15 มีนาคม 2568 (ตามเวลาอเมริกา) วงการสื่อโลกสั่นสะเทือน เมื่อไมเคิล อับราโมวิตซ์ ผู้อำนวยการวีโอเอ (วิทยุเสียงอเมริกา: Voice of America – VOA) เผยแพร่แถลงการณ์ซึ่งมีเนื้อความว่าวีโอเอถูกตัดงบสนับสนุน และพนักงานกว่า 1,300 คนถูกสั่งพักงาน
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อตัดงบประมาณของสำนักงานสื่อสารมวลชนสากลแห่งสหรัฐอเมริกา (The United States Agency for Global Media: USAGM) ซึ่งเป็นองค์กรแม่ของสื่อหลายสำนัก เช่น วิทยุเอเชียเสรี (Radio Free Asia: RFA) วิทยุยุโรปเสรี (Radio Free Europe: RFE)
นับตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2568 เป็นต้นมา วีโอเอถูกระงับการออกอากาศ ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 83 ปี ที่สถาบันสื่อซึ่งได้ชื่อว่าเป็น ‘วิทยุเสียงอเมริกา’ กลับต้องถูกดับเสียง และขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการดำเนินคดี หลังจากพนักงานวีโอเอและสหภาพแรงงานยื่นฟ้องรัฐบาลทรัมป์เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2568 โดยอ้างว่าการสั่งปิดองค์กรสื่อที่ได้รับงบประมาณจากสหรัฐฯ ถือเป็นการละเมิดสิทธิในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี ซึ่งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่หนึ่ง (First Amendment)
ท่ามกลางเสียงจากฝ่ายขวาหรือผู้สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ที่มองว่า การตัดงบสนับสนุนสื่อเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องในการลดขนาดองค์กรที่ใช้ภาษีประชาชนสิ้นเปลืองไปกับความล้าสมัยและการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายทรัมป์
กระนั้น ในอีกด้านหนึ่ง ทีมงานวีโอเอภาคภาษาไทยได้เขียนจดหมายเปิดผนึก แสดงจุดยืนถึงความสำคัญของวีโอเอในฐานะช่องทางการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสำหรับประชาชนในประเทศที่เสรีภาพสื่อถูกแทรกแซงหรือปิดกั้น และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือประเทศไทย
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของนโยบายสหรัฐฯ และตำแหน่งแห่งที่ของวีโอเอที่อาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป วันโอวันสนทนากับ รัตพล อ่อนสนิท หัวหน้าภาคภาษาไทยของวีโอเอ (Voice of America: VOA) ว่าด้วยบทบาทของวีโอเอในฐานะสถาบันสื่อที่ทรงอิทธิพลต่อโลก บทบาทของวีโอเอต่อผู้รับสารชาวไทย และผลกระทบใหญ่ต่อเสรีภาพสื่อและประชาธิปไตยหลังวีโอเอถูกสหรัฐฯ ตัดงบประมาณและพักงานพนักงาน 1,300 คน
หมายเหตุ: บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้เป็นความคิดเห็นของรัตพล อ่อนสนิท ไม่ใช่ในนามพนักงานวีโอเอ

เรามักรู้จักวีโอเอในฐานะสื่อที่ถือกำเนิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อรับมือกับโฆษณาชวนเชื่อของนาซี และมีบทบาทสำคัญในช่วงสงครามเย็นเพื่อป้องกันภัยคอมมิวนิสต์ จนถึงปัจจุบันที่วีโอเอวางตนเป็นสื่อเสรีสำหรับประเทศที่มีการปิดกั้นสื่อ อยากให้คุณเล่าว่าตลอด 83 ปีที่ผ่านมา บทบาทของวีโอเอเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
ย้อนไปเมื่อ 83 ปีก่อน สหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในช่วงสงคราม วีโอเอกำเนิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1942 ไม่กี่เดือนหลังจากเหตุการณ์โจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ในวันที่ 8 ธันวาคม 1941
เวลานั้นวีโอเออยู่ในหน่วยงานที่ชื่อว่า Office of War Information (OWI) กล่าวสั้นๆ คือเป็นหน่วยงานที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสงคราม นั่นคือจุดเริ่มต้นของเราเมื่อ 83 ปีก่อน ซึ่งจุดประสงค์ต่างจากในตอนนี้อย่างสิ้นเชิง
ความน่าสนใจคือมันเป็นจังหวะพอดิบพอดีกับที่หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมชเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา และเริ่มเคลื่อนไหวเรื่องเสรีไทย ท่านก็รับสมัครนักเรียนไทยในอเมริกา อย่างคุณราชัน กาญจนะวณิชย์ นักเรียนสแตนฟอร์ด ก็มาเริ่มทำข่าวและเป็นนักกระจายเสียงคนแรกของวีโอเอ
ภาษาไทยเป็นภาคภาษาแรกๆ ที่วีโอเอก่อตั้ง โดยเริ่มกระจายเสียงวิทยุคลื่นสั้นครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม ปี 1942 และมีคำเปิดรายการภาษาอังกฤษที่แปลเป็นไทยได้ว่า “ไม่ว่าข่าวจะดีหรือร้าย เรานำความจริงมาเสนอ” โดยใช้เสียงของคุณราชันเป็นเสียงเปิดรายการ และนอกจากคุณราชันแล้ว หม่อมราชวงศ์เสนีย์ยังช่วยจัดให้นักศึกษาหญิงไทยสองคนมาเป็นนักจัดรายการ ภายหลังทั้งสองมีตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์คือท่านผู้หญิงพูนทรัพย์ นพวงศ์ ณ อยุธยา และคุณหญิงอัมพร มีสุข
ตอนนั้นท่านผู้หญิงพูนทรัพย์กำลังเตรียมจะเรียนปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน แต่ก็เลือกมาทำงานนี้ วีโอเอไทยรุ่นก่อนๆ เคยกลับสัมภาษณ์ท่านไม่กี่ปีก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตเมื่ออายุ 105 ปี ในปี 2015 ท่านเล่าให้ฟังว่าการมาทำงานที่วีโอเออาจดูเหมือนเป็นการละทิ้งความฝันเรื่องการเป็นนักเรียนปริญญาเอก ซึ่งเป็นความฝันใหญ่สำหรับผู้หญิงในยุคนั้น แต่ท่านบอกว่าไม่ได้เสียดาย เพราะท่านทำเพื่อประเทศในตอนนั้น เราฟังอุดมคติของคนรุ่นก่อนๆ แล้วรู้สึกว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่ฟังแล้วขนลุก ยิ่งฟังเสียงคลื่นสั้นในช่วงนั้นที่มีความแตกพร่า ก็ยิ่งเหมือนเป็นลายน้ำทางประวัติศาสตร์ที่มีเสน่ห์
แต่แน่นอนว่าเมื่อเวลาเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน องค์กร Office of War Information ก็หายไป วีโอเอก้าวเดินมากว่า 83 ปี ย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลง แต่ประเด็นสำคัญอย่างเรื่องระบอบเผด็จการ ก็ยังคงเป็นประเด็นคลาสสิกในการเมืองโลก
เราเห็นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เห็นการพังทลายของกำแพงเบอร์ลิน ซึ่งหมุดหมายนี้ไม่ได้แปลว่าจะเป็นจุดสิ้นสุดของการถ่ายทอดข่าวสารที่ตรงไปตรงมา ไม่เอนเอียง และไม่ถูกปิดกั้น นอกจากนี้ในปีเดียวกันเรายังเห็นเหตุการณ์จัตุรัสเทียนอันเหมิน ที่รัฐใช้กำลังปราบอย่างโหดเหี้ยมต่อผู้เรียกร้องประชาธิปไตยในจีน และต่อมาเราก็เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างอาหรับสปริง
เหล่านี้เป็นสถานการณ์ที่ต้องการผู้สื่อสารให้คนได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นสถานการณ์ที่โลกต้องการสื่อที่ทำงานอย่างมืออาชีพในประเทศที่มีการปิดกั้นข่าวสาร
เมื่อกล่าวถึงบทบาทการทำงาน อยากถามว่าวีโอเอมีหลักในการทำงานอย่างไร และอะไรคือความแตกต่างระหว่างวีโอเอกับสื่อกระแสหลักของสหรัฐฯ เช่น ซีเอ็นเอ็น หรือเดอะนิวยอร์กไทมส์
เมื่อปี 1976 เจอรัลด์ ฟอร์ดเป็นประธานาธิบดี เขาได้ลงนามในธรรมนูญหรือกฎบัตรวีโอเอ (Voice of America Charter) ซึ่งระบุว่าวีโอเอต้องมีความน่าเชื่อถือในการนําเสนอข่าว ต้องรายงานข่าวอย่างถูกต้อง ไม่เอนเอียง ห้ามนำเสนอแค่แง่มุมเดียว ต้องครอบคลุมสังคมอเมริกัน และต้องนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายของรัฐด้วยความกระจ่างชัดและมีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดการถกเถียงพูดคุยกัน นี่เป็นสิ่งที่ยึดถือกันมา ไม่ว่าใครจะเป็นประธานาธิบดี ทั้งริพับลิกันและเดโมแครต
หลังจากนั้นก็มีอีกหนึ่งกฎหมายที่สําคัญในการคุ้มครองสื่อเกิดขึ้นในปี 1994 คือ International Broadcasting Act เป็นกฎหมายที่เรียกได้ว่าเป็นกําแพงกั้น (firewall) ไม่ให้การเมืองเข้ามาแทรกแซงการทํางาน เพื่อให้นักข่าวทำงานได้อย่างอิสระ ซึ่งจากประสบการณ์ส่วนตัวก็ไม่เคยเห็นการแทรกแซง ไม่เคยมีใบสั่งจากนักการเมืองว่าต้องทําหรือห้ามทําอะไร
หากเทียบกับสื่ออื่นๆ เมื่อพูดถึงสื่ออเมริกัน นอกจากซีเอ็นเอ็นหรือนิวยอร์กไทมส์ เราต้องพูดถึงสื่อฝ่ายขวาอย่างฟ็อกซ์นิวส์ด้วย ที่ก็เป็นผู้เล่นสำคัญ ความแตกต่างคือวีโอเอไม่ใช่สื่อเชิงพาณิชย์ แต่เป็นบริการสาธารณะ และยังมีกฎหมาย Smith–Mundt Act ที่ห้ามวีโอเอเจาะกลุ่มเป้าหมายผู้รับสารในอเมริกา เพราะวีโอเอคือบริการสาธารณะสําหรับประเทศต่างๆ หมายความว่าตรงข้ามกับสื่อเชิงพาณิชย์อย่างสิ้นเชิง ทั้งเรื่องตลาดและจุดประสงค์ของการทำงาน คือวีโอเอไม่ได้ทำงานเพื่อกำไรหรือเพื่อเงินปันผลของผู้ถือหุ้น แต่ทํางานเป็นบริการสาธารณะของประชาชนในประเทศที่ถูกปิดกั้นข่าวสาร หากถามว่าคุณค่าในการเป็นบริการสาธารณะของวีโอเอคืออะไร ก็คือการมีพื้นที่สื่อเสรี
กลับมาที่สถานการณ์ปัจจุบัน คำสั่งฝ่ายบริหารที่ออกมาในวันที่ 14 มีนาคม 2025 เรื่องการตัดงบประมาณและสั่งพักงานวีโอเอ มีสัญญาณมาก่อนหน้านั้นหรือไม่
การตัดงบประมาณและการดําเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นภายใต้งบประมาณที่น้อยลง คือสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ เป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ว่าจะมาจากรัฐบาลชุดใหม่ เราคาดหมายว่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ ณ วันนั้น (เสาร์ที่ 15 มีนาคม 2025) คนที่ทำงานก็ตกใจเมื่อได้รับอีเมล
หลังจากมีคำสั่งฝ่ายบริหาร เจ้าหน้าที่ก็ยังอยู่ในช่วงพักงาน ยังไม่ได้เข้าไปทํางานในตึก เราไม่ได้คาดไว้เลยว่าจะมีอีเมลเข้ามาในวันเสาร์ว่าคุณถูกพักงาน และเมื่อเช็กกับเพื่อนร่วมงานก็พบว่าได้อีเมลเหมือนกัน ภาพรวมคือเกือบทั้งหมดของเจ้าหน้าที่วีโอเอจำนวน 1,300 คน อยู่ในสถานะเดียวกัน

คำสั่งฝ่ายบริหารครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างไรต่อภูมิทัศน์สื่อทั่วโลก
เมื่อมองในภาพใหญ่ พบว่าส่งผลกระทบมาก เพื่อนในวงการข่าวก็มีความกังวล เพราะสื่อที่รับเนื้อหาของเราไปเผยแพร่ในเมืองไทย ช่วงเวลาออกอากาศจะเกิดช่องว่างเป็นสุญญากาศ ซึ่งสื่อที่รับเนื้อหาของเราก็รับเนื้อหาจากจีนและรัสเซียอยู่แล้วด้วย และเมื่อมีช่องว่างตรงนี้ สื่อของจีนหรือรัสเซียก็จะถูกใช้เข้ามาแทน
วีโอเอมีผู้รับสารกว่า 350 ล้านคนทั่วโลกต่อสัปดาห์ หลายประเทศไม่ใช่แค่แทรกแซงแต่ปิดกั้น และเสรีภาพสื่อรั้งท้ายอันดับเกือบ 200 ของโลก เพราะฉะนั้นการที่วีโอเอถูกระงับการออกอากาศ หมายความว่าช่องทางที่อาจเป็นช่องทางเดียวที่พวกเขารับข่าวสารจากโลกภายนอกถูกปิดกั้นไป ประเทศเหล่านี้ก็เช่นเกาหลีเหนือ จีน กัมพูชา เมียนมา
ผลกระทบเกิดขึ้นอยู่แล้วในประเทศที่เป็นเผด็จการ อย่างเมียนมาเพิ่งเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มีผู้เสียชีวิตเป็นพันคน ในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ เมื่อไม่มีผู้ให้ข่าวสารที่ครบถ้วนครอบคลุมเช่นวีโอเอ ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย ผู้ที่กุมอํานาจก็ย่อมจะยิ้มได้ เพราะเขาคุมเรื่องการสื่อสารได้เบ็ดเสร็จ หรือในหลายๆ ประเทศที่มีสถานการณ์ฉุกเฉินหรืออยู่ภายใต้การควบคุมของเผด็จการที่เข้มข้น ก็จะมีความเสี่ยงเป็นพิเศษในสถานการณ์วิกฤต
แต่ในสถานการณ์สําคัญอื่นๆ เช่น ช่วงเวลาสําคัญทางการเมือง อย่างปี 2024 ก็เป็นตัวอย่างที่สําคัญ คือประชาชนกว่า 3,000 ล้านคนจาก 60-70 ประเทศทั่วโลกไปเลือกตั้งในปีเดียวกันอย่างไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) บอกว่าปี 2024 คือปีแห่งประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
การได้รับข่าวสารจะช่วยในการตัดสินใจของประชาชนในประเทศที่มีความท้าทายเรื่องสื่อเสรี งานของวีโอเอประเทศนั้นๆ จึงมีบทบาทสําคัญกับคนประเทศนั้นที่จะตัดสินใจอนาคตของเขา เพราะมันจะมีอะไรสําคัญไปกว่าการตัดสินใจว่าใครจะเป็นผู้นําประเทศบนพื้นฐานของข้อมูลที่ครบถ้วน

วีโอเอไทยมีความสำคัญอย่างไร มีบทบาทในการหยิบยกประเด็นสำคัญของไทยมาพูดถึงอย่างไรบ้าง มีบทบาทสำคัญต่อคนไทยและสื่อไทยอย่างไร
ประเทศไทยตั้งแต่รัฐประหารปี 2014 เราเห็นความด้อยลงของเสรีภาพสื่อ และเราเห็นประเด็นแหลมคมที่สื่อมีความระมัดระวังในการพูดถึง คิดว่าเหล่านี้เป็นเรื่องที่วีโอเอไทยให้ความสําคัญ ถ้าจะให้ยกตัวอย่างชัดๆ ก็คือเรื่องมาตรา 112 เราทำประเด็นผู้ลี้ภัยชาวไทยในต่างประเทศ พยายามทําให้คนเข้าใจชีวิตของเขา กว่าจะมาถึงจุดที่เขากลายเป็นผู้ลี้ภัยต้องออกนอกประเทศ หรือประเด็นเชิงลึกเกี่ยวข้องกับระบอบกษัตริย์หรือประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เราก็ทําด้วยความคิดที่ว่ามันจะทําให้เกิดการพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ เพราะความเข้าใจหรือการพูดคุยกัน ส่วนหนึ่งก็เป็นยาป้องกันการใช้ความรุนแรงหรือการประหัตประหารเพียงเพราะว่ามีความคิดทางการเมืองที่ไม่เหมือนกัน
หรือย้อนไปตั้งแต่การรัฐประหารรัฐบาลคุณทักษิณ ชินวัตร ตอนนั้นคุณทักษิณมาเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (United Nations General Assembly: UNGA) ที่นิวยอร์ก นักข่าววีโอเอก็ไปทำข่าวที่โรงแรมใกล้สหประชาชาติเลย แล้วต่อมาช่วงรัฐประหารคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตอนนั้นสื่อวิทยุของไทยที่รับเนื้อหาจากวีโอเอถูกระงับออกอากาศ ในห้องส่งที่กรุงวอชิงตันก็เลยออกอากาศผ่านดาวเทียม
เราจะบอกได้อย่างไรว่าไทยสามารถวางใจได้เลยว่าเหตุการณ์แบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีก มันอาจจะเป็นเรื่องยาก การที่เราเป็นผู้สื่อสารออกไปในชั่วโมงที่จอดำทั้งประเทศ คือตัวอย่างหนึ่งของการที่เราได้เป็นสินทรัพย์ (asset) ให้กับคนไทยในช่วงเวลาแบบนั้น
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการเลือกตั้งไทย บทบาทของไทยในเวทีโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงระเบียบโลก และบทบาทของไทยท่ามกลางการแข่งขันของประเทศมหาอํานาจ หรือการรายงานเชิงลึกที่ประสานงานกับภาคภาษาอื่นๆ เพราะวีโอเอมีเกือบ 50 ภาคภาษา เราทำงานร่วมนักข่าวภาคภาษาอื่นๆ ในเรื่องเชิงลึก เช่น การรายงานข่าวเชิงสืบสวนเกี่ยวกับเครือข่ายที่เกี่ยวโยงกับกลุ่มวากเนอร์ของรัสเซียในภาคใต้ของไทย เรื่องโรงงานขยะของจีนที่สร้างความกังวลเรื่องผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย วีโอเอมีกระทั่งภาคภาษาอุยกูร์ เราทำงานร่วมกับนักข่าวภาคภาษาอุยกูร์เกี่ยวกับชาวอุยกูร์ที่อยู่ในไทยและภายหลังถูกส่งกลับไปทางจีน ซึ่งด้วยสถานะที่เราอยู่ในอเมริกา ก็ทำให้เราไม่อึดอัดมากเท่าสื่อไทยในการรายงานเรื่องที่อ่อนไหวและสําคัญ
แม้กระทั่งเรื่องวัฒนธรรม ชุมชนไทย และโอกาสทางเศรษฐกิจของคนไทยในอเมริกา เช่น ตลาดโต้รุ่งในลอสแอนเจลิส ก็เป็นเรื่องที่คนไทยในอเมริกาได้สื่อสารสะท้อนเรื่องราวเหล่านี้ หรืออย่างเทศกาลดนตรีโคเชลลา (Coachella) เราก็ตามมิลลิขึ้นเวที หรืออย่างกระแสข้าวเหนียวมะม่วงในช่วงนั้น เราก็ทำประเด็นนี้ร่วมกับภาคภาษาเขมร ด้วยความที่วีโอเอมีหลายภาคภาษา จึงเป็นพลังอย่างหนึ่งของการร่วมมือกัน เราคิดว่ามันเป็นบทบาทที่ดีที่เราได้เรียนรู้ และได้ถ่ายทอดบริบทด้านวัฒนธรรมจากการรายงานข่าวร่วมกันกับภาคภาษาต่างๆ
สำหรับสื่อที่รับเนื้อหาจากเรา เรายังมีการนําเสนอข่าวแพ็กเกจเกี่ยวกับอเมริกา ข่าวเกี่ยวกับโลก ข่าวที่เกี่ยวกับประเด็นโลกที่ไทยมีผลประโยชน์อยู่ด้วย หรืออย่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แน่นอนว่าเป็นประเด็นที่สื่อไทยมองเราเหมือนเป็นออฟฟิศของพวกเขาในกรุงวอชิงตัน คือเราลงภาคสนามและต่อสายต่อภาพเข้าห้องส่งทีวีที่เมืองไทยเลย
นอกจากเนื้อหาข่าว เราก็มีรายการเพื่อนักเรียนนักศึกษา รวมถึงคนจบใหม่และเพิ่งทำงาน เช่น รายการสอนภาษาอังกฤษ หรือรายการคุยข้ามโลกที่พูดถึงการศึกษา ทุนการศึกษา โอกาสงานต่างๆ ในอเมริกา
นอกจากนี้ ปีละครั้งวีโอเอไทยจะทําสารคดีซึ่งเป็นงานทุ่มเท เป็นงานประณีต ไม่ใช่ข่าวรายวัน แต่เป็นงานที่ใช้เวลาหลายสัปดาห์ หรือบางทีมากกว่าสองเดือน ยกตัวอย่างเช่น Who’s My Dad? ภารกิจ ‘ตามหาพ่อ’กระเทาะหัวใจลูกครึ่งอเมริกัน เป็นเรื่องเกี่ยวกับสงครามเวียดนาม ซึ่งได้รางวัลจากการประกวดสารคดี New York Festivals TV and Film Award งานลักษณะนี้เป็นงานที่ใช้เวลา แต่เราคิดว่ามีประโยชน์ในการช่วยถ่ายทอดและทําให้ประเด็นใหญ่ถูกถ่ายทอดให้มีความลึกมากขึ้นผ่านเรื่องราวของคน อย่างเรื่อง Who’s My Dad? นี้ ก็เป็นงานที่ทำเพื่อให้คนเข้าใจสงครามเวียดนามมากขึ้นในมิติที่เกี่ยวข้องกับคนไทย

ผู้รับสารของวีโอเอไทยเป็นใครบ้าง พวกเขาพูดถึงวีโอเอไทยอย่างไร
ผู้รับสารส่วนใหญ่ของเราอยู่ที่ประเทศไทย ถ้ารวมทุกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของเรารวมแล้ว 800,000 กว่าคน อยู่ในประเทศไทย 70% ลาว 11% นอกจากนี้ก็มีเมียนมา และส่วนใหญ่เป็นคนจากเมืองใหญ่ (urban) คนหนุ่มคนสาวก็ฟังเราเยอะ
หลังจากที่มีข่าวว่าการกระจายเสียงของเราถูกระงับ และคุณสุทธิชัย หยุ่นนำเรื่องนี้ไปพูดในรายการของเขา เราก็ได้รับฟีดแบ็กจากผู้ติดตามเยอะมาก ถ้าถอดคำพูดของพวกเขามา คือพวกเขาบอกว่ารายการกระชับ อยู่ในรูปแบบที่ไม่ลากยาว ไม่ปั่น มีลีลาการถ่ายทอดข่าวสารที่น่าฟัง และมีการทํางานที่ไม่เอนเอียง นี่คือคำที่คนเหล่านี้เขียนถึงเรา เราไม่กล้าพูดเองหรอก
นอกจากผู้รับสารที่ติดตามวีโอเอไทยแล้ว ย่อมมีผู้ที่ตั้งคำถามว่าวีโอเอเป็นสื่อต่างชาติที่เข้ามาในไทยและมีบทบาทเป็นโฆษณาชวนเชื่อของสหรัฐอเมริกา ต่อประเด็นนี้คุณมีความคิดเห็นอย่างไร
เราทํางานด้วยความต้องการให้เกิดพื้นที่สําหรับการนําเสนอข่าวสารแบบไม่ถูกปิดกั้นและไม่บิดเบือน เพื่อสนับสนุนเสรีภาพสื่อ เราต้องการให้เกิดบทสนทนาและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น สิ่งเหล่านี้เป็นคุณค่าสําคัญของชุมชนและประเทศ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน
ถ้ามีคนตั้งคําถามว่าเราเป็นสื่อที่เป็นกระบอกเสียงของสหรัฐฯ ผมคิดว่าสามารถเปรียบเทียบข่าวของเราได้กับสื่อที่เขาบริโภคทุกวันว่าเราได้ให้แง่มุมเพิ่มเติมครบถ้วนหรือเปล่า เพราะจะมีสื่อรัฐไหนที่บอกว่าคุณห้ามเสนอแค่แง่มุมของรัฐ แต่ต้องเสนอให้ครบถ้วน ไม่อย่างนั้นจะผิดธรรมนูญ เราไม่ค่อยเห็นสื่อแบบนี้
นอกจากนี้ ด้วยรูปแบบรายการที่ออกอากาศทุกวัน วันละครึ่งชั่วโมง และมีหลายข่าวในรายการ เราคิดว่ามันยากที่จะทําให้รายการเป็นห้องเสียงสะท้อน (echo chamber) ให้คนคิดแบบใดแบบหนึ่ง รูปแบบของรายการไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อปั่น และผู้รับสารคือผู้ตัดสินว่าวีโอเอแตกต่างจากสื่อที่เขาบริโภคทุกวันอย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผมคือ ถ้าคนรู้สึกตั้งคำถามว่านี่คือการโฆษณาชวนเชื่อหรือเปล่า แล้วการตั้งคําถามเหล่านี้นําไปสู่การเปรียบเทียบข่าวสารที่เขารับ ยังถือเป็นสัญญาณที่ดีกว่าด้วยซ้ำ
คุณมองภูมิทัศน์สื่อไทยอย่างไร เมื่อปัจจุบันนี้มีสื่ออิสระหลายแห่งเริ่มทำประเด็นที่แหลมคม เช่นประเด็นเกี่ยวกับมาตรา 112 มากขึ้น
สื่อไทยเสรี จนกระทั่งไปแตะประเด็นที่ไม่เสรี แสดงว่ามีบางแง่มุมของภูมิทัศน์สื่อที่ยังมีความระแวดระวังหรือหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึง เราก็มีหน้าที่เข้ามาเติมเต็มตรงนั้น เช่น เรื่องการเรียกร้องเสรีภาพ การแสดงออกทางความคิดเห็นเหล่านี้ เป็นสื่อเล็กๆ ที่เฉพาะกลุ่มมากที่ทำเรื่องนี้ แต่ด้วยความที่เราอาจหายใจคล่องขึ้น เพราะเราไม่ได้อยู่ภายใต้ข้อจำกัดและด้วยความที่เราอยู่ที่อเมริกา มันก็เป็นสถานะที่ได้มุมมองจากต่างประเทศ สิ่งนี้ทําให้ฉายภาพได้กว้างมากขึ้น เป็นส่วนหนึ่งที่ทําให้เกิดพื้นที่ในการพูดคุยในเรื่องที่สําคัญ
เราติดตามตัวชี้วัดเสรีภาพในประเทศต่างๆ เช่น ฟรีดอมเฮาส์ ที่บอกว่าไทยตกอันดับลงมาจาก ‘มีเสรีภาพบางส่วน’ เป็น ‘ไม่เสรี’ โดยให้เหตุผลเรื่องคำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญกรณียุบพรรคก้าวไกล และเรื่องการลงโทษผู้ที่แสดงความคิดเห็นอย่างเสรี หรือการที่ผู้กระทําผิดลอยนวลเหนือความผิด
ประเทศไทยมีสื่อเสรี แต่พื้นที่ในการเล่าเรื่องเหล่านี้มีน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆ ที่คุณสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างเสรี เราก็ต้องดูว่าเหตุว่าไทยไม่เสรีอย่างไร มันเป็นสาเหตุจริงไหม และการที่ไทยไม่เสรีมันสําคัญหรือเปล่า การไม่ทําอะไรและวางใจว่าไทยเสรี เราดูในรายงานต่างๆ ได้ว่าเสรีภาพของไทยอยู่ในลำดับไหน ถ้าเราต้องการทํางานเพื่อให้ความเสรีมันดีขึ้น ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
บางคนอาจมองว่าสื่ออิสระของไทยบางเจ้าอาจดันเพดานได้มากกว่าในประเด็นอย่าง 112 หรือผู้ลี้ภัยการเมือง คุณมองว่าวีโอเอมีบทบาทที่แตกต่างอย่างไรในประเด็นเหล่านี้
ผมตั้งคำถามนะกับคำว่าดันได้มากกว่า เพราะมันอาจจะเป็นการดันร่วมกัน อย่างสิ่งที่เราทำคือผู้ลี้ภัยที่ต้องออกจากประเทศด้วยความคิดทางการเมืองไม่เหมือนกับฝ่ายอํานาจ เราเล่าในมุมของคนที่ต้องทุกข์ทรมานต้องจากครอบครัวของเขามาอยู่ต่างประเทศ เพื่อให้คนเข้าใจประเด็นการเมืองที่มีผลกระทบต่อประเทศจากเรื่องราวของคนเหล่านี้ แม้เราจะถูกวิจารณ์ว่าไปให้เครดิตพวกเขาทําไม เขาเป็นผู้ลี้ภัยหนีคดี แต่เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องเล่าประเด็นนี้ผ่านเรื่องราวของผู้คนออกมาให้ได้
อีกอย่างหนึ่งคือเราเป็นตัวเชื่อมของประเด็นอ่อนไหวทางการเมืองกับสิ่งที่จับต้องได้ เช่น เรื่องการค้า การได้สิทธิพิเศษทางการค้า การงดสิทธิพิเศษทางการค้า ซึ่งด้วยตำแหน่งแห่งที่ของเรา เราเป็นตัวเชื่อมประเด็นอุดมคติเข้ากับประเด็นเศรษฐกิจในเชิงนโยบายต่างประเทศ เรียกว่าเราใช้จุดแข็งของเราในการทำประเด็นเหล่านี้ มันก็จะทำให้ภาพสุดท้ายสมบูรณ์ขึ้นในประเด็นที่โดนท้าทายจนไม่น่าจะสมบูรณ์ได้
เราว่าแทบไม่ค่อยมีคนที่ทำประเด็นนี้ด้วยมุมเทศมองไทย หรือเป็นผู้สังเกตการณ์จากต่างประเทศ มุมมองของประชาคมระหว่างประเทศที่มองประเด็นนี้ของไทย ซึ่งสถานะของเราค่อนข้างทำให้เราทำได้ตรงกับขอบเขตหน้าที่และโดยธรรมชาติแล้วเราไม่ได้อยู่ที่ไทย มันก็สมเหตุสมผลที่เราทำเรื่องนี้ในมุมมองเหล่านี้
หนึ่งในข้อวิจารณ์จากฝ่ายขวาในสหรัฐฯ คือวีโอเอใช้งบประมาณจากภาษีประชาชนอย่างไม่คุ้มค่า คุณมีความคิดเห็นอย่างไรต่อคำกล่าวนี้
วีโอเอใช้งบประมาณ 250 ล้าน หรือไม่ถึง 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และมีผู้ชม 350 ล้านคนทั่วโลกต่อสัปดาห์ นี่เป็นตัวเลขที่มีการเผยแพร่สู่สาธารณะ เราไม่ได้ทำสื่อเชิงพาณิชย์ แต่เราเป็นบริการสาธารณะ คำถามคือประชาธิปไตยและคุณค่าของโลกเสรีในประเทศต่างๆ นั้นราคาเท่าไหร่
หากถามถึงผลประโยชน์ของประชาชนอเมริกันเอง เราก็เคยทำประเด็นชาวอเมริกันที่ทำงานในไทยในช่วงโควิด-19 ที่เขารอคอยวัคซีน mRNA เราเป็นสื่อแรกๆ เมื่อเทียบกับเจ้าใหญ่ๆ ที่ทําเรื่องนี้ หรือถ้าเป็นประเด็นในไทย อย่างเรื่องการเกิดขึ้นของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนใจการเมืองปี 2020 เราเห็นการเคลื่อนไหวของนักเรียนนักศึกษา การใช้สื่ออย่างคลับเฮ้าส์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการมีส่วนร่วมในพื้นที่การเมือง ซึ่งเป็นฉากประวัติศาสตร์ที่สําคัญมากๆ สําหรับไทย ผลงานเหล่านี้มันยากที่จะมาตั้งว่าควรจะราคาเท่าไหร่
ถ้าจะเทียบให้เป็นสิ่งที่จับต้องได้ คือสื่อในภาคเอกชนมีผลประโยชน์ด้านการค้า แต่เราไม่มี เราต้องการให้ทุกคนในประเทศที่ถูกปิดกั้นสื่อสามารถตัดสินใจด้วยข้อมูลที่ครบถ้วน ซึ่งมีตั้งแต่เรื่องความเป็นความตาย โรคระบาดและคนต้องการวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ หรือในสถานการณ์แผ่นดินไหวที่ไทยเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2025 ที่คนอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และเราก็อยากทำเรื่องบริษัทไชนาเรลเวย์ (บริษัทจีน หนึ่งในผู้รับเหมาหลักของอาคาร สตง.) ในเชิงลึก ในสถานการณ์แบบนั้น การที่ข้อมูลหลั่งไหลและเปิดพื้นที่ทําให้นักข่าวสามารถทํางานการสืบสวนสอบสวนได้โดยไม่ถูกคุกคามถือเป็นสิ่งสำคัญ
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ไม่ได้อยู่ในเรดาร์ของสื่อใหญ่ เช่น ประเด็นคอร์รัปชันท้องถิ่น ประเด็นโครงการอุตสาหกรรมที่เป็นอันตรายต่อคนในพื้นที่และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นประเด็นที่สําคัญมาก และจะทำได้ยากถ้าไม่มีระบบนิเวศสื่อเสรีที่แข็งแรง
ในปีที่คน 3,000 กว่าล้านคนออกไปเลือกตั้ง แล้วคนนับร้อยล้านคนอาจจะอยู่ในประเทศที่เขาไม่ได้รับข้อมูลข่าวสาร หรือคนนับหลายล้านอยู่ในประเทศที่มีผู้นําเผด็จการ อะไรคือป้ายราคาสำหรับการตัดสินใจของคนเหล่านั้น ซึ่งมันมีป้ายราคาแน่นอน เพราะผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ปี 2024 ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์สองคน (ดารอน อาเซโมกลู และไซมอน จอห์นสัน) และจากมหาวิทยาลัยชิคาโกอีกหนึ่งคน (เจมส์ โรบินสัน) ก็กล่าวถึงความเชื่อมโยงระหว่างประชาธิปไตยและความเจริญทางเศรษฐกิจของประเทศ
ดังนั้น แม้วีโอเอไม่ใช่สื่อเชิงพาณิชย์ เราก็คิดว่าส่งผลที่จับต้องได้จริง เพราะมีการวิเคราะห์เรื่องเหล่านี้ในเชิงเศรษฐศาสตร์ และส่วนหนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่สื่อทํางานได้ดีก็เป็นส่วนสําคัญของประชาธิปไตย
จากเหตุการณ์ตัดงบและพักงานพนักงานวีโอเอ อาจกล่าวได้ไหมว่าสื่อเสรีไม่ได้สอดคล้องกับคุณค่าของอเมริกาในปัจจุบันหรือในรัฐบาลนี้แล้ว
ไม่ว่าจุดยืนของรัฐบาลนี้คืออะไร ก็ยังเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในประวัติศาสตร์ของอเมริกา เราก็ยังยืนอยู่ในการสนับสนุนประชาธิปไตย คำวิพากษ์วิจารณ์ต่อรัฐบาลชุดนี้จะจริงหรือไม่ การที่เราถูกระงับการออกอากาศเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ก็ถือเป็นเรื่องย้อนแย้ง เพราะประวัติศาสตร์ของอเมริกาอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยมาตลอด
ประชาธิปไตยเป็นเหมือนคุณค่าของสหรัฐอเมริกา การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐครั้งที่หนึ่ง (First Amendment) ก็ครอบคลุมถึงเรื่องเสรีภาพสื่อ เราเห็นการพูดถึงข้อกฎหมายในเหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่เสรีภาพสื่อถูกท้าทาย เช่น ช่วงสงครามเวียดนามที่วอชิงตันโพสต์และนิวยอร์กไทม์นำเสนอข่าวแล้วถูกรัฐบาลในตอนนั้นฟ้องร้องจนเรื่องไปถึงศาลสูง และสุดท้ายแล้วคำตัดสินของศาลก็การันตีว่าสื่อมีเสรีภาพในการนําเสนอข่าว ฉะนั้น สื่อเสรีเป็นสิ่งที่อยู่ในเนื้อในตัวของประชาธิปไตยในอเมริกา
วีโอเอยังมีความจำเป็นอยู่ไหมในโลกที่ข้อมูลกระจัดกระจายและสื่ออิสระหรือสื่อพลเมืองสามารถเข้าถึงผู้คนได้โดยตรง
เราเห็นคุณค่าระบบนิเวศข่าวที่มีความหลากหลายและมีตัวเลือกสื่อชุมชนที่เยอะ โดยเราเป็นส่วนหนึ่งของการทํากิจกรรม อย่างการสัมมนาต่างๆ ที่ให้นักข่าวชุมชนจากหลายพื้นที่ประเทศใหม่ๆ มาร่วม เช่น สัมมนาเรื่องการใช้เอไอ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทําให้ห้องข่าว – ที่เป็นทั้ง ‘ห้องนั่งเล่น’ และ ‘ห้องกินข้าว’ สําหรับสื่อที่มีคนทำงานสองถึงห้าคน – ให้ทํางานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เราคิดว่าสื่อชุมชนเป็นสื่อที่ใกล้ชิดกับคนที่อยู่ตรงนั้น ในประเด็นที่สื่อใหญ่ไม่ได้มอง เช่น การทุจริตในระดับชุมชน อันตรายจากโครงการอุตสาหกรรมต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ซึ่งไม่ใช่เป็นประเด็นที่ทำเงินได้หรือเป็นพาดหัวใหญ่ระดับประเทศสำหรับสื่อกระแสหลัก แต่สําคัญกับผู้คนที่อยู่ตรงนั้น ซึ่งการที่เราเห็นคุณค่าและมีโครงการที่ให้สื่อชุมชนได้ทํางานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ก็เป็นอีกสิ่งที่บ่งบอกความแตกต่างระหว่างเรากับสื่อเพื่อการค้าด้วยเหมือนกัน

ถ้าวีโอเอได้ไปต่อ มีเป้าหมายหรือหมุดหมายสำคัญอะไรที่คุณอยากทำ ทั้งในแง่ของข่าวไทยและข่าวโลก
เรายังรู้สึกตื่นเต้นกับความเป็นไปได้ที่จะทำหลายประเด็นที่วางแผนไว้ต่อให้เสร็จ เช่น ในปี 2026 จะครบรอบ 250 ปี วันชาติสหรัฐฯ เราก็อยากทำโปรเจกต์นี้ หรืออย่างเรื่องการเลือกตั้งไทยในปี 2027 ที่จะถึงด้วยเพราะอย่างตอนเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เราลงพื้นที่ไปสัมภาษณ์คุณเศรษฐา ทวีสิน และคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์เป็นภาษาอังกฤษ เพราะเราอยากได้ยินวิสัยทัศน์ของผู้สมัครนายกรัฐมนตรี แม้ตอนนั้นจะมีเสียงวิจารณ์ว่าทำไมต้องสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ แต่ในจุดหนึ่งประชาชนเองก็คาดหวังว่าคนที่เขาเลือกจะวางตัวอย่างไรเมื่อไปยืนอยู่บนเวทีโลก เราเหมือนเปิดหน้าต่างให้ผู้ชมได้เห็นตรงนั้น ซึ่งเราก็รู้สึกตื่นเต้นถ้าจะได้ทำแบบนั้นอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ ก็ยังมีเรื่องการขึ้นภาษีการค้าของสหรัฐฯ และการฟ้องมาตรา 112 ต่อพอล แชมเบอร์ส นักวิชาการชาวอเมริกัน ที่เรายังอยากรายงาน
เมื่อมองไปข้างหน้า มันมีสิ่งที่กดกระดิ่งในใจให้รู้สึกตื่นเต้นอยากทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทูตที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงที่ผ่านมา ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของบรรดามหาอำนาจท่ามกลางระเบียบโลกใหม่ เราก็ยังไม่รู้ว่าสงครามรัสเซียยูเครนจะจบในรูปแบบไหน แต่เป็นประเด็นที่น่าจะตามต่อ เช่นเดียวกับในอดีตที่เราก็เคยทำข่าวเชิงสืบสวนเกี่ยวกับจีนหรือรัสเซีย ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าตื่นเต้น
ย้อนไป 83 ปีก่อนเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน ถ้ามองอิงประวัติศาสตร์ของวีโอเอ แต่หากมองในมุมส่วนตัว สำหรับตัวเราที่เห็นวีโอเอในยุคที่ใช้มีดโกนตัดเทปจากม้วนรีลใหญ่ๆ ประเภทเดียวกับที่ใช้อัดเทปคาสเซ็ต เป็นนักศึกษาฝึกงานที่ทำเรื่องผลกระทบจากต้มยํากุ้งต่อนักเรียนไทยในอเมริกา และนับตั้งแต่ปี 1999 เราก็ทํางานด้านสื่อสารมวลชนมาตลอด วีโอเอทําให้เราหลงใหลในการเป็นนักข่าว ทําให้คนขี้อายคนหนึ่งได้เรียนรู้ด้วยการมีใบอนุญาตในการสัมภาษณ์คนเหล่านั้น เราคิดว่าอาชีพของนักข่าวที่ได้เล่าเรื่องราวที่ไม่ค่อยมีใครเล่า เป็นอาชีพที่อิ่มเอมใจ
โดยพื้นฐานแล้ว เรายังมีความหวังที่อยากจะทำงานเพื่อให้เกิดสื่อเสรี ให้มีการเปิดกว้างทางข่าวสารข้อมูลอย่างที่เราทำมาตลอด