‘ชีวิตผู้ลี้ภัยไม่ได้ฝากไว้กับงบต่างชาติ’ ทบทวนทิศทางนโยบายผู้ลี้ภัยไทยหลังสหรัฐฯ ตัดงบ

เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ หวนคืนสู่ทำเนียบขาวในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ นับเป็นหนึ่งเดือนที่เต็มไปด้วยความปั่นป่วนเกินกว่าที่หลายคนคาดเดาไว้ หลังจากทรัมป์ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร (executive order) ไปมากกว่า 60 ฉบับ (ถือเป็นจำนวนที่มากที่สุดในช่วง 100 วันแรกของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในรอบกว่า 40 ปี) หนึ่งในคำสั่งฉบับแรกๆ ที่ทรัมป์ลงนามและส่งแรงสั่นสะเทือนต่อผู้คนที่เป็นกลุ่มเปราะบางมากที่สุด คือ ‘การระงับเงินช่วยเหลือด้านการพัฒนาต่างประเทศเป็นเวลา 90 วัน’ โดยอ้างเหตุผลว่าต้องมีการประเมินประสิทธิภาพและความสอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ

ผลที่เกิดขึ้นตามมาจากกระดาษเพียงแผ่นเดียวนั้นรุนแรงและรวดเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดคิด เมื่อ 27 มกราคมที่ผ่านมา เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังทรัมป์ลงนามคำสั่งฉบับนี้ มีประกาศจากคณะกรรมการผู้ลี้ภัยกะเหรี่ยงถึงประชาชนในค่ายแม่หละ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ว่าการสนับสนุนด้านสาธารณสุขขององค์กร International Rescue Committee (IRC) จะไม่มีอีกต่อไป เนื่องจากสหรัฐอเมริกาได้ระงับการให้เงินทุนแก่ IRC

คำสั่งนี้ตามมาด้วยการปิดตัวของคลินิกภาคสนามในค่ายผู้ลี้ภัยหลายแห่งตามแนวชายแดนไทย-พม่า ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากต้องออกจากโรงพยาบาล อีกทั้งมีการเลิกจ้างเจ้าหน้าที่ที่เป็นฟันเฟืองของงานช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่างๆ สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดมากเมื่อทรัมป์และที่ปรึกษาอย่าง ‘อีลอน มัสก์’ เดินหน้าผลักดันแผนปิดองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) ซึ่งจะซ้ำเติมวิกฤตด้านมนุษยธรรมทั่วโลก

สหรัฐฯ คือผู้บริจาคเงินช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมรายใหญ่ที่สุดของโลกตามข้อมูลจากสหประชาชาติ ในปี 2024 เพียงปีเดียว เงินช่วยเหลือจากสหรัฐฯ คิดเป็นกว่า 40% ของงบประมาณช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมทั่วโลก ดังนั้น การตัดงบประมาณอย่างฉับพลันนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย แต่เป็นการสร้าง ‘สุญญากาศ’ ให้กับโครงการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมทั่วโลก โดยเฉพาะในพม่าซึ่งพึ่งพาเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศกว่า 238 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

แม้ว่าศาลชั้นต้นของสหรัฐฯ จะมีคำสั่งให้รัฐบาลทรัมป์ยกเลิกการระงับงบประมาณช่วยเหลือชั่วคราว และมีแรงกดดันจากหลายฝ่ายให้พิจารณาทบทวนนโยบายนี้ แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ได้เปิดเผยจุดอ่อนเชิงโครงสร้างของไทยอย่างชัดเจนว่าการพึ่งพาเงินช่วยเหลือจากต่างชาติมาโดยตลอดนั้นเป็นแนวทางที่ไม่ยั่งยืน นำมาสู่คำถามที่ว่าหากความช่วยเหลือถูกระงับถาวร ไทยจะสามารถยืนหยัดด้วยตัวเองได้หรือไม่ในสภาวะที่วิกฤตการณ์ในพม่ายังไม่เห็นจุดสิ้นสุด ผู้คนยังหนีภัยการสู้รบเข้ามาฝั่งไทยเรื่อยๆ อีกทั้งผู้ลี้ภัยนับแสนชีวิตใน 9 ค่ายผู้ลี้ภัยยังมีอนาคตที่ไม่แน่นอน

วันโอวันชวนทบทวนสถานการณ์และผลกระทบจากการตัดงบช่วยเหลือของสหรัฐฯ หลังผ่านไปหนึ่งเดือน ฟังเสียงจากเจ้าหน้าที่ในค่ายผู้ลี้ภัย และพูดคุยกับนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านผู้ลี้ภัยและการย้ายถิ่นฐานว่าไทยควรเดินหน้ารับมือกับวิกฤตนี้อย่างไร ในวันที่ไม่อาจพึ่งพาความช่วยเหลือจากใครได้ตลอดไป

90 วันที่อาจพรากลมหายใจ: วิกฤตสาธารณสุขในค่ายผู้ลี้ภัยหลังสหรัฐฯ ตัดงบ

ผู้ป่วยถูกขอให้ออกจากโรงพยาบาลในค่ายผู้ลี้ภัย

รถนำส่งผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลใหญ่หยุดวิ่ง

เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในค่ายถูกเลิกจ้างกะทันหัน

นี่คือหนึ่งในภาพสะท้อนวิกฤตที่เกิดขึ้นในค่ายแม่หละ ค่ายผู้ลี้ภัยที่ใหญ่ที่สุดในไทย เช่นเดียวกับอีกหลายค่ายตลอดแนวชายแดนไทย-พม่า หลังจาก International Rescue Committee (IRC) และโครงการช่วยเหลือต่างๆ ต้องปิดตัวลงเมื่อวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลพวงจากคำสั่งตัดงบช่วยเหลือของสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ 2.0 ทำให้ผู้ลี้ภัยนับแสนในไทยและอีกหลายล้านคนทั่วโลกถูกลอยแพจากความช่วยเหลือและเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากยิ่งกว่าเดิม

ในห้วงเวลาที่โจทย์เรื่องผู้ลี้ภัยปรากฏชัดขึ้น ถ้ามีคนมาพูดว่า “ประเทศไทยไม่มีผู้ลี้ภัย” คงจะฟังไม่ขึ้นเท่าใดนัก แต่หากพิจารณาจากเอกสารหรือรายงานต่างๆ ที่เผยแพร่โดยหน่วยงานรัฐไทยจะสังเกตเห็นว่าไม่มีคำว่า ‘ผู้ลี้ภัย’ ปรากฏ มีเพียงคำว่า ‘ผู้หนีภัยการสู้รบ’ ที่ถูกเน้นย้ำเมื่อกล่าวถึงคนในศูนย์พักพิงฯ กล่าวให้เข้าใจง่าย ในทางกฎหมาย พวกเขาเหล่านี้อยู่ในสถานะผู้หนีภัย

สราวุธ ไพฑูรย์พงษ์ นักวิชาการอาวุโสจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) อธิบายไว้ว่าเนื่องจากประเทศไทยมิได้เข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย (Refugee Convention 1951) จึงหมายความว่าไทยไม่ยอมรับสถานะผู้ลี้ภัยในประเทศของตนเอง เพราะการใช้คำว่า ‘ผู้ลี้ภัย’ จะมาพร้อมกับข้อผูกพันในการให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ตามอนุสัญญา อย่างไรก็ตาม ไทยยังคงให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต

ปัจจุบัน ไทยมี ‘ศูนย์พักพิงชั่วคราวผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่า’ หรือที่เรารู้จักกันในนาม ‘ค่ายผู้ลี้ภัย’ ทั้งหมด 9 แห่ง ตั้งอยู่ตามแนวชายแดนไทย-พม่าใน 4 จังหวัด ได้แก่ ตาก แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี และราชบุรี โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย

ในพื้นที่ที่มีชื่อว่า ‘ชั่วคราว’ แต่ในความเป็นจริงกลับมีผู้คนจำนวนมากใช้ชีวิตมานานกว่า 40 ปี ผู้ลี้ภัยในค่ายเหล่านี้ซึ่งมีจำนวนเกือบแสนคนพึ่งพาการสนับสนุนดูแลของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) และองค์กรเอ็นจีโอต่างประเทศ IRC ถือเป็นอีกหนึ่งองค์กรที่ทำหน้าที่เป็นเสาหลักของระบบบริการสุขภาพภายในค่าย

ศูนย์พักพิงชั่วคราวผู้หนีภัยการสู้รบบ้านแม่หละ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก เป็นศูนย์พักพิงฯ ที่รองรับผู้ลี้ภัยมากที่สุดในไทย

เป็นที่ทราบกันดีว่าค่ายผู้ลี้ภัยเป็นพื้นที่เปราะบางทางสาธารณสุข ความแออัดและการขาดแคลนปัจจัยพื้นฐานเอื้อต่อการแพร่ระบาดของโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น มาลาเรีย วัณโรค โรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำ รวมถึงโรคอื่นๆ ที่พบได้บ่อยในพื้นที่ที่มีข้อจำกัดด้านการจัดการสุขาภิบาลและน้ำสะอาด

สถานพยาบาลของ IRC ทำหน้าที่เสมือนโรงพยาบาลขนาดเล็กในค่ายผู้ลี้ภัยโดยเป็นศูนย์กลางสำคัญในการให้บริการทางการแพทย์ ตั้งแต่การดูแลผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหนัก บริการฝากครรภ์ วัคซีน ไปจนถึงการให้ความรู้ด้านสุขภาพแก่ชุมชน การปิดตัวของสถานพยาบาลและการยุติการดำเนินงานของ IRC จึงไม่เพียงแต่ปิดกั้นการเข้าถึงการรักษาพยาบาลเท่านั้น แต่ยังสร้างความเสี่ยงมหาศาลต่อผู้ลี้ภัยหลายคนที่มีความเสี่ยงทางสุขภาพอยู่แล้ว

“ผมเป็นห่วงเด็กเล็กและคนป่วยติดเตียงมากๆ ตอนนี้พยาบาลออกไปหมดแล้ว มันรู้สึกใจหายมาก ไม่รู้จะดูแลกันเองได้ดีหรือเปล่า” ล้ำ เจ้าหน้าที่ชาวกะเหรี่ยงที่ทำงานในค่ายบ้านนุโพ อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ให้สัมภาษณ์กับวันโอวันถึงความกังวลหลังเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทยอยออกจากพื้นที่ เพราะไม่มีงบดำเนินการต่อ

ล้ำเล่าว่ามีผู้ลี้ภัยจำนวนหนึ่งจำเป็นต้องเดินทางไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลอุ้มผาง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการหนัก เมื่อรถรีเฟอร์ในค่ายหยุดให้บริการ ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่คือการใช้รถของอาสาสมัคร (อส.) ซึ่งต้องออกค่าน้ำมันกันเอง อย่างไรก็ตาม เขาไม่แน่ใจว่าแนวทางนี้จะสามารถดำเนินต่อไปได้นานแค่ไหน เพราะแต่ละคนไม่ได้มีเงินมากนัก นอกจากนี้ อส. ยังถือเป็นกำลังหลักในตอนนี้ในการดูแลสาธารณสุขเบื้องต้นให้กับผู้ลี้ภัย

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ความช่วยเหลือถูกตัด หน่วยงานสาธารณสุขชายแดนมีการหารือกันอย่างต่อเนื่องและมีข้อสรุปให้แบ่งเขตการดูแลแต่ละศูนย์พักพิง ล้ำเล่าว่าในค่ายบ้านนุโพเองมีแพทย์และเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลอุ้งผางเข้ามาจัดหน่วยบริการสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง แม้ว่าจะสร้างความมั่นใจให้ผู้คนในค่ายได้บ้าง แต่ล้ำก็หวังให้ความช่วยเหลือกลับมาเป็นเหมือนเดิม

“อยากให้โรงพยาบาลในค่ายกลับมาเปิดเหมือนเดิมโดยเร็ว ไม่นานมานี้มีคนเป็นหอบหืดกำเริบ กว่าจะพาไปพ่นยาที่โรงพยาบาลได้ก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง ถ้ายังมีโรงพยาบาลของ IRC อยู่ เขาคงไม่ทรมานขนาดนี้ ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน แต่ผมคิดว่ามันกำลังพรากชีวิตพี่น้องเราไปทีละนิด”

เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สำนักข่าว Reuters รายงานว่าผู้ลี้ภัยชาวพม่าวัย 71 ปี ซึ่งป่วยด้วยอาการเกี่ยวกับปอด เสียชีวิตลงเพียงไม่กี่วันหลังต้องออกจากโรงพยาบาลในค่ายผู้ลี้ภัยบ้านอุ้มเปี้ยม จังหวัดตาก เนื่องจากโรงพยาบาลถูกสั่งปิด ความสูญเสียครั้งนี้ยิ่งตอกย้ำคำพูดของล้ำได้อย่างชัดเจน

ระยะเวลา 90 วันที่ทรัมป์ต้องการใช้ในการชั่งน้ำหนัก ‘ความคุ้มค่า’ ของงบประมาณความช่วยเหลือ อาจเพียงพอที่จะเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชนชาวอเมริกันให้เห็นว่ารัฐบาลทรัมป์ ‘เอาจริง’ ในการปฏิรูปการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางตามคำมั่นที่ว่า ‘อเมริกาต้องมาก่อน’ แต่สำหรับผู้ลี้ภัยหลายคน 90 วันอาจสายเกินไปที่จะต่อลมหายใจให้พวกเขา

เมื่อสถานการณ์ความช่วยเหลือจากภายนอกเต็มไปด้วยสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ คำถามสำคัญย่อมย้อนกลับมาที่รัฐบาลไทยว่าจะบริหารจัดการกับผู้ลี้ภัยที่ถูกทิ้งไว้ในสภาวะของความไม่แน่นอนนี้ได้อย่างไร

ความช่วยเหลือที่ไม่จีรังกับโจทย์ใหญ่ที่ไทยต้องหาทางออก

แม้คำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์จะกำหนดช่วงเวลา 90 วันให้พิจารณาทบทวน แต่ยังไม่มีใครตอบได้ว่าความช่วยเหลือเหล่านี้จะกลับมาหรือจะถูกตัดขาดอย่างถาวร การตัดงบครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่นโยบายจากมหาอำนาจที่สร้างแรงสั่นสะเทือนชั่วครั้งชั่วคราว แต่ถือเป็นสัญญาณเตือนสำหรับไทยที่พึ่งพางบประมาณต่างชาติในเรื่องผู้ลี้ภัยมาโดยตลอด ต่อให้ไม่เกิดขึ้นในสมัยทรัมป์ ไม่ช้าหรือเร็ว การตัดงบช่วยเหลือจากต่างชาติก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี โจทย์ใหญ่ที่ต้องถกถามกันต่อคือไทยจะรับมืออย่างไรในวันที่งบสนับสนุนหมดลง

ภาณุภัทร จิตเที่ยง อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ( ASEAN Intergovernmental Commission on Human Rights: AICHR) ให้สัมภาษณ์กับวันโอวันว่า ไทยควรกลับมา ‘ตั้งหลักใหม่’ กับนโยบายต่อผู้ลี้ภัย อย่างน้อย 3 ประการ

ภาณุภัทร จิตเที่ยง | ที่มา: คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ประการแรก ไทยต้องกลับมาทบทวนแนวทางการบริหารจัดการผู้ลี้ภัยใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ระดับนโยบายว่าจะมองเรื่องนี้อย่างไร – จะแยกเป็น ‘นโยบายผู้ลี้ภัย’ โดยเฉพาะ หรือจะรวมเข้าไปใน ‘นโยบายคนเข้าเมือง’ เพราะผู้ลี้ภัยเหล่านี้ไม่ได้เป็นกลุ่มคนที่เพิ่งเดินทางเข้ามา แต่อาศัยอยู่ต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน คำถามสำคัญคือเราจะเชื่อมโยงประเด็นนี้เข้ากับนโยบายที่มีอยู่ได้อย่างไร และจะจัดวางนโยบายที่มีอยู่อย่างกระจัดกระจายอย่างไร

“ปัจจุบันพื้นที่พักพิงผู้หนีภัยอยู่ภายใต้กระทรวงมหาดไทย ขณะที่กฎหมายคนเข้าเมืองกลับอยู่ใน พ.ร.บ.ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ส่วนการประสานงานด้านความมั่นคงก็เป็นหน้าที่ของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งทำให้การบริหารจัดการไม่มีเอกภาพ ผมคิดว่าควรมีกรมใหม่ที่รับผิดชอบเรื่องคนเข้าเมืองโดยเฉพาะ อาจเป็น ‘กรมกิจการคนเข้าเมือง’ ที่ดูแลทุกเรื่องเกี่ยวกับการเข้าเมือง พร้อมแก้ พ.ร.บ. คนเข้าเมืองให้ชัดเจน ไม่ใช่ให้อำนาจกระทรวงมหาดไทยออกประกาศ แต่สุดท้ายเป็นหน่วยงานอื่นที่บังคับใช้กฎหมาย และควรพิจารณาควบรวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ศุลกากร หรือหน่วยงานอื่นๆ เพื่อให้ทุกอย่างอยู่ใน pipeline เดียวกัน ลดความซับซ้อนในการบริหาร และทำให้การทำงานมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้นในภาพรวม”

ประการที่สอง ตามที่ได้กล่าวไปแล้วว่ามีผู้ลี้ภัยจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในค่ายมานานกว่า 40 ปี ระยะเวลานี้นานพอแล้วที่ไทยควรพิจารณาถึงกระบวนการบางอย่างที่จะช่วย ‘บูรณาการ’ ให้พวกเขาอยู่ในสังคมไทยได้อย่างแท้จริง เช่น สามารถหางานทำได้ ไปเรียนหนังสือได้ แทนที่จะถูกจำกัดให้อยู่แต่ในค่าย

“โดยส่วนตัว ผมคิดว่าเราควรเลิกมองพื้นที่เหล่านี้ว่าเป็นแค่ค่ายผู้ลี้ภัย เพราะบางคนอาศัยอยู่มานานกว่า 40 ปีแล้ว หากมองตามหลักความเป็นจริง พวกเขาควรได้รับสถานะผู้อยู่อาศัยถาวร (permanent residency) ไปแล้ว หลายคนพูดไทยได้ ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมไทย และกลายเป็นส่วนหนึ่งของเราไปแล้ว

“ดังนั้น เป็นไปได้ไหมที่เราจะจัดสรรพื้นที่เหล่านี้ให้กลายเป็นหมู่บ้านถาวร อย่างน้อยพวกเขาจะมีบ้าน มีชุมชนที่มั่นคง และสามารถใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของพื้นที่พักพิง ซึ่งจะช่วยให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างเป็นระบบ ลดปัญหาการอยู่นอกระบบที่มักเป็นข่าวอยู่บ่อยครั้ง ถ้าเราสามารถจัดการให้พวกเขามีที่อยู่อาศัย มีที่ทำกิน และมีโอกาสออกไปทำงานได้ตามปกติ ปัญหาต่างๆ ก็อาจลดลง และเราจะไม่ต้องปวดหัวกับระบบที่ซ้อนทับกันโดยไม่จำเป็น”

ประการที่สาม แนวทางสำคัญสืบเนื่องจากประการที่สองคือการเชื่อมโยงผู้ลี้ภัยเข้ากับภาคธุรกิจ ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้พวกเขาสามารถพึ่งพาตนเองได้ การลดการพึ่งพาความช่วยเหลือต่างชาติจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้ลี้ภัยสามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานและมีรายได้เป็นของตัวเอง อย่างไรก็ตาม รัฐไทยต้องมีมาตรการทางกฎหมายรองรับต่อโอกาสการทำงานของผู้ลี้ภัย และต้องมีหลักประกันว่านายจ้างจะไม่ละเมิดสิทธิแรงงาน เหมือนที่มักเกิดขึ้นกับแรงงานข้ามชาติในปัจจุบัน

“สิทธิในการทำงานเป็นสิทธิสำคัญที่สุด เพราะช่วยให้ผู้ลี้ภัยสามารถยืนหยัดด้วยตัวเอง ลดการพึ่งพาทั้งจากรัฐ รวมถึงรัฐบาลต่างประเทศและองค์กรเอ็นจีโอ ซึ่งเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะเข้ามาแทรกแซง ดังนั้น หากเรามอบโอกาสให้ผู้ลี้ภัยได้ทำงาน ผลประโยชน์ก็จะย้อนกลับมาหาเราเอง

“ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย หลายอาชีพที่เคยถูกล็อกไว้สำหรับคนไทยเมื่อ 20-30 ปีก่อน ตอนนี้แทบไม่มีคนทำแล้ว เราจึงต้องคิดใหม่ในแง่ของการบริหารจัดการแรงงาน การเปิดโอกาสให้ผู้ลี้ภัยได้ทำงานอย่างถูกต้อง อาจเป็นทางออกที่ช่วยให้เราบริหารจัดการแรงงานอย่างเป็นระบบและเป็นประโยชน์ในระยะยาว”

การตั้งหลัก 3 ประการที่ภาณุภัทรเสนออาจเป็นโจทย์ที่ต้องขบคิดกันระยะยาว แต่การตัดงบของสหรัฐฯ ถือเป็นหมุดหมายที่ทำให้ไทยต้องเร่งหาทางออกให้เร็วขึ้น นอกจากนี้ต้องไม่ลืมว่าประเด็นผู้ลี้ภัยไม่ใช่แค่ปัญหาของไทย แต่เกี่ยวพันกับสถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้าน การแก้ไขปัญหาให้ยั่งยืนจึงต้องหาทางออกทั้งในเชิงมนุษยธรรมและเชิงการเมืองควบคู่กันไป

เมื่อมนุษยธรรมเผชิญกับแรงเสียดทานจากอคติ

หนึ่งในประเด็นที่ดำรงอยู่ในสังคมไทยมาโดยตลอดคือ ‘อคติต่อคนข้ามชาติ’ โดยเฉพาะคนจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่า กัมพูชา และลาว การโหมกระพือความเกลียดชังทวีความรุนแรงขึ้นในระยะหลัง โดยเฉพาะช่วงปลายปีที่แล้วที่ไทยมีมติ ครม. เรื่องการให้สัญชาติและสถานะบุคคลแก่กลุ่มอพยพ ซึ่งถูกบางกลุ่มบิดเบือนว่าเป็นการให้สัญชาติแก่ผู้ลี้ภัยโดยตรง

หลังจากสหรัฐฯ ตัดงบจนทำให้โรงพยาบาลสนามในค่ายผู้ลี้ภัยต้องปิดตัวลง ทำให้หน่วยงานรัฐไทยต้องเร่งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า กระแสความเกลียดชังก็ดูจะปะทุขึ้นอีกระลอก วาทกรรมที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาคือ คนไทยต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายและผู้ป่วยชาวไทยในพื้นที่ชายแดนต้องรอคิวการรักษานานขึ้น

ภายหลัง นพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุ้มผาง ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว The Active ว่า กรณีนี้ไม่ได้ทำให้จำนวนคนไข้เพิ่มขึ้นโดยตรง แม้ภาระงานของโรงพยาบาลชายแดนจะเพิ่มขึ้น แต่หากมีการบริหารจัดการที่ดีก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อคิวของผู้ป่วยชาวไทย ส่วนภาระค่าใช้จ่าย โรงพยาบาลมีการเก็บข้อมูลเป็นรายสัปดาห์ โดยสาธารณสุขจังหวัดบันทึกไว้ เพื่อรอแหล่งทุนใหม่เข้ามาสนับสนุนค่าใช้จ่ายเหล่านี้

ต่อประเด็นนี้ ภาณุภัทรมองว่า หน่วยงานตามชายแดนสามารถรับมือกับปัญหาเร่งด่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำงานอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในภาคส่วนสาธารณสุข แต่กระแสสังคมที่มีท่าทีต่อต้านอาจเป็นแรงเสียดทานที่ส่งผลกระทบต่อคนหน้างานในการปฏิบัติภารกิจ

“ผมคิดว่าหน่วยงานตามชายแดน โดยเฉพาะภาคสาธารณสุขทำงานหนักมาโดยตลอด แต่ประเด็นสำคัญคือมันมีพลังของคนที่ต่อต้าน ซึ่งกลายเป็นเสียงที่ทำให้การดำเนินงานได้รับผลกระทบ เสียงเหล่านี้มักแสดงออกซึ่งมุมมองเชิงลบหรืออคติ เช่น ทำไมเราต้องช่วย ช่วยแล้วได้อะไร พอเสียงดังขึ้นก็ทําให้ทรัพยากรที่คนทำงานต้องการเพิ่มในสภาวะที่งานล้นมือ ก็อาจไม่มีใครกล้าให้แล้ว อย่างนักการเมืองก็คงไม่กล้าให้ไปมากกว่าเดิม”

ในห้วงเวลาที่ชีวิตของผู้ลี้ภัยนับแสนในไทยอยู่ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่สุดยุคหนึ่ง การทลายกรอบคิดที่ถูกบดบังด้วยอคติเพื่อมองไปสู่แนวทางใหม่ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ เชื่อว่าไม่มีใครเลือกที่จะเป็นผู้ลี้ภัยหรือจากบ้านเกิดมา แต่เราสามารถเลือกที่จะตอบสนองต่อสถานการณ์นี้บนหลักมนุษยธรรมได้

ขณะเดียวกัน หากเรากลับมาตั้งหลักในการออกแบบนโยบายโดยยึดหลักคิดที่ว่า การบริหารจัดการผู้ลี้ภัยไม่เพียงแต่เป็นพันธกิจตามหลักมนุษยธรรม แต่ยังเป็นการสร้างประโยชน์แก่คนไทยและเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ทัศนะด้านลบต่อคนข้ามชาติในสังคมไทยก็อาจลดลงได้

“การพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศไม่ใช่และไม่เคยเป็นแนวทางที่ยั่งยืน ที่ผ่านมาเรามองว่าเดี๋ยวก็มีองค์กรต่างชาติมาช่วย เดี๋ยวก็มีงบสนับสนุนเข้ามา เราจึงปล่อยผ่าน แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเราต้องหยุดพึ่งพาความช่วยเหลือจากภายนอกได้แล้ว

“การไม่มีความช่วยเหลือจากต่างประเทศอาจจะทำให้เราได้มองเห็นสิ่งที่เรามีอยู่ ทั้งทรัพยากร ทักษะ และทรัพยากรมนุษย์ในประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญในการพัฒนา แต่คำถามคือเราพร้อมที่จะใช้ศักยภาพเหล่านี้ให้เต็มที่แล้วหรือยัง?” ภาณุภัทรกล่าวทิ้งท้าย

MOST READ

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save