสภาวะจิตใจโดยทั่วไปของเหยื่อที่ได้รับความช่วยเหลือออกมา
สำหรับจารุวัฒน์และมูลนิธิอิมมานูเอล การทำงานให้ความช่วยเหลือเหยื่อนั้นไม่ได้จบลงแค่การพาพวกเขาออกมาจากการถูกกักขังและกลับสู่ประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังมีการติดตามช่วยเหลือต่อหลังจากนั้นด้วย โดยแน่นอนว่างานหนึ่งก็คือการช่วยเยียวยาสภาพจิตใจที่เสียไปให้คืนกลับมา
“ภาวะแบบนี้สามารถรักษากันได้ ถ้าใครมีปัญหา เราก็มีการให้คำปรึกษาหรือให้มีนักสังคมสงเคราะห์เข้าหา สิ่งสำคัญจริงๆ คือการได้ใช้เวลาพูดคุยกับเขา มันช่วยให้เขาเริ่มผ่อนคลายสิ่งที่อยู่ในหัวเขามากขึ้น และช่วยให้เขามีภูมิมากขึ้น แต่ถ้าเป็นกรณีที่อาการหนักจริงๆ ก็ต้องมีการพบจิตแพทย์ โดยมีการบำบัดหรือใช้ยาช่วย โดยรวมแล้วเรื่องการบำบัดเยียวยาจิตใจเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ต้องคอยพูดคุยและติดตามกันอยู่เป็นระยะ” จารุวัฒน์เล่า
การบำบัดรักษาทางจิตใจถึงเป็นหนึ่งในกระบวนการที่ช่วยเยียวยาให้เหยื่อค้ามนุษย์ของกลุ่มสแกมเมอร์สามารถกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติ โดยในกระบวนการเยียวยานี้ มูลนิธิหรือหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ซึ่งรวมถึงมูลนิธิอิมมานูเอล จะทำงานร่วมกับกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งโดยหลักแล้ว มูลนิธิหรือหน่วยงานนั้นๆ สามารถรับเงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในการทำงานขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าว โดยเงินจากกองทุนนี้ครอบคลุมการช่วยเหลือเหยื่อในหลายด้าน เช่น ด้านค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตทั่วไป การรักษาพยาบาล การตรวจสภาพร่างกาย การบำบัดฟื้นฟูจิตใจ และอีกด้านที่สำคัญคือการสนับสนุนด้านการศึกษาเล่าเรียนและการประกอบอาชีพ
“ถ้าเป็นเด็ก เรามีการส่งเสริมเรื่องการศึกษา โดยให้อยู่ในสถานคุ้มครองซึ่งเป็นเครือข่ายภาคประชาสังคมของเรา คือมูลนิธิโซเอ จังหวัดเชียงใหม่ และช่วยให้เด็กได้กลับมาเรียนหนังสือผ่านระบบการศึกษา” จารุวัฒน์เล่าถึงการทำงานของมูลนิธิอิมมานูเอล พร้อมกับให้ข้อมูลว่าเด็กอายุน้อยที่สุดที่ทางมูลนิธิได้ดูแลอยู่มีอายุเพียงสิบขวบเท่านั้น ซึ่งเด็กคนดังกล่าวเคยถูกหลอกไปทำงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์
“ถ้าเป็นคนวัยทำงาน เราก็จะช่วยหางาน โดยเรามีเครือข่ายเรื่องการทำงานรองรับอยู่ ซึ่งถ้ามีตำแหน่งพอรับได้ เราก็จะช่วยเขา หรือบางคนได้ทำงานแล้ว แต่ยังขาดเหลืออะไร เช่น ไม่มีค่าเดินทาง เราก็ช่วยสนับสนุนให้ และเราก็มีการให้คำปรึกษาอยู่ด้วยตลอด” จารุวัฒน์เล่า
อย่างไรก็ตาม จารุวัฒน์บอกว่าไม่ใช่เหยื่อทุกคนที่ผ่านกระบวนการบำบัดฟื้นฟูของมูลนิธิเนื่องจากจำนวนคนที่ได้รับความช่วยเหลือออกมานั้นมีเยอะจนยากที่จะติดตามดูแลได้ทั้งหมด ขณะที่บางคนก็ออกจากระบบการดูแลของมูลนิธิกลางคันเพราะอยากลืมเรื่องนี้ จึงเหลือเพียงคนจำนวนหนึ่งที่มูลนิธิยังคงสามารถดูแลช่วยเหลือได้

เหยื่อการค้ามนุษย์อย่างเอและพาริชเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยาจากทางมูลนิธิ โดยเอที่ยังอยู่ในวัยเรียนนั้นได้รับทุนการศึกษา และยังได้รับการสนับสนุนด้านสวัสดิภาพความเป็นอยู่ในหลายด้าน โดยปัจจุบันเออยู่ภายใต้ระบบ กศน. (การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย) และมีแผนที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเร็วๆ นี้ ขณะที่พาริชก็ได้รับโอกาสเข้าทำงานกับมูลนิธิอิมมานูเอลอย่างเต็มตัว โดยมีหน้าที่หนึ่งคือการรับแจ้งเหตุขอความช่วยเหลือในการถูกหลอกค้ามนุษย์ รวมถึงการเดินสายเป็นวิทยากรให้ความรู้ต่อสาธารณชนถึงปัญหาการถูกหลอกค้ามนุษย์จากประสบการณ์ที่เขาเคยเผชิญมาโดยตรง เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อเพิ่มเติม
“มันก็ดีนะ เหมือนเราได้ช่วยเหลือคนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมากขึ้น และให้ได้มีความรู้เท่าทันต่อปัญหานี้” พาริชเล่าความรู้สึกของการได้ทำงานนี้
เช่นเดียวกับเอ ในขณะที่เขากำลังศึกษาอยู่นั้น เขาก็กำลังได้รับการอบรมฝึกฝนให้เป็นนักพูดเพื่อให้ความรู้และป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ควบคู่กันไปด้วย โดยการได้รับโอกาสใหม่ของชีวิตครั้งนี้ทำให้เอรู้สึกว่าตนมีคุณค่าในชีวิตมากขึ้น
“ชีวิตผมดีขึ้นมากเลย มีผู้หลักผู้ใหญ่คอยสอนและช่วยสนับสนุนผมหลายอย่าง ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะสู้ชีวิต ทำให้ผมรู้ว่าผมก็เป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง จากนี้ผมก็จะทำให้เต็มที่เพื่ออนาคตของตัวเอง” เอกล่าว
จารุวัฒน์ผู้เป็นส่วนหนึ่งในการให้โอกาสอดีตเหยื่อค้ามนุษย์ได้ร่วมทำงานกับทางมูลนิธิ ได้เล่าถึงแนวคิดให้ฟังว่า การให้ผู้เคยตกเป็นเหยื่อได้ออกมาบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองจะมีส่วนช่วยให้สังคมเข้าใจปัญหานี้ได้มากขึ้น และอาจช่วยในการตัดวงจรปัญหาการถูกหลอกค้ามนุษย์ลักษณะนี้ได้
“เป้าหมายของมูลนิธิเราไม่ได้แค่ช่วยเหลือคนออกมาแล้วจบแค่นั้น แต่เราอยากให้ปัญหานี้หมดไป เพราะฉะนั้นเราถึงติดตามปัญหานี้ในทุกกระบวนการของมัน เราพยายามจะวิจัยและได้ข้อเท็จจริงของปัญหานี้ให้ได้มากที่สุด และเรามองเห็นว่าทางหนึ่งคือการให้คนที่เคยตกเป็นเหยื่อได้ออกมาสะท้อนถึงสิ่งที่พวกเขาเคยเจอ ซึ่งจะช่วยให้เราทำความเข้าใจปัญหานี้ได้ดีขึ้น เราเลยเอาคนกลุ่มนี้มาอยู่กับเรา ให้เขาเปิดหน้าพูด ทำให้เขารู้สึกมั่นใจที่จะออกมาพูด และทำให้เขารู้ว่าการที่เขาออกมาพูดนั้นสำคัญกับคนจำนวนมากในสังคม มันช่วยในการรณรงค์ป้องกันปัญหาได้ และเมื่อเขากล้าที่จะออกมาแชร์เรื่องราวของตัวเอง เขาก็เป็นฮีโร่ได้” จารุวัฒน์กล่าว
ขอแค่สังคมเข้าใจและให้โอกาส
อย่างไรเสีย ในการกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อีกครั้งของบรรดาเหยื่อค้ามนุษย์สแกมเมอร์นั้น โอกาสที่ได้รับจากมูลนิธิก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือพวกเขาต้องได้รับโอกาสจากคนในสังคมโดยทั่วไปด้วยเช่นกัน แต่จากการทำงานช่วยเหลือเยียวยาเหยื่อมา จารุวัฒน์พบว่าเหยื่อจำนวนหนึ่งต้องเผชิญอคติจากคนในสังคมจนทำให้พวกเขากลับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมได้ลำบากขึ้น
“เจอเรื่องแบบนี้อยู่เยอะ คือถ้าเขา (เหยื่อ) ไปบอกคนอื่นว่าเขาเคยถูกหลอกไปเป็นสแกมเมอร์ สังคมจะรังเกียจเขาทันที” จารุวัฒน์เล่า
จารุวัฒน์ยังเล่าตัวอย่างกรณีหนึ่งให้ฟัง โดยเป็นกรณีของเด็กคนหนึ่งที่เคยถูกหลอกไปทำงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งทางมูลนิธิได้พยายามให้ความช่วยเหลือในเรื่องการศึกษา ด้วยการพาไปสมัครเข้าโรงเรียน แต่จารุวัฒน์พบว่า “ตอนไปคุยกับครูแล้วบอกเขาว่าน้องคนนี้ถูกหลอกไป (ทำงานเป็นสแกมเมอร์) ที่กัมพูชา ครูก็รังเกียจทันที บอกว่าไปทำงานเป็นสแกมเมอร์แล้วจะมาหลอกนักเรียนฉันหรือเปล่า เขาก็ปฏิเสธไป และนี่ก็เป็นแค่กรณีหนึ่งเท่านั้น ยังมีกรณีอื่นอีก”
“บรรดาผู้เสียหายของผมบางคนบอกเพื่อนหรือคนรอบตัวว่าถูกหลอกไปทำงานเป็นคอลเซ็นเตอร์มา ก็จะถูกด่าว่า โดนเพื่อนเลิกคบ หรือเพื่อนบ้านจากที่เคยรู้จักกันดีๆ ก็ไม่คบแล้ว ผมว่าเป็นอย่างนี้ประมาณ 99% มันแทบไม่มีใครรับสิ่งนี้ได้ ส่วนมากจะมีแค่คนในครอบครัวเขาเข้าใจว่าเขาถูกหลอกไป พอเขาเจอแบบนี้มันก็กระทบจิตใจเขา และกระทบกับการใช้ชีวิตในสังคม เขาก็อยู่ยาก” จารุวัฒน์เล่าต่อ

สำหรับคนที่ถูกหลอกไปทำงานเป็นสแกมเมอร์ การถูกตีตราจากสังคมจึงถือเป็นสิ่งที่พวกเขากังวลมากที่สุดเมื่อต้องก้าวเท้ากลับมาสู่แผ่นดินไทยและออกมาใช้ชีวิตดังเดิม ซึ่งเอกับพาริชก็ยอมรับว่าพวกเขากลัวในเรื่องนี้มากตอนที่เพิ่งได้รับความช่วยเหลือกลับมาใหม่ๆ
“ผมกลัวสังคมจะรังเกียจ เขาอาจจะว่าเราว่าไปทำงานต่างประเทศแบบผิดกฎหมาย ไปทำงานหลอกคนไทยด้วยกัน” เอเล่า
ขณะที่พาริชก็เล่าว่า “ตอนกลับมาแรกๆ ผมมีปัญหากับการดำเนินชีวิต กลัวว่าเวลาไปเจอหน้าคนในสังคมแล้วเขาจะมองว่าเราเป็นอาชญากร จริงๆ เราก็ไม่รู้ว่าเขาคิดกับเราอย่างไร แต่เราก็กลัวไปเองว่าเขาต้องคิดกับเราอย่างนั้นอย่างนี้แน่ๆ”
อย่างไรก็ตาม เอและพาริชบอกว่าตัวพวกเขาเองยังดีที่ยังไม่เคยเผชิญหน้ากับการตีตราจากสังคมนับตั้งแต่ได้รับความช่วยเหลือให้กลับมา แต่ก็มองเห็นว่าคนในสังคมโดยทั่วไปยังมีอคติต่อกลุ่มคนที่ถูกหลอกไปทำงานอย่างพวกเขาอย่างกว้างขวาง แม้ว่ากันตามจริง เอกับพาริชก็เข้าใจได้ที่สังคมจะมีความโกรธแค้นต่อพวกเขาเพราะสิ่งที่พวกเขาและเหยื่อคนอื่นๆ ถูกหลอกไปทำ ได้ทำให้ใครหลายคนเดือดร้อนจริง แต่พวกเขาก็อยากให้สังคมเข้าใจว่าพวกเขาโดนหลอกให้ไปทำงานนี้โดยไม่รู้แต่แรกและไม่ได้เต็มใจที่จะทำ
เอเป็นคนหนึ่งที่อยากบอกให้สังคมเข้าใจว่า “ผมโดนบังคับ โดนหลอกไป ไม่ได้ตั้งใจจะทำงานนี้เลย ตอนที่ผมหลอกคนได้ ผมก็แอบโอนเงินให้เขาคืนเพราะผมก็เห็นใจ จริงๆ แล้วผมก็อยากหนีกลับมาบ้าน แต่มันก็หนีไม่ได้ และมันก็บังคับให้เราทำ (งานหลอกคน) ถ้าเราไม่ทำ มันก็ฆ่าเรา ทำร้ายเรา เอาเราไปขายต่อ เราเลยต้องจำใจทำตามเขาไปเพื่อเอาชีวิตรอด”
“หลายคนที่ไปทำงานเพราะอยากเก็บเงินเพื่อมาตั้งหลักของตัวเอง หาเลี้ยงครอบครัว แต่ไม่ได้รู้มาก่อนว่างานที่เขาต้องไปทำนี้เป็นการหลอกคน ถ้ารู้ว่าเป็นงานหลอกคน ก็ไม่มีใครอยากไปทำ” เออธิบายเพิ่มเติม
ขณะที่จารุวัฒน์ได้อธิบายในเรื่องนี้ว่า “สแกมเมอร์ไม่ใช่มิจฉาชีพทั้งหมด แต่มีผู้เสียหายจากการถูกหลอกไปค้ามนุษย์ด้วย มันมีขบวนการหลอกคนให้ไปทำงานแบบนี้ แล้วคนที่ถูกหลอกเข้าไปก็ถูกกักขัง ถูกทำร้าย ถูกบังคับให้ทำงาน ถูกเรียกค่าไถ่ตัว เขาไม่สามารถออกจากที่นั้นได้ เพราะฉะนั้นคนเหล่านี้ถือว่าเป็นเหยื่อจากการค้ามนุษย์ ผมไม่ได้บอกว่าการทำงานเป็นมิจฉาชีพแบบนี้เป็นเรื่องที่ดี แต่อยากให้เข้าใจว่าพวกเขาไม่ได้เต็มใจ และผมอยากให้มองว่าคนผิดที่แท้จริงคือกลุ่มสแกมเมอร์คนจีนมากกว่า”
อย่างไรก็ตาม จารุวัฒน์ให้ข้อมูลว่า แม้คนจำนวนมากจะถูกหลอกไปทำงาน แต่ก็มีจำนวนหนึ่งที่ยอมรับว่าสมัครใจไปทำงานนี้โดยรู้ล่วงหน้าว่าเป็นงานมิจฉาชีพ โดยหลายคนไม่ได้รู้มาก่อนว่าจะต้องไปเผชิญกับการถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวหรือทำร้ายร่างกาย ซึ่งจารุวัฒน์ชี้ว่าตามหลักแล้วก็ยังถือว่าเข้าองค์ประกอบของการเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ แต่ที่สุดแล้วเมื่อแต่ละคนได้รับความช่วยเหลือกลับมาไทย จะต้องผ่านการคัดกรองและพิสูจน์โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างจริงจังว่าอยู่ในประเภทเหยื่อค้ามนุษย์หรือเป็นผู้ร่วมขบวนการมิจฉาชีพ ซึ่งขึ้นกับดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ ดังนั้นจารุวัฒน์จึงฝากให้สังคมแยกแยะระหว่างคนที่เป็นผู้ร่วมขบวนการกับคนผู้ตกเป็นเหยื่อที่ไม่ได้ตั้งใจทำงานแบบนี้จริง รวมทั้งฝากสังคมให้เห็นอกเห็นใจและให้โอกาสคนตกเป็นเหยื่อได้กลับมาใช้ชีวิตในสังคมตามปกติ
“ถ้าสังคมโจมตีเขาเรื่อยๆ จากเดิมที่เขาเป็นเหยื่อ มันอาจทำให้พวกเขาคิดว่าเขาเป็นคนไม่ดีจริงๆ ก็ได้ และมันจะทำให้พวกเขาใช้ชีวิตในสังคมได้ลำบากขึ้น” จารุวัฒน์กล่าว
การที่สังคมปรับมุมมองทำความเข้าใจและให้โอกาสต่อผู้เคยตกเป็นเหยื่อไม่ได้มีความสำคัญแค่เพื่อจะช่วยให้เหยื่อได้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอีกครั้งเท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยพวกเขาไม่ถูกบีบคั้นให้หลงทำผิดซ้ำ ซึ่งอาจช่วยระงับหรือบรรเทาการแพร่กระจายของปัญหาสแกมเมอร์ได้อีกทางหนึ่ง
“มันจะทำให้พวกเราไม่ได้กลับไปสู่วงจรแบบเดิมอีก เพราะถ้าสังคมไม่ให้โอกาส จนพวกเราใช้ชีวิตอยู่ยาก ไปสมัครงานที่โน่นที่นี่ไม่ได้ หลายคนก็อาจกลับไปสู่วงจรการเป็นสแกมเมอร์เหมือนเดิม เพราะมันเป็นงานที่ได้เงินง่าย เข้าไปทำงานง่าย ไม่ต้องมีการสืบประวัติ พวกเขาก็อาจเดินกลับเข้าไป เพราะฉะนั้นถ้าสังคมให้โอกาสเรา มันจะช่วยแก้ปัญหานี้ไปได้เยอะ” ผู้เคยตกเป็นเหยื่ออย่างพาริชกล่าว
ขณะที่เอก็ทิ้งท้ายไว้ว่า “ถ้าสังคมเข้าใจเรา มันจะทำให้เรามีแรงผลักดันและใช้โอกาสที่ได้รับจากสังคมต่อไป”
ผลงานชิ้นนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) (TIJ) และ The101.world