‘จากคนทำลายป่าถึงกลุ่มแบ่งแยกดินแดน’ เปลี่ยนอคติต่อชาติพันธุ์ด้วยการเข้าใจประวัติศาสตร์ กับ พิพัฒน์ กระแจะจันทร์

สภาฯ เพิ่งผ่านวาระสามร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตชาติพันธุ์ ไปเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 ท่ามกลางการแถลงประณามจากกลุ่มชาติพันธุ์ ในประเด็นที่สภาฯ โหวตคว่ำมาตรา 27 เรื่องพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตชาติพันธุ์ ซึ่งถือเป็น ‘หัวใจสำคัญ’ ของ พ.ร.บ. นี้

ในขณะที่บางพรรคการเมืองก็มีการแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ. นี้ เช่น พรรคภูมิใจไทยที่ออกมาแสดงจุดยืนว่า ไม่อยากให้คนกลุ่มใดมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าคนไทยด้วยกัน รวมถึงก่อนหน้านี้ที่สภาโหวตให้ตัดคำว่า ‘ชนเผ่าพื้นเมือง’ ออกจาก พ.ร.บ. โดย สส. จากพรรครวมไทยสร้างชาติอภิปรายว่า “ประเทศไทยไม่มีชนเผ่าพื้นเมือง เราอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณกาล คือ ‘เผ่าไทย’ และประชาชนที่อยู่ชายขอบคือ ‘ชาติพันธุ์’” นอกจากนี้ยังมีความกังวลจากหลายฝ่ายว่าการให้สิทธิแก่ชาติพันธุ์จะนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดน

ท่ามกลางความขัดแย้งและอคติที่ยังแฝงฝังอยู่อย่างมั่นคงในสังคม ในวันที่ประเทศไทยกำลังจะมีกฎหมายคุ้มครองสิทธิของชาติพันธุ์ เราอาจต้องสร้างความเข้าใจกับสังคมให้มากขึ้น

วันโอวันพูดคุยกับ ผศ.ดร.พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เป็นที่ปรึกษาสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทยในการร่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ฯ

เส้นทางของการร่าง พ.ร.บ. เป็นอย่างไร คำว่า ‘ชนเผ่าพื้นเมือง’ สำคัญอย่างไร ชาติพันธุ์ในไทยมีประวัติศาสตร์แบบไหน และเราจะลบล้างอคติในสังคมที่เกิดจากความไม่เข้าใจได้อย่างไร

หลังจากสภาฯ ผ่านวาระสามร่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ไปเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 โดยโหวตคว่ำมาตรา 27 อาจารย์มองว่าผลลัพธ์แบบนี้เป็นความสำเร็จหรือล้มเหลวอย่างไร ถ้านับจากจุดตั้งต้นของ พ...ชาติพันธุ์ที่ต้องการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิชาติพันธุ์

เรื่องนี้มองได้ทั้งสองอย่าง ขึ้นอยู่กับว่ากรรมาธิการหรือกลุ่มชาติพันธุ์ตั้งความหวังไว้แค่ไหนกับสังคมแบบนี้ ถ้าเราตั้งเพดานสูง ก็อาจบอกว่าไม่ประสบความสำเร็จแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าตั้งเพดานให้ต่ำระดับหนึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ทำให้สังคมรับรู้ถึงความสำคัญของกลุ่มชาติพันธุ์มากขึ้นกว่าเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ปัญหาของการปัดตกครั้งนี้และข้อคัดค้านในสภาจาก สส. บางท่านสะท้อนถึงปัญหาของการขาดความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาของกลุ่มชาติพันธุ์ที่สั่งสมมานาน และบางท่านก็อยู่ภายใต้วิธีคิดที่เอาความมั่นคงของชาติเป็นตัวตั้ง จนลืมเรื่องความมั่นคงของมนุษย์ไปอย่างน่าเสียดาย

ในบริบทประเทศไทย คำว่า ชนเผ่าพื้นเมือง หมายถึงอะไร

ก่อนจะตอบคำถามเรื่องนี้ ผมขอย้อนกลับไปจุดตั้งต้นในตอนที่ผมเข้าไปเป็นที่ปรึกษาของสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ในช่วงเริ่มต้นร่างกฎหมายนี้ โจทย์แรกที่ผมเจอคือ พ.ร.บ.ตัวเดิมไม่ได้ใช้ชื่อว่า ‘พ.ร.บ.ชาติพันธุ์’ โดดๆ เท่านั้น แต่ตั้งใจใช้ชื่อว่า ‘พ.ร.บ.ชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง’ คำว่า ‘ชนเผ่าพื้นเมือง’ ถ้ายึดตามหลักของสหประชาชาติจะเรียกว่า indigenous people หรือ tribal people ก็ได้

ในขั้นตอนร่างระยะแรกๆ ตัว พ.ร.บ. มีห้าร่าง สามในห้าร่างที่ไม่ได้เป็นของ ครม. ต่างใช้คำว่าชนเผ่าพื้นเมือง เหตุผลที่ทางสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทยและกลุ่มชาติพันธุ์เลือกใช้คำนี้ เพราะช่วยยกระดับเรื่องความเป็นสากลของตัวกฎหมาย ซึ่งเชื่อมโยงกับสิ่งที่สหประชาชาติประกาศออกมาหลังทศวรรษ 1970-1980 ซึ่งพยายามให้สิทธิกับชนเผ่าพื้นเมืองที่อยู่มาก่อน ก่อนที่คนขาวจะเข้าไปยึดพื้นที่ให้กลายมาเป็นอาณานิคม และนำไปสู่ปัญหาอีกมากมาย

คราวนี้พอองค์การสหประชาชาติรับรองเรื่องสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง (indigenous rights) จึงทำให้กลุ่มชาติพันธุ์หลายๆ พื้นที่ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย อเมริกา แคนาดา เกิดกระบวนการเรียกร้องสิทธิทางวัฒนธรรม สิทธิทางทรัพยากร หรือสิทธิการเป็นพลเมือง ซึ่งกระบวนการเรียกร้องสิทธิที่ว่าไม่ได้เกิดขึ้นแบบรุนแรง แต่ค่อยๆ ขยับ

กลับมาที่สภาชนเผ่าพื้นเมืองฯ แรกสุด เราก็พยายามร่าง พ.ร.บ.ให้อยู่ในมาตรฐานของสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองที่องค์การสหประชาชาติประกาศออกมา โดยหลักการคืออยากให้เกิดการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ในด้านวิถีชีวิต วัฒนธรรม การจัดการทรัพยากร และด้านอื่นๆ เพราะฉะนั้นถ้าใช้คำว่า พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีคําว่าชนเผ่าพื้นเมือง ปัญหาที่จะเกิดขึ้นก็คือเราไม่สามารถใช้ พ.ร.บ.นี้เป็นแนวเทียบเคียงกันกับแนวปฏิบัติขององค์การสหประชาชาติได้

คราวนี้ก็ย่อมมีการถกเถียงกันว่า ในกรณีประเทศไทย เราใช้คำว่าชนเผ่าพื้นเมืองได้หรือเปล่า ซึ่งในตอนนั้นถูกคัดค้านอย่างมาก ตัวอย่างเช่นในกรณีของตัวแทนจากกระทรวงการต่างประเทศมองว่าคำนี้จะนําไปสู่การเปิดโอกาสให้ชาวมลายูในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้แยกตัวเป็นอิสระ เพราะคุณให้สิทธิเขาในการจัดการวิถีชีวิตของตัวเอง และยิ่งมีเรื่องของพื้นที่คุ้มครองซึ่งอาจนําไปสู่การแบ่งแยกดินแดน อันนี้คือกรณีศึกษาที่ถูกยกมาถกเถียงที่ค่อนข้างเข้มข้นสักหน่อย

ส่วนในกรณีของกรรมาธิการท่านอื่นๆ สส. และตัวแทนหน่วยงานอื่น ก็มองว่าการใช้คําว่าชนเผ่าพื้นเมืองจะก่อให้เกิดปัญหาเพราะการใช้คําว่า indigenous people ในหลายประเทศนั้นเกิดขึ้นจากการที่มีคนขาวหรือชาวยุโรปเข้าไปในพื้นที่ แล้วไปละเมิดสิทธิที่ดินของคนที่อยู่มาก่อน ซึ่งคนที่อยู่มาก่อนก็ถือว่าเป็นคนดั้งเดิม

คําว่า ‘ชนพื้นเมือง’ เป็นคำใกล้เคียงกับ ‘ชนเผ่าพื้นเมือง’ ไม่ได้เป็นคำใหม่ในสังคมไทยนะ ปรากฏใช้ในสังคมไทยตั้งแต่รัชกาลที่ 7 มาแล้ว หรือก่อนหน้านั้น เพื่อสื่อถึงคนที่อยู่มาก่อน ซึ่งในกฎหมายช่วงรัชกาลที่ 6-7 ความหมายของคำนี้คือคนในพื้นที่ตรงนั้น ซึ่งประกอบด้วยคนกลุ่มต่างๆ นานา เช่น กรณีของเชียงใหม่ น่าน ก็จะนับรวม ลื้อ ยาง (กะเหรี่ยง) เย้าเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นพื้นเมือง เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นคนที่อยู่มาร้อยปีหรือพันปี เพราะว่าถ้าเราดูบริบท ณ ตอนนั้น คนที่เป็นชาวเขาเพิ่งอพยพเข้ามาในช่วงรัชกาลที่ 5 เพราะฉะนั้นวิธีการปฏิบัติของรัฐช่วงสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เขานับคนเหล่านี้เป็นชนพื้นเมืองและเป็นพลเมืองทั้งหมดด้วย เพราะเข้ามาแล้วทำงานและเสียภาษีให้รัฐ และในเมื่อใช้คำว่า ‘พลเมือง’ คนเหล่านี้จึงมีศักดิ์มีสิทธิ์โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว  

แต่ในความจริงแล้ว เราอาจลืมไปว่าประเทศไทยนับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 นั้นก็ใช้วิธีการสร้างอาณานิคมภายใน (internal colonialism) ที่กลุ่มคนไทยหรือชนชั้นสยามได้ขยายอำนาจเข้าไปปกครองกลุ่มชาติพันธุ์และดินแดนต่างๆ เพียงแต่เราไม่เคยเรียนกันก็เลยไม่เข้าใจเรื่องนี้ นอกจากนี้ เดี๋ยวนี้เวลาเขาใช้คำว่า ‘ชนเผ่าพื้นเมือง’ หรือ ‘ชนพื้นเมือง’ จะต้องดูด้วยว่าถ้าเกิดจากการนิยามตัวเองและคนในกลุ่มชาติพันธุ์นั้นยอมรับก็ต้องเคารพในการนิยามของเขา และนักวิชาการที่เล่นกันเรื่องนี้ เช่น คริส คันนิงแฮม และฟิโอนา สแตนลีย์ ก็ยังมองด้วยว่าเวลาพูดถึงคำว่าชนเผ่าพื้นเมืองบางทีจะหมายถึงคนที่มีอำนาจด้อยกว่าคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มีอำนาจในสังคม ซึ่งแน่นอนถ้าพูดกันในเรื่องนี้ก็จะมีคนเถียงอีกนั่นแหละว่า รัฐธรรมนูญให้อำนาจเสมอภาคกัน แต่เราก็รู้ว่าความจริงของสังคมไทยมันเป็นอย่างไรนะ

หลายฝ่ายกลัวเรื่องการแบ่งแยกดินแดน วิธีคิดแบบนี้ถือเป็นการคิดเกิน พ.ร.บ. ไหม

การพูดเรื่องแบ่งแยกดินแดนมีปัญหาในเชิงวิธีคิด เหตุผลเพราะว่า พ.ร.บ.มีศักดิ์ของกฎหมายที่ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ตัวรัฐธรรมนูญก็ระบุอยู่อย่างชัดเจนว่าคุณแบ่งแยกไม่ได้ เพราะฉะนั้น สส. บางพรรคก็จะพยายามดีเบตว่าการที่เราให้สิทธิกับชนเผ่าหรือคนพื้นเมืองมากจนเกินไปในการรักษาทางวัฒนธรรม จะนําไปสู่การเกิดสํานึกของความแตกต่างในการแบ่งแยก ซึ่งฟังแล้วถึงกับต้องตบเข่ากันเลยทีเดียว เรื่องนี้เป็นความสับสนในวิธีคิด เพราะ พ.ร.บ. เป็นการส่งเสริมให้กลุ่มชาติพันธุ์รักษาอัตลักษณ์และวัฒนธรรม ไม่ได้ส่งเสริมให้เกิดสำนึกชาตินิยมหรือชาติพันธุ์นิยมที่นำไปสู่การแบ่งแยก เช่นเดียวกันกับในกรณีของพื้นที่คุ้มครองในมาตรา 27 นั้น ก็ไม่ใช่ว่ากลุ่มชาติพันธุ์อ้างกฎหมายมาตรานี้แล้วจะแยกตัวปกครองตนเองได้อย่างอิสระ เพราะกว่าจะมีพื้นที่คุ้มครองได้มันต้องผ่านกรรมการอีกหลายชั้น และยังมีกระบวนการติดตามอีก

การใช้ข้ออ้างเรื่องการแบ่งแยกดินแดนเป็นสิ่งที่หยิบขึ้นมาพูดเพื่อปลุกเร้าอารมณ์คนได้ง่ายมากในสังคมไทย เพราะเราเรียนและถูกปลูกฝังเรื่องรัฐเดี่ยวกันมานาน และมองด้วยว่าประเทศไทยเป็นของคนไทย พอกลุ่มชาติพันธุ์ต้องการให้มีพื้นที่คุ้มครองเลยไปตีความผิด ต้องไปอ่าน พ.ร.บ. ให้ดีว่าเขานิยามว่าเป็น ‘พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์’ ซึ่งหมายถึง พื้นที่คุ้มครองให้กลุ่มชาติพันธุ์สามารถดำรงวิถีชีวิตบนฐานภูมิปัญญาและวัฒนธรรมโดยมีการจัดการ อนุรักษ์ และใช้ประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล เป็นธรรม และยั่งยืน ประกอบด้วยพื้นที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกิน หรือพื้นที่ทางวัฒนธรรม และจิตวิญญาณ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแบ่งแยกดินแดนหรือตั้งเขตปกครองพิเศษอะไรเลย

เราหาพื้นที่ตรงกลางได้ไหม เช่น ใช้คำว่าชนเผ่าพื้นเมือง แต่ก็ระบุให้ชัดว่าอยู่ในบริบทแบบไทย

ต้องเข้าใจเรื่องหนึ่งก่อน โอเค เราไม่สามารถใช้ตามมาตรฐานแบบยุโรปได้ แต่เวลาเราพูดถึงชนเผ่าพื้นเมือง ในที่นี้ก็เกิดปัญหาว่าใครคือชนเผ่าพื้นเมือง ถ้าเราดูตามประวัติศาสตร์ คนไทยก็อพยพมาตั้งนาน ถือเป็นชนเผ่าพื้นเมืองไหม? เป็น คนกลุ่มต่างๆ ที่อพยพกันมาตั้งนานแล้วก็เป็นชนเผ่าพื้นเมือง แต่ทีนี้สิ่งที่เรียกว่าชนเผ่าพื้นเมือง ไม่ได้มีแค่เรื่องลำดับเวลาว่าใครมาก่อนหลัง แต่เรากําลังพูดถึงอํานาจ

คนที่เป็น indigenous people ทั่วโลก คือคนที่สหประชาชาติระบุชัดเจนว่าคือกลุ่มคนที่ด้อยอํานาจมากกว่าคนกลุ่มส่วนใหญ่ (majority) ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องมีประชากรมาก แต่สมดุลทางอำนาจของคุณไม่เท่ากับเขา เพราะฉะนั้นกรณีบริบทของประเทศไทย เรากําลังพูดถึงอํานาจอยู่ แต่ก็ถูกถกเถียงกลับมาว่ารัฐธรรมนูญให้สิทธิกับพลเมืองโดยไม่เลือกว่าเป็นชาติพันธุ์อะไรอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นสุดท้ายก็เลยถูกตีตก ก็มีความพยายามในมาตราต่างๆ ที่เราพยายามเขียนให้เกิดความชัดเจน แต่พอเหลือแค่คำว่ากลุ่มชาติพันธุ์เฉยๆ ปัญหาก็จะกลับไปวนลูปว่าใครคือกลุ่มชาติพันธุ์ เพราะเวลาเราพูดถึงชาติพันธุ์ มันมีสองความหมาย

ความหมายแรกคือความหมายกว้าง ทุกคนคือชาติพันธุ์ ส่วนความหมายแคบคือเวลาเราพูดถึงกลุ่มชาติพันธุ์ เราจะไม่นึกถึงตัวเราเอง โดยเฉพาะคนไทย แต่จะไปนึกถึงกลุ่มชนเผ่า ซึ่งเป็นความหมายที่สอง พอเราร่าง พ.ร.บ. นี้ด้วยคําว่ากลุ่มชาติพันธุ์ ก็จะตามมาสู่ปัญหาว่าแล้วต่อไปเราจะนิยามใครว่าเป็นชาติพันธุ์ที่ถูกคุ้มครองหรือมีสิทธิ์ในการใช้ พ.ร.บ. เพราะฉะนั้นการที่แรกเริ่มเดิมทีที่พยายามดึงดันให้มีคําว่าชนเผ่าพื้นเมืองก็เพื่อให้เกิดการนิยามที่ชัดเจน

คราวนี้ถามว่า แล้วเราระบุไปได้ไหมว่าใครคือชาติพันธุ์ ไม่ต้องมีคำว่าชนเผ่าพื้นเมือง ทำได้ เพราะไม่ใช่ว่าไม่มีการทำมาก่อน แต่การระบุอาจมีข้อเสียมากกว่าข้อดี เพราะเป็นการให้ประโยชน์กับคนแค่บางกลุ่ม และเชื่อหรือไม่ว่ากลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่มคนนอกเรียกชื่อผิดมาตลอดก็มี เขาเรียกตัวเองด้วยชื่ออื่น แต่ไม่กล้าบอกกับทางการ เดี๋ยวจะถูกกล่าวหาว่าอพยพมาใหม่

ปัญหาซ้อนทับกันไปมา ประเด็นคือเราไม่มีคำศัพท์เรียกภาวะแบบนี้สำหรับคนที่เป็นชาวเขาชาวดอย ชาวเล หรือกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ คำถามคือเราควรจะนิยามอย่างไรให้อยู่ภายใต้บริบทที่แตกต่างจาก indigenous people

ช่วงหนึ่งมีการใช้คําว่า ชนกลุ่มน้อยแต่หลังจากนั้นคํานี้กลายเป็นคําที่ให้ความรู้สึกเหยียด 

ใช่ เหยียด เพราะเวลาเราพูดถึงชนกลุ่มน้อยมีสองนัย นัยแรกคือน้อยในเชิงจํานวน อันนี้อาจไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่นัยที่สองคือน้อยในเชิงอํานาจ อันนี้คือปัญหา พอไปนิยามว่าใครเป็นชนกลุ่มน้อยคือเราจะรู้สึกทันทีว่าเขาด้อยกว่า ตอนนี้แทบไม่มีสื่อไหนใช้คำนี้แล้ว เพราะฉะนั้นคำนี้ก็ใช้ไม่ได้ ยกเว้นบ้างในบางกรณี

แล้วสุดท้ายทางออกกลายเป็นอะไรที่ออกมาในร่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์

ในร่าง พ.ร.บ. จึงใช้คำว่า กลุ่มชาติพันธุ์อย่างเดียว โดยมีการนิยามลงไปว่าหมายถึง กลุ่มคนที่อาศัยอยู่เป็นกลุ่มเดียวกันหรือหลายกลุ่ม ซึ่งมีถิ่นฐานในประเทศไทย และมีประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ และการสั่งสมทางวัฒนธรรม ภาษา วิถีชีวิต ภูมิปัญญา และความเชื่อตามจารีตประเพณีร่วมกัน

นิยามนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการถอยแล้วของตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ที่เข้าไปเป็นกรรมาธิการ หรือเป็น สส. โดยตัดคำว่า ‘ชนเผ่าพื้นเมือง’ ออกไป ซึ่งอันนี้จะกระทบต่อเรื่องอื่นๆ โดยเฉพาะการอ้างสิทธิในเรื่องของพื้นที่คุ้มครอง ซึ่งจะผูกพันอย่างมากกับกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมที่อยู่ตรงนั้นมานาน แล้วต้องการอ้างสิทธิเหนือที่ดินและทรัพยากร เช่น ชาวปกาเกอะญอ กะเหรี่ยง ลาหู่ ฯลฯ ซึ่งอยู่มานาน มีที่ดินตกทอดตั้งแต่บรรพบุรุษ แต่วันหนึ่งถูกกฎหมายของป่าไม้ประกาศ สิ่งที่ตามมาก็คือทําให้เกิดการลิดรอนสิทธิ หรือจะเข้าไปทำมาหากินในป่า ย้ำนะว่าเข้าไปทำมาหากินเพื่อการยังชีพ ก็กลายเป็นว่าบางกรณีก็ถูกจับไป หรือมีที่ดินก็ไม่สามารถตัดสินใจและเข้าใช้ได้ตามวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม

สมมติว่าเกิดปัญหาการละเมิดสิทธิบางอย่างกับกลุ่มชาติพันธุ์ขึ้นในอนาคต ก็เป็นเรื่องยากที่จะเอาแนวทางขององค์การสหประชาชาติที่ให้แนวทางหรือมาตรฐานการคุ้มครองกับชนเผ่าพื้นเมืองเอาไว้

พอพูดเรื่องนี้ก็เลยเข้ามาสู่เรื่องมาตรา 27 ที่ถูกตีตก ประเด็นของมาตรานี้จริงๆ คืออะไร

เนื้อความที่สําคัญที่สุดของมาตรา 27 คือการพูดถึงพื้นที่คุ้มครองของกลุ่มชาติพันธุ์ พื้นที่คุ้มครองไม่ใช่สิ่งใหม่ หลายประเทศในโลกทํากันมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นแคนาดา อเมริกา ออสเตรเลีย เวลาเราพูดถึงพื้นที่คุ้มครองในภาษาอังกฤษ เขาใช้คําว่า Indigenous Protected Area (IPA) ซึ่ง IPA มีจุดมุ่งหมายให้ชนเผ่าพื้นเมืองสามารถจัดการและอนุรักษ์ผืนดินและผืนน้ำ ทรัพยากรธรรมชาติของเขาได้ เพราะเขาเล็งเห็นว่าพื้นที่พวกนี้มักมีความสำคัญในแง่ของความหลากหลายทางชีวภาพ วัฒนธรรม และยังก่อให้เกิดความเป็นชุมชนอีกด้วย

โลกตะวันตกเขายังมองว่า IPA เป็นพื้นที่เชิงจิตวิญญาณอีกด้วย เรื่องนี้เกิดขึ้นจากการที่พวกคนขาวบุกเข้าไปในพื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์ แล้วยึดครองพื้นที่ ซึ่งไม่ใช่มีพื้นที่ป่าอย่างเดียว แต่มีพื้นที่ที่เป็นสุสาน พื้นที่ประกอบพิธีกรรม หรือพื้นที่ที่มีความหมายเชิงวัฒนธรรม อย่างเช่นกรณีของออสเตรเลีย มี sacred mountain หรือ sacred stone ที่ใหญ่ๆ เพราะฉะนั้น IPA เป็นความพยายามในการคืนสิทธิในที่ดินในพื้นที่ทางจารีต คืนสิทธิให้คนพื้นถิ่น ซึ่งในภาษาอังกฤษใช้คำว่า customary rights

ทีนี้ปัญหาของมาตรา 27 ที่ถูกตีตก เกิดจากกระบวนการในการตีความและการขาดความเข้าใจเรื่อง IPA ในไทย ครั้งหนึ่งสังคมไทยเกิดกระแสอนุรักษ์ป่ารุนแรงมาก แต่มีคนอยู่ในป่ามานาน อยู่มาก่อนจะมีกฎหมายป่าสงวน เพราะฉะนั้นพอมีการประกาศเรื่องพื้นที่ป่าสงวนหรือพื้นที่อนุรักษ์ คนที่อยู่ในพื้นที่ป่าหรือใช้ทรัพยากรในพื้นที่ป่าก็ได้รับผลกระทบทันที เพราะที่ดินทํากินของเขาเกิดปัญหา ไม่สามารถทํากินตามวิถีตามปกติได้ เวลาเราพูดถึงหลักหรือแนวคิดหลักของการอนุรักษ์ป่าไม้ มันคือเรื่องความพยายามที่จะไม่ตัดต้นไม้สักต้น ในขณะที่วิถีชาวบ้านคือการตัดต้นไม้เพื่อทําไร่หมุนเวียน ซึ่งโดยวิถีปกติต้องมีการขยับไร่ไปตามรอบ ซึ่งใช้ระยะเวลานานและกินพื้นที่เยอะ คนนอกพอไม่เข้าใจก็ไปกล่าวหาว่ากลุ่มชาติพันธุ์ทำลายป่า

พอวิธีคิดของการอนุรักษ์ป่าไม้มาปะทะกับ customary rights เลยทําให้เกิดการปะทะกัน ยังดี ตอนปี 2562 กรมป่าไม้มีการปรับแก้มาตราเพื่อให้คนอยู่กับป่าได้ดีขึ้น แต่การปรับแก้มาตราพวกนี้ไม่ได้สัมพันธ์กับวัฒนธรรม คือพูดถึงการให้คนใช้ทรัพยากรจากป่าภายใต้พื้นที่ที่รัฐกําหนด เป็นอํานาจแบบบนลงล่าง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มาตรา 27 พยายามพูดในสาระสําคัญคือการมีพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์นั้นก็เพื่อให้การกำหนดพื้นที่มาจากทั้งฝ่ายกลุ่มชาติพันธุ์เอง และภาครัฐ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ต้องมานั่งคุยกันเพื่อกําหนดแนวขอบเขตให้เกิดความชัดเจน เรื่องนี้จึงสำคัญ เพราะทำให้อำนาจต่อรองของกลุ่มชาติพันธุ์นั้นเพิ่มขึ้น

และเรื่องนี้ไม่ใช่ลักษณะของการอยู่เหนือกฎหมาย หรือ overrule ที่ตอนนี้ถูกตีความไปว่าเป็นการเอา พ.ร.บ. ขึ้นมาเหนือกฎหมายกรมป่าไม้ เลยเถิดไปจนถึงเรื่องการแบ่งแยกดินแดน แต่ความจริงคือก่อนที่จะเกิดพื้นที่คุ้มครองได้ ต้องผ่านกระบวนการการเห็นชอบจากกรรมการในหลายส่วน พอเห็นชอบจากกรรมการระดับหนึ่งก็ต้องเสนอขึ้นไปในส่วนที่เป็นกรรมาธิการในการพิจารณาอีกทีหนึ่ง เพราะฉะนั้นกระบวนการไม่ง่าย ไม่ใช่ว่ากลุ่มชาติพันธุ์อยากจะประกาศตรงนี้แล้วจะประกาศได้เลย ต้องมีกระบวนการพิสูจน์สิทธิ กระบวนการพิสูจน์เชิงประวัติศาสตร์อีก เพราะฉะนั้นปัญหาของตัวมาตรา 27 คือการที่นักการเมืองจํานวนหนึ่งที่ออกมาเห็นแย้งนั้นเข้าใจคลาดเคลื่อนหรือตีความตัวบทกฎหมายเกินจริงไปหน่อย 

พอมาตรา 27 ถูกตีตก ก็มีกลุ่มชาติพันธุ์ออกมาคัดค้าน และพูดในทำนองว่าถ้าไม่ได้มาตรา 27 ก็เหมือนไม่ได้อะไรเลย

ใช่ ถ้าพูดกันให้ถึงที่สุด เพราะว่าเวลาเราพูดคำว่าพื้นที่คุ้มครอง ถ้ามองกันในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคืออํานาจของของกลุ่มชาติพันธุ์ที่เขาไม่สามารถบริหารจัดการทรัพยากรที่มีได้ เพราะไปติดขัดเรื่องอํานาจของกรมป่าไม้ แล้วอันนี้เป็นปัญหาใหญ่ของกลุ่มชาติพันธุ์หลายที่ที่ถูกตํารวจหรือกรมป่าไม้จับจากการเข้าไปใช้ทรัพยากร เรื่องนี้ยังไม่นับรวมวาทกรรมชาวเขาตัดไม้ทำลายป่า หรือย้อนไปในสมัยสงครามเย็นที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์อีกนะ

กรณีที่เห็นได้ชัดถึงปัญหาเรื่องการไม่มีกฎหมายมาช่วยชาวบ้านเรื่องพื้นที่คุ้มครองชาติพันธุ์ก็คือ กะเหรี่ยงแก่งกระจานที่ถูกไล่ที่ เผาทำลายหมู่บ้าน การอุ้มบิลลี่ และการกระทำอื่นๆ อีกมากมาย ถ้ามีมาตรา 27 นี้สถานการณ์หลายอย่างจะดีขึ้น เพราะอำนาจกลุ่มชาติพันธุ์เพิ่มขึ้น ทำให้ต่อรองกับภาครัฐหรือกระทั่งเอกชนที่ไปสัมปทานเหมืองได้

กรรมาธิการบางคนก็อาจมองว่าถ้าไม่มีคำนี้ ก็เหมือนเราสูญเสียอํานาจในการบริหารจัดการ กลายเป็นว่าตัวกฎหมายมอบสิทธิเพียงแค่ไม่กี่อย่างให้ เช่น สามารถรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมได้ หรือสามารถจัดการกับระบบการศึกษาได้ แต่ในทางปฏิบัติจะจัดการได้แค่ไหน สมมติว่าโรงเรียนต้องมีภาษาท้องถิ่น ก็จะมีข้ออ้างร้อยแปด ไม่ได้มีผลบังคับใช้ ถ้าอย่างนั้นก็เลือกปฏิบัติได้ กรรมาธิการบางคนก็เลยมองลักษณะแบบนี้แหละว่าเหมือนไม่ได้อะไรเลย เหมือนไปไม่ถึงฝั่ง

พอพูดเรื่องชาติพันธุ์มีสิทธิในป่า ในโซเชียลมีเดียก็จะมีความเห็นประมาณว่า ทำไมถึงได้อภิสิทธิ์อยู่กลุ่มเดียว กลายเป็นพูดเรื่องอภิสิทธิ์ในพื้นที่และการใช้กฎหมายที่ไม่เท่าเทียม เรื่องนี้จะทำให้สังคมเข้าใจอย่างไร

ต้องทําความเข้าใจประวัติการตั้งถิ่นฐานของคนในประเทศไทยก่อน ซึ่งมีการกระจัดกระจายอยู่ในหลายพื้นที่ของประเทศ พื้นที่หนึ่งที่สําคัญก็คือพื้นที่ป่าและทะเล คราวนี้สิ่งที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมาคือการเกิดอุตสาหกรรมป่าไม้ ตามมาด้วยแนวคิดเรื่องการอนุรักษ์ป่า

สิ่งที่เราเห็นในบันทึกของที่ปรึกษาชาวต่างชาติและชนชั้นนำสยามตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เขามองว่ากลุ่มคนที่อยู่ในป่าตัดต้นไม้โดยไร้ประโยชน์ การตัดต้นไม้ที่ว่าคือการทําไร่ซึ่งมีเรื่องของการเผา จริงๆ คือ รัฐบาลสมัยนั้นเขาเสียดายต้นไม้ใหญ่ เพราะมันเอาไปขายได้ แต่เอาเป็นว่ามันก็ก่อให้เกิดชุดวาทกรรมว่าชาวเขาทําลายป่าไม้ พาลไปถึงชาวเลจับปลาที่ยุคหนึ่งถูกกล่าวหาว่า จับปลาต้องห้าม อันนี้ยังไม่นับรวมเรื่องการเดินทางเพื่อจับปลาในพื้นที่ที่คร่อมระหว่างเขตประเทศไทยกับมาเลเซียหรือพม่า แล้วก็บอกว่าเกิดปัญหาความไม่มั่นคงตามพื้นที่ชายแดน

คราวนี้พอนับตั้งแต่ประมาณปี 2490 เป็นต้นมาก็เริ่มเกิดแนวคิดเรื่องการสร้างอุทยานทางด้านธรรมชาติขึ้นมา ซึ่งค่อยๆ ชัดเจน หลังปี 2500 เป็นต้นมา ทีนี้กระบวนการในอดีต การประกาศพื้นที่ป่าไม้ เขาไม่เคยถามชาวบ้านหรอก โดยเฉพาะที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในพื้นที่ป่า เช่น ชาวกะเหรี่ยง ลาหู่ และอีกหลายกลุ่ม เขาประกาศเลย ชาวบ้านเลยถูกกล่าวหาว่าบุกรุกป่าไปโดยปริยาย ทั้งๆ ที่เขาอยู่มานานแล้ว ซึ่ง พ.ร.บ. นี้กำลังพยายามคืนสิทธินั้นให้กับพวกเขาอย่างถูกต้องทางกฎหมายต่างหาก

แล้วถามว่าทําไมคนเหล่านี้ต้องอยู่ในพื้นที่ป่า ทําไมไม่อยู่ในพื้นที่ราบเหมือนคนทั่วไปเขาล่ะ อันนี้ก็ต้องอธิบายกันในเชิงประวัติศาสตร์ว่ากลุ่มคนไทยนี่แหละที่พออพยพเคลื่อนย้ายเข้ามา ก็ไล่คนพวกนี้บางกลุ่มเข้าป่าไปหมด เรื่องนี้มีข้อมูลเชิงเอกสารและตํานานมากมาย ว่าเขาเคยอยู่ในพื้นที่ราบมาก่อน แล้วคราวนี้คุณก็ไล่เค้าไปอยู่ในป่า เขาก็ไม่มีทางเลือก ป่าจึงกลายเป็นบ้านของเขานะ

อีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องระบบเศรษฐกิจของสยามที่เราต้องการคนปลูกฝิ่น การปลูกฝิ่นสมัยก่อนเป็นเรื่องถูกกฎหมาย รายได้หลักของประเทศมาจากภาษีฝิ่น เพราะฉะนั้นชาวเขามีบทบาทสําคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมไทย ยังไม่นับรวมเรื่องของอุตสาหกรรมป่าไม้ ที่คนไทยไม่ทำ แล้วชาวเขาก็อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่า ส่วนหนึ่งคือทําอุตสาหกรรรมป่าไม้ด้วย อาศัยอยู่ในพื้นที่เหล่านั้นอยู่แล้วด้วย ดังนั้น การบุกรุกป่าในอดีต หรือการที่กลุ่มชาติพันธุ์พวกนี้ไปอยู่ในพื้นที่ป่าจึงเกิดจากเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ เรื่องพวกนี้หลายคนไม่เคยรู้เลยไม่เข้าใจ

ทีนี้พอเกิดแนวคิดเรื่องอุทยานขึ้นมา มีการประกาศพื้นที่ป่าสงวน พื้นที่ป่าอนุรักษ์ คนพวกนี้ได้รับผลกระทบโดยตรงอยู่แล้ว เพราะเวลาประกาศเขาไม่ได้ร่างเป็นผืนแล้วเว้นจุดที่คนอยู่อาศัย แล้วยิ่งองค์ความรู้สมัยก่อน เวลาพูดถึงระบบการทําไร่ของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเขา เราเรียกว่าไร่เลื่อนลอย คือเลื่อนลอยไปเรื่อยๆ เผาไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมาย ไม่ได้มีองค์ความรู้ในการทําไร่ เพราะฉะนั้นพอมีชุดวาทกรรมเรื่องไร่เลื่อนลอย กว่าเราจะมาเปลี่ยนกันได้ ต้องสร้างความเข้าใจกับคนในสังคมไทยก็ราวปี 2540 นี้เอง ซึ่งเวลาไม่ได้นานจนทำให้วิธีคิดของคนในสังคมเปลี่ยน

เพราะฉะนั้น สส. บางคนพออภิปรายก็เลยตั้งธงก่อนเลยว่า จะยกพื้นที่ป่าให้กับกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อเข้าไปทำลาย เลยเถิดไปจนขั้นที่อ้างเรื่องผลประโยชน์ของชาติและลูกหลานมาเป็นตัวตั้ง ซึ่งวิธีคิดแบบนี้สะท้อนว่าเป็นวิธีคิดแบบเก่า พอเป็นอย่างนี้ คนก็มองคนที่อยู่กับป่ากลายเป็นศัตรูกับป่า การจะผลักดันในเรื่องของพื้นที่คุ้มครองเลยเป็นเรื่องยาก เพราะมีวิธีคิดเกี่ยวกับวาทกรรมคนอยู่กับป่าที่ฝังหัว ซึ่งแก้ไขได้ยาก ก็ต้องเป็นเรื่องระบบการศึกษานั่นแหละ หรือในเชิงสังคมที่สื่อต้องช่วยกันให้มากขึ้น ซึ่งระยะหลังสื่อก็ละเมียดละไมกับการใช้คํามากขึ้น และเผยแพร่ความรู้จนความคิดของคนในสังคมเปลี่ยนไปในระดับหนึ่งนะ

มองตอนนี้รู้สึกว่าอคติทางชาติพันธุ์ของคนไทยฝังรากลึกไหม ในความหมายว่าอะไรไทย อะไรไม่ไทย 

ฝังรากลึกระดับหนึ่งนะในคนรุ่นเก่า แต่ทุกวันนี้เวลาผมสอนเรื่องอคติทางชาติพันธุ์กับนักศึกษา ผมสอนแล้วเขิน เพราะเด็กเข้าใจหมดแล้ว เขารู้ว่าการเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรมเป็นอย่างไร ปัญหาของอคติทางด้านชาติพันธุ์เป็นอย่างไร มีความเข้าใจในระดับที่ดีมากขึ้น แต่จะละเมียดละไมแค่ไหนนี่เป็นอีกเรื่อง

แต่ถ้าย้อนกลับไปสําหรับคนคนรุ่นเก่า อคติทางด้านชาติพันธุ์ฝังลึกอยู่แล้วแหละ ซึ่งมาจากหลายส่วนมากที่ทําให้เกิดอคติแบบนี้ขึ้นมา การศึกษาก็ส่วนหนึ่ง สมัยผมเรียน 30 กว่าปีที่แล้วยังมีเรื่องทำไร่เลื่อนลอย ชาวเขาทําลายป่าไม้ ค้ายาเสพติด

ย้อนกลับไปอีกในยุคของคอมมิวนิสต์ ชาวเขาถูกตีตราว่าเป็นพวกค้ายาเสพติด ข่าวเมื่อ 20-30 ปีก่อน หรืออาจน้อยกว่านี้ก็ได้ เวลาจับชาวเขาที่เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดได้ต้องระบุเผ่า หรือเวลาเจออะไรเปิ่นๆ บางคนก็จะบอกว่าเหมือนกะเหรี่ยงเลย มันฝังอยู่ในระดับชีวิตประจําวัน

หรือสมัยก่อน เวลาพูดถึงชาวเขาก็จะพูดถึงความสกปรก ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นด้วยนะ แต่มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว มีเอกสารพูดถึงตลอด ยิ่งพอมีการทําละคร เช่น แก้วกลางดง ก็ยิ่งทําให้ความเชื่อหรืออคติแบบนี้ยังมีอยู่เยอะ เรื่องนี้เป็นปัญหาจากการเอาตัวเราไปวัดคนอื่นโดยไม่เข้าใจว่าคนอยู่ดอยจะเอาน้ำที่ไหนอาบ อากาศก็หนาวอีกด้วย

คำถามคือ อะไรเป็นกลไกทําให้อคติทางทางชาติพันธุ์ดํารงอยู่อย่างยาวนาน สิ่งแรกผมคิดว่าเป็นกลไกโดยธรรมชาติของมนุษย์ในการป้องกันสิ่งที่มีความแตกต่างจากเรา เพราะเรารู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะฉะนั้นพอมีกลุ่มคนใหม่ที่อพยพเคลื่อนย้ายเข้ามา เราก็จะระแวดระวังคนกลุ่มนั้นๆ เป็นพิเศษ เกิดอคติขึ้นมา เช่น ในยุคของคอมมิวนิสต์ พอมีชาวเขาอพยพเข้ามา คุณก็จะรู้สึกถึงความไม่มั่นคงของตัวชายแดน จะรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยว่าคนเหล่านี้อาจเป็นคอมมิวนิสต์แล้วมาปราบปรามเราหรือคนอื่นๆ

อย่างที่สองเป็นเรื่องของอคติเชิงผลประโยชน์ หรืออคติในทางการเมือง การที่คุณบอกว่าชาวเขาเท่ากับเป็นผู้ทําลายป่าไม้ ก็หมายความว่าในทางปฏิบัติ คุณสามารถโยกย้ายเขาออกไปที่ไหนก็ได้ เช่น ชาวม้งในสมัยก่อนถูกตราหน้าว่าเป็นคอมมิวนิสต์ สิ่งที่ตามมาคือรัฐสามารถใช้ความรุนแรงในการปราบปรามได้ เช่น การทิ้งระเบิดเพลิง หรือระเบิดเนปาล์มลงไป อันนี้เป็นบันทึกของกลุ่มมิชชันนารีที่พูดถึงการทิ้งระเบิด หรือเรื่องเล่าในระดับชุมชนที่บอกว่ามีการปราบปรามและใช้ความรุนแรงจากรัฐไทยอย่างไร

มีความเห็นแนวชาตินิยมอยู่จำนวนหนึ่ง ที่บอกว่าหรือทำไมคุณต้องมีวิถีชีวิตของตัวเอง ทำไมไม่ปรับตัวให้เข้ากับสังคมไทยส่วนใหญ่ ทำไมคุณต้องเรียนภาษาของคุณเอง คุณเป็นใครในเมื่อคุณอยู่ในแผ่นดินไทย ประเด็นนี้เรามองอย่างไรได้บ้าง

เราต้องเข้าใจก่อนว่าแผ่นดินนี้ไม่ใช่ของคนไทยทั้งหมด เพราะมีการอธิบายตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 7 ว่าคนที่มาอยู่ทั้งหมดถือเป็นพลเมืองของประเทศ เพราะฉะนั้นเขาก็มีสิทธิในการรักษาวัฒนธรรมประเพณี

คราวนี้เวลาเรามองวัฒนธรรมประเพณีหรืออัตลักษณ์ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งตายตัว มันขยับปรับเปลี่ยนได้ ภาษาจะดํารงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมีประโยชน์ เหมือนเราเรียนภาษาแล้วเราเก่งได้ก็เพราะว่ามันมีประโยชน์กับเรา เช่นเดียวกัน กลุ่มชาติพันธุ์ในบ้านเราหลายกลุ่มก็เปลี่ยนภาษา ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ปกติ แต่กระบวนการเปลี่ยนภาษา ต้องถามก่อนว่าเกิดจากการยอมรับหรือเกิดจากภาวะจํายอม หลายกรณีที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 6 มาจนถึงในสมัยจอมพล ป. หรือหลังจากนั้น มันคือการบังคับให้เรียนภาษาไทย ถ้าคุณเผลอพูดภาษาแม่ของตัวเอง คุณจะถูกลงโทษ ซึ่งในอดีตเรามีอย่างนี้

คราวนี้ ณ ปัจจุบัน เรากําลังแก้ไขเพื่อคืนสิทธิในเชิงของอัตลักษณ์ ถามว่าการดํารงไว้ซึ่งความหลากหลายของภาษามีประโยชน์อะไร เช่น คนที่อยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีภาษามลายูเป็นพื้นฐาน เขาสามารถเดินทางไปทํางานที่มาเลเซียหรืออินโดนีเซีย เขาสามารถอยู่ร่วมกับคนอีกประมาณ 300 ล้านคนได้ โดยการใช้ภาษามลายูที่เป็นภาษาแม่ ฉะนั้นการไปบังคับโดยที่ไม่มีหลักสูตรรองรับเกี่ยวกับการเรียนภาษามลายู ก็เท่ากับคุณไปตัดทุนทางวัฒนธรรมเขา ซึ่งก็ถือเป็นการละเมิดสิทธิแบบหนึ่ง และเป็นระบบการศึกษาที่ล้าสมัยมาก

เราพูดกันถึงภาษาเล็กๆ ก็ได้ ที่อาจดูไม่มีประโยชน์อะไรเลยกับภาพใหญ่ เช่น ภาษาชาวญัฮกุร มอญโบราณ คุณใช้ภาษาไทยก็ได้เพื่อคุยกันในชุมชน แต่เราก็พบว่าคําในภาษาของชาวญัฮกุร เป็นกุญแจไขความเข้าใจทางประวัติศาสตร์ เด็กไทยทุกคนต้องเรียนเรื่องทวารวดี แล้วภาษาทวารวดีเป็นอย่างไร แต่เรามีชาวญัฮกุรที่ยังอนุรักษ์ภาษาแบบนี้ แล้วเป็นหลักต่อความเข้าใจในกระบวนการการอ่านจารึก คุณจะไปอ่านจารึกโดยที่ไม่มีภาษารองรับก็ไม่ได้ คําบางคําอาจติดขัด เป็นภาษามอญโบราณ เช่นคําว่า ‘กะย้าก’ ซึ่งแปลว่าท้องฟ้า แต่ในบริบทของตัวจารึก หมายถึงพระหรือเทพเจ้า เพราะฉะนั้นเราต้องเข้าใจรากของภาษาดั้งเดิม จึงเป็นเหตุผลว่าทําไมถึงได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นคํานี้

นอกจากนี้ยังทําให้เราเห็นความสัมพันธ์เชิงเครือญาติของกลุ่มชาติพันธุ์ ตัวอย่างเช่น ชาวญัฮกุรใช้คําว่า ‘โด้ง’ ซึ่งหมายถึงหมู่บ้าน คนมอญใช้คําว่า ‘เดิ้ง’ คนกูยหรือส่วยก็ใช้คําว่า ‘โด้ง’ ก็ช่วยทําให้เรามีความรู้ว่าทําไมเขาถึงจัดคนกลุ่มนี้อยู่ในภาษามอญเขมร ในทางประวัติศาสตร์ก็ทำให้เห็นว่าเขาเคยมีปฏิสัมพันธ์ติดต่อกันในอดีต จนวันหนึ่งกลุ่มคนไทยนี่แหละที่มาตัดโชะให้มอญไปอยู่ด้านนู้น ให้กูยไปอยู่ด้านนี้ ก็มองได้ในหลายมิติ ขึ้นอยู่กับว่ามุมมองหรือโลกทัศน์ของเราต่อการเห็นประโยชน์จะมีมากน้อยแค่ไหน หรือเราอยู่ในสังคมแบบไหนที่ทําให้เรามีความแคบในการมอง

เรื่องของการเปลี่ยนตัวตน ผมชวนคิดอย่างนี้ว่า เราจะเปลี่ยนไปเป็นอะไรก็ต่อเมื่อเราเห็นประโยชน์จากมัน แต่บางครั้งเราก็ถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยน สมมติว่าวันหนึ่งมีคนบอกว่าสิ่งที่คุณเป็นอยู่ไม่ได้เรื่องเลย ทำไมไม่เป็นอย่างเขาล่ะ สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราสูญเสียตัวตน สูญเสียความเป็นมนุษย์ คุณกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ โดนดูถูก เพราะฉะนั้นการที่มนุษย์พยายามดํารงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของตัวเอง เป็นเรื่องเชิงความรู้สึก ทําให้เรารู้สึกมีตัวตน และเป็นมนุษย์

...ชาติพันธุ์ที่ผ่านสภามาจะเปลี่ยนสังคมได้ไหม บางคนก็บอกว่าพอมีกฎหมายขึ้นมา ก็อาจเคลื่อนให้สังคมเดินไปข้างหน้าได้

ผมคิดว่าน่าจะเปลี่ยนนะ ผมเห็นประโยชน์สองสามอย่างด้วยกัน อย่างแรกคือเรื่องการจัดระบบการศึกษา ระบบการศึกษาบ้านเราใช้ภาษาไทยกลางเป็นภาษาหลัก วัฒนธรรมที่ต้องเรียนคือวัฒนธรรมไทย เราอาจจะพูดถึงความหลากหลายที่มีอยู่ในสังคมบ้านเรา แต่เป็นวัฒนธรรมไทยแบบภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ ภาคอีสาน ซึ่งถูกทําให้เป็นไทยแบบภาคกลาง แต่ตัว พ.ร.บ. นี้พยายามเปิดโอกาสให้กับกลุ่มชาติพันธุ์สามารถศึกษาภายใต้ภาษาของตัวเองได้ในบางเรื่องบางวิชาหรือในบางกิจกรรม เพราะฉะนั้นก็จะทําให้การดํารงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ทางด้านชาติพันธุ์ยังดํารงอยู่

ผลประโยชน์อย่างที่สอง ผมคิดว่าปัญหาในเรื่องของการเลือกปฏิบัติ (discrimination) ในสังคมจะลดลง โดยเฉพาะเรื่องการล้อเลียน การบุลลีกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในตัวกฎหมายจะมีบทลงโทษของการเลือกปฏิบัติ ซึ่งตัวบทลงโทษเป็นมาตรฐานสากลนะ มีกันในหลายประเทศ

สุดท้ายก็ต้องพิจารณากันเป็นกรณีกรณีไปว่าเลือกปฏิบัติโดยไม่รู้ตัวหรือตั้งใจ เนื่องจากบ้านเราอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านเมื่อ 20 ปีนี้เอง การจะให้คนทุกกลุ่มเรียกเรียกซาไกว่าเป็นชาวมานิ หรือเรียกผีตองเหลืองว่าชาวมละบริ อาจยังไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้หรอกเพราะเขาไม่รู้ ยังเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคย เพราะฉะนั้นผมคิดว่าถ้าเรียกในระดับแบบนี้แล้วผิด ก็ไม่ถือเป็นเจตนา แต่ถ้าคุณไปบอกว่ากลุ่มชาติพันธุ์นี้อย่างไรก็โง่ ได้เท่านี้แหละ อันนี้คือเจตนา ซึ่งก็คงเป็นเรื่องในทางศาลที่ต้องไปพิจารณากันอีกที

อยากให้ทิ้งท้ายในแง่ความเข้าใจของสังคม และย้อนกลับมาที่ตัว พ.ร.บ. ว่าจะทําประโยชน์อะไร

สังคมไทยอาจต้องอ่าน พ.ร.บ. ให้ถี่ถ้วนมากขึ้นก่อนที่จะวิพากษ์วิจารณ์ และต้องทําความเข้าใจประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์หรือบริบทที่เป็นภาพใหญ่ว่าทําไมวันดีคืนดี กลุ่มชาติพันธุ์ถึงต้องลุกขึ้นมาเพื่อจัดทํา พ.ร.บ. คนเราไม่เดือดร้อน เขาไม่มานั่งทํา พ.ร.บ. ที่วุ่นวายหรอก แล้วการประชุมใช้เวลายาวนานมาก คนจํานวนหนึ่งที่เป็นชาติพันธุ์ เขาสูญเสียสิทธิดั้งเดิมที่เขามีอยู่จากกฎหมายที่มาทีหลัง แล้วยังถูกดูถูกดูแคลนจากสังคม ซึ่งอาจไม่ใช่เกิดขึ้นจากการดูถูกของเราหรอก แต่เป็นภาพใหญ่ที่สังคมบังคับ เกิดการสร้างวาทกรรมชี้นําความคิดเราให้ไปสู่ทางที่ไม่ถูกไม่ควรเพราะฉะนั้นก็อาจต้องทําความเข้าใจให้มากขึ้น

อยากให้มองประโยชน์ร่วมกันให้มากขึ้น ตัวกฎหมายนี้พยายามพูดถึงความเท่าเทียม ส่งเสริมความเท่าเทียมให้มากขึ้น ให้สิทธิดั้งเดิมที่เขามีอยู่ ก็เหมือนบ้านของเรา วันหนึ่งมีคนมาบุกรุก เราก็พยายามจะคืนบ้านให้กับเขา ซึ่งการคืนไม่ใช่การแบ่งแยกดินแดนนะ คนละเรื่องกัน อันนี้ต้องเข้าใจเรื่องการแบ่งแยกดินแดนและเรื่องศักดิ์ของกฎหมายด้วย

ผลประโยชน์ที่จะได้รับมีมากกว่าสิ่งที่จะสูญเสีย คําถามคือคนที่สูญเสียเป็นใคร ไม่ใช่คนไทยทั้งหมดนะ แต่มีแค่บางหน่วยงานซึ่งเขาสูญเสียอํานาจในการผูกขาดแบบเดิม โดยเฉพาะในเรื่องพื้นที่คุ้มครอง ซึ่งในกระบวนการต้องมีการพูดคุยถ้าอยากให้เกิดพื้นที่คุ้มครอง หรือแม้กระทั่งการที่เขาจะดํารงซึ่งอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ก็ไม่ใช่ว่าวันดีคืนดีคุณจะทําได้ แต่จะมีคณะกรรมการที่ปรึกษา มีศูนย์มานุษยวิทยา ซึ่งเป็นหน่วยงานในการให้คําปรึกษา บางทีเราก็เต้นไปตามเนื้อข่าว และการอภิปรายของ สส. ที่อาจมีความเข้าใจไม่ถี่ถ้วนนัก

ผมอยากให้มองด้วยว่ากลุ่มชาติพันธุ์เป็นทุนทางวัฒนธรรมที่สําคัญของสังคมไทย คือเรามักจะบอกว่า ประเทศไทยเต็มไปด้วยความหลากหลาย มาท่องเที่ยวสิ แต่ถ้าเราไม่เปิดโอกาสให้การมีอยู่ของ พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ก็เท่ากับเป็นการทําลายต้นทุนทางวัฒนธรรมที่เราจะมีและต่อยอดไปในอนาคต และ พ.ร.บ. นี้จะช่วยทำให้สังคมไทยเท่าเทียมกันมากขึ้นหลังจากที่มีวิธีคิดแบบชนกลุ่มน้อย ชนกลุ่มใหญ่มานาน

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save