เมื่อเราน้อยเนื้อต่ำใจทางการเมือง

เมื่อเราน้อยเนื้อต่ำใจทางการเมือง

น้อยเนื้อต่ำใจทางการเมือง political grievance

ความน้อยเนื้อต่ำใจเป็นเรื่องแปลก

อาการ ‘น้อยเนื้อต่ำใจ’ นั้น ไม่เหมือนกับ ‘น้อยใจ’ เพราะมันคืออารมณ์ความรู้สึกที่เข้มข้นกว่า ถ้าเราน้อยใจ ปกติแล้วมักเป็นความรู้สึกไม่พอใจปะปนมากับความเสียใจ มักเกิดขึ้นเพราะรู้สึกว่าไม่ได้รับความสนใจ ยอมรับ หรือชื่นชมมากเพียงพอ ทำให้ผิดหวังที่ถูกมองข้ามหรือถูกเมิน

แต่ถ้ามองในแง่ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ อาการ ‘น้อยใจ’ ไม่ได้แปลว่าผู้น้อยใจตระหนักว่าตัวเองมีอำนาจ ‘ต่ำต้อย’ หรือมีสถานะทางสังคมด้อยกว่า ส่วนใหญ่ตรงข้ามด้วยซ้ำไป เพราะคนที่มี ‘สิทธิ’ น้อยใจได้ มักเห็นว่าตัวเองมี ‘ของดี’ บางอย่างอยู่ในตัว และสามารถใช้สิ่งนั้นเพื่อต่อรองกับผู้ที่เป็นต้นเหตุของอาการน้อยใจได้ เช่น แฟนน้อยใจกัน อาจเกิดอาการงอน แล้วอีกฝ่ายก็ต้องตามง้อ เป็นต้น

แต่ ‘น้อยเนื้อต่ำใจ’ เป็นมากกว่าน้อยใจ เพราะนอกจากจะรู้สึกว่าตัวเองถูกเมินเฉย ไม่ได้รับความสำคัญ ถูกมองข้าม ฯลฯ แบบเดียวกับอาการน้อยใจแล้ว คนที่ ‘น้อยเนื้อต่ำใจ’ ยังตระหนักอีกด้วยว่า แท้จริงแล้วตัวเอง ‘ไม่ได้มีค่า’ อะไรในสายตาของผู้ที่ก่อให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจเลย ถ้ามองในแง่ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ‘น้อยเนื้อต่ำใจ’ คือการตระหนักว่าตัวเองไม่มี ‘อำนาจต่อรอง’ มากพอที่จะทำอะไรกับอีกฝ่ายได้ พูดง่ายๆ ก็คือ จะงอนแค่ไหน ก็ไม่มีใครตามง้อ!

ความน้อยเนื้อต่ำใจจึงเป็นความรู้สึกซับซ้อน ผสมผสานระหว่างความรู้สึกว่าตัวเอง ‘ด้อยค่า’ ไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม หรือถูกเลือกปฏิบัติ (discrimination) ซึ่งอาจนับได้ว่าเป็นปัญหากว่าแค่น้อยใจเฉยๆ มาก เพราะอาจนำไปสู่การตอบโต้ทั้งภายนอกภายในหลายแบบ จนนักจิตวิทยาจำนวนไม่น้อยเห็นว่าความน้อยเนื้อต่ำใจนั้นสัมพันธ์กับอาการทางจิตหลายเรื่อง ตั้งแต่อาการซึมเศร้า หวาดระแวง วิตกกังวล หรือแม้กระทั่งการมีบุคลิกภาพแบบหลงตัวเอง (narcissistic personality disorder)

แล้วถ้าเป็น ‘ความน้อยเนื้อต่ำใจทางการเมือง’ (political grievances) เล่า, จะซับซ้อนและเป็นปัญหาได้มากสักแค่ไหน

โดยทั่วไป ความน้อยเนื้อต่ำใจทางการเมืองเกิดจากการ ‘ถูกกระทำ’ จากหลายมิติ ไม่ว่าจะความไม่เท่าเทียมเชิงโครงสร้าง (ถึงคุณจะเบื่อคำว่า ‘เชิงโครงสร้าง’ มากเท่าไหร่ แต่ถ้ามันยังเป็นเรื่องเชิงโครงสร้าง ก็ต้องใช้คำนี้ จะบิดไปใช้คำอื่นไม่ได้) เช่น ระบบการเมืองที่ ‘เอื้อประโยชน์’ ให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากเป็นพิเศษ ซึ่งไม่ได้แปลว่าระบบอยู่ของมันเฉยๆ แล้วเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มนั้นกลุ่มนี้เท่านั้นนะครับ แต่ผู้มีอำนาจในแต่ละยุคสมัย จะพยายาม ‘บิดผัน’ (manipulate) ระบบการเมืองเพื่อให้เอื้อประโยชน์แก่กลุ่มตัวเองให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะ ‘วิธีเลือกตั้ง’ ที่ไม่ตรงไปตรงมาหรือสลับซับซ้อนจนอาจนำไปสู่ความล้มเหลวของสถาบันการเมืองที่เราพบเห็นได้บ่อยครั้งขึ้นในระยะหลัง

นอกจากนี้ยังมีเรื่องเก่าที่เล่ากี่ครั้งๆ ก็ยังเก่าจนเหม็นหืนขึ้นรา – อย่าง ‘การกระจายอำนาจ’ และ ‘การกระจายทรัพยากร’ ที่ไม่เป็นธรรมอีกด้วย ทั้งระบบการเมืองและการกระจายอำนาจนั้น เอาเข้าจริงคือเรื่องของ ‘วัฒนธรรมการเมือง’ ซึ่งในบางสังคมเป็นปัญหามาก เพราะถูกทำให้บิดเบี้ยวมาตั้งแต่พยายามจะเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นประชาธิปไตย แต่ยังอิงแอบแนบชิดอยู่กับความเคยชินในระบบอุปถัมภ์ในทุกระดับ สุดท้ายก็ ‘กีดกัน’ คนบางกลุ่มออกจากกระบวนการตัดสินใจทางการเมือง โดยเฉพาะคนที่ไม่มีอำนาจ นำไปสู่เรื่องอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งนโยบายที่เอื้อประโยชน์แก่กลุ่มอำนาจ ระบบเศรษฐกิจที่เกิดตามมามีความบิดเบี้ยวไม่เป็นธรรม ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่ค่อยๆ สั่งสม ค่อยๆ ปรับเปลี่ยน ค่อยๆ เล่นแร่แปรธาตุ ค่อยๆ กดทับ แต่เมื่อสั่งสมมากเข้าเรื่อยๆ สุดท้ายก็ก่อให้เกิด ‘ความโกรธร่วม’ ขึ้นมา

ขออภัยที่ต้องบอกว่า ความโกรธร่วมเหล่านี้มีความ ‘ชอบธรรม’ เสียด้วย!

ทุกวันนี้ เราจึงอาจพูดได้ว่า ความเนื้อเนื้อต่ำใจทางการเมืองนั้น ไม่ใช่ความน้อยเนื้อต่ำใจที่เกิดขึ้นกับปัจเจกอีกต่อไปแล้ว แต่คือ ‘ความน้อยเนื้อต่ำใจร่วม’ (collective grievance) ของคนจำนวนไม่น้อย ที่สุดท้ายสะท้อนออกมาเป็น ‘ความโกรธร่วม’ (collective anger)

เพียงแต่ความโกรธนั้นถูกส่งผ่าน (channel) ไปได้หลายรูปแบบและหลายเป้าหมาย!

ในด้านหนึ่ง ความน้อยเนื้อต่ำใจทางการเมืองถือว่าเป็นประโยชน์ (อย่างน้อยก็กับฝ่ายผู้มีอำนาจน้อยกว่า) เพราะมันผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ หรืออาจเรียกว่าเป็น ‘การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง’ ขึ้นมาได้ เนื่องจากผู้คนที่ถูกเพิกเฉยโดยระบบการเมือง ค่อยๆ สั่งสมความไม่พอใจร่วมทีละน้อย เมื่อถึงจุดหนึ่งก็กลายเป็นความโกรธร่วมที่นำไปสู่จุดแตกหัก จนเกิดเหตุการณ์ได้ทั้งเล็กและใหญ่หลากยุคหลายสมัย เช่น กบฏชาวนาเยอรมัน กบฏนักมวยในจีน หรือขบถผีบุญในอีสาน ไปจนถึงการปฏิวัติใหญ่ๆ ตั้งแต่ปฏิวัติรัสเซีย ปฏิวัติฝรั่งเศส การลุกฮือของประชาชนในตูนิเซีย เทียนอันเหมิน คิวบา หรือฮ่องกง ซึ่งไม่ได้แปลว่าทุกความโกรธร่วมจะเปลี่ยนแปลงสังคมได้สำเร็จนะครับ เพราะการลุกฮือขึ้นมาต่อต้านรัฐนั้น แต่ละที่มี ต้นทุนแตกต่างกัน และแต่ละรัฐก็มีวิธีปราบปรามที่แตกต่างกันด้วย

แต่ความน้อยเนื้อต่ำใจทางการเมืองก็เหมือนกับสิ่งอื่นๆ ในโลก นั่นคือมันมี ‘วิวัฒนาการ’ ที่เปลี่ยนแปลงไป จากในอดีตที่หลายคนเคยคิดว่าความน้อยเนื้อต่ำใจทางการเมืองซับซ้อนแล้ว มาถึงปัจจุบันนี้อาจยิ่งซับซ้อนเข้าไปอีก เหมือนชั้นหินในทางธรณีวิทยาที่ไม่ได้แค่ซ้อนกันขึ้นไปเป็นชั้นๆ เท่านั้น แต่ถูกพลังหลายอย่างกระทำจนเกิดการบิดซ้ายขวา ชั้นล่างถูกดันขึ้นมาซ้อนทับชั้นบน และลักษณาการอื่นๆ อีกมากมาย

น่าเสียดายที่ยังไม่มีใครศึกษา ‘ประวัติศาสตร์ความน้อยเนื้อต่ำใจทางการเมือง’ จริงจังมากนัก เท่าที่เคยเห็นคำอธิบายที่ใกล้เคียงที่สุด น่ามาจากหนังสือชื่อ Why We Fight: The Root of War and the Paths to Peace ของ คริสโตเฟอร์ แบลตแมน (Christopher Blattman) ซึ่งแม้หนังสือจะเสนอความเห็นว่า การอยู่กันอย่างสันติเป็นสภาวะปกติ สงครามเป็นข้อยกเว้น แต่ก็ยกตัวอย่างเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของบางประเทศ  เช่น โคลัมเบีย ไลบีเรีย ซีเรีย อิรัก และที่อื่นๆ ขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นว่า ความน้อยเนื้อต่ำใจทางการเมืองนั้น นำไปสู่ความไม่ไว้วางใจระหว่างกัน และก่อให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองในระดับที่นำไปสู่สงครามได้อย่างไรบ้าง

อย่างไรก็ตาม ในประวัติศาสตร์การเมืองอันยาวนานของหลายประเทศ เรายังเห็นภาพอีกแบบหนึ่งด้วย นั่นคือภาพที่ฝ่ายถูกกระทำจนเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจทางการเมือง ‘ผงาด’ ขึ้นมามีอำนาจได้หลายครั้ง ที่น่าสนใจก็คือ เมื่อคนเหล่านี้มีอำนาจแล้ว แทนที่จะเอื้ออาทรต่อผู้อื่น แต่กลับ ‘ดำเนินรอยตาม’ วิธีการของ ‘ผู้กระทำ’ กลุ่มเก่าชนิดที่แทบไม่มีข้อยกเว้น

พูดง่ายๆ ก็คือ เคยถูกกระทำย่ำยีจนเคยน้อยเนื้อต่ำใจทางการเมืองมาแล้ว แต่พอได้อำนาจมาอยู่ใต้ฝ่ามือฝ่าเท้าของตัวเอง ก็กลับพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ฝ่ายตรงข้าม (หรืออย่างน้อยก็คนที่ตัวเอง ‘คิด’ ว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะคิดไปเองหรือเป็นอย่างนั้นจริงก็ตาม) เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจเหมือนที่ตนเคยเป็นขึ้นมาให้ได้ด้วยวิธีการต่างๆ

คำถามก็คือ – ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?

อย่างที่บอกนะครับ ว่าความน้อยเนื้อต่ำใจเป็นอารมณ์ที่ซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับกลไกทางสมองหลายส่วน แถมยังเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่ฝังลึก เมื่อ ‘ถูกทำให้เกิดขึ้น’ แล้ว มักจะดำรงอยู่ยาวนานถึงระดับส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นได้ (อาจเรียกว่า generational political grievance ก็น่าจะได้) จึงไม่ได้หายไปง่ายๆ แค่เพราะประสบความสำเร็จในการต่อสู้ เพราะชนะเลือกตั้ง หรือได้เป็นผู้กุมอำนาจเป็นเวลาสั้นๆ เท่านั้นหรอกนะครับ เนื่องจากคนจำนวนมากยังมัก ‘ติดค้าง’ อยู่กับสำนึกน้อยเนื้อต่ำใจทางประวัติศาสตร์จนเกิดอาการหลายอย่างที่ ‘ขยาย’ ขึ้นจากความน้อยเนื้อต่ำใจของปัจเจกที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการแสดงออกของ ‘ความน้อยเนื้อต่ำใจด้านกลับ’ ขึ้นมา

ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจนั้น เกิดจากการรับรู้ความไม่เป็นธรรม มีการเปรียบเทียบทางสังคมที่ทำให้เห็นว่าเราถูกเลือกปฏิบัติจริงๆ ถ้าเป็นในทางการเมือง การเลือกปฏิบัตินั้นอาจถึงระดับเป็นภัยคุกคามต่อความเป็นอยู่หรือสวัสดิภาพของเราได้ แต่ถ้าเลยไกลไปกว่านั้น ก็คือรู้สึกว่าภัยคุกคามนั้นคุกคามต่อ ‘ตัวตน’ หรือ ‘อัตลักษณ์’ ของเราเลย (เป็น identity threat) คือเราถูกเลือกปฏิบัติเช่นนี้ ก็เพราะเราเกิดมาเป็นเรา ด้วยเนื้อตัวหัวใจของเรา เราจึงเกิดความไม่ไว้วางใจขึ้นมา

ที่น่าสนใจก็คือ ผู้ที่มีสำนึกน้อยเนื้อต่ำใจเป็นทุนเดิม มีโอกาส ‘ตีความข้อมูลใหม่’ ที่ได้รับอย่างมีอคติ เพราะเกิด confirmation bias จนมีแนวโน้มที่จะสนใจและจดจำข้อมูลเฉพาะที่ ‘สนับสนุนความเชื่อเดิม’ ของตัวเอง บ่อยครั้งจึงตีความเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในแบบที่ตอกย้ำความรู้สึกเดิมของตัวเอง – คือรู้สึกว่าตัวเองถูกเอาเปรียบ จึงเกิดกระบวนการที่เรียกว่า ‘ทำให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อ’ (self-victimization) ขึ้น พร้อมกับการพยายามสร้างศัตรูร่วมทางการเมืองตลอดเวลาเพื่อหล่อเลี้ยงวิธีมองโลกดังกล่าวเอาไว้ แต่ในขณะเดียวกัน กระบวนการกดทับที่ทำให้คนเหล่านี้ต้องตกเป็นเหยื่อ ก็ยังดำเนินต่อไป บ่อยครั้งเราจึงยากจะมองเห็นเส้นบางๆ ของการตกเป็นเหยื่อและการเป็นผู้กระทำ

ที่พบได้มากในปัจจุบัน คือพฤติกรรมการ ‘สร้าง’ เนื้อหาเรื่องราวที่สอดคล้องกับความคิดความเชื่อของกลุ่มตัวเองขึ้นมา (อาจเรียกว่า narrative construction ก็ได้) เพราะสมองของเรามีแนวโน้มจะสร้าง ‘เรื่องเล่า’ ที่สอดคล้องกับความคิดความเชื่อเดิมของเราอยู่แล้ว ที่สำคัญคือ ฐานที่มาของความคิดความเชื่อเหล่านี้มักมาจาก ‘อคติในความทรงจำ’ หรือ memory bias คือไม่ได้สร้างเรื่องเล่าแค่ในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังย้อนกลับไปสร้างเรื่องเล่าในอดีต เพื่อรองรับสิ่งที่คิดและทำในปัจจุบัน ให้แลดูแข็งแรงมีประวัติศาสตร์ความเป็นมารองรับอีกด้วย

บ่อยครั้ง คนที่ ‘ถูกทำ’ ให้น้อยเนื้อต่ำใจ จึงกลายเป็นผู้ที่ ‘ทำ’ ให้ตัวเองน้อยเนื้อต่ำใจไปด้วย!

กลไกเหล่านี้ทำงานร่วมกันและมีปฏิสัมพันธ์กัน ทำให้เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจทางการเมืองที่ซับซ้อนและมีหลายมิติ โดยเฉพาะมิติของความน้อยเนื้อต่ำใจด้านกลับที่ส่งผลสะท้อนย้อนกลับเข้าไปภายใน ซึ่งอาจก่อผลได้หลายอย่างเช่นเดียวกับความน้อยเนื้อต่ำใจแบบปัจเจก ที่อาจก่อให้เกิดสภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล หรือหวาดระแวง และอาจ ไปไกลถึงขั้นมีบุคลิกภาพแบบหลงตัวเอง เพราะมี ‘ความไว’ มากเกินไปต่อการรับรู้ว่าตัวเองไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างที่ ‘สมควร’

แล้วถ้าทั้งหมดนี้ยกระดับไปเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจ ‘ด้านกลับ’ ทางการเมืองในระดับประเทศที่กลายเป็น ‘ความน้อยเนื้อต่ำใจร่วม’ ของกลุ่มที่มีลักษณะแบบ ‘ลัทธิเผ่า’ (tribalism) หลายๆ เผ่าเล่า – จะซับซ้อนและก่อให้เกิดปัญหาอย่างไรได้บ้าง ยิ่งถ้ามีคนหลายกลุ่ม เกิดความรู้สึกร่วมเดียวกันว่าต่างฝ่ายต่างน้อยเนื้อต่ำใจ – ก็ยิ่งต้องย้อนกลับมาพิจารณาร่วมกันเข้าไปใหญ่ ว่าสังคมแบบไหนกัน ถึงได้สร้างให้เกิดลัทธิเผ่าแห่งสำนึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมาได้มากขนาดนี้

แน่นอน ความน้อยเนื้อต่ำใจทางการเมืองสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมได้ทั้งในทางบวกและทางลบ แต่เรื่องสำคัญคือ ต้องย้อนกลับมา ‘ยอมรับ’ และ ‘รับรู้’ กันให้ได้เสียก่อน ว่าตัวเราแต่ละคนมีมิติของความน้อยเนื้อต่ำใจทางการเมืองอย่างไรอยู่บ้างไหม และทำอย่างไรจึงจะสร้าง ‘ความไว้วางใจร่วม’ อันจะเป็นต้นทางที่นำไปสู่ฉันทามติหรือ consensus ของสังคมในเรื่องสำคัญๆ พื้นฐานได้

พูดให้ถึงที่สุด ความน้อยเนื้อต่ำใจ – จะแบบใดก็ตาม ล้วนเกิดขึ้นจาก ‘โครงสร้าง’ ของสังคมที่แอบแฝงความไม่เป็นธรรมหลากแบบในแต่ละช่วงเวลาเอาไว้ทั้งสิ้น กดขี่ ถูกกดขี่ พยายามกดขี่ แล้วก็ย้อนกลับไปถูกกดขี่อีกหน จนกลายเป็นวงจรวนเวียนไม่รู้จบสิ้น

ดังนั้น การสร้างสังคมที่ ‘เป็นธรรม’ (ที่ไม่ได้หมายถึงความเป็นคนดี – ไม่ว่าจะดีหรือดีย์) จึงคือกุญแจสำคัญในการลดความน้อยเนื้อต่ำใจในระยะยาว หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือ สังคมที่เต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจทางการเมือง อาจต้องการ ‘จิตบำบัดทางการเมือง’ ระยะยาวครั้งใหญ่ ไม่ใช่ด้วยจิตแพทย์คนใดคนหนึ่ง แต่ด้วยการสร้างความเป็นประชาธิปไตยที่รอบด้านและลึกซึ้ง – อย่างจริงใจ เท่านั้น

เพราะถ้าป่วย แต่ไม่รู้ตัวว่าป่วย, มักไม่มีทางหายป่วย!

น้อยเนื้อต่ำใจทางการเมือง political grievance

น้อยเนื้อต่ำใจทางการเมือง political grievance

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save