ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวครึกโครมบนหน้าสื่อทั้งสื่อหลักและสื่อสังคมออนไลน์ เกี่ยวกับการสอบสวนหาความผิดถึงขั้นลงโทษไล่ออกจากราชการของ ‘นายแพทย์ท่านหนึ่ง’ ที่อาสานำคณะแพทย์จากชนบทเข้ามาช่วยสนับสนุนตรวจรักษาผู้ป่วยโควิดในเขตเมืองหลวง ในข้อหาทำผิดระเบียบราชการและการการจัดชื้อจัดจ้าง
คำถามในภาพใหญ่ที่เกิดขึ้นทันทีคือ นายแพทย์ท่านนั้นทำให้ผู้ป่วยโควิดตายมากขึ้นหรือตายน้อยลง และระบบสาธารณสุขที่กำลังล้มเหลว (public health meltdown) ในตอนนั้นจะมีใครรับผิดชอบหรือไม่
หลังจากข่าวดังกล่าวออกมาก็เกิดประเด็นโต้เถียงที่หลากหลายของกลุ่มที่ใช้สื่อสังคม ขึ้นอยู่กับทัศนะและสติ/อคติ ของแต่ละคน แต่สำหรับญาติพี่น้องของผู้สูญเสียชีวิตไปกับความล้มเหลวในการตั้งรับ และการจัดกระบวนการสาธารณสุขเพื่อป้องกันรักษาชีวิตผู้คนที่เป็นเหยื่อของโรคระบาดครั้งนี้ ก็คงอยากตั้งคำถามดังๆ ว่า การสอบสวนหาความผิดของนายแพทย์ท่านหนึ่งที่อาสาฝ่าระเบียบราชการ เพื่อช่วยสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสร้ายในเมืองหลวง ท่ามกลางห้วงเวลาที่ระบบสาธารณสุขของประเทศที่มีงบประมาณและทรัพยากรมากมาย ‘เอาไม่อยู่’ ในเวลาคับขันนั้น มันเป็นการตอบโจทย์อะไรและใครกันแน่ที่ต้องรับผิดชอบกับระบบสาธารณสุขที่กำลังล้มเหลวครั้งนี้
สิ่งที่ประเทศชาติและญาติพี่น้องของผู้สูญเสียต้องการในเวลานี้คือ ‘การไต่สวนอิสระระดับชาติ’ (national public inquiry) ที่มีประธานและคณะกรรมการที่เป็นอิสระจากระบบราชการ เป็นบุคคลสาธารณะที่มีทุนทางสังคมอันเป็นที่ยอมรับ มาดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด รอบด้าน ตรวจสอบกระบวนการตัดสินใจทั้งในระดับนโยบายและภาคปฏิบัติ เพื่อชี้ความผิดพลาด เปิดโปงผลประโยชน์ทับซ้อน และชี้ตัวเพื่อหาผู้รับผิดชอบในการวางกรอบป้องกัน การเตรียมความพร้อมรับภัยคุกคามทางสาธารณสุขที่อาจเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ก็ได้
ความล้มเหลวในการปกป้องประชาชนจากการแพร่ระบาดโควิดเป็นประเด็นที่หลายประเทศในยุโรปได้จัดตั้งคณะกรรมการไต่สวน เพื่อตรวจสอบความผิดพลาด ใครต้องรับผิดชอบ สรุปบทเรียนและจัดวางมาตรการป้องกันมิให้โศกนาฎกรรมร้ายแรงแบบนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต
ในสหราชอาณาจักร แม้ฝ่ายรัฐบาลมักพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ยอมตั้งคณะกรรมการสอบสวน แต่บรรดาญาติพี่น้องของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของโรคระบาดโควิดรวมตัวกันเรียกร้องและเคลื่อนไหวทางสื่อมวลชน พากันไปยื่นหนังสึอเรียกร้องที่ทำเนียบนายกรัฐมนตรี แล้วเรียกสื่อมวลชนไปรายงานข่าวครึกโครม จนนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน (ในขณะนั้น) ต้องยอมประกาศตั้งนักกฎหมายมหาชนที่มีผลงานอันเป็นที่ประจักษ์อย่าง บารอนเนส ฮัลแลท (Baroness Hallet) ซึ่งเป็นอดีตผู้พิพากษาและสมาชิกสภาขุนนาง มาเป็นประธานคณะกรรมการไต่สวนอิสระ หลังจากองค์การอนามัยโลกประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉินโควิดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2023
เป็นที่ทราบกันดีว่าสหราชอาณาจักรมีผู้เสียชีวิตจากโควิดสองแสนสามหมื่นคนซึ่งอยู่ในอันดับต้นๆ ของประเทศกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ (G7) และความที่สื่อมวลชนมีอิสระไม่ได้ถูกครอบงำจากอำนาจรัฐจึงมีรายงานความเหตุความผิดพลาดอันเกิดจากนโยบายที่สับสน ผลประโยชน์ทับซ้อน การสร้างภาพปกปิดรอยแผล ความหน้าไหว้หลังหลอกของผู้กำกับนโยบาย จนเกิดความเสียหายทั้งการออกแบบนโยบาย สายการบังคับบัญชา ไล่ลงไปถึงระดับปฏิบัติการ ตลอดระยะเวลาโควิดระบาดสามปีกว่า จึงทำให้มีข้อมูลดิจิทัลที่ถูกบันทึกไว้มากมาย
เนื่องจากเป็นการไต่สวนอิสระระดับชาติ คณะกรรมการจึงมีอำนาจตามกฎหมายที่จะเรียกผู้เกี่ยวข้องตั้งแต่ระดับนายกรัฐมนตรีลงมา ข้าราชการประจำ แพทย์ พยาบาล ต้องมาให้ปากคำ ซึ่งพวกเขาต่างพบกับกรรมการหลายคนที่ทำการบ้านมาอย่างดีในการตั้งคำถามตรวจสอบเจ้าหน้าที่ระดับต่างๆ ได้อย่างเต็มไม้เต็มมือ มีการถ่ายทอดสดทางออนไลน์เพื่อให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากโควิดได้เห็นได้ฟัง และสามารถยื่นข้อโต้แย้งนำหลักฐานต่างๆ ยื่นเข้าไปให้คณะกรรมการตรวจสอบเพิ่มเติมได้
ประเด็นหนึ่งที่สื่อมวลชนรายงานจากห้องประชุมการสอบสวนเมื่อมีแพทย์อาวุโสบางคนแสดงความขัดข้องใจว่าฝ่ายนโยบายซึ่งหมายถึงรัฐมนตรีประจำกระทรวง ไม่ได้ให้ทิศทางยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนออกมา นอกจากพยายามไม่ให้ผู้ป่วยโควิดเข้าไปล้นโรงพยาบาลที่เตียงเต็มแล้ว เพราะสถานการณ์ตอนนั้นโรงพยาบาลหลายแห่งอยู่ในภาวะเปราะบาง เรียกว่าเข้าสู่ภาวะระบบสาธารณสุขที่กำลังล้มเหลว (public health meltdown)
เมื่อคนไข้เต็มโรงพยาบาลแล้ว แต่ยังมีคนป่วยถูกพาเข้าโรงพยาบาลต่อเนื่อง บรรดาแพทย์ในสนามก็ต้องพยายามตัดสินใจเองว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อรักษาชีวิตคนไข้ให้ได้มากที่สุด ซึ่งก็อาจจะสวนกับนโยบายทำให้เกิดภาวะที่คิดกันคนละทาง ทำกันไปคนละอย่างและพยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ
ในแต่ละสัปดาห์ที่คณะกรรมการเชิญนักการเมือง ข้าราชการประจำ ผู้มีส่วนได้เสีย มาให้ปากคำ ข้อมูลที่หลั่งไหลออกมาต่างแสดงให้เห็นว่ามีข้อบกพร่องตั้งแต่การออกแบบนโยบาย การกำกับดูแลและการสื่อสารระหว่างที่โควิดระบาด และกลุ่มที่เรียกกันว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญนั้นก็ประเมินการระบาดขยายตัวของไวรัสต่ำกว่าระดับที่กำลังเกิดขึ้นจริง และประเมินขีดความสามารถของทีมงานในการควบคุมไวรัสเกินขีดความสามารถ
คณะกรรมการไต่สวนได้จัดแบ่งงานของเป็นหลายคณะ ได้ทยอยกันเรียกบรรดาฝ่ายนโยบายตั้งแต่นายก รัฐมนตรี รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ข้าราชการประจำตั้งแต่ปลัดกระทรวงลงไป อธิบดี แพทย์อาวุโสที่ปรึกษารัฐบาล ผู้บริหารโรงพยาบาล นักวิชาการ สื่อมวลชน ญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต ตลอดจนนักธุรกิจที่ได้สัญญาจัดซื้อจัดจ้าง ส่งเครื่องมือแพทย์ วัคซีน เวชภัณฑ์ต่างๆ ให้กับหน่วยงานของรัฐ มาให้ปากคำเป็นระลอกๆ รวบรวมข้อมูลเพื่อเขียนรายงานออกมาตีพิมพ์ รายงานเบื้องต้นชิ้นแรกออกตีพิมพ์แล้วตั้งแต่กลางปีที่แล้ว คณะกรรมการเชื่อว่าจะสามารถสรุปตีพิมพ์ผลการสอบสวนฉบับสมบูรณ์ได้ปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า
สำหรับรายงานชิ้นแรกนี้มีความยาวถึง 217 หน้าระบุชัดเจนว่า มีความบกพร่องอย่างมีนัยสำคัญในแผนงานรับมือโรคระบาดของรัฐบาล (UK pandemic planning) ทำให้มีจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดมากเกินว่าจำนวนที่ยอมรับได้ และสร้างความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจเป็นมูลค่ามากถึง 3.7 แสนล้านปอนด์ อันเป็นภาระที่ผู้เสียภาษีทั้งประเทศต้องจ่ายเกินกว่าที่ควรจะเป็น
ข้อสรุปสำคัญอีกข้อหนึ่งคือ แผนรับมือโรคระบาดของรัฐบาลประเมินความร้ายแรงของโรคระบาดใหม่ต่ำเกินไป มิได้คำนึงถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดโรคระบาดอุบัติใหม่ที่รุนแรง ทำให้รัฐบาลต้องหันไปใช้มาตรการ ‘ล็อคดาวน์’ ซึ่งไม่เคยมีการตระเตรียมหรือประเมินผลกระทบกันมาก่อน สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติและประชาชน ดังนั้นจึงขอเสนอให้รัฐบาลปฎิรูปวิธีการวางแผนสาธารณสุขของประเทศใหม่ทั้งหมด
หลังจากรายงานเบื้องต้นตีพิมพ์ออกมา ศาสตราจารย์เนาว์มิ ฟูล้อป (Prof. Naomi Fulop) โฆษกกลุ่มเรียกร้องความเป็นธรรมของญาติพี่น้องผู้เสียชีวิตกล่าวว่าผลการสอบสวนเบื้องตนนี้ยังไม่พอเพียง เพราะยังไปไม่ถึงสาเหตุที่ทำให้ระบบสาธารณสุขล้มเหลวในการรับมือกับโรคระบาดขนาดใหญ่ นั่นก็คือความเหลื่อมล้ำในสังคม และสภาพที่ทรุดโทรมของระบบบริการสาธารณสุขของชาติ (The NHS)
กลุ่ม Covid 19 Bereaved Families for Justice Group นอกจากกดดันจนรัฐบาลจำใจต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนอิสระขึ้นแล้ว ยังได้ผลักดันขอใช้กำแพงโรงพยาบาล St. Thomas ข้างแม่น้ำเทมส์ฝั่งตรงข้ามรัฐสภาเวสต์มินสเตอร์กลางกรุงลอนดอน ใช้เป็นอนุสรณ์สถานที่ประทับรูปหัวใจสีแดงวาดด้วยมือกว่าสองแสนดวง เพื่อให้ญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตมาใส่ชื่อหรือฝากข้อความรำลึกถึงผู้เสียชีวิตไว้ที่ The National Covid Memorial Wall ซึ่งมีความยาวประมาณห้าร้อยเมตร
มีกลุ่มอาสาสมัครที่เรียกตนเองว่า ‘The Friends of the Wall’ หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันมาดูแล รักษาความสะอาด ทาสีแดงให้หัวใจดวงที่สีซีดไป หรือข้อความที่จางไปให้เด่นขึ้นมาดังเดิม เพื่อตอกย้ำว่าผู้ที่เสียชีวิตคือญาติพี่น้องของพวกเขา ไม่ใช่เป็นเพียงตัวเลขสถิติชุดหนึ่งของราชการที่ไม่มีความหมาย อีกทั้งยังมีทีมงานอาสาสมัครจัดกิจกรรมเป็นระยะๆ เช่น วันสำคัญทางศาสนาและวันครบรอบต่างๆ เพื่อไม่ให้สังคมลืมความสูญเสียที่เกิดขึ้น


สำหรับประเทศไทยเป็นที่คาดหมายกันว่ามีผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิดมากนับหมื่นคน และยังคงมีป่วยเป็นลองโควิด (Long COVID) อีกนับพันคน แต่การที่จะยืนยันหาตัวเลขที่แท้จริงเป็นเรื่องยาก เพราะไม่มีความโปร่งใสในการระบุสาเหตุการเสียชีวิตของผู้ป่วย และหน่วยงานทางราชการก็มิได้มีความแข็งขันจริงจังที่จะเปิดเผยข้อเท็จจริงต่อสาธารณชน หากจะประเมินต่ำสุดในประเทศไทยก็อาจจะมีผู้ที่ได้รับผลกระทบและเสียหายจากโควิดระบาดหลายหมื่นคน ระบบเศรษฐกิจและผู้เสียภาษีก็ต้องเสียหายรับภาระกันหลายพันล้านบาท
ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับชีวิตมนุษย์และระบบเศรษฐกิจไทย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความผิดพลาดในการวางแผนรับมือโรคระบาดในประเทศไทย คำถามสำคัญคือจะต้องมีใครในระดับสูงต้องรับผิดชอบหรือไม่ หรือมีเพียงนายแพทย์จากชนบทเพียงคนเดียวที่ต้องรับรับโทษ
นอกจากนี้สิ่งที่สังคมไทยยังไม่ได้ตั้งคำถามคือ ระหว่างที่เกิดโรคระบาดและสังคมกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤติชุลมุน ในเวลานั้นได้มีใครฉวยโอกาสออกแบบนโยบายที่มีแรงจูงใจจากผลประโยชน์ทับซ้อน เพื่อสร้างความร่ำรวยให้กับบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดบ้างหรือไม่ ดังนั้น ‘การไต่สวนอิสระระดับชาติ’ (national public inquiry) จะสามารถหาคำตอบดังกล่าวให้ได้