วัฒนธรรมแห่งการมองไม่เห็นฝุ่น

ฝุ่น

1

ในเช้าวันที่ฝุ่น PM 2.5 ลงหนักจนแทบทุกโซนในกรุงเทพฯ เป็นสีแดง และผู้ว่าฯ ประกาศให้ทำงานจากที่บ้าน ผมขับรถผ่านเส้นทางหนึ่ง และมองเห็นเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็น ‘ลูกจ้าง’ ของรัฐ กำลังตัดต้นไม้ทำสวนกันอยู่อย่างขะมักเขม้นบนเกาะกลางถนน

พวกเขากำลังทำงานอยู่ในฝุ่น!

คำถามที่เกิดขึ้นในหัวทันทีตอนนั้นก็คือ – ในขณะที่ผู้คนจำนวนมาก (รวมถึงตัวของผมเอง) พอที่จะ ‘เลือก’ หลีกเลี่ยงฝุ่นได้ แต่เพราะอะไรคนอีกจำนวนหนึ่งในสังคม จึงดูคล้ายมี ‘ชะตากรรม’ ในแบบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

มีอะไรอยู่เบื้องหลังชะตากรรมนี้บ้าง?

2

เรามองฝุ่น PM 2.5 ไม่เห็นด้วยตาเปล่า เพราะมันมีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน คือเล็กกว่าความหนาของเส้นผมมนุษย์ราว 30 เท่า จึงจิ๋วมากเกินกว่าที่ดวงตามนุษย์จะจับภาพได้

แน่นอน ถ้าฝุ่นรวมตัวกันหนาแน่น เช่น ในวันที่ดัชนีคุณภาพอากาศ (air quality index: AQI) แย่มากๆ จนค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กอยู่ในระดับอันตราย เราอาจพอรับรู้ได้จากความ ‘ขุ่นมัว’ ของท้องฟ้า แต่เราก็ยังไม่สามารถมองเห็นอนุภาคเดี่ยวของฝุ่นได้อยู่ดี

สิ่งที่เรารับรู้ได้ เป็นเพียงการ ‘กระสากลิ่น’ ของภัยคุกคามอะไรบางอย่างในอากาศรอบตัวเท่านั้น ซึ่งถ้าหากว่าเป็นสมัยโบราณ ไม่มี ‘เทคโนโลยี’ อย่างเครื่องวัดคุณภาพอากาศมาชี้ชัดบอกออกมาเป็นตัวเลข – เราอาจไม่รู้เลยก็ได้ว่ากำลังตกอยู่ในอันตรายระดับที่คุกคามชีวิตของเรา

เพราะมันคือสิ่งที่ ‘มองไม่เห็น’

ที่จริงแล้ว ฝุ่นก็คล้ายภัยธรรมชาติอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว น้ำท่วม ไฟไหม้ ดินถล่ม นั่นคือมันพาสังคมของเราให้เดินไปถึง ‘จุดวิกฤต’ ที่ปกติแล้วเรามองไม่เห็นและไม่รู้สึกถึงมัน จุดวิกฤตนั้นมักเป็นจุดเปราะบางที่เผยให้เห็นว่า เราอยู่ในสังคมที่ ‘ระบบ’ ไม่สมดุล หรือ ‘เอียงข้าง’ ไปหาคนบางกลุ่มอย่างไรบ้าง และมีปัญหาในทางสังคมอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะที่เรียกกันว่า ‘ปัญหาเชิงโครงสร้าง’

หลายคนอาจรู้สึกว่า ‘ปัญหาเชิงโครงสร้าง’ เป็นคำที่น่าเบื่อหน่ายที่สุดคำหนึ่งไปแล้ว เพราะต่อให้พูดกันมากี่สิบปี ก็ดูเหมือนจะแก้ไขเรื่องนี้ไม่ได้เลย จนในที่สุด บางคนก็นำเอาคำว่า ‘ปัญหาเชิงโครงสร้าง’ มาล้อเลียนเสียดสีอยู่บ่อยๆ ประหนึ่งว่ากำลังพยายามทำให้ผู้คน ‘เห็นขัน’ กับคำคำนี้ ซึ่งไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม การล้อเลียนเสียดสีนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำให้ ‘ปัญหาเชิงโครงสร้าง’ เป็นเรื่องที่ ‘ถูกเพิกเฉย’ หรือมีลักษณะเป็น ‘วัฒนธรรมของการทำให้บางสิ่งบางอย่างเป็นเรื่องมองไม่เห็น’ (invisibility culture)

แล้วเมื่อเป็นเช่นนั้น ปัญหาเชิงโครงสร้างก็จะมีลักษณะคล้ายกับฝุ่น PM 2.5

นั่นคือจากที่มองเห็นได้ยากอยู่แล้ว – อาจกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีวันมองเห็นได้เลย

3

วัฒนธรรมแห่งการมองไม่เห็นนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย นักสังคมวิทยาอาจมองว่าปัจจัยดังกล่าวฝังอยู่ในโครงสร้างสังคมซึ่งมีที่มาจากประวัติศาสตร์ แต่เริ่มมีแนวคิดใหม่ในการนำเอาแนวทางด้านวิวัฒนาการและประสาทวิทยามา ‘อธิบาย’ วัฒนธรรมแห่งการมองไม่เห็นกันมากขึ้น

คำอธิบายหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ มนุษย์เรามี ‘ความเอนเอียง’ หรือ ‘อคติ’ บางอย่างที่ฝังแน่นอยู่ใน ‘ระบบ’ ของความเป็นมนุษย์อยู่แล้ว เรียกว่า biological bias หรืออคติทางชีววิทยาที่ ‘ฝัง’ อยู่ในกระบวนการวิวัฒนาการ

ตัวอย่างเช่น มนุษย์เรามีระบบการรับรู้และประมวลผลที่ได้รับการหล่อหลอมมาจากวิวัฒนาการ เราจึงเป็น ‘สัตว์’ ที่รับมือกับ ‘ภัยคุกคาม’ แบบเฉพาะหน้าเก่งถึงระดับที่มีระบบตอบสนองอัตโนมัติอยู่ในตัวโดยไม่ต้องผ่านการครุ่นคิดพินิจนึกของสมองด้วยซ้ำ เช่นปฏิกิริยารีเฟล็กซ์

โดยมาก ภัยแบบเฉพาะหน้า มักจะเป็นภัยที่มองเห็นได้ชัดเจน เช่น เสือจะมาตะปบ ชนเผ่าศัตรูมารุกราน หรือพายุฝนฟ้าคะนอง ฯลฯ ถ้ามีภัยประเภทนั้นเกิดขึ้น เราจะตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเป็นภัยประเภทที่ ‘ไม่เห็น’ อย่างชัดเจนในทันที แถมยังไม่ได้เกิดในอดีตจนฝังอยู่ในวิวัฒนาการของเรา แต่เกิดจากวิถีและการจัดการสังคมยุคใหม่ที่มนุษย์ไม่เคยเผชิญมาก่อน อย่างเรื่องฝุ่น PM 2.5 เราก็มักจะ ‘ละเลย’ หรือ ‘เพิกเฉย’ กับมันโดยสัญชาตญาณ จนกว่าจะมีใครมาบอกเราว่านี่คือเรื่องอันตรายจริงๆ เราถึงจะตื่นตัว แต่ก็อาจยังไม่ใช่การตื่นตัวที่ลึกลงไปถึงราก เพราะอีกด้านหนึ่ง ร่างกายของเราต้องการ ‘ประหยัดพลังงาน’ ของสมองด้วย  เพราะการประมวลผลของสมองนั้นใช้พลังงานเยอะ สมองมีขีดจำกัดในการประมวลผลข้อมูล โดยธรรมชาติเราจึงมัก ‘เลือก’ โฟกัสภัยคุกคามที่เห็นได้ชัดอย่างภัยคุกคามฉับพลันทันทีมากกว่า

ปัญหาฝุ่น PM 2.5 จึงมักไม่ได้ถูกมองว่าเป็น ‘ภัยคุกคามเร่งด่วน’ สักเท่าไหร่ แม้กระทั่งในสายตาของภาครัฐ ทั้งที่จริงๆ แล้ว ปัญหา PM 2.5 ไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องฝุ่น แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสังคมโดยรวมทั้งหมด และต้องการการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนเกินกว่าปัจเจกจะทำได้ เพราะเอาเข้าจริง มันคือปัญหาที่พันอยู่กับ ‘โครงสร้างใหญ่’ ของทั้งสังคมด้วยซ้ำ

4

ผมเคยคิดว่า รัฐน่าจะต้องเห็นเรื่องฝุ่นเป็นปัญหาใหญ่ เพราะมันกระทบกับสุขภาพของเราตรงๆ แต่ภาพของ ‘ลูกจ้างของรัฐ’ ที่ต้องนั่งตัดแต่งสวนบนเกาะกลางถนนที่ไม่มีใครไปใช้งาน เพียงเพื่อให้มันสวยงามต่อลูกตาของคนที่ขับรถผ่านไปผ่านมา ทำให้ผมเกิดคำถามขึ้นมาว่า – เราเห็นว่าฝุ่นเป็นปัญหาใหญ่และอันตราย ‘ขนาดนั้น’ จริงหรือเปล่า

เพราะถ้าจริง – เราไม่ควรยอมให้มนุษย์คนไหนต้องทำงานอยู่กับสิ่งที่อันตรายอย่างนั้นได้

ถ้าเรามองฝุ่นในฐานะ ‘ภาพสะท้อนของอำนาจทางวัฒนธรรม’ ในสังคมไทย เราจะพบว่ามีเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับฝุ่นหลายเรื่อง

เรื่องหนึ่งก็คือ สังคมไทยมีลักษณะพื้นฐานเป็นสังคมที่ ‘จำยอมต่อชะตากรรม’ หรือที่เรียกว่า fatalism เป็นฐานอยู่แล้ว เราเชื่อเรื่องกรรมเก่าที่จะมากระทำต่อเราอย่างหลีกเลี่ยงหรือเปลี่ยนแปลงไม่ได้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็เปลี่ยนแปลงได้ยาก ทั้งที่จริงๆ แล้ว พุทธศาสนาสอนว่า ‘กรรม’ คือการกระทำ และเป็นการกระทำต่างๆ นี่แหละ ที่ส่งผลต่อเนื่องสอดร้อยกันไปจนกลายเป็นกฎธรรมชาติที่เรียกว่าอิทัปปัจยตา คือการบอกว่าสิ่งต่างๆ เป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน เพราะมีสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงมี หรือสิ่งนี้มีขึ้นก็เพราะมีสิ่งนั้นมาก่อน คำสอนเรื่องอิทัปปัจยตาจึงมีความเป็นวิทยาศาสตร์สูง แต่สังคมไทยส่วนใหญ่กลับมีวิธีมองเรื่อง ‘กรรม’ อีกแบบหนึ่ง นั่นคือไม่ค่อยได้พิจารณากรรมในฐานะอิทัปปัจยตาหรือเรื่องของ ‘เหตุ’ และ ‘ผล’ ที่ ‘เป็นเหตุเป็นผล’ ต่อกันสักเท่าไหร่ แต่มักมองว่า ‘กรรม’ คือผลลัพธ์จากการกระทำในอดีตของปัจเจก ที่ส่งผลมาเป็นวิบากที่จำต้องเกิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งที่หลายเรื่องอาจไม่ได้เป็นเหตุเป็นผลต่อกันเลย

การมองว่า ‘กรรม’ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ส่งผลให้คนจำนวนมากเกิดภาวะ ‘จำยอม’ (passivity) และเฉื่อยชาในการแก้ปัญหา โดยเฉพาะปัญหาที่ไม่ได้รู้สึกว่าเร่งด่วนอย่างเช่นปัญหาฝุ่น เพราะเมื่อแก้ไขไม่ได้ในเร็ววัน คนบางกลุ่มอาจใช้วิธียอมรับว่าฝุ่นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แทนที่จะตั้งคำถามถึงโครงสร้างสังคมที่ก่อปัญหานี้ขึ้นมา และทำให้การ ‘ดูแล’ ผู้คนในสังคมไม่ได้เท่าเทียมเสมอหน้ากัน เหมือนภาพ ‘ลูกจ้างของรัฐ’ ที่ต้องออกมาทำงานกรำฝุ่น ทั้งที่รัฐเองนั่นแหละ ประกาศให้ผู้คนทำงานจากบ้าน

ทำไมลูกจ้างของรัฐที่ได้ค่าจ้างเป็นรายวัน ไม่มีสวัสดิการที่ทัดเทียมกับข้าราชการ จึงต้องเป็นผู้ ‘รับกรรม’ ที่เกิดจากฝุ่นด้วยเล่า – นี่คือคำถาม?

หลายคนอาจไม่ได้มองว่า ภาพของคนที่ ‘เลือกไม่ได้’ ต้องทำงานอยู่กลางถนนในวันฝุ่นหนานั้น – เป็นภาพที่ ‘มีปัญหา’ อะไรบ้าง โดยเฉพาะปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกี่ยวพันไปถึงเรื่องความยุติธรรมในสังคม เราอาจสงสารผู้คนที่จำเป็นต้องทำงานอยู่กลางแจ้ง พร้อมกับมองเห็นว่าปัญหาฝุ่นนั้นร้ายแรงเมื่อกระทบกับตัวเอง – แต่ก็สามารถขับรถผ่านผู้คนที่ ‘น่าสงสาร’ เหล่านั้นไปได้โดยไม่รู้สึกอะไรมากนัก

ที่จริงแล้ว ปัญหาเรื่องฝุ่นนี้ใหญ่เกินกว่าที่ปัจเจกจะทำอะไรได้ เราเกลียดฝุ่น แต่เราก็อยู่ใน ‘ระบบที่สร้างฝุ่น’ อันเป็นผลลัพธ์จากระบบเศรษฐกิจที่เน้นการผลิต และวัฒนธรรมความเป็นอยู่ที่ขับเคลื่อนด้วยทุนนิยม การบริโภค และตัวเลข GDP เราอยู่ใน ‘รัฐพ่อค้า’ ที่มุ่งเน้นความเป็นอยู่สุขสบาย ฝุ่นจึงเป็นผลพลอยได้อย่างหนึ่งที่ติดมาเป็นแพ็คเกจกับรัฐและวิถีชีวิตแบบนี้ เราจึงหลีกเลี่ยงมันไม่ได้ และการทำให้ผู้คนต้อง ‘ยอมจำนน’ ต่อฝุ่นจึงอาจสะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้คนบางกลุ่มไม่สามารถ ‘เลือก’ มีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมและอากาศที่สะอาดได้

เรื่องแบบนี้คือปัญหาที่มีรากมาจากโครงสร้างวัฒนธรรมของการมองไม่เห็นใครบางคนที่มีลักษณะเหมือน ‘ฝุ่น’ เล็กจิ๋ว และเทความสำคัญในความเป็นมนุษย์ให้กับคนเพียงบางกลุ่มเท่านั้น

คำถามของผมก็คือ เป็นไปได้ไหมที่เราจะหันมาพิจารณาเรื่องฝุ่นอีกแบบ คืออาจยังมองว่าปัญหาฝุ่นเป็น ‘กรรม’ อยู่ก็ได้ แต่กรรมชนิดนี้ถือเป็น ‘กรรมร่วม’ หรือเป็น ‘ผลสะสม’ จากการกระทำของมนุษย์ในระดับโครงสร้าง เช่น การบริโภคทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่สมดุลและล้นเกิน (จนที่ก่อให้เกิดการเผาในระดับใหญ่) การบริโภคที่ล้นเกิน หรือการพัฒนาเมืองและการสัญจรในเมืองด้วยวิธีที่ไม่ยั่งยืน ฯลฯ

เมื่อมองอย่างนี้ เราก็อาจเริ่มเห็นได้ว่าปัญหาฝุ่นไม่ใช่แค่เรื่องการ ‘กำจัดฝุ่น’ ออกไปจากเมืองที่เราอยู่เท่านั้น แต่หากจะทำให้ ‘ทุกคน’ อยู่ในเมืองที่มีอากาศสะอาดได้จริงๆ ต้องย้อนกลับไปถึงการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่เป็น ‘ราก’ ของปัญหาหลายเรื่อง

ปัญหาฝุ่นจึงไม่ใช่แค่เรื่องอนุภาคที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ แต่คือภาพสะท้อนของ ‘ระบบ’ โดยรวมที่เราสร้างขึ้นเพื่อใช้ชีวิตอยู่กับมัน

เราเห็นปัญหาฝุ่นที่กระทบต่อตัวเรา – แต่ก็เลือกจะ ‘ไม่เห็นฝุ่น’ ที่กระทบต่อผู้คนที่เล็กจิ๋วเหมือนฝุ่น – ไปด้วยพร้อมๆ กัน!

ฝุ่น

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save