หลังถูกเลิกจ้างจากการบริหารวอยซ์ทีวี ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2563 เพราะหมดประโยชน์ ไม่คุ้มค่า และกลายเป็นภาระในเชิงธุรกิจ ผมก็พาตัวเองสู่โหมด ‘ปรับขนาดความฝันให้เล็กลง’ (วรรคทองจากบทเพลง ‘แรงก้อนสุดท้าย’ ของมนต์แคน แก่นคูน) กลับไปอยู่บ้านเกิดที่เพชรบูรณ์ ใช้เวลาส่วนใหญ่เลี้ยงแมว ก่อร่างความฝันเล็กๆ ‘ไร่ตะวันยิ้ม’ ปลูกผักผลไม้ที่ตัวเองชอบกิน
ระหว่างนั้นผมติดตามการเมืองอยู่ห่างๆ โดยเฉพาะเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ‘ม็อบเยาวชนทะลุเพดาน’ จนเสียงปี่กลองการเลือกตั้งปี 2566 ระรัวดังขึ้น ไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ลึกๆ ก็ปลุกวิญญาณ active citizens ให้ค่อยๆ ลุกโชนอีกครั้งและมาร้อนแรงถึงขีดสุดเมื่อเกิดการรณรงค์ให้คนที่มีความพร้อมตามกติกาและอยากมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงกติกาประเทศมาลงสมัคร สว.
ผมตัดสินใจทันทีพร้อมกับ ‘ปรับขนาดความฝันให้ใหญ่ขึ้น’ เป็นงานท้าทายในบั้นปลายชีวิต
เกือบตกรอบแรกในระดับอำเภอ
ผมถือฤกษ์วันที่ 22 พ.ค. ไปยื่นสมัครกลุ่มที่ 18 (สื่อสารมวลชนฯ) เขต อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ อารามตื่นเต้นไปถึงตั้งแต่ 07.30 น. เลยต้องนั่งรอเจ้าหน้าที่ เพราะเปิดรับสมัคร 08.00 น.
ขั้นตอนตรวจสอบเอกสารมีหลายขั้นตอน แต่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ใช้เวลาเพียง 45 นาที ไม่มีปัญหาจุกจิกเหมือนบางแห่งที่เป็นข่าว
ระหว่างรอให้ถึงวันเลือกระดับอำเภอ ผมคิดหาช่องทางว่าจะไปทำความรู้จักและบอกเล่าจุดยืนทางการเมืองของตัวเองให้ผู้สมัครด้วยกันรู้และพิจารณาเราได้อย่างไร นอกจากการโพสต์บนโซเชียลมีเดีย (ซึ่งไม่รู้ว่าผู้สมัครด้วยกันจะเห็นหรือไม่)
โชคดีมีคนหนุ่มสาวในพื้นที่ที่มีจุดยืนทางการเมืองตรงกัน ติดต่อประสานมานัดแนะให้พบปะกับผู้สมัครหลากหลายกลุ่มที่มีจุดยืนเดียวกัน
ถึงตรงนี้ ผมเริ่มอุ่นใจขึ้นมาบ้างกับภารกิจอันท้าทาย
โชคดีครั้งที่สอง เมื่อกลุ่ม 18 มีผู้สมัครเพียงสามคน ทำให้ทั้งหมดผ่านเข้าสู่รอบการเลือกไขว้โดยอัตโนมัติ แต่เมื่อถึงรอบเลือกไขว้ โชคดีส่อเค้าจะเลือนหาย เพราะผลการจับสลากแบ่งสาย กลุ่ม 18 ที่ผมสมัคร ไปร่วมสายกับกลุ่มอื่นๆ ซึ่งมีคนที่รู้จักกันเพียงหนึ่งคน ขณะที่คนรู้จักจำนวนมากกระจายไปอยู่สายอื่น
ถึงช่วงขานคะแนนจากแต่ละหีบบัตร หมายเลขสมัครของผมยังไม่ถูกขานแม้แต่คะแนนเดียว ขณะที่ผู้สมัครในกลุ่มเดียวกันอีกสองคนคะแนนนำผมไปไกล
ผมเริ่มทำใจพร้อมภาวนาให้คนเดียวที่รู้จักกันอย่ากาเบอร์ผิดหรือทำบัตรเสีย แล้วโชคดีก็กลับมาอีกครั้ง เมื่อขานจนใกล้จะหมดหีบ มีบัตรใบหนึ่งที่กรรมการขานเป็นเบอร์ผม
กติกาการเลือกไขว้รอบอำเภอจะคัดเอาผู้สมัครสามคน โดยที่แต่ละคนต้องมีคะแนน (จากการเลือกของกลุ่มอื่น เลือกตัวเองไม่ได้)
ใช่แล้วครับ ผมผ่านเข้าสู่รอบจังหวัดโดยมีเพียงหนึ่งคะแนน น้อยที่สุดในผู้สมัครสามคนของกลุ่ม 18
เกือบตกรอบระดับอำเภอไปอย่างฉิวเฉียด
ดีลลับ – จับสลาก
ในรอบการเลือกระดับจังหวัด กลุ่ม 18 มีผู้สมัครเข้าสู่รอบนี้แปดคน รอบแรกเลือกในกลุ่มตัวเอง จะคัดเอาห้าคนเข้าสู่การเลือกรอบไขว้
ความยากสำหรับผมคือไม่รู้จักใครเลยในอีกเจ็ดคน ซึ่งล้วนเป็นสื่อท้องถิ่นและเขารู้จักกันหมด ผมเพิ่งมารู้จักสองคนอย่างผิวเผินก็วันเลือกรอบอำเภอ
กลุ่มคนหนุ่มสาวที่ช่วยประสานงานก็บอกกับผมตรงๆ ว่า รอบเลือกกันเองในกลุ่ม ผมต้องหาทางช่วยตัวเอง เพราะน้องๆ ก็ไม่รู้จักผู้สมัครที่เหลืออีกเจ็ดคน
โชคดีแวะเวียนมาอีกรอบ ผมทักไปหาน้องนักข่าวท้องถิ่นในพื้นที่ที่ผมรู้จักและทักไปหาเพื่อนฝูงที่ทำงานข่าวอยู่ใน กทม.
ทั้งน้องนักข่าวท้องถิ่นและเพื่อนบางคนใน กทม. รู้จักพี่ๆ นักข่าวบางคนที่ลงสมัครกลุ่ม 18 เช่นกัน นำมาสู่การทำความรู้จัก และตกลงดีลลับแลกคะแนน ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่แทบทุกคนทำกันและ กกต. ยืนยันว่าไม่ผิดอะไร หากไม่มีการจูงใจด้วยอามิสสินจ้าง
ผมกับพี่ๆ กลุ่มนี้แลกเปลี่ยนความเห็น วัดความจริงใจกัน และตกลงจับมือด้วยสัญญาลูกผู้ชาย เพื่อให้เราผ่านเข้ารอบเลือกไขว้ไปด้วยกัน จากนั้นไปวัดดวงและใช้ความสามารถในการหาคะแนนกันเองในรอบต่อไป
ถึงวันเลือกรอบจังหวัดทุกอย่างเป็นไปตามข้อตกลง ผมกับพี่สื่อท้องถิ่นผ่านเข้ารอบเลือกไขว้ไปแบบสบายๆ และโชคดีซ้ำ เมื่อจับสลากแบ่งสายก็ได้อยู่ร่วมสายกับคนรู้จักอีกหลายคน ผมเริ่มมั่นใจว่าจะผ่านรอบนี้ไปรอบประเทศ
ซึ่งก็เหมือนจะเป็นไปตามคาด เมื่อนับคะแนนในรอบนี้ ผมกับพี่คนดังกล่าวได้คะแนนนำคู่กันทิ้งผู้สมัครกลุ่มเดียวกันอีกสามคน และผมเกือบจะขึ้นนำเดี่ยว ถ้าบัตรอีกหนึ่งใบที่เลือกผมไม่พลาดไปทำบัตรเสีย
แต่หีบสุดท้าย เริ่มทำผมลดความมั่นใจ เพราะผู้สมัครอีกคนได้คะแนนเพิ่มจากหีบนี้จนเท่ากับผมและพี่ที่ตีคู่กันมากลายเป็นว่ากลุ่ม 18 มีคนได้คะแนนสูงสุดเท่ากันสามคน จึงต้องจับสลากเพื่อเอาสองคนไปสู่รอบประเทศ ถึงนาทีนี้หัวใจชักเต้นเร็ว ถ้าวัดความดันขณะนั้นน่าจะพุ่งผิดปกติ
ไม่มีสวดมนต์ภาวนาตั้งสมาธิใดๆ ทั้งสามคนจับสลาก คนแรกคลี่กระดาษที่ม้วนอยู่พร้อมบอกว่าได้รับเลือก คนที่สองซึ่งคือพี่ที่ทำดีลลับกับผมคลี่แล้วบอกว่า ‘ได้รับเลือก’
ผมซึ่งคลี่ช้าสุด ใจแป้ว ถ้าสองคนได้ ก็หมายความว่าผมไม่ได้ แต่กัดฟันคลี่ให้จบๆ พระเจ้า! ข้อความระบุชัด ‘ได้รับเลือก’
เจ้าหน้าที่ทำหน้างงๆ แต่ก็ขอดูของพี่ที่ทำดีลลับกับผม เพราะเหมือนจะคลี่กระดาษที่ม้วนอยู่ไม่สุด
ใช่แล้วครับ เมื่อคลี่กระดาษให้สุด แผ่นนั้นมีคำว่า ‘ไม่’ อยู่ข้างหน้าคำว่า ‘ได้รับเลือก’ แต่พี่แกคลี่แล้วเห็นคำว่า ‘ได้รับเลือก’ คงดีใจรีบบอกเจ้าหน้าที่
พอเห็นคำว่า ‘ไม่’ พี่แกหน้าเสีย ดูซึมลงเห็นได้ชัด ผมได้แต่โอบไหล่ให้กำลังใจ พูดตรงๆ ว่าแม้จะเพิ่งรู้จักในไม่กี่วัน แต่ผมรับรู้ถึงมิตรภาพและความจริงใจที่มีให้กัน ทั้งๆ ที่แกก็รู้จุดยืนทางการเมืองของผม (ซึ่งต่างจากแก) ตอนที่คะแนนนำมาด้วยกันยังจับมือแสดงความดีใจและมั่นใจว่าจะได้ไปรอบประเทศทั้งคู่
แต่โชคชะตาก็เป็นเรื่องที่เหนือการคาดเดาจริงๆ
ตัวสำรอง
หลังผ่านสู่รอบประเทศด้วยโชคไม่รู้กี่ตลบ ผมมีโอกาสทำความรู้จักกับผู้สมัครในกลุ่มเดียวกันและกลุ่มอื่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่รู้จักส่วนตัวก็โทรคุยกัน พบปะกันบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะผ่านทางกรุ๊ปไลน์ ซึ่งน่าจะเป็นช่องทางการสื่อสารแนะนำตัวที่ได้รับความนิยมสูงสุด ช่วงนั้นแต่ละคนกระหน่ำส่งโปสเตอร์แนะนำตัวกันทุกวัน บางคนส่งหลายรอบมากในวันหนึ่งๆ ผมส่งน้อยมาก เพราะเกรงจะรบกวนเพื่อนๆ ในกรุ๊ปจนเกินไป
โชคดีในรอบประเทศเริ่มมาทักทายเป็นครั้งแรก เมื่อมีกลุ่มคนหนุ่มสาวที่อยากเห็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับและให้ สสร. มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ซึ่งตรงกับจุดยืนของผมและคนอีกจำนวนมาก อาสาเป็นตัวกลางประสานงานให้พวกเรารู้จักแลกเปลี่ยนความเห็นกัน
นำมาสู่การทำ ‘ไพรมารีโหวต’ เพื่อหาคนที่เหมาะสมที่สุดในแต่ละกลุ่มเป็นแคนดิเดต เพื่อเข้าสู่รอบเลือกกันเองในกลุ่มและรอบเลือกไขว้
ผมโชคดีได้รับเลือกให้อยู่ในห้าอันดับแรกของไพรมารีโหวต สร้างความอุ่นใจเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะอย่างน้อยแสดงว่า คนในกลุ่มอาชีพเดียวกันให้ความไว้วางใจเรา
และจากการคำนวณคณิตศาสตร์ทางการเมือง ด้วยจำนวนสมาชิกในกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า ‘สว.ประชาชน’ หากทุกคนเดินตามสัญญาใจและอุดมการณ์ ความหวังที่จะเห็นคนในกลุ่มได้เข้าไปทำหน้าที่ สว. จริงๆ ในจำนวนที่เพียงพอสร้างการเปลี่ยนแปลงหลายๆ เรื่องก็เป็นไปได้สูง
ถึงวันเลือกผมไปถึงสถานที่ตั้งแต่ 05.15 น. ขณะที่การรายงานตัวเริ่มอย่างเป็นทางการ 08.00 น.
ทุกคนเข้าสู่คูหาประจำกลุ่มโดยถูกยึดเครื่องมือสื่อสารไว้ที่เจ้าหน้าที่ (เป็นกติกาทุกรอบ) ถือติดตัวได้เพียงเอกสารแนะนำตัวผู้สมัครในกลุ่มเล่มใหญ่
รอบเลือกในกลุ่มตัวเอง จาก 147 คน คัดเหลือ 40 คนเพื่อไปรอบไขว้ ทุกคนลงคะแนนได้ 10 เบอร์ โดยเลือกตัวเองได้ด้วย
ตอนทำไพรมารีโหวตก็คิดว่าจะผ่านแบบสบายๆ แต่พอลงคะแนนจริง เมื่อนับคะแนนจึงเริ่มเจอคำว่า ‘หักหลัง’ ด้วยตัวเอง
เพราะคะแนนไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ บางคนที่ตกลงเป็นโหวตเตอร์ เปลี่ยนใจอยากเป็นแคนดิเดต เมื่อไม่ได้รับเลือกในขั้นไพรมารีโหวตเลยแอบออกจากกลุ่มไปหากลุ่มใหม่ ไม่ลงคะแนนตามสัญญาใจและอุดมการณ์
จากที่คาดว่าจะมีผู้สมัครในกลุ่ม สว. ประชาชน ผ่านเข้ารอบไขว้ได้ทุกกลุ่ม กลุ่มละ 10 คน ความเป็นจริงหลุดรอดเข้ามาได้สูงสุดกลุ่มละไม่เกินห้าคน ผมคือหนึ่งในนั้น
และนี่ทำให้เมื่อเข้าสู่รอบไขว้โอกาสได้คะแนนจนมากพอเพื่อผ่านไปเป็น สว. ยากขึ้นตามลำดับ
ไฮไลต์สำคัญของการเลือกรอบไขว้ คือก่อนเข้าประจำสายที่จับสลากได้ เจ้าหน้าที่ห้ามนำเอกสารชุดเดิมที่ถือเข้าไปตอนเลือกในกลุ่มตัวเอง ติดตัวไปด้วย
ความโกลาหลเกิดขึ้นทันที เพราะเดิมเอกสารชุดนั้นคือแหล่งข้อมูลที่แต่ละคนบันทึกไว้ว่า เมื่อถึงรอบเลือกไขว้เราจะเลือกใครในแต่ละกลุ่ม ที่ต้องบันทึกไว้เพราะจำนวนคนและเบอร์เยอะจนจำไม่ไหว และการจดบันทึกก็ไม่ผิดกติกาของ กกต.
และนั่นจึงเป็นที่มาที่มีการพบโพยหล่นในห้องน้ำ โดยไม่รู้ว่าใครทำ ใครเอาเข้ามา
เพื่อความเป็นธรรม ผม (รวมทั้งที่ได้ยินจาก จนท. กกต.) คิดว่ากติกาเช่นนี้ผิดธรรมชาติเกินไปเพราะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้คนมาจดจำเบอร์ที่ต้องกานับ 20 เบอร์โดยไม่ผิดพลาด
การจดบันทึกหรือมีโพยช่วยจำจึงน่าจะเป็นการแก้ปัญหา ขอเพียงว่าที่มาของโพยเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการให้อามิสสินจ้างเพื่อให้กา
หลังรอบเลือกไขว้ผ่านไปแบบที่ต้องใช้เวลาในการลงคะแนนแต่ละคนค่อนข้างนาน เพราะมีบัตรที่ต้องเลือกหลายใบ หลายกลุ่ม ต้องจดจำพิจารณาให้ดีว่า เรากาถูกเบอร์ ถูกคนที่ตั้งใจไว้หรือไม่
เข้าสู่ช่วงนับคะแนน รอบนี้ได้ประจักษ์ฝีมือบริหารจัดการของทีมผู้สมัคร ‘สีน้ำเงิน’ เต็มๆ ตา เก่งและเยี่ยมยอดวรยุทธ์สมกับเจนสนามการเมืองมายาวนาน
เพราะคะแนนของผู้สมัครทีมนี้ในแต่ละกลุ่มมากันเป็นแพ็กทั้งห้าเบอร์ หลายใบกาห้าเบอร์แบบเดียวกันเป๊ะ นับไปๆ คะแนนก็ทิ้งห่างผู้สมัครสีอื่นๆ ไปทุกที
ขณะที่คะแนนผู้สมัครที่เรียกตัวเองว่า ‘สว. ประชาชน’ มีเอกภาพค่อนข้างน้อย ทั้งด้วยตกไปจากรอบเลือกกันเองในกลุ่มเสียครึ่งหนึ่ง และถึงเวลารอบเลือกไขว้ บางคนอาจจะจำเบอร์เพื่อนๆ ไม่ได้หรืออาจจะเปลี่ยนใจอีก
ผลสรุปเมื่อจบการนับคะแนน ณ เวลาตีสี่ ผู้สมัคร สว. สายประชาชน จึงผ่านเข้าไปเป็น สว. ได้ไม่ถึง 30 คน ขณะที่ผู้สมัคร สว. ที่สื่อเรียกกันว่า ‘สีน้ำเงิน’ ผ่านเข้ามาได้อย่างต่ำ 120 คน (ตามรายงานของสื่อโดยทั่วไป)
ส่วนผมได้คะแนนมาเป็นลำดับที่ 13 ขึ้นบัญชีสำรองเป็นลำดับที่สาม แต่ล่าสุดขณะเขียนบทความนี้มีการให้ใบส้มผู้ได้รับเลือกเป็น สว. ตัวจริงหนึ่งคน จึงมีการเลื่อนลำดับใหม่ ผมถูกเลื่อนเป็นสำรองอันดับสอง
ต้องลุ้นต่อไปว่า จะมีการแจกใบส้มผู้ได้ลำดับเหนือกว่าผมอีกหรือไม่ แต่อย่างน้อยหากผมจะได้เป็น ‘สว.ส้มหล่น’ ต้องมีใบส้มอีกสองใบ
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะที่สำคัญกว่าคือกติกาการเลือก สว. ครั้งนี้พิสูจน์แล้วว่านอกจากซับซ้อนผิดธรรมชาติ ยังขัดกับหลักการประชาธิปไตย เพราะขาดการมีส่วนร่วมจากประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุด
ส่วนการเลือกในกลุ่มอาชีพก็พิสูจน์แล้วเช่นกันว่า ทำให้ไม่ได้ผู้แทนจากกลุ่มอาชีพตรงตามเป้าประสงค์ของรัฐธรรมนูญแบบ 100%
และนอกจากป้องกันการเข้ามาแทรกแซงจากพรรคการเมืองตามความเชื่อของกลุ่มคนที่ร่างกติกาไม่ได้แล้ว กลับกลายเป็นยิ่งเปิดช่องให้พรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองใช้กติกาเอื้อต่อพวกพ้องหนักกว่าเดิม
ข้อสรุปที่อยากเห็น
เช่นนี้แล้วโดยส่วนตัวผมจึงเห็นว่า
1. หากยังมีเหตุผลดำรง สว. ไว้ ควรยกเลิกกติกาเก่าแล้วกำหนดใหม่ ยึดหลักการมีส่วนร่วมจากประชาชนให้มากที่สุด ตามสถานะผู้แทนปวงชนชาวไทย เช่นเดียวกับ สส. นั่นคือให้ประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งเป็นผู้เลือกโดยตรง
เลิกหวาดกลัวการแทรกแซงจากพรรคการเมือง เพราะพรรคการเมืองก็คือองค์กรที่อยู่ได้ด้วยความศรัทธาจากประชาชน
ถ้าประชาชนเขาจะเลือก แม้รู้ว่าพรรคใดพรรคหนึ่งหนุนหลังก็ต้องยอมรับการตัดสินใจ
เพียงแต่ออกกติกาและบทบาทหน้าที่ให้ชัดว่า สว. กับ สส. จะทำหน้าที่แตกต่าง ถ่วงดุลซึ่งกันและกันอย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศและสร้างความมั่นคงของระบอบประชาธิปไตย
2. ไม่ต้องมี สว. ใช้ระบบสภาเดี่ยว ซึ่งโดยส่วนตัวผมเห็นด้วยกับแนวคิดนี้ เพราะมองไม่เห็นความจำเป็นของการมี สว. ในโครงสร้างการเมืองไทย และนี่เป็นความตั้งใจว่า หากได้เป็น สว. ผมจะร่วมผลักดันการยกเลิก สว.
แม้วันนี้ผมยังเป็นแค่ตัวสำรอง ไม่ใช่ตัวจริง แต่ผมจะเดินหน้าขายความคิดนี้ต่อไป
เช่นเดียวกับความคิดที่ว่าด้วยการแก้รัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับและ สสร. ต้องมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน รวมทั้งผลักดันการเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้าผ่านกฎหมายฉบับต่างๆ
ผมรู้ดีว่าการเปลี่ยนแปลงเรื่องใหญ่ๆ เป็นเรื่องยากและใช้เวลา หลายเรื่องอาจไม่สำเร็จในรุ่นเรา แต่ก็ดีกว่าไม่พยายามเริ่มต้นและยอมรับสภาพที่ล้าหลัง