ในความเป็นมนุษย์เราทั้งโอบกอดและเข่นฆ่ากัน ในวันที่โลกโหดร้ายมีทั้งมนุษย์ที่กุมชัยชนะเบ็ดเสร็จและพ่ายแพ้หมดรูป และในวันที่เราโง่เขลา เราพยายามทำให้ตัวเองฉลาดขึ้นด้วยการทำความเข้าใจสิ่งรอบตัว (ไม่ว่ามันจะได้ผลหรือไม่)
เราเดินทางผ่านกาลเวลากันมาเช่นนี้ และใช่ ท่ามกลางความรู้ทั้งหลายที่เราไขว่คว้าเพื่อเข้าใจโลก เราไม่ลืมที่จะศึกษาตัวเอง – ศึกษามนุษย์และปรากฏการณ์ทางสังคม – มานุษยวิทยาคือศาสตร์ที่พยายามหาคำตอบนั้น
ในวันที่โลกเขย่าอย่างรุนแรง เราเผชิญหน้ากับความเหลื่อมล้ำ สงครามยืดเยื้อยาวนาน และเทคโนโลยีที่เราอาจเข้าใจมันได้ไม่ดีพอ ความเป็นมนุษย์กำลังเจอความท้าทายว่าเราจะเดินหน้ากันไปอย่างไร และจะอยู่ร่วมกันอย่างไรในวันที่ความขัดแย้งยังเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เหมือนที่เคยเป็นมาตลอด
วันโอวันพูดคุยกับ ผศ.ดร.แพร ศิริศักดิ์ดำเกิง ที่เพิ่งรับตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) อดีตอาจารย์ประจำภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
ในช่วงเป็นนักวิชาการ แพรศึกษาพื้นที่ในจังหวัดชายแดนใต้ สนใจเรื่องยาเสพติดและการอยู่ร่วมกันระหว่างผู้คนที่แตกต่างทางวัฒนธรรมท่ามกลางความรุนแรง เธอใช้วิธีทางมานุษยวิทยาในการเข้าไปลองสวมรองเท้าของคนอื่น และพยายามทำความเข้าใจความขัดแย้งของผู้คนที่แตกต่างกัน
บทสนทนาต่อจากนี้ว่าด้วยภารกิจของศูนย์มานุษยวิทยาฯ บทบาทของศาสตร์มานุษยวิทยาต่อสังคม การทำความเข้าใจความแตกต่างของผู้คน และความเป็นมนุษย์ในยุคที่มีความเหลื่อมล้ำและความขัดแย้งรุนแรง
อะไรคือสิ่งที่จะทำให้ประโยค ‘เราจะก้าวผ่านไปด้วยกัน’ เป็นจริง

ผ่านมาราวหนึ่งเดือนหลังจากรับตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร อาจารย์เจอความท้าทายอะไรบ้าง และในแง่ภารกิจหลักของศูนย์ฯ มีความเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหนในตอนนี้
ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องท้าทายที่ต้องมารับตำแหน่งนี้ เพราะเป็นนักวิชาการที่มาทำงานบริหาร มีคำพูดที่ว่าเมื่อเอานักวิชาการมาเป็นผู้บริหาร มักจะได้ผู้บริหารที่ไม่ได้เรื่องและเสียนักวิชาการไป นี่ก็เป็นบทพิสูจน์ต่อไปในอนาคตว่าเราจะเป็นผู้บริหารที่ไม่ได้เรื่อง หรือจะเป็นผู้บริหารที่ดีได้หรือไม่
ก่อนหน้านี้เราก็เคยทำงานร่วมกับศูนย์มานุษยฯ มาตลอดในเรื่องทักษะวัฒนธรรม เริ่มทำงานตอนที่เกิดปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งเป็นงานที่ศูนย์มานุษยฯ คิดว่าเป็นภารกิจสำคัญ ผู้อำนวยการศูนย์ฯ ในตอนนั้นคืออาจารย์ปริตตา (ดร.ปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล) ที่เห็นว่าเมื่อเกิดความรุนแรงในภาคใต้ก็เป็นภารกิจหนึ่งของศูนย์ฯ ที่ต้องเข้าไปบรรเทาปัญหา ด้วยการสร้างความเข้าใจระหว่างวัฒนธรรม สิ่งที่ศูนย์ฯ ทำคือการออกแบบโครงการ ‘ทักษะวัฒนธรรม’ สร้างพื้นที่ให้ผู้คนที่แตกต่างได้เรียนรู้วัฒนธรรมซึ่งกันและกัน เป็นโครงการ 15 ปี ซึ่งริเริ่มโดย ศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ นักสันติวิธีคนสำคัญของสังคมไทย แม้โครงการทักษะวัฒนธรรมจะดำเนินมาต่อเนื่องยาวนาน แต่ก็เปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินงานไปตามพลวัตของผู้นำศูนย์และสถานการณ์ทางสังคม
มาถึงตอนนี้ภารกิจที่อาจเรียกได้ว่าเป็นเรือธงของศูนย์มานุษยฯ ตั้งแต่ปี 2562 คือเรื่อง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งเราเรียกสั้นๆ ว่า ‘พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ฯ’ ศูนย์มานุษยฯ เป็นเลขานุการของคณะทำงานที่ขับเคลื่อนการผ่านร่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์มาตั้งแต่ปี 2562 แต่จริงๆ เริ่มมีการทำงานเรื่องร่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ฯ มาตั้งแต่ปี 2553 เพราะมีมติคณะรัฐมนตรีเรื่องกะเหรี่ยง ชาวเล[1] งานชาติพันธุ์ถือเป็นงานหนึ่งของงานด้านมานุษยวิทยา ดังนั้นภารกิจเรือธงของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรตอนนี้คือเรื่องชาติพันธุ์ นอกจากนี้ยังมีงานสำคัญอื่นๆ คืองานด้านแนวคิดและวิธีวิจัยทางมานุษยวิทยา และงานด้านเอกสารโบราณ
เมื่อกฎหมายชาติพันธุ์ผ่านสภาแล้ว ภารกิจจะเปลี่ยนไปหรือไม่ ยังมีจุดไหนที่ยังต้องทำงานต่ออีกบ้าง เพราะก็ยังมีเสียงสะท้อนว่าในแง่รายละเอียดนั้น พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ยังไม่ได้สมบูรณ์มาก
เรื่องนี้เป็นการเผชิญการตัดสินใจทางการเมืองของผู้คนที่แตกต่างหลากหลาย เพราะฉะนั้นจะทำให้ถูกใจทุกคนก็คงไม่ใช่ แต่การมีกฎหมายที่รองรับหรือเคารพสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ก็ถือว่าเป็นก้าวแรกที่สำคัญ อาจจะไม่ได้ได้ทั้งหมดอย่างที่เราต้องการ แต่ในทางมานุษยวิทยา การมีกฎหมายก็ถือว่าเราได้ขยับในเชิงโครงสร้างแล้ว เพื่อให้กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิรักษาอัตลักษณ์ของเขาในดินแดนและสังคมไทย
ถามว่าภารกิจจะเปลี่ยนไปอย่างไร ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรอยากขับเคลื่อนงานมานุษยวิทยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผู้คนมากขึ้น ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งใน engaged anthropology มากกว่าเป็นงานวิชาการที่ตั้งอยู่บนหิ้ง
อาจารย์ช่วยขยายความเรื่อง engaged anthropology ให้ฟังได้ไหม
ก่อนหน้านี้นโยบายหรือวิสัยทัศน์ของศูนย์มานุษยฯ คือการเป็นมานุษยวิทยาสาธารณะ จะเห็นว่าเราทำงานสื่อสารองค์ความรู้ต่อสาธารณะ แต่เราก็คิดว่าทำแค่นี้ไม่น่าพอในภาวะที่สังคมต้องเผชิญกับความผันผวนอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ตอนเราทำงานวิชาการอาจเล่าแค่ว่าทางวิชาการคิดอย่างนี้ องค์ความรู้เป็นอย่างนี้ เราทำความเข้าใจปรากฏการณ์ต่างๆ ทางสังคมแบบนี้ แต่ถ้าเราสามารถขยับขับเคลื่อนเพื่อที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคนในสังคมได้บ้าง หรือสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคมให้ดีขึ้นบ้าง ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้งานวิชาการสามารถช่วยเหลือ ดูแล หรือสร้างการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นกับผู้คนได้
นี่ก็เป็นการยืนยันว่าเราคงไม่ทำงานวิชาการเพียงอย่างเดียว เพราะจริงๆ แล้วภารกิจในการทำงานวิชาการทางด้านมานุษยวิทยา เราคงทำสู้กับนักวิชาการในมหาวิทยาลัยไม่ได้ ดังนั้นจึงคิดว่าการเอางานวิชาการมาขยับขับเคลื่อนเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมน่าจะเป็นภารกิจต่อไปที่สำคัญ
ในเชิงรูปธรรม ศูนย์มานุษยฯ สามารถมีส่วนร่วมกับสังคมอย่างไรได้บ้าง
มีหลายอย่างที่ศูนย์มานุษยฯ ทำ เช่น การผลักดันร่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ฯ หรือมีงานพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่มีการทำมาก่อนแล้ว เราก็ไปมีส่วนในการทำงานให้เกิดการอนุรักษ์ความรู้และตัวตนของคนในท้องถิ่นนั้นๆ ทำโครงการทักษะวัฒนธรรมที่เป็นการเปิดพื้นที่ให้คนต่างวัฒนธรรมซึ่งอยู่ท่ามกลางความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีโอกาสได้สนทนาความสุข ความทุกข์ ความกลัว ความหวังร่วมกัน รวมถึงเป็นพื้นที่การเรียนรู้ด้านวัฒนธรรมและโบราณคดีหนึ่งในกรุงเทพฯ ซึ่งโรงเรียนทั้งระดับประถม มัธยม และมหาวิทยาลัยให้ความสนใจมาเยี่ยมชม
อีกภารกิจหนึ่งของศูนย์ฯ เป็นเรื่องของการเก็บความรู้และข้อมูลต่างๆ ในด้านมานุษยวิทยา เอกสารโบราณ และมรดกทางวัฒนธรรม เราจึงมีฐานข้อมูลเกือบ 30 ฐานข้อมูล ส่วนหนึ่งเราก็เก็บเรื่องของชุมชนท้องถิ่น ก่อนหน้านี้ใช้ชื่อว่า ‘วิกิชุมชน’ คือการเก็บข้อมูลชุมชนต่างๆ โดยคนในชุมชน ให้เขาใส่ข้อมูลเข้ามาแล้วสามารถปรับเปลี่ยนข้อมูลได้ ไอเดียคล้ายวิกิพีเดีย ให้ชุมชนเรียนรู้การเก็บข้อมูลและใส่เข้ามาเอง ส่วนหนึ่งก็มีการจ้างเก็บข้อมูลร่วมด้วย ความตั้งใจในการทำงานนี้คือช่วยให้ชุมชนสามารถออกแบบนโยบายหรือตัดสินใจอยู่บนฐานข้อมูลที่เขามี แต่คงใช้ระยะทางอีกยาวไกลที่จะทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ
อีกงานหนึ่งที่เป็นภารกิจของศูนย์ฯ คือการอนุรักษ์เอกสารโบราณ ตอนนี้เราทำงานร่วมกับกรมศิลปากร โดยกรมศิลปากรจะขึ้นทะเบียนเอกสารโบราณ เช่น จารึกใบลานต่างๆ เมื่อเสร็จแล้วเราก็นำมาทำให้เป็นรูปแบบดิจิทัล (digitize) ซึ่งคนทั่วไปเข้าถึงได้ เป็น open data เพราะฉะนั้นเราน่าจะเป็นฐานข้อมูลเอกสารโบราณที่ใหญ่ที่สุดในไทย แต่งานโบราณคดีของเรามักจะไม่ถูกสื่อสารมากนัก
แต่เนื่องจากว่างานโบราณคดีหรืองานประวัติศาสตร์ของไทยเป็นเรื่องที่อยู่ในกลุ่มที่ค่อนข้างเฉพาะ ส่วนตัวเราเรียนประวัติศาสตร์มาก่อนจึงอาจจะรวมอยู่ในกลุ่มเฉพาะนั้นด้วย เลยชวนให้ฝ่ายเอกสารโบราณดึงเรื่องสนุกๆ จากเอกสารมาเล่าเพื่อทำให้คนสนใจ วางแผนไว้ว่าปีหน้าจะเริ่มทำเรื่องนี้ จริงๆ ก็มีที่ทำไว้แล้วเป็นนิทรรศการออนไลน์ ชื่อ ‘การเดินทางของ ก.ไก่ บนเส้นทางสายศิลา’ เล่าว่าตัวอักษร ก.ไก่มาจากไหน ตอนนี้ยังไม่ได้เปิดตัว คิดว่าจะทำเป็นซีรีส์ตั้งแต่ ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูกว่ามีความเป็นมาอย่างไร เป็นงานหนึ่งที่คิดว่าน่าจะทำให้ความรู้เป็นเรื่องง่ายและสื่อสารออกไปถึงผู้คนในกลุ่มต่างๆ มากขึ้น
อีกเรื่องหนึ่งคืองานทางมานุษยวิทยาจริงๆ ซึ่งนอกจากการมีส่วนร่วมกับสังคมแล้ว เราคงต้องผลิตองค์ความรู้หรือมุมมองที่อธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม ส่วนนี้มีฝ่ายวิชาการทำอยู่ ก่อนหน้านั้นเขาก็เขียนทบทวนทฤษฎีใหม่ๆ บ้าง ถ้าเข้าไปดูในเฟซบุ๊กจะเห็นบทความขนาดสั้น บทความขนาดยาว หนังสือ หรือพอดแคสต์ที่คุยเรื่ององค์ความรู้ทางด้านมานุษยวิทยา ซึ่งการทำงานของฝ่ายวิชาการก็จะติดตามปรากฏการณ์และข่าวสารทางสังคมด้วย เพื่อให้นำเสนองานวิชาการได้สอดคล้องกับสถานการณ์สังคม เช่น ประเด็นความขัดแย้งไทย-กัมพูชาในช่วงเดือนที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้อาจารย์เป็นอาจารย์มา 20 ปี แต่เมื่อเปลี่ยนหมวกมาเป็นผู้บริหารแบบนี้ ต้องปรับวิธีคิดหรือปรับเลนส์ในการทำงานอย่างไรบ้าง
จริงๆ เราใช้กรอบคิดและมุมมองทางมานุษยวิทยาในการดำเนินชีวิตอยู่ทุกๆ วัน ที่ทำงานก็เหมือนสนามหนึ่ง เหมือนหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ต้องเข้าไปเรียนรู้ ที่ทำงานแต่ละที่ก็มีคนที่แตกต่าง ความคิดความเชื่อและวิถีชีวิตของคนที่ทำงานแต่ละที่ก็แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทไหน เป็นอาจารย์หรือผู้บริหาร สำหรับเราวิธีคิดแบบมานุษยวิทยาก็จะยังคงเป็นแก่นแกนหลักในการทำงานเสมอ คือการพยายามทำความเข้าใจผู้คน เท่าทันอคติของตัวเรา และร่วมสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม เพื่อทำงานไปกับเพื่อนร่วมงานให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างดีที่สุด
เช่นมุมมองเรื่องอำนาจกับการบริหารงานองค์กร เราสามารถเป็นผู้ ‘อำนวยการ’ ให้งานสำเร็จโดยไม่ใช้อำนาจได้อย่างไรบ้าง แนวคิดทางมานุษยวิทยาพูดเรื่องอำนาจ ความสัมพันธ์ทางอำนาจ การใช้อำนาจ การต่อต้านต่อรองกับอำนาจหลากหลายลักษณะ ดังนั้นการได้ทดลองใช้แนวคิดนี้ในทุกๆ วันเป็นเรื่องน่าสนใจ ลองดูว่าการอำนวยการจะต้องใช้ศิลปะอะไรในการทำให้สำเร็จโดยไม่ต้องใช้อำนาจ
กลับไปที่คำถาม การทำงานแต่ละอย่างไม่เหมือนกัน การสอนเด็ก เราก็ไม่เคยบอกว่าเป็นการสอน แต่เป็นการนำความรู้มาแลกเปลี่ยนกัน ยิ่งยุคปัจจุบันบางเรื่องเราก็ไม่ได้รู้เท่านักศึกษา การอยู่กับนักศึกษาทำให้เราไม่แก่ในทางความคิด ไม่โง่ในการเท่าทันโลก แต่ในขณะเดียวกันเราก็เอาเรื่องที่เรารู้ มุมมองความคิดของคนที่ต่างรุ่นกับเขาไปแลกเปลี่ยนกันในห้องเรียน ห้องเรียนจึงเป็นพื้นที่ของการเรียนรู้ของคนต่างวัย ซึ่งปัจจุบันมีช่องว่างที่ถ่างกว้างมากขึ้นทุกที
ดังนั้น การได้อยู่ในห้องเรียนจึงเป็นที่ที่ทำให้เราสดชื่นได้ทุกวัน เราได้เรียนรู้จากเด็กๆ ว่า “แชทจีพีทีดูดวงแม่นนะคะ” หรือได้รู้ว่าเขามองเรื่องเพศวิถีอย่างไร การทำงานวิจัยของเขาเล่าเรื่องต่างๆ ซึ่งเป็นชีวิตประจำวัน เป็นวิถีของเด็กรุ่นใหม่ มันทำให้เราได้รู้จักโลกและสังคมของกลุ่มคนที่แตกต่าง ที่บางครั้งเหมือนอยู่กันคนละโลก ถ้าเราไม่ได้สัมผัสกับเขา เราก็จะแก่เฒ่าอย่างรวดเร็วและไม่เท่าทันโลกที่เป็นของคนอีกกลุ่มหนึ่ง
ขยับมาคุยถึงเรื่องศาสตร์ของมานุษยวิทยา มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ามานุษยวิทยาตอนนี้ตันแล้วหรือไม่ เราศึกษาไปถึงสิ่งพ้นมนุษย์แล้ว อยากชวนอาจารย์คุยว่าตอนนี้ศาสตร์มานุษยวิทยากำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงอะไรอยู่ และหลังจากนี้มานุษยวิทยามุ่งหน้าศึกษาอะไร
ขอตอบจากมุมมองส่วนตัว ซึ่งไม่ใช่คนที่ติดตามทฤษฎีอย่างเท่าทันขนาดนั้น แต่ก็รู้ว่าก็มีข้อถกเถียงกันไปจนถึงว่าเมื่อมานุษยวิทยาสนใจถึงสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ (non-human) แล้ว หรือไม่เอามนุษย์เป็นศูนย์กลางแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ
มานุษยวิทยาเป็นศาสตร์ของการอ่านและทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทางสังคม ดังนั้น แนวคิดคือการเห็นปรากฏการณ์แล้วประมวล สังเคราะห์ และวิเคราะห์ออกมาว่าเราจะทำความเข้าใจปรากฏการณ์นั้นอย่างไรและเข้าใจว่าเรามีอคติเหล่านั้นต่อสังคม อย่างเรื่อง non-human ก็เกิดจากการที่มนุษย์ตั้งประเด็นว่าเมื่อเราเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง เราจึงอ่านโลกและสังคมแบบนี้ แต่ถ้าเราลองเปลี่ยนให้ไม่เอามนุษย์เป็นศูนย์กลาง เราจะมองโลกและสังคมต่างไปอย่างไร ซึ่งถ้าติดอยู่ตรงนี้เราก็คงติดอยู่แค่นี้ แต่ที่จริงแล้วเรามีข้อท้าทายใหม่ๆ ในสังคมเยอะมากตอนนี้
สมมติมีคำถามว่าเราจะอธิบายเรื่องชาติพันธุ์แบบเดิมได้หรือไม่ เพราะชาติพันธุ์เองก็ไม่เหมือนเดิม เขาเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก ถ้าเรายังเห็นว่ากลุ่มชาติพันธุ์ต้องใส่ชุดแบบนี้ ต้องไปไหว้ผี หรือต้องมาทอผ้าให้เราดู เราก็จะใช้ทฤษฎีแบบนั้นในการอธิบายเขา แต่ถ้าไปติดตามดูจะเห็นว่าทุกวันนี้กลุ่มชาติพันธุ์ไร้พรมแดน เขาก็มีพลวัตหลายอย่าง เขาเป็นผู้ประกอบการ เขารู้จักตัวตนของเขามากขึ้น เขาเป็นผู้ขับเคลื่อนเรียกร้องสิทธิต่างๆ เช่น สิทธิทางวัฒนธรรม เขาคือผู้เคารพธรรมชาติ เข้าใจเรื่องสิทธิแห่งธรรมชาติก่อนคนเมือง ซึ่งเรื่องนี้อาจดูล้าหลังไปแล้วในหลายประเทศ แต่ประเทศไทยเพิ่งขยับ ถ้าพัฒนาแนวคิดทฤษฎีจากการเปลี่ยนแปลงได้ก็จะทำให้เราไม่ติดหล่ม
จริงๆ มีข้อท้าทายเยอะมาก ยกตัวอย่างงานของอาจารย์ปิ่นแก้ว (รศ.ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี) ที่พูดถึงชายแดนที่ไม่เหมือนเดิม ชายแดนที่เป็นสีเทา มีการคอร์รัปชันหรือสินบนที่ต่างไปจากเดิม มันไม่ใช่คอร์รัปชันที่ขอเดินข้ามชายแดน แต่มันคือธุรกิจสีเทาขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับหลายประเทศ แล้วมานุษยวิทยาจะเล่าหรือทำความเข้าใจเรื่องนี้อย่างไร มานุษยวิทยาจะมีส่วนในการเผยให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในความสลับซับซ้อนบริเวณชายแดนอย่างไร
เรามีปรากฏการณ์ท้าทายอีกนับไม่ถ้วนในปัจจุบันและอนาคต เราจะพูดเรื่องแม่น้ำกกที่มีสารพิษจากการสกัดแร่แรร์เอิร์ธไหลลงมาปนเปื้อนในแม่น้ำ และส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนที่อยู่ร่วมกันตามสายน้ำใหญ่ในมุมมองมานุษยวิทยาอย่างไร เราจะเล่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อผู้คน ความยุติธรรมในสิ่งแวดล้อม หรือแม้กระทั่งการเข้ามาของเอไออย่างไร
ตอนนี้มีการพูดถึงมานุษยวิทยาอนาคต เช่น ถ้าทุกคนใช้เอไอในการหาข้อมูล คำถามคือเราหรือเอไอที่เป็นคนกำหนดความคิดของสังคมในอนาคต สมมติเราทำงานไม่ทัน เราส่งคำถามหาเอไอว่าวันนี้คุณจะมาสัมภาษณ์เรา เราจะตอบว่าอะไรบ้าง คำถามคือใครเป็นคนตอบคำถามนี้ หรือในการทำนโยบายต่างๆ ถ้าทั้งประเทศใช้เอไอทำ คำถามคือใครกำหนดนโยบาย เอไอใช่หรือไม่ แล้วพอเป็นนโยบายที่ออกมาแล้วทุกคนเดินตาม โลกนี้เป็นของใครเสียแล้ว สังคมจะเดินไปตามวิธีคิดของเอไอใช่หรือไม่ แล้วเราจะมีแนวคิดใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างไร นี่ก็เป็นเรื่องที่มานุษยวิทยาต้องอ่านและเข้าใจปรากฏการณ์นี้ และอาจต้องให้มานุษยวิทยามาสู้กับเอไอในที่สุด
นักมานุษยวิทยาก็ต้องมีวิธีปรับตัวกันเยอะหรือไม่ ถ้าวิธีมองแบบเดิมอาจจะใช้ไม่ได้ผลกับโลกที่เปลี่ยนไป หรือจริงๆ แล้วแว่นตาของมานุษยวิทยาก็สามารถปรับตัวได้อยู่แล้ว
โดยตัวของมานุษยวิทยาเองมีหน้าที่อธิบายและทำความเข้าใจปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนแปลงของผู้คน ดังนั้นเราก็ต้องปรับตัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว มานุษยวิทยาก็จะคิดวิธีอ่านปรากฏการณ์ไปเรื่อยๆ ซึ่งอาจจะเหมือนหรือไม่เหมือนเดิมเลยก็ได้ จริงๆ ทฤษฎีทางมานุษยวิทยาบางเรื่องตายไปแล้ว ไม่ได้ใช้อีกต่อไปเพราะถูกล้มล้างโดยทฤษฎีรุ่นหลัง แต่บางทฤษฎีเราอาจกลับมาตั้งคำถามกับมันว่าเราจะใช้ในยุคสมัยต่อไปได้ไหม ไม่ได้ตายไปโดยสิ้นเชิง
นักมานุษยวิทยามีวิธีการศึกษาหาข้อมูลผ่านการทำงานภาคสนาม สิ่งเหล่านี้ยังใช้ได้อยู่หรือไม่ในปัจจุบัน การเข้าไปสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วมยังใช่วิธีทำงานหลักของนักมานุษยวิทยาอยู่ไหม นักมานุษยวิทยาต้องปรับอย่างไรบ้างในโลกอนาคต
ยังจำเป็นต้องมีสิ่งนี้ มันเป็นระเบียบวิธีวิจัยทางมานุษยวิทยา แต่นักศึกษาที่เราสอนรุ่นหลังๆ ก็ไม่อยากทำ ซึ่งนี่เป็นปัญหาหนึ่ง นักศึกษารุ่นหลังมักจะบอกว่าโลกที่เขาปฏิสัมพันธ์ด้วยเป็นการปฏิสัมพันธ์รูปแบบใหม่ เมื่อให้เขาไปคุยกับคน เขาจะไม่ค่อยมั่นใจ รู้สึกกระอักกระอ่วนหรืออึดอัดที่จะต้องเดินเข้าไปหาคนแล้วขอสัมภาษณ์ เขาไม่อยากยุ่งกับคนตัวเป็นๆ เพราะทุกวันเขาสื่อสารผ่านเครื่องมือดิจิทัล และมักมีคำอธิบายสั้นๆ กลับมาว่าหนูเป็นอินโทรเวิร์ต
ทีนี้ก็มีสองทางคือบังคับเขาว่าไปคุยกับคนเถอะ นักมานุษยวิทยารุ่นอาจารย์ก็ยังไปคุยกับคนอยู่ แต่ถ้าเขาไม่สะดวกจริงๆ ที่ต้องถูกบังคับให้คุยกับคน เราก็บอกว่าคุณอยู่ในพื้นที่ไหนในออนไลน์ คุณก็ทำเรื่องพื้นที่นั้น เช่น หลายคนทำเรื่องเกม เขาก็อยู่กับออนไลน์ ไม่ได้คุยกับคนตัวเป็นๆ แต่การเล่นเกมก็เป็นปฏิสัมพันธ์อย่างหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไปเก็บข้อมูลในเกม เป็นส่วนหนึ่งของเกม แล้วเล่าเรื่องของเกมนั้นมา นั่นคือการสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วมเช่นกัน
ยกตัวอย่างเรื่องหนึ่ง มีนักศึกษาทำประเด็นเรื่องเพศวิถีในการแชท มีสิ่งที่เรียกว่า sexting เมื่อก่อนเรามี ‘เซ็กซ์โฟน’ คือการโทรศัพท์คุยเพื่อมีเพศสัมพันธ์กันผ่านเสียง แต่ sexting คือการมีเพศสัมพันธ์ผ่านตัวอักษร (text) ซึ่งมีความซับซ้อนไปอีกคือเวลาที่เขาคุยกัน เขาจะจินตนาการว่านี่คือดาราไอดอลที่เป็นผู้ชาย ส่งข้อความคุยกันเพื่อมีเพศสัมพันธ์ในฐานะผู้ชายสองคน แต่จริงๆ คนส่งข้อความเป็นผู้หญิงสองคนที่กำลังจินตนาการเรื่องนี้ เป็นต้น
หรือวิธีคิดเรื่องเพศวิถีและความสัมพันธ์ของเด็กรุ่นใหม่ เช่น เรื่อง friend with benefit หรือ เรื่อง polyamory (การมีความรักมากกว่าหนึ่ง ที่ทุกคนยอมรับในความรักเช่นนั้นกันหมด) ถ้าเอาเรื่องนี้ไปพูดกับรุ่นเบบี้บูมเมอร์ เขาก็จะเข้าใจไม่ได้ นี่เป็นเรื่องราวต่างๆ ที่นักศึกษาเท่าทัน เพราะเขาอยู่กับสถานการณ์แบบนี้ หรือเรื่องของการมีอคติทางเพศในเกม เช่น คนมีความรู้สึกว่าผู้หญิงเล่นเกมไม่เก่ง หรือเพราะเป็น LGBTQ+ เลยยิงสะเปะสะปะแบบนี้ ก็มีงานศึกษาว่าในเกมมีอคติแบบไหน นี่คือการที่เขาเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่เขาใช้ชีวิตอยู่
ทุกวันนี้เราก็แทบไม่ต้องถามแล้วว่านี่คือ virtual world หรือชุมชนเสมือนหรือไม่ เพราะว่ามันคือชีวิตที่เขาใช้อยู่ทุกวัน วันละหลายชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่ความสัมพันธ์แบบนี้กับความสัมพันธ์ที่เจอหน้ากันจริงๆ ก็อาจไม่เหมือนกัน คำถามต่อไปคือเราอาจต้องคลี่ให้เห็นสิ่งเหล่านี้หรือเปล่า แล้วถ้าโลกมีแต่ปฏิสัมพันธ์กันผ่านเทคโนโลยี เราจะอยู่กันอย่างไร ความหมายและความสัมพันธ์ของชีวิตมนุษย์จะเปลี่ยนไปอย่างไรหากเรามีปฏิสัมพันธ์ผ่านเครื่องมือสื่อสารเท่านั้น
กลับมาที่คำถามว่าการทำงานภาคสนามยังจำเป็นอยู่หรือไม่ จำเป็นค่ะ คุณจะไม่เข้าใจมนุษย์ถ้าคุณไม่ได้เจอกัน อันนี้ยังไม่ได้พูดถึงความซับซ้อนระหว่างมนุษย์ในนั้นกับมนุษย์ที่เจอหน้ากันจริงๆ ที่ก็มีความแตกต่างกัน
ถ้าฟังแบบนี้มานุษยวิทยาก็มีอะไรให้ศึกษาอีกเยอะมาก
ตราบใดที่เรายังมีมนุษย์อยู่ ก็ไม่มีทางที่จะหยุด
โดยส่วนตัวอาจารย์เป็นคนที่ชอบปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ไหม
เราชอบอยู่บ้าน แต่เมื่อออกไปข้างนอกแล้วก็จะตื่นตาตื่นใจทุกครั้งกับการได้เห็นชีวิตผู้คนที่แตกต่าง ตอนที่ทำปริญญาเอกก็ทำเรื่องคนที่ใช้ยาเสพติด อันนั้นก็มาจากเรื่องที่ผู้หญิงหลายคนเล่าถึงความทุกข์ที่มีสามีเป็นคนใช้ยา ก็รู้สึกว่าทำไมชีวิตต้องทุกข์ทรมานขนาดนี้ อะไรที่พาเขาไปสู่จุดนั้น เราอยากเข้าใจคนที่ถูกตีตรา การได้ไปเจอเองทำให้เราก้าวข้ามอคติ ตอนที่ไปจังหวัดชายแดนใต้เราก็ไปด้วยอคติ ซึ่งเราไม่ได้รับรองว่านักมานุษยวิทยาทุกคนจะเข้าใจทุกสิ่งและไม่มีอคตินะ เเล้วก็ไม่ได้บอกว่าตัวเองไม่มีอคติ แต่เรารู้ว่าศาสตร์มานุษยวิทยาจะทำให้เราเท่าทันอคติและก้าวข้ามอคตินี้ไปได้บ้าง มานุษยวิทยาจะมีคำพูดที่ว่าให้เข้าไปคิดในมุมที่เขาคิด ตีความโลกในมุมของเขาและมุมของเรา ลองไปสวมรองเท้าของเขาดูว่าทำไมถึงไปสู่จุดนั้น

อาจารย์เคยเรียนประวัติศาสตร์มาก่อน อยากชวนคุยว่าวิธีมองประเด็นของนักประวัติศาสตร์กับนักมานุษยวิทยาในเรื่องเดียวกัน เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
นักประวัติศาสตร์บางคนเขาก็บอกว่าเขาไม่ได้มีทฤษฎีหรือแนวคิด เขาอ่านปรากฏการณ์ต่างๆ ในอดีตจากหลักฐาน แต่บางคนก็ใช้ทฤษฎีนั่นแหละในการมอง ทฤษฎีสังคมศาสตร์ก็มีการแชร์กัน ปัจจุบันนี้เราคงไม่ได้แบ่งแยกขนาดนั้นว่านี่คือมานุษยวิทยา สังคมวิทยา หรือรัฐศาสตร์ ส่วนตัวคิดว่าแนวคิดทางสังคมศาสตร์อยู่กับทุกศาสตร์ ขึ้นอยู่กับว่าจะหยิบมาใช้อย่างไร ประวัติศาสตร์เองถ้านำแนวคิดต่างๆ ไปมอง ก็จะเห็นอดีตที่ต่างกัน
ส่วนตัวคิดว่าประวัติศาสตร์กับมานุษยวิทยาเป็นการเติมเต็มกัน เช่น การเข้าใจพัฒนาการของอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ก็จะทำให้เราเข้าใจปัจจุบัน และอาจมองเห็นอนาคตได้รางๆ ลดอคติบางอย่าง เช่นเราต้องเข้าใจว่าภูมิภาคนี้เคยอยู่ร่วมกันมาอย่างไร ทำไมเราต้องมีชาตินิยมขึ้นมา เพราะเราเข้าสู่ความเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ อย่างที่ตะวันตกยัดเยียดเราว่าถ้าอยู่ในโลกนี้คุณต้องสร้างรัฐชาติ รัฐชาติต้องประกอบด้วยเขตแดนและผู้คนที่บอกได้ว่าสังกัดที่ไหน ซึ่งการที่จะทำให้มีเขตและผู้คนสังกัด เราก็ต้องทำให้เกิดความรักชาติขึ้นมา ทุกชาติในโลกจึงมีความเป็นชาตินิยม มันจึงง่ายและเปราะบางมากเมื่อวันหนึ่งที่เราทะเลาะกันแล้วความเป็นชาตินิยมจะรุนแรงขึ้นมา แต่อดีตอันไกลกว่านั้นเราไม่ได้เป็นอย่างนี้ เราไม่จำเป็นต้องแบ่งแบบนี้ แต่คุณจะให้วิธีคิดในช่วงยุคสมัยหนึ่งและพรมแดนที่เราขีดเส้นสมมติขึ้นมาทำลายทั้งหมดนี้ไปทำไม หรือทำให้เราฆ่ากันตายทำไม เราจะรักชาติของเราโดยไม่ชังเพื่อนบ้าน เพื่อนประเทศได้หรือไม่
หรือว่าสิ่งนี้คือความเป็นมนุษย์ เพราะว่ามนุษย์ก็อาจจะโง่เขลาในบางเรื่อง ฉลาดในบางเรื่อง
มนุษย์มีความเห็นแก่ตัวและมีความรุนแรง มนุษย์เองก็เป็นสัตว์ เราพร้อมที่จะใช้ความรุนแรงเพื่อปกป้องสิ่งที่หวงแหน แต่ในแง่ร่างกาย มนุษย์เป็นสัตว์ที่อ่อนแอกว่าสัตว์อีกหลายชนิด อาวุธของเราคือสมองและสิ่งที่เราคิดประดิษฐ์ขึ้นมา แต่สุดท้ายเราก็มาสู้กัน เราคิดเทคโนโลยีมาฆ่ากัน ศาสนาเป็นส่วนหนึ่งที่พยายามบอกว่าเราไม่ควรเข่นฆ่าหรือแย่งชิงกัน นี่เป็นหลักการ แต่สุดท้ายเราก็ฆ่ากันด้วยเรื่องศาสนา นี่เป็นความซับซ้อนของมนุษย์
หรือบางทีการใช้ชีวิตแบบฝืนฮอร์โมนหรือฝืนสัญชาตญาณ ถือเป็นเรื่องยากสำหรับมนุษย์
ถูก กลับไปที่เรื่องเพศวิถี คุณจะบอกว่าคุณเป็นวัฒนธรรมผัวเดียวเมียเดียว สิ่งนี้เป็นความพยายามกำหนดว่าถ้าไม่มีวัฒนธรรมกำกับแล้วใครจะเลี้ยงลูก ผู้หญิงต้องเลี้ยงคนเดียวเลยหรือ เป็นความซับซ้อนของวัฒนธรรมที่กระทำต่อเรา ภาษาที่ดีก็เรียกเรื่องนี้ว่าเป็น ‘การสืบทอดวัฒนธรรม’ แต่บางทีมันก็ทับถมบางอย่างขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วก็ไม่ได้เท่าทันกับสิ่งที่เกิดขึ้น นี่ก็เป็นประเด็นที่ต้องเข้าใจว่าเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่โลกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงจากการที่เรามีองค์ประกอบอื่นๆ ในชีวิต
มานุษยวิทยาทำงานกับความคิดและตัวตนของคน แต่ตอนนี้เรามีเอไอที่เราอาจจะควบคุมไม่ได้ สิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนเรา เราอาจรู้สึกว่าเราควบคุมมัน แต่ไม่ใช่ ดังนั้น non-human อาจจะตอบคำถามเรื่องนี้ก็ได้ ท้ายที่สุดแล้วเราก็กำลังถูกควบคุมโดยบางอย่าง เรื่องนี้น่ากังวลใจแต่ก็เป็นเรื่องท้าทายที่เราจะได้ก้าวเข้าไปสู่โลกแบบใหม่
ตรงทางเข้าศูนย์มานุษยฯ มีประโยคติดที่ผนังว่า “อะไรทำให้ประโยคที่ว่า ‘เราจะก้าวผ่านไปด้วยกัน’ เป็นจริง” ถ้าถามให้เฉพาะเจาะจงลงไป อยากชวนคุยว่าเรา (มนุษยชาติ) จะผ่านไปด้วยกันได้จริงไหมในโลกที่เหลื่อมล้ำและมีความขัดแย้งเช่นนี้
กลับไปที่เพลง Imagine ของจอห์น เลนนอนไหม แต่คำตอบคือเราไม่ได้ไปด้วยกันหรอก ที่ผ่านมาโลกพิสูจน์แล้วว่าเราไม่มีวันไปด้วยกัน มีคำกล่าวหนึ่งที่ว่า “ความผิดพลาดของพระเจ้าคือสร้างให้เราต่างกัน” แต่เมื่อไหร่ที่พระเจ้าสร้างให้เราเหมือนกัน เราอาจจะล่มสลายไปนานแล้วก็ได้ ระบบนิเวศทางธรรมชาติบอกเสมอว่าถ้าเราเหมือนกันเราจะตาย แต่ถ้าเราแตกต่างกันเราจะเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมนุษยชาติ ไม่มีตอนไหนเลยที่บอกว่าเราไปด้วยกันได้
แปลว่าในโลกอนาคตต้องมีผู้อยู่รอดกับคนที่ต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมาน
โลกมีความเหลื่อมล้ำมาตลอด ลองมองในอดีตว่าเราเคยแก้ความเหลื่อมล้ำได้หรือไม่ แล้วคุณคิดว่าโลกข้างหน้าที่มีดิจิทัลเอไอจะช่วยแก้เรื่องความเหลื่อมล้ำได้หรือไม่ นักวิเคราะห์ก็มองว่าความเหลื่อมล้ำอาจถ่างกว้างขึ้นอีก ความเหลื่อมล้ำจะยังคงอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนหน้าตาไป
ช่วงวิกฤตโควิด-19 ทำให้เห็นว่าความเหลื่อมล้ำทำให้คนตายได้อย่างไร คนที่อยู่ในบ้านหลังใหญ่ สามารถแยกกักตัวได้ มีเงินซื้อของกินตุน มีเงินซื้อถังออกซิเจนไว้ในบ้าน ก็รอด แต่ชุมชนแออัดไม่ได้เป็นแบบนี้ ความเหลื่อมล้ำจะชัดเจนถึงตายก็ตอนที่วิกฤตสุดๆ และเราก็กำลังเผชิญกับวิกฤตที่เร็วและแรงบ่อยขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเป็นแบบนี้ ศาสตร์มานุษยวิทยาจะอยู่ตรงไหนหรือพอมีประโยชน์อย่างไรได้บ้าง
นักมานุษยวิทยาก็มักจะบอกว่าตัวเองยืนอยู่ข้างคนตัวเล็กมาตลอด เราก็พยายามส่งเสียงและเปิดเปลือยว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงต้องตกอยู่ภายใต้ความเหลื่อมล้ำอยู่ตลอดเวลา แต่โดยตัวของมานุษยวิทยาเองที่มีหน้าที่เท่านั้นอาจไม่พอหรือเปล่า บทพิสูจน์หนึ่งคือเรื่อง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ฯ เราก็ไปขยับโครงสร้าง แต่คำถามคือการมีกฎหมายก็ไม่ได้เท่ากับว่าเราจะรักษาสิทธิเขาได้จริงๆ การบังคับใช้กฎหมายต่างหากที่จะทำให้กฎหมายปกป้องเขาได้จริง เราก็ต้องมาดูว่าการบังคับใช้กฎหมายในประเทศนี้เป็นอย่างไร ตอนนี้เราเห็นกันอย่างหนักหน่วงมากเรื่องการใช้กฎหมายมาเล่นงานกัน ก็เป็นประเด็นที่ท้าทายของนักมานุษยวิทยาอีกจำนวนมาก
ถามว่านักมานุษยวิทยาที่ผ่านมาทำงานที่พอจะปกป้องชีวิตของคนตัวเล็กที่เขาพูดถึงได้หรือไม่ มีตั้งเยอะเลยนะคะ หลายคนก็ไปทำเรื่องน้ำท่วม เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ เรื่องความรุนแรง เรื่องป่าชุมชน เพราะวิชาของเรามักให้ความสำคัญกับการอยู่ข้างคนตัวเล็ก คนที่เสียเปรียบ ตกเป็นเบี้ยล่างในสังคม

อาจารย์ทำงานเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรมท่ามกลางความรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ อยากให้อาจารย์เล่าถึงข้อค้นพบ หรือสิ่งที่ตกผลึกจากการทำงานในเรื่องนี้
ความรุนแรงที่ยาวนานและไม่จบสิ้นทำลายความสัมพันธ์ของผู้คนในแนวระนาบ ความขัดแย้งรุนแรงระหว่างรัฐกับประชาชนที่ยาวนานทำลายความสัมพันธ์ของผู้คนที่อยู่ในพื้นที่ แต่เรื่องนี้ก็เป็นพลวัต อย่างเช่นที่เพิ่งมีข่าวการยิงคนเชื้อสายจีนที่เป็นเจ้าของล้งทุเรียนที่เบตง ทำให้ความไว้วางใจซึ่งกันและกันเริ่มลดลง สิ่งนี้เป็นความยากเพราะถ้าความรุนแรงไม่จบ คุณก็ไม่รู้จะบอกอย่างไรให้คนไว้ใจกันและอยู่ด้วยกันได้ มีเหตุการณ์มากมายที่ทำให้คนไม่ไว้ใจกัน
เพราะฉะนั้นความยากของโจทย์นี้คือคุณจะทำอย่างไร คุณไม่สามารถหยุดความรุนแรงได้เพราะว่ามันยังคงอยู่ ในขณะที่คนก็กำลังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ยิ่งไปกว่านั้นคือมีเจเนอเรชันที่เกิดและเติบโตโดยไม่มีต้นทุนความสัมพันธ์เดิมระหว่างกัน ดังนั้น รุ่นหนึ่งต้องทำงานด้วยอีกแบบ อีกรุ่นหนึ่งก็ต้องทำงานด้วยอีกแบบ รุ่นเราซึ่งมีเพื่อนเป็นมุสลิม มีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนต่างศาสนาเยอะ กับรุ่นนี้ซึ่งไม่มีเพื่อนต่างศาสนาเลย ความท้าทายที่จะออกแบบงานก็แตกต่างกัน
เราเคยทำโครงการหนังสั้นที่สนับสนุนโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรเมื่อหลายปีก่อน มีหนังสั้นเรื่องหนึ่งที่ชื่อว่า เพื่อนแท้ ทำโดยเด็กมหาวิทยาลัยปี 1 ของราชภัฏยะลา เรื่องของเขาคือ มีชาวพุทธกับมุสลิมเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน ซึ่งมีเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องแสดงความเป็นเพื่อนแท้ออกมาในหนัง เราก็คิดว่านี่เป็นเรื่องจากเหตุการณ์จริง แต่เปล่า นี่คือความฝันที่เขาอยากมี นี่คือเรื่องราวที่เขาไม่มี เขาไม่เคยมีเพื่อนเป็นคนพุทธเลยในชีวิตจริง
ส่วนตัวเคยมีข้อค้นพบในงานวิจัยชิ้นหนึ่งคือ ผู้คนในสามจังหวัดชายแดนเป็น ‘คนคุ้นเคยที่แปลกหน้า’ ซึ่งไม่เหมือนกับ ‘คนแปลกหน้าที่คุ้นเคย’ มีคอนเซ็ปต์หนึ่งที่พูดเรื่องคนแปลกหน้าที่คุ้นเคย เช่น สมมติเราไปยืนรอรถเมล์ที่ป้ายตอนไปทำงานทุกวัน เราจะเจอคนที่มาในเวลาเดียวกันแต่เราไม่เคยรู้จักเขา เขาเป็นคนแปลกหน้าที่คุ้นเคย ในคอนเซ็ปต์แบบนี้ ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรระหว่างทางแล้วเราต้องการความช่วยเหลือ คุณจะเลือกไปขอความช่วยเหลือจากคนนี้ที่เราเจอทุกวันมากกว่าใครก็ไม่รู้ในรถเมล์ อย่างนี้เรียกว่าเป็นคนแปลกหน้าที่คุ้นเคย เราจึงใช้คอนเซ็ปต์นี้ในการอธิบายว่าตอนนี้คนที่ต่างชาติพันธุ์หรือต่างศาสนาในพื้นที่ชายแดนใต้ กลายเป็นภาวะคนคุ้นเคยที่แปลกหน้า ซึ่งอันตราย เพราะว่าเราเคยคุ้นเคยกัน แต่มีบางอย่างที่ทำให้เรากลายเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน ความแปลกหน้าคือความไม่ไว้วางใจ เพราะฉะนั้นถ้ามีเหตุการณ์อะไรที่วิกฤตรุนแรง เราก็พร้อมที่จะไม่ปกป้องกันและกัน
ความต่างทางศาสนาเป็นสาเหตุหลักขนาดนั้นหรือไม่?
ไม่ใช่เพราะความต่างทางศาสนาเป็นสาเหตุ แต่เพราะว่าความรุนแรงมุ่งเป้าในบางเหตุการณ์ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจกัน ยกตัวอย่างเช่น ในอำเภอหนึ่งมีตลาดนัด และในตลาดนัดมีทั้งคนพุทธและมุสลิมขายของอยู่ด้วยกัน มีคนเข้ามายิง แต่คนบาดเจ็บและเสียชีวิตมีแต่ชาวพุทธ นี่เป็นการทำลายความสัมพันธ์ทันทีเลย
หรือมีผู้ชายคนหนึ่งนั่งรถเมล์ทุกวัน เป็นคนพุทธที่พูดภาษามลายูได้ด้วย ด้วยความที่เขามั่นใจว่าเขาอยู่ที่นี่มานานตั้งแต่เกิด แล้วเขาก็เดินทางด้วยรถเมล์สายนี้ไปทำงานทุกวัน วันที่เขาเสียชีวิตคือมีคนขึ้นมาบนรถเมล์และเอาปืนมาจ่อยิงข้างหลังเขาในระยะประชิด แล้วก็เสียชีวิตบนรถที่เขาเป็นคนพุทธคนเดียว เหตุการณ์แบบนี้ทำลายความสัมพันธ์
หลายครั้งเมื่อมีเหตุรุนแรงกับคนพุทธ ไม่กี่วันต่อมาก็จะเกิดเหตุรุนแรงกับคนมุสลิม เช่นนี้แล้วจะทำให้คนในพื้นที่ที่อยู่ร่วมกันคิดและรู้สึกต่อกันอย่างไร
จากที่คุยกันมารู้สึกว่ามีคีย์บางอย่างคือ ‘การเป็นพวกเขาพวกเรา’ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชาตินิยม ความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนใต้ หรือปัญหาความเข้าใจชาติพันธุ์ ในทางหนึ่งมานุษยวิทยาจะเข้าไปทำอะไรได้บ้างกับอคติที่เกิดจากความคิดแบบนี้
ในงานของทักษะวัฒนธรรมจะบอกว่า เราแตกต่างแต่เรามีความเหมือนบางอย่าง ความเหมือนที่เรามีคือความเป็นมนุษย์ มีความกลัว มีความรัก มีความเกลียดชัง มีความทุกข์ทรมานเหมือนๆ กัน เวลาพูดแบบนี้มันโรแมนติกมาก แต่ถ้าเราไม่เห็นสิ่งนี้ไปด้วยกัน เราก็จะยึดติดแต่กับความเป็นเขาเป็นเรา ความต่างไม่ได้เท่ากับเราหรือเขา ไม่ใช่การแบ่งแยก แต่เพราะว่าเราไปเห็นความต่างเราจึงเกิดการแบ่งแยก การแบ่งแยกให้เห็นความต่างไม่เป็นไร เราขัดแย้งกันได้ไม่เป็นไร แต่เราก็ไม่มีหน้าที่ที่จะมาเข่นฆ่ากันเพราะเราแตกต่าง หัวใจของทักษะวัฒนธรรมคือการขัดกันฉันมิตร เพราะเราแตกต่างเราจึงขัดกัน ความแตกต่างยังคงต้องมีเพราะไม่อย่างนั้นเราก็คงล่มสลาย แต่เมื่อเราขัดกันแล้วทำไมเราต้องฆ่ากัน ทำไมต้องทำร้ายรุนแรงกัน นี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเป็น
อาจารย์คิดว่าก้าวต่อไปของศาสตร์ทางมานุษยวิทยาของไทย ควรเน้นเรื่องอะไร
โจทย์สังคมกำลังก้าวเข้าสู่วิกฤตในหลายๆ เรื่อง อย่างที่กล่าวไปเมื่อสักครู่นี้ว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นในสังคมจะเร็ว แรง และบ่อย เช่น แผ่นดินไหวก็จะเกิดบ่อยขึ้น เราเผชิญกับน้ำท่วมในรอบเดือนไม่ใช่รอบปี วิกฤตเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ความเหลื่อมล้ำที่เปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่างและพัฒนาเป็นความรุนแรงมากขึ้น ความรุนแรงจากสงครามที่ต่อเนื่องและยาวนานมากขึ้น เมื่อไหร่ที่เกิดวิกฤต ทั้งหมดนี้ก็สัมพันธ์กัน
ดังนั้นเรามองเห็นความสำคัญในมิติแบบนี้อย่างไร และคิดว่าสองโจทย์ที่สำคัญคือมานุษยวิทยาอาจจะช่วยอธิบายเพียงอย่างเดียวไม่พอแล้ว แต่ต้องเข้าไปร่วมทุกข์ร่วมสุขกับสังคม นี่เป็นโจทย์ใหญ่ของนักมานุษยวิทยาที่จะต้องทำแน่ๆ เราต้องตั้งคำถามว่าระเบียบวิธีวิจัยแบบมานุษยวิทยาต้องปรับตัวอย่างไรในโลกที่เปลี่ยนไป มานุษยวิทยาจะต้องปรับระเบียบวิธีในการเห็นโลก หรือการอธิบายสิ่งต่างๆ ของโลกนี้อย่างไร
สำหรับอาจารย์แล้ว ความสุขของการเป็นนักมานุษยวิทยาคืออะไร
การได้ทดลองใช้แนวคิดความรู้ที่ร่ำเรียนมาในทุกๆ วันของชีวิต
มานุษยวิทยาศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ในหลายรูปแบบ คือความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่มีมนุษย์เป็นแกนกลางและไม่เป็นแกนกลาง ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์เอง ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ในขณะที่เราก็ลองศึกษาแบบกลับด้านด้วย เช่น ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์ หรือสิ่งนอกเหนือธรรมชาติกับมนุษย์ เราทำงานอยู่บนความสัมพันธ์ทั้งหลายเหล่านี้
ทุกศาสตร์กำหนดความหมายในชีวิตของเรา กำหนดโลกที่เราเห็น การเล่าเรียนทำให้เรามองเห็นโลกต่างกัน และเราก็ใช้สิ่งนั้นในการมองโลกที่แตกต่างกัน ดังนั้นในทุกๆ วันเราให้ความหมายของสิ่งต่างๆ ที่อยู่ตรงหน้าอย่างไร ได้ลองใช้สิ่งที่เราเรียนมาและปฏิบัติต่อผู้คน สิ่งของ หรืออะไรก็ตามที่เราปฏิสัมพันธ์ด้วย
พูดได้หรือไม่ว่าเมื่อเราได้เป็นนักมานุษยวิทยาแล้วก็จะเป็นตลอดไป
ในตัวตนเราไม่ได้เป็นแค่มานุษยวิทยา มีองค์ประกอบอื่นเยอะแยะเลย เราเป็นลูก เป็นแม่ เป็นผู้นับถือศาสนาอะไร ทำอาชีพอะไร เป็นเพศสภาพอะไร หรือเราให้คุณค่ากับชีวิตอย่างไร มานุษยวิทยาก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งในชีวิตเราเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วตัวตนถูกประกอบสร้างมาในหลายมิติ แล้วเมื่อเราไปเห็นคนอื่น เราก็จะไม่เห็นตัวตนของเขาเพียงด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น การที่เราเห็นตัวตนของผู้คนที่หลากหลายจะทำให้เราเท่าทันอคติของเรา อาจก้าวข้ามอคติต่อคนอื่นๆ ไปได้บ้าง อาจช่วยทำให้เรามี empathy ต่อโลก คน สัตว์ ธรรมชาติมากขึ้น รวมถึงอ่อนน้อมถ่อมตนกับสรรพสิ่งและผู้คนรอบๆ ตัว

↑1 | มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2553 เรื่องแนวนโยบายฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553 เรื่องแนวนโยบายฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง |
---|