‘โลกแปรปรวน คนเจ็บป่วย’ อ่านสัญญาณเตือนด้านสาธารณสุขจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ กับ ปัญญ์ ปิยะศิลป์

ตลอดหลายปีมานี้ หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงของสภาพดินฟ้าอากาศที่เราสัมผัสได้ด้วยตัวเองคืออากาศที่ร้อนจัดจนแทบจะอยู่ไม่ไหว ความร้อนที่เหมือนทุกสิ่งจะหลอมละลายถูกยืนยันด้วยสถิติอุณหภูมิที่นับวันยิ่งสูงขึ้นทุบสถิติเดิม 

นอกจากอากาศร้อนและความแห้งแล้งที่เริ่มเห็นผลกระทบชัดขึ้นเรื่อยๆ ในปีนี้ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา ข่าวอุทกภัยครั้งใหญ่ที่ภาคเหนือของไทยก็จับจองพื้นที่ความสนใจของผู้คนมาตลอด สถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงใหม่นับว่าหนักที่สุดในรอบ 50 ปี มวลน้ำระลอกแล้วระลอกเล่ายังคงพัดพาความเสียหายให้เกิดแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนมาจนถึงทุกวันนี้ ในเดือนที่ควรเข้าสู่ฤดูหนาว

ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) และเป็นสัญญาณเตือนจากธรรมชาติว่าสิ่งต่างๆ กำลังเปลี่ยนไป ผลกระทบของปรากฏการณ์เหล่านี้แทรกซึมอยู่ในทุกอณูของชีวิต ตั้งแต่อากาศปนฝุ่น PM 2.5 ที่เราหายใจเข้าไป ผักผลไม้สำหรับบริโภคที่ราคาแพงขึ้น รวมไปถึงความเจ็บป่วยอย่างฮีตสโตรกจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด 

หากย้อนไปเมื่อราว 10 กว่าปีที่แล้ว คนส่วนใหญ่ในสังคมคงยังไม่ตระหนักว่าความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดจากอะไร ไม่นับว่าความเข้าใจต่อ climate change ในระดับโลกยังอยู่ในระยะตั้งไข่เสียด้วยซ้ำ ปัญญ์ ปิยะศิลป์ เลือกไปศึกษาต่อในด้านดังกล่าว ในสาขาการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) ที่มหาวิทยาลัย Uppsala ประเทศสวีเดน โดยที่เขาก็ยังคาดไม่ถึงว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลกระทบต่อโลกได้ถึงเพียงนี้

ในวันนี้ที่ผลกระทบเริ่มฉายชัดว่าเมื่อโลกป่วย คนก็เสี่ยงจะป่วยตามไปด้วย ปัญญ์เป็นที่ปรึกษาอิสระด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของ UNDP และ WHO เขาศึกษาถึงผลกระทบในมิติสาธารณสุขจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ท่ามกลางสถานการณ์ภัยพิบัติที่กำลังดำเนินไปในหลายพื้นที่ของไทย 101 พูดคุยกับปัญญ์ถึงงานที่เขาศึกษา เพื่อหาคำตอบว่ามนุษยชาติเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบได้มากน้อยแค่ไหน และไทยควรมีแนวทางอย่างไรให้อยู่รอดในสภาวะเช่นนี้

ตอนคุณไปศึกษาต่อด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ถือเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่ ทำไมคุณถึงเลือกเรียนสาขานี้ และถ้ามองจากวันนั้นมาถึงปัจจุบันนี้ เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง

ผมสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมานานแล้ว เริ่มต้นจากชอบสัตว์ อยากช่วยสัตว์ ซึ่งผมไปเจอว่าสัตว์ก็ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วย เช่น สภาพดินฟ้าอากาศที่เปลี่ยนไปทำให้พื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ล่าเหยื่อของสัตว์นานาชีวิตลดลง พอเห็นว่ามีหลักสูตรการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) ที่สอนแบบ interdisciplinary คือใช้องค์ความรู้หลายสาขาวิชามาบูรณาการเข้าด้วยกัน ก็รู้สึกว่าน่าสนใจ แต่ตอนนั้นก็ยังคิดไม่ออกว่าเรียนแล้วเอาไปทำอะไรดี เพราะ climate change เป็นเรื่องใหม่มากๆ แต่คิดว่าอย่างน้อยก็ตอบโจทย์ความสนใจ สุดท้ายก็เลือกไปเรียน

ประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว climate change จัดว่าเป็นเรื่องใหม่ แม้แต่ในสังคมตะวันตก และถือเป็นประเด็นนอกสายตามากๆ คนยังไม่เข้าใจว่าคืออะไร ถ้ามองจากตอนนั้นมาถึงปัจจุบัน climate change เข้ามาอยู่ในความสนใจกระแสหลักมากขึ้น กลายเป็นประเด็นสำคัญหลักๆ ที่ภาคธุรกิจต้องคำนึงถึงในการประกอบกิจการ ความตระหนักและความพยายามจะแก้ไขปัญหาก็มีมากขึ้นด้วย ถือว่าเป็นทิศทางที่ดีหากมองจากคนทำงานในสายนี้

แล้วหมุดหมายใดที่ทำให้คนหันมาสนใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง

ผมคิดว่าจุดเปลี่ยนสำคัญเริ่มจากการตื่นตัวของภาคธุรกิจและการค้า แต่เป็นที่ถกเถียงถึงความจริงจังอยู่เหมือนกัน เพราะตอนแรก ภาคธุรกิจสนใจในแง่ CSR (Corporate Social Responsibility) คือการทำประโยชน์เพื่อสังคม รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ได้หมายมั่นจะแก้ปัญหาแบบจริงจัง แต่ความจริงจังก็เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ หมุดหมายสำคัญคือตอนที่สหภาพยุโรปออก ‘EU Green deal’ เมื่อปลายปี 2019 ซึ่งว่าด้วยแผนการปฏิรูปสีเขียวและมาตรการทางภาษี นับว่าเป็นนโยบายแรกๆ ที่พูดถึงเรื่องการค้ากับ climate change ซึ่งผลักดันกันมาหลายปีแล้ว เพราะสหภาพยุโรปต้องการทำให้เรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนกลายเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดหลักของการค้าขายภายในอียู ดังนั้น ถ้าจะมีคนบอกว่าบอกว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นแค่คอนเซ็ปต์หวือหวาที่ภาคธุรกิจหยิบไปใช้ ก็ไม่ได้ผิด แต่ในทางหนึ่งก็ทำให้ผลประโยชน์ไหลมาที่การทำงานขับเคลื่อนด้านนี้ด้วย ซึ่งสุดท้ายทำให้เรื่องนี้ไปต่อได้ และกลายเป็นที่สนใจของทุกคน

ทุกวันนี้ บางคนบอกว่า climate change เริ่มเป็นประเด็นกีดกันทางการค้าไปแล้ว ซึ่งก็ถูกของเขา แต่ในมุมมองของคนทำงานเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน ผมคิดว่าเราอาจจะต้องการ ‘ขี่หลัง’ (piggyback) ไปกับทุกคอนเซ็ปต์ เพื่อให้ประเด็นนี้มาอยู่ในกระแสหลักให้ได้ ฉะนั้นการที่ธุรกิจมาจับประเด็นนี้ ผมมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ

ดูเหมือนประเด็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจะได้รับความสนใจในมิติการค้า หรือถูกกล่าวถึงในด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจมากกว่ามิติอื่น

ก่อนอื่นอยากให้ภาพรวมว่าการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแบ่งได้เป็นสองด้านใหญ่ๆ ด้านแรกคือการลดผลกระทบ (mitigation) เป็นด้านที่เราคุ้นเคยกันดีเพราะหลักใหญ่คือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้านนี้เราเห็นคนทำกันเยอะ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้า (EV) หรือการเปลี่ยนหลอดไฟเป็นหลอด LED

การลดผลกระทบมักพบเห็นได้ง่ายกว่าด้านที่สอง คือ การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (adaptation) พูดให้เข้าใจง่ายคือการปรับตัวเพื่อตอบสนองและลดความเสี่ยงจากผลกระทบของ climate change ข้อมูลจากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (The Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ชี้ว่าแนวทางการรับมือในฝั่ง mitigation ได้รับความสนใจมากกว่า อีกทั้งเงินสนับสนุนยังไปลงที่ด้านนี้มากกว่าด้าน adaptation อย่างน้อย 4-5 เท่า

มองในแง่การรับมือ ผมคิดว่าที่ภาคธุรกิจรับเรื่อง mitigation มากกว่า เพราะแนวทางนี้จับต้องได้มากกว่า ถ้าไปลงทุนในธุรกิจสีเขียวก็เห็นผลในงบดุลได้เลย ขณะที่การ adaptation คนยังตื่นตัวไม่ค่อยเยอะ เพราะก่อนหน้านี้เรายังเห็นไม่ค่อยชัดว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเกี่ยวข้องกับชีวิตคนจริงหรือเปล่า ในปีที่แล้ว (2023) ผมเห็นว่าเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้คนหันมาตระหนักจริงๆ เพราะเราสัมผัสได้ว่าอากาศร้อนขึ้นมาก ร้อนกว่าที่เคยเป็นมา ถ้าไปดูข้อมูลทางสถิติจะเห็นว่าอุณหภูมิโลกโดยเฉลี่ยสูงขึ้นแบบทุบสถิติตั้งแต่ปีที่แล้วมาจนถึงปีนี้ หลายสิบเดือนติดกัน ส่งผลให้เกิดภาวะอากาศสุดขั้วและภัยพิบัติที่ไม่เคยเจอมาก่อน จนคนเริ่มรู้สึกแล้วว่า climate change กระทบเราจริงๆ

สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือการเกิดสภาวะอากาศที่รุนแรงผิดปกติ (extreme weather) เราเห็นฝนตกหนักที่สุดในรอบ 10 ปีที่ภูเก็ต เราเรียกปรากฏการณ์ที่ฝนตกอย่างรุนแรงนี้ว่า ‘rain bomb’ ตอนนี้ที่ภาคเหนือก็กำลังเผชิญปัญหาน้ำท่วมอยู่เช่นกัน โดยรวมคืออากาศแปรปรวนมากขึ้น ทำให้มนุษย์คาดการณ์ได้ยากขึ้น ตอนนี้เรายังตอบได้ไม่เต็มปากว่ามีผลกระทบโดยตรงอะไรกับเราบ้าง แต่เราเริ่มเห็นแล้วว่าผลกระทบชัดขึ้นเรื่อยๆ

ดังนั้น ถ้ามองในแง่ผลกระทบ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็ส่งผลกระทบต่อด้านเศรษฐกิจโดยตรง ทั้งจากนโยบายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่กระทบต่อระเบียบการค้า หรือการปรับตัวต่อสภาพอากาศที่สามารถส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรงได้ หากไม่มีการเตรียมตัวรับมือที่เพียงพอ แน่นอนว่ายังมีปัญหาและความท้าทายในมิติอื่นๆ ด้วย แต่ผลกระทบด้านเศรษฐกิจมักได้รับความสนใจมากกว่า

ตอนนี้เราพูดได้เต็มปากไหมว่าโลกอยู่ใน ‘วิกฤต’ จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ตั้งแต่โลกมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม อุณหภูมิโลกก็ค่อยๆ สูงขึ้น โดยเฉลี่ยขึ้นมาเกือบถึง 1.5 องศาเซลเซียส (ตอนนี้อยู่ที่ 1.4 องศา) สมัยก่อน 1.5 องศาคือฉากทัศน์หนึ่งของวิกฤต climate change เลย ซึ่งตอนนี้เราอยู่ในฉากทัศน์นั้นแล้วเรียบร้อย หากเราไม่ทำอะไรต่อ ปลายศตวรรษที่ 21 นี้ มีการคาดการณ์ว่าอุณหภูมิโลกจะเพิ่มสูงขึ้นอีก 4 องศา ขนาดทุกวันนี้อยู่ราวๆ 1.5 องศา เรายังแย่เลย ถ้าขึ้นสูงไปอีกก็ยิ่งวิกฤตไปใหญ่

แต่ก่อนผมทำงานอยู่สาย mitigation เหมือนกัน ผมเคยทำโครงการเกี่ยวกับสารทำความเย็นธรรมชาติ พลังงานทดแทน และยานยนต์ไฟฟ้า แต่ก็เริ่มขยับมาทำงานด้านสาธารณสุขและการ adaptation มากขึ้น ผมมองว่าถ้าเราไม่ทำอะไรเลย อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 4 องศา แต่ถ้าเราทำเต็มที่ตามเป้าที่ทั้งโลกตั้งไว้ร่วมกัน อย่างมากก็อาจจะขึ้นเกิน 1.5 องศา แล้วค่อยๆ ตกลงมา และปลายศตวรรษนี้เราก็จะอยู่ที่ 1.5 องศาเหมือนเดิม นี่คือฉากทัศน์ที่ดีที่สุดที่เราทำได้แล้ว

เพราะฉะนั้น ต่อให้พรุ่งนี้เราสามารถทำตามเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net zero) ได้ทั้งหมดราวกับธานอสดีดนิ้ว ก็ไม่ได้แปลว่าอากาศจะแปรปรวนน้อยลงหรือกลับมาเหมือนที่ผ่านมาในทันที โดยสรุปคือเป็นไปไม่ได้ที่เราจะออกไปจากสภาวะปัจจุบันนี้โดยที่มนุษย์ไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย นอกจากผลกระทบทางเศรษฐกิจแล้ว ผลกระทบต่อสุขภาพคนมีแน่ๆ และมีแนวโน้มว่าจะมีมากขึ้น แต่มากขึ้นเท่าไหร่ไม่รู้ เพราะยังมีเรื่องที่ต้องศึกษาและหาคำตอบต่ออีกมาก

คุณทำงานเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในมิติสาธารณสุข ซึ่งเป็นมิติที่ยังไม่ถูกพูดถึงเท่าที่ควร อยากให้ช่วยขยายความว่า climate change ทำให้เกิดความเสี่ยงทางสาธารณสุขและผลกระทบต่อสุขภาพคนอย่างไรบ้าง

โดยภาพรวม ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อสุขภาพคน ในไทยอาจแบ่งได้สองสภาวะ คือ ‘น้ำแรง’ และ ‘น้ำแล้ง’ บางคนอาจจะเรียกว่า ‘ภัยแห้ง’ และ ‘ภัยเปียก’ อธิบายอย่างง่ายคือในสภาวะน้ำแรง ฝนจะตกหนัก พายุเข้า ส่วนน้ำแล้งคือความแห้งแล้งของลมฟ้าอากาศ หรือมีคลื่นความร้อน (heatwave) ปกคลุม รวมไปถึงผลกระทบสืบเนื่องอย่างไฟป่าและปัญหาฝุ่น PM 2.5

สองสภาวะนี้เกี่ยวข้องกับมิติสาธารณสุขโดยตรงเพราะทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตของคน นอกจากนี้ยังทำให้การแพร่ระบาดของโรคบางโรคมีความรุนแรงขึ้น เราอาจเรียกโรคเหล่านี้ว่า Climate-sensitive diseases ยกตัวอย่างเช่น ตอนอยู่ในสภาวะน้ำแรงก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคติดต่อทางอาหารและน้ำ (Food and Water Borne Diseases) เช่น อหิวาตกโรค โรคมือเปื่อย-เท้าเปื่อย โรคฉี่หนู รวมไปถึงโรคติดเชื้อที่มีแมลงเป็นพาหะ (Vector borne diseases) โดยเฉพาะโรคที่มากับยุง เช่น ไข้เลือดออก มาลาเรีย ถ้าพิจารณาสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่ภาคเหนือ อีกไม่กี่สัปดาห์โรคที่มียุงเป็นพาหะก็อาจจะระบาดหนักหากไม่มีการควบคุมโรคที่ดี

ขณะที่ความเจ็บป่วยในสภาวะน้ำแล้ง โรคที่เรารู้จักกันดีคือลมแดด หรือ ฮีตสโตรก (Heat Stroke) ซึ่งมีกลุ่มคนเปราะบางคือเด็กและคนชรา กลุ่มแรงงานที่ทำงานกลางแจ้ง เช่น ตำรวจจราจร เกษตรกร แรงงานก่อสร้าง ก็ได้รับผลกระทบจากความร้อน แม้อาจจะเห็นได้ไม่ชัดนัก เช่น ประสิทธิภาพตก (productivity loss) ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคไตเรื้อรังที่สูงขึ้น

สิ่งหนึ่งที่ควรมองไปไกลกว่าความเจ็บป่วยโดยตรง คือ ภาระโรค (Burden of Disease) ซึ่งมองไปถึง ‘การสูญเสียปีสุขภาวะ’ ที่สิงคโปร์มีการศึกษาลงลึกถึงขนาดที่สรุปผลมาได้ว่า อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศา ผลิตภาพของคนที่ทำงานกลางแจ้งจะลดลงกี่เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจเท่าไหร่ คิดเป็นการสูญเสียปีที่ควรจะมีสุขภาพดีกี่ปี ซึ่งการศึกษาในลักษณะนี้ไทยก็เริ่มมีบ้างแล้ว แต่ก็ติดปัญหาเรื่องข้อมูลที่มีคุณภาพสำหรับการทำงานวิจัย

อีกประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่โดยตรงคือเรื่องความมั่นคงทางอาหาร (food security) ประเทศเราที่เคยเชื่อกันว่ามีข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ แต่พอเจอสภาพอากาศที่ร้อนมากๆ ก็ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าถามว่าประเทศเราจะไปถึงขั้นที่ผู้คนอดอยากเลยไหม ผมว่าคงไม่ถึงขนาดนั้น แต่กลุ่มคนที่จะได้รับผลกระทบก่อนใครคือกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เพราะอาหารจะแพงขึ้นในบางพื้นที่และบางเวลาในแบบที่คาดเดาได้ยากขึ้น

ความท้าทายเรื่องความมั่นคงทางอาหารยังมีผลกระทบสูงต่อเด็กด้วย สมมติพ่อแม่เป็นชาวนา แล้วปีนี้แล้งจัด เขาอาจจะไม่สามารถหาอาหารที่ครบถ้วนตามหลักโภชนาการให้ลูกกินได้ สะท้อนให้เห็นว่ามิติสุขภาพสัมพันธ์กับมิติทางเศรษฐกิจอยู่ด้วย ดังนั้นเราอาจต้องใช้ศาสตร์ที่หลากหลายมาช่วยวางกลยุทธ์ในการรับมือ อย่างไรก็ตาม เรายังไม่สามารถทำความเข้าใจประเด็นเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนเพราะยังไม่ค่อยมีงานวิจัยในเรื่องนี้ ก่อนอื่นต้องเอาข้อมูลมาดูหรือมาเทียบกันให้ได้ก่อน ถึงจะต่อยอดไปแก้ไขปัญหาที่แตกแขนงออกมาได้ว่าส่งผลกระทบเท่าไหร่ ส่วนไหนกระทบเยอะ ส่วนไหนกระทบน้อย ความร่วมมือจากหลากหลายสาขาแบบ interdisciplinary จะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ

นอกจากนี้ อีกความท้าทายด้านสุขภาพที่ไม่ควรถูกละเลยคือปัญหาสุขภาพจิต ยกตัวอย่างตอนที่น้ำท่วมจังหวัดน่าน ผมเห็นนักข่าวไปสัมภาษณ์พ่อค้าแม่ค้าที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาในตลาดครั้งแรกหลังน้ำลด เขายืนร้องไห้อยู่ตรงนั้น เขาไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะอุปกรณ์ทำมาหากินเขาไปกับน้ำหมดแล้ว นั่นทำให้เห็นว่าปัญหาสุขภาพจิตเกี่ยวโยงกับเรื่องเศรษฐกิจด้วย ซึ่งอันที่จริงปัญหาสุขภาพจิตเป็นมุมที่ยังไม่ถูกสำรวจมากเท่าที่ควรในไทย เรายังเห็นข้อมูลไม่ชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ สุดท้ายแล้วนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตของคนอย่างไร ข้อมูลตรงนี้ถือว่าเป็นช่องว่างงานวิจัยอีกประการเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบในด้านสาธารณสุขไม่ได้เป็นประเด็นนอกสายตาในไทย หากไปดูแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข จะเห็นว่ามีแผนปฏิบัติการด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้านสาธารณสุข (Health National Adaptation Plan: HNAP) สะท้อนว่าหน่วยงานหลักด้านสาธารณสุขของไทยมีความตระหนักต่อประเด็นนี้เป็นอย่างดี

อยากให้ช่วยขยายภาพสถานการณ์โรคที่มากับยุง ซึ่งน่าจะเป็นความท้าทายใหญ่ในปีที่น้ำท่วมหนักหลายพื้นที่แบบนี้

จาก 7-8 โรคที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หนึ่งในโรคที่รุนแรงและคนป่วยกันเยอะมากคือโรคที่มาจากยุง ในหนึ่งปีมีผู้ป่วยที่ติดโรคจากยุงนับแสนราย อัตราการเสียชีวิตอาจจะไม่ถึงกับเยอะมาก เพราะระบบสาธารณสุขไทยค่อนข้างดี แต่เมื่อมีคนติดขึ้นมาย่อมกระทบเป็นวงกว้าง เพราะยุงบินไปทั่วและอาจไปกัดคนอื่นต่ออีกที เรื่องพวกนี้เราอาจจะป้องกันได้มากขึ้นก็จริง แต่เราก็ต้องการการศึกษาที่ลึกมากกว่านี้ด้วย

อยากชวนดูข้อมูลจากเว็บไซต์ของกรมควบคุมโรค ซึ่งมีสถิติโรคต่างๆ ในรายจังหวัด หากพิจารณาโรคอย่างไข้เลือดออกเทียบกับสภาพอากาศ จะเห็นว่าเคสผู้ป่วยสัมพันธ์กับปริมาณน้ำฝนมาโดยตลอด ดังนั้น โดยทั่วไปแล้วไข้เลือดออกและโรคที่มียุงเป็นพาหะจึงระบาดในฤดูฝน แต่ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขชี้ว่า ในบางปี พื้นที่ภาคกลางและภาคใต้จะมีการระบาดที่ลากยาวไปถึงฤดูหนาว สันนิษฐานว่ามาจากลักษณะของฝนที่เปลี่ยนไป ฉะนั้น การที่สภาพอากาศแปรปรวนขึ้นเรื่อยๆ ฝนตกไม่เหมือนเดิม ย่อมกระทบต่อลักษณะการแพร่กระจายของโรคที่เกี่ยวกับยุงไปด้วย 

ไม่ใช่แค่โรคไข้เลือดออก แต่โรคจากยุงอย่างมาลาเรียก็เริ่มมีสถิติผู้ป่วยสูงขึ้นในช่วงสองปีที่ผ่านมา ในทางทฤษฎีเราสามารถควบคุมให้โรคเป็นศูนย์ได้ แต่ในทางปฏิบัติทำได้ยากมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยง อีกทั้งมีผู้คนเคลื่อนย้ายอยู่ตลอด ยากต่อการติดตามผู้ป่วยให้ทั่วถึง ทำให้การระบาดอาจเกิดขึ้นในเมืองใหญ่ด้วยเช่นกัน สมมติคนข้ามชายแดนมาจากพม่า แล้วมาเป็นมาลาเรียตอนอยู่จังหวัดตาก จากนั้นเดินทางไประยองเพื่อหางานทำ ก็สร้างคลัสเตอร์การระบาดใหม่ขึ้นได้ ประเทศไทยมีกรมควบคุมโรคดูแลเรื่องนี้อยู่ แม้จะมีมาตรการสำหรับชายแดนทั้งสี่ด้าน มีความร่วมมือกับนานาประเทศเพื่อแบ่งปันข้อมูลกัน แต่อย่าลืมว่ายุงไม่ได้สนใจขอบเขตอำนาจของรัฐหรือหน่วยงาน ผมเลยค่อนข้างเห็นใจหน่วยงานในภาคสาธารณสุขอยู่เหมือนกัน เพราะเป็นเรื่องยากที่จะติดตาม

นอกจากนี้ สถานการณ์การระบาดยังมีตัวแปรจากชุมชนเองด้วย ทุกวันนี้วิธีการแก้ปัญหายุงยังใช้วิธีพื้นฐาน เช่น กางมุ้ง ฉีดน้ำยากำจัดยุง หรือการฉีดวัคซีน แต่เราอาจต้องทำมากกว่านั้น คือศึกษาแบบเจาะลึกว่าเวลาโรคเกี่ยวกับยุงระบาด มีการระบาดในคลัสเตอร์ไหน และมีสาเหตุจากอะไร เช่น การระบาดในสวนยางพารา มักเกิดจากการที่ยุงไปฟักไข่ในถ้วยเก็บน้ำยาง ในอนาคตถ้าประเด็นนี้ถูกศึกษาอย่างจริงจังแล้ว เราอาจจะทำโครงการลดยุงลายในสวนยางพาราโดยเฉพาะได้ เพราะแต่ละพื้นที่มีบริบทเฉพาะและน่าจะต้องการการรับมือที่ต่างกัน เราต้องค่อยๆ ทำความเข้าใจไปพร้อมกัน โดยมีหัวใจสำคัญในการแก้ปัญหาก็คือเรื่องการสื่อสารที่ง่ายแต่มีประสิทธิภาพ ทำให้คนในชุมชนสามารถนำไปใช้รับมือต่อได้

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังต้องการการศึกษาที่เจาะลึกกว่านี้ว่าแนวโน้มการตกของฝนที่เปลี่ยนไปมีผลต่อการเติบโตของยุงอย่างไร ที่จำเป็นอย่างยิ่งคือข้อมูลที่จะเป็นสารตั้งต้นในการวิจัยต่อ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขก็กำลังทำงานอย่างหนักในเรื่องนี้ มีการใช้กลไกชุมชนเข้ามาช่วย เช่น ให้ อสม. เข้าไปสำรวจ จัดทำ house index ที่มีข้อมูลว่าแต่ละบ้านมีภาชนะที่เสี่ยงต่อการวางไข่ของยุงอยู่เท่าไหร่ แต่มองบนพื้นฐานความเป็นจริงก็เป็นเรื่องยากที่จะให้คนไม่กี่คนรับผิดชอบ

เท่าที่ฟังมา ดูเหมือนความท้าทายใหญ่ในตอนนี้ของไทยคือเราขาดข้อมูล

ข้อมูลเป็นหนึ่งในสิ่งที่ขาด แต่อาจจะเป็นสิ่งที่ขาดและมีความสำคัญมากหน่อย ตอนนี้สิ่งที่อยากเห็นมากๆ คือการนำข้อมูลที่กระจายอยู่แต่ละหน่วยงานมาบูรณาการกัน เช่น หนึ่งในงานที่เรากำลังทำอยู่ คือการพัฒนา Climate Health Information System เช่น การเอาข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยามาเชื่อมกับข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อหาว่าเวลาฝนตกมากขึ้น โรคที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศมีผลต่อมนุษย์อย่างไร ยิ่งคุณภาพของข้อมูลดีมากเท่าไร เราจะสามารถเฝ้าระวังได้อย่างทันท่วงทีมากขึ้น

ตอนนี้ ช่องว่างของข้อมูลกลายเป็นช่องว่างในการศึกษาวิจัย เพราะเวลาคนทำวิจัย ทุกคนก็จะติดเรื่องไม่มีข้อมูล ถ้าแก้ตรงนี้ได้ เราจะสามารถต่อยอดได้อีกเยอะ เช่น การทำระบบเฝ้าระวังและเตือนภัย (Early warning system) การวิจัยภาระโรค (Burden of Disease) การทำประกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Risk Insurance) ในอีกมุม เราอาจจะไม่ได้ขาดข้อมูลก็ได้ อาจจะมีแล้วแต่ถูกเก็บในลักษณะที่เข้าถึงยากหรือมีความยุ่งยากในการนำมาใช้ร่วมกับข้อมูลอื่นๆ ดังนั้น เราจึงยังไม่สามารถนำข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ เนื่องจากรูปแบบการจัดเก็บอาจจะทำให้ใช้งานยาก หรือไม่สามารถใช้ข้ามหน่วยงานได้

นอกจากนี้ งานวิจัยใหม่ๆ อาจจะต้องศึกษาแบบข้ามสายหรือข้ามศาสตร์มากขึ้น เช่น การวิจัยเกี่ยวกับโรคที่อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจต้องอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลอุตุนิยมวิทยา ข้อมูลสาธารณสุข ตลอดจนข้อมูลด้านเศรษฐกิจ เพื่อให้เราเข้าใจมิติที่หลากหลายของการเกิดโรคโรคหนึ่ง ดังนั้น นักวิชาการสาธารณสุขอย่างเดียวอาจจะไม่พอ อาจจะต้องมีนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (data scientist) นักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข และผู้เชี่ยวชาญศาสตร์อื่นๆ ร่วมด้วย เพื่อวิเคราะห์มิติที่หลากหลายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ถ้าเริ่มทำตอนนี้จะถือว่าช้าไปไหม

ก็ยังดีกว่าช้ากว่านี้ (หัวเราะ) จริงๆ เราก็ไม่ได้ช้ากว่าประเทศอื่นเท่าไหร่ ออกจะล้ำหน้ากว่าหลายประเทศด้วย อย่างน้อยเราเอาปัญหามาดูก่อนก็ยังดี ตอนนี้เราเหมือนคนขับเครื่องบินโดยไม่มีเกจ์อะไรเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปทางไหน ฉะนั้นเอาข้อมูลมาดูก่อน ให้เรารู้ว่าไปทางไหนดี และในปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลก็พัฒนาไปไกลแล้ว ถึงจุดที่เราควรเอามาใช้ประโยชน์มากขึ้น เพื่อเปิดให้ทุกคนเข้ามาศึกษา เพื่อให้เราได้เห็นมุมมองที่หลากหลาย มีคนจากต่างแวดวงช่วยกันชี้ว่ามีประเด็นนี้ๆ อยู่ ซึ่งจะทำให้การรับมือกับปัญหาได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น

หากจะพูดบนพื้นฐานความเป็นจริงคือเรายังอยู่ไกลมากในการแก้ปัญหาทั้งหมดให้ได้ แต่ก็ต้องค่อยๆ ทำไป เพราะหันหลังกลับไม่ได้แล้ว ตอนนี้เราต้องใช้หลักการแบบ inclusive คือเดินไปด้วยกันและพร้อมกัน ดังนั้น การสื่อสารเป็นสิ่งจำเป็น เราต้องย่อยสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ให้คนทั้งสังคมเข้าใจและเห็นพ้องกันมากขึ้นว่า climate change ส่งผลกระทบกับชีวิตเราจริงๆ

การสื่อสารประเด็น climate change ให้คนเข้าใจร่วมกันมีความท้าทายอย่างไรบ้าง และทุกวันนี้สังคมไทยตระหนักมากขึ้นหรือยัง

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหนีไม่พ้นความจริงที่ว่านี่คือเรื่องวิทยาศาสตร์ เลยเป็นประเด็นที่ยากด้วยตัวเอง ยกตัวอย่างการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เรามองด้วยตาเปล่าไม่เห็นหรอกว่าปล่อยไปมากน้อยแค่ไหน แต่ความจริงเราคำนวณได้ว่าไฟ 1 หน่วย (1 กิโลวัตต์) ที่ใช้ใน 1 ชั่วโมง ถ้ากลับไปดูต้นทางที่ผลิตไฟ จะมีค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (emission factor) ที่บอกว่าปล่อยอะไรไปบ้างในระหว่างการผลิต แต่คนทั่วไปไม่มีใครมานั่งคำนวณหรอก อย่างการใช้รถก็ไม่มีใครสนใจขนาดนั้นว่าปล่อยอะไรไปเท่าไหร่ พอเป็นแบบนี้ climate change เลยเป็นประเด็นที่ยากขึ้นในการสื่อสารกับคนทั่วไป

เวลาผมไปต่างจังหวัดแล้วมีคนรู้ว่าผมทำงานเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ผมเคยเจอที่คนเดินมาหาผมแล้วบอก ‘ผมไม่เชื่อเรื่องโลกร้อน’ ผมก็บอกว่าไม่ว่าอะไรครับพี่ ผมไม่เถียง และเข้าใจว่าเขาอาจจะได้ข้อมูลมาไม่เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ปีที่แล้วที่อากาศร้อนมากๆ ผมคิดว่าคนทั่วไปเริ่มตระหนักแล้วว่ามันร้อนขึ้น แล้งขึ้น มันมีอะไรบางอย่างที่ผู้เฒ่าผู้แก่บอกว่าชีวิตนี้ไม่เคยเจอแบบนี้ หรือในบางประเทศ ฝนตกในเดือนเดียวเท่ากับปริมาณทั้งปี ปรากฏการณ์เหล่านี้ทำให้คนตระหนักมากขึ้น

เราเริ่มเห็นแล้วว่าความแปรปรวนของธรรมชาติ ไม่ได้กระทบแค่สุขภาพของเราโดยตรง แต่กระทบเศรษฐกิจด้วย แล้วมันก็ส่งผลกลับมาที่สุขภาพของเราอีกครั้ง ผมมองว่า 10 ปีที่แล้ว ขนาดคนในวงการ climate change ยังไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องสาธารณสุขเลย เนื่องจากยังไม่มีอะไรชัด ทุกคนบ่นเหมือนกันว่าไม่มีข้อมูล แต่พอปี 2021 Lancet วารสารทางการแพทย์ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในระดับโลกได้ตีพิมพ์รายงาน Countdown on health and climate change: code red for a healthy future ถือเป็นรายงานชิ้นแรกๆ ที่ภาพผลกระทบในทางสุขภาพเริ่มชัดขึ้นด้วยตัวเลข มีการประเมินผลกระทบที่จับต้องได้ แต่ถามว่าแม่นไหม ผมคิดว่าไม่แม่นอยู่แล้ว เพราะเวลาทำโมเดล มันไม่มีโมเดลไหนแม่นเป๊ะๆ อยู่แล้ว แต่การที่เรามีข้อมูลมากขึ้น เปิดให้คนมาศึกษาวิจัยมากขึ้น พอได้ข้อสรุปมาหักล้างกันเองเราก็จะเริ่มเข้าใจปัญหาได้มากขึ้น

พิจารณาภาพรวมในไทย ผมมองว่าว่าความสนใจต่อประเด็นสาธารณสุขมีมากขึ้น ทั้งในแวดวงธุรกิจ แวดวงวิชาการ ผู้กำหนดนโยบาย รวมถึงคนทั่วไป แต่การเข้าถึงข้อมูลยังเป็นเรื่องยาก เพราะข้อมูลส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ เป็นข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ซึ่งคนทั่วไปอาจจะเข้าใจได้ยาก ซึ่งอันที่จริงแล้ว การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศไม่ได้เป็นเรื่องซับซ้อนขนาดนั้น แต่เมื่อพูดในเชิงวิชาการ จำเป็นต้องมีความชัดเจน เป็นวิทยาศาสตร์ และมี term ชัดเจน ข้อดีคือเราศึกษาได้ชัดขึ้น แต่ข้อเสียคือเราสื่อสารได้ยากขึ้น เราจึงอาจจะต้องหาเส้นทางที่ไปด้วยกันได้

หากขยับมามองในระดับโลก ตอนนี้ภูมิภาคไหนถือว่าได้รับผลกระทบจาก climate change มากที่สุด

ประเทศในเอเชียะตะวันออกเฉียงใต้ละแวกบ้านเรานี่แหละ แล้วก็มีประเทศหมู่เกาะ ปีที่แล้วผมได้เข้าร่วมงานประชุมที่ประเทศเกาหลีใต้ เป็นรอบที่ประเทศในอาเซียนเจอกับประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก ได้รับฟังมาว่าพื้นที่ของประเทศหมู่เกาะเหล่านี้มีที่จมน้ำทั้งเกาะเลย ที่แย่ไปกว่านั้นคือประเทศเหล่านี้ไม่มีอุตสาหกรรม เขาผลิตปูนซีเมนต์เองไม่ได้ สร้างเขื่อนไม่ได้ ต้องนำเข้าจากประเทศใหญ่ๆ เท่านั้น ซึ่งต้นทุนก็จะสูงขึ้นไปอีก ถือว่าเป็นปัญหาที่ยังไม่มีใครคิดออกว่าจะแก้อย่างไรดี บางคนก็บอกว่าสร้างเขื่อนรอบเกาะ หรือปรับเปลี่ยนวิธีสร้างบ้านให้ลอยน้ำได้ เหมือนแพ

ประเทศเหล่านี้ได้รับผลกระทบมากที่สุดอย่างเห็นได้ชัดก็จริง แต่ประเทศไทยเอง รวมถึงประเทศอื่นในภูมิภาคอย่างฟิลิปปินส์ พม่า ล้วนอยู่ในติด 10 อันดับแรก ประเทศที่ได้รับผลกระทบจาก climate change มากที่สุดในโลก สาเหตุไม่ใช่เพราะเราได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพบ่อยเพียงอย่างเดียว แต่ระบบเศรษฐกิจของเราขึ้นอยู่กับความไม่แน่นอนของสภาพอากาศสูง เรามีภาคเกษตรที่ใหญ่ ทำให้ต้องพึ่งพาสภาพดินฟ้าอากาศอยู่มาก ความเสี่ยงก็สูงตามไปด้วย ไม่นับว่าเรากำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ทำให้ขนาดของกลุ่มเปราะบางขยายขึ้นอีก อีกทั้งยังมีคนจำนวนมากที่ไม่สามารถปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงได้

แผนที่แสดงดัชนีความเสี่ยงด้านภูมิอากาศโลก | ที่มา: Germanwatch

แล้วภาคเกษตรไทยควรปรับตัวอย่างไรบ้าง

ในมิติที่เกี่ยวของกับสาธารณสุข เราอาจจะต้องมาทบทวนเรื่องความมั่นคงทางอาหารให้มากขึ้น แม้แต่ประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์แบบไทยก็สามารถมีปัญหาด้านความมั่นคงทางอาหารได้เหมือนกัน ถึงแม้ว่าภาพรวมของทั้งประเทศจะค่อนข้างดี แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่มีชุมชนหรือพื้นที่ที่มีความเปราะบางทางด้านอาหาร การศึกษาและสร้างองค์ความรู้ในระดับพื้นที่และชุมชนจะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถเข้าใจความเปราะบางในพื้นที่ตนเองได้

ทิศทางหรือการตอบสนองต่อความท้าทายด้านสาธารณสุขในระดับโลกมีความคืบหน้าบ้างไหม เพราะเวลาเราพูดถึงความพยายามของประชาคมโลกในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เราจะได้ยินแต่มาตรการลดการปล่อยก๊าซ

หลังจากการประชุม COP26 (ปี 2021) ปีเดียวกับที่ Lancet ตีพิมพ์รายงาน ประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาคสาธารณสุขได้รับความสนใจอย่างมาก ในปีนั้น Climate Change and Human Health เป็นวาระหลักในการประชุมเลย และคิดว่ามีแนวโน้มที่จะเป็นประเด็นสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ในทศวรรษข้างหน้า

ด้านความร่วมมือในระดับนานาชาติ ตอนนี้มีเครือข่ายความร่วมมือระดับโลกที่เรียกว่า ATACH (Alliance for action on climate change and health) และ One Health อยู่ เป็นความร่วมมือที่ริเริ่มโดยองค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) และองค์กรระหว่างประเทศอื่นๆ เพื่อให้แต่ละประเทศมาแชร์ข้อมูล ประสบการณ์ และงานวิจัยกัน แต่ว่ากันตามตรง ในองค์การระหว่างประเทศทั้งหลาย โปรแกรมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในมิติสาธารณสุขมีอยู่น้อยมากๆ ไม่นับว่ากองทุนในระดับโลกที่จะเป็น ‘เจ้าภาพ’ แหล่งเงินทุนสำหรับการศึกษาเรื่องนี้ก็ยังไม่มีโดยตรง ดังนั้น ขั้นต่อไปที่สำคัญคือประชาคมโลกต้องทำ ‘Climate Finance’ ให้ครอบคลุม ที่ผ่านมาเราพูดถึงเรื่องนี้ในมิติ mitigation ทำนองว่าจะทำอย่างไรให้คนหันมาใช้โซลาร์เซลล์ แต่ในมิติ adaptation กลับถูกพูดถึงน้อยมาก โดยเฉพาะในด้านสาธารณสุข

แต่เมื่อพูดถึง mitigation ในภาคสาธารณสุข ก็ดูจะยังนึกภาพไม่ค่อยออกว่าเกี่ยวกับอะไรบ้าง

อันที่จริงภาคสาธารณสุขเป็นภาคที่น่าสนใจ เนื่องจากมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งจากการใช้พลังงาน ขนส่ง ขยะและน้ำเสีย ตลอดจนอุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์ในห่วงโซ่อุปทาน ก่อนหน้านี้เราไม่รู้ว่า mitigation ในภาคสาธารณสุขคิดออกมาเป็นตัวเลขคือเท่าไหร่ ปัจจุบันนี้ก็ยังดูไม่ค่อยชัด แต่ก็เห็นความพยายามจะประเมิน ในไทยเองมีงานวิจัยของโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ หรือ HITAP ซึ่งศึกษามาแล้วว่าระบบสาธารณสุขในประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 33 ล้านตันต่อปี หรือประมาณ 9.5 เปอร์เซ็นต์ จากทั้งหมดที่เราปล่อย ถือว่าค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามตัวเลขนี้เป็นการเก็บข้อมูลจากสถานพยาบาลเพียง 10 แห่ง ซึ่งโรงพยาบาลในไทยมีมากกว่า 1,300 แห่ง ตัวเลขที่ประเมินออกมาย่อมคาดเคลื่อนจากความเป็นจริงอยู่แล้ว แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญของวงการ เพราะแต่ก่อนเราประเมินกันว่าภาคสาธารณสุขปล่อยแค่ราว 4 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของโลกอยู่ที่ประมาณ 5-6 เปอร์เซ็นต์

ปกติเวลาเราประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เราประเมินตามเซคเตอร์ ซึ่งมีอยู่ 5 เซคเตอร์ใหญ่ คือ พลังงาน ขนส่ง อุตสาหกรรม ขยะ และเกษตรกรรม จะเห็นว่าไม่มีรายงานของสาธารณสุขอยู่ด้วย แต่เอาเข้าจริงสาธารณสุขแตะทุกเรื่องเลย เช่น การทำยาก็อยู่ในภาคอุตสาหกรรม อย่างการผลิตน้ำเกลือ ในหลายที่ต้องใช้น้ำสะอาด ทำให้ต้องต้มน้ำมหาศาล บางโรงงานที่ยังใช้น้ำมันเตาในการต้มอยู่ ก็จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง หรือการฟอกไต สมัยก่อนผู้ป่วยต้องไปฟอกที่โรงพยาบาลเท่านั้น แต่สมัยนี้ฟอกเองที่บ้านได้ การที่ผู้ป่วยโรคไตไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาลหมายความว่าเขาไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว

ต้องขยายความก่อนว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบ่งได้เป็นสามระดับ อย่างแรกคือการปล่อยทางตรง (direct emission) เช่น การเผา ถ้าในโรงพยาบาลก็มีการใช้บอยเลอร์ (หม้อไอน้ำที่ใช้ในงานอุตสาหกรรม) ต้องเอาน้ำมาต้ม เชื้อเพลิงที่ใช้ต้มก็ถือเป็นการปล่อยก๊าซฯ ทางตรง การปล่อยก๊าซฯ ในระดับนี้รวมไปถึงรถที่ใช้ในโรงพยาบาลด้วย ระดับที่สองคือการปล่อยทางอ้อม (indirect emission) หมายถึงอะไรก็ตามที่เราจ่ายไปในค่าไฟ เวลาเราใช้ไฟฟ้า เราไม่ได้ปล่อยก๊าซฯ ตรงสถานที่ที่เราใช้ก็จริง แต่การปล่อยก๊าซเกิดขึ้นตั้งแต่โรงไฟฟ้า

การปล่อยก๊าซสองระดับนี้โรงพยายาลยังเลือกได้ว่าจะใช้เทคโนโลยีไหนมาลดการปล่อย แต่ระดับที่สามคือการปล่อยก๊าซฯ จากห่วงโซ่การผลิต (supply chain) ทั้งหมด คืออะไรก็ตามที่โรงพยาบาลใช้ ทั้งยา เวชภัณฑ์ และอาหาร รวมไปถึงการขนส่งสิ่งเหล่านี้และการเดินทางของบุคลากร ผู้ป่วย ญาติผู้ป่วย เท่าที่เรารู้พอสังเขป คือ 96 เปอร์เซ็นต์ของก๊าซเรือนกระจกที่ภาคสาธารณสุขปล่อยอยู่ในก้อนนี้ และยังไม่ได้เจาะไปดูว่าอะไรปล่อยมากน้อยแค่ไหน แต่ก็ต้องย้ำอีกทีว่าตัวเลขเหล่านี้คาดเคลื่อนจากความเป็นจริงแน่นอนเพราะเรายังศึกษาเรื่องนี้กันน้อยมาก

ถ้าไปดูตัวเลขของสหรัฐอเมริกา การปล่อยก๊าซในระดับหนึ่งและสองเขาปล่อยประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ สำหรับไทยเอง ผมคิดว่าถ้าเรามีข้อมูลมากกว่านี้ ภาพของเราก็จะเปลี่ยนเหมือนกัน พอมันชัดขึ้นเราจะเริ่มวางกลยุทธ์ได้ว่าจะเริ่มเปลี่ยนที่ตรงไหน อย่างไรก็ตาม การเก็บข้อมูลโรงพยาบาลกว่า 1,300 แห่งนั้นไม่ง่าย เราจะเจอทั้งความท้าทายจากระบบและความร่วมมือของคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง

ต่างประเทศเก็บสถิติการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคสาธารณสุขเป็นปกติหรือเปล่า เราถอดบทเรียนจากประเทศเหล่านั้นได้ไหม

ไม่ใช่ทุกประเทศที่จะเก็บ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นประเทศแบบสหรัฐฯ สิงคโปร์ ซึ่งเขาเก็บแบบล่างขึ้นบน คือโรงพยาบาลเก็บกันเอง เอาเข้าจริงแม้แต่ประเทศพัฒนาแล้วก็ยังมีอุปสรรคในการเก็บ เขาก็ยังไม่สามารถเก็บให้เห็นทั้งหมดได้ แต่ผมมองว่าประเด็นนี้จะสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนเห็นแล้วว่าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบในด้านนี้ได้ ต่อให้เราไปถึงเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้ ก็ยังมีปัญหาให้เราต้องปรับตัวอีกอยู่ดี

คุณมีข้อเสนอแนะในการเริ่มต้นแก้ไขและหาทางรับมือกับปัญหา climate change ในด้านสาธารณสุขสำหรับประเทศไทยอย่างไรบ้าง

ประเทศไทยควรเริ่มที่เรื่องข้อมูลก่อนเป็นลำดับแรก เช่น การเอาข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา อย่างสถิติเกี่ยวกับฝน มาเชื่อมกับข้อมูลด้านสาธารณภัยของกระทรวงมหาดไทยว่าที่ไหนเสี่ยงจะเกิดน้ำท่วม และเมื่อใดที่ควรเฝ้าระวัง จะดียิ่งขึ้นไปอีกหากเราสามารถเอามาเชื่อมกับข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้เห็นภาพว่าเมื่อฝนเริ่มตกมากขึ้น ความเจ็บป่วยหรือโรคไหนเพิ่มขึ้น โรคอะไรที่ต้องระวัง ซึ่งอาจจะต่อยอดไปทำระบบเตือนภัยล่วงหน้าเพื่อให้ประชาชนสามารถปรับตัวได้ องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization) หรือกรมอุตุฯ โลกบอกว่าถ้าเรารู้ล่วงหน้า 24 ชั่วโมง ความเสียหายจากสาธารณภัยจะลดลงไปได้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์

ฉะนั้นการมีข้อมูลทำให้เกิดประโยชน์สองประการ คือ ทำให้เราแจ้งเตือนได้ก่อน แม้ทางการอาจไม่สามารถไปช่วยได้ทั้งหมด แต่ถ้าประชาชนรู้ เขาก็อาจจะช่วยกันระวัง อย่างน้อยก็ลดความเสียหายได้ ประการที่สอง ข้อมูลทำให้เราเข้าใจปัญหามากขึ้น และนำไปต่อยอดงานวิจัยได้มากขึ้น การลงทุนกับข้อมูลเป็นการสร้างรากฐานที่แข็งแรงให้การศึกษาวิจัย พอเราเข้าใจมากขึ้น เราก็จะรับมือได้ง่ายขึ้น

ผมอยากเน้นย้ำว่าระบบสาธารณสุขของไทยไม่ได้ด้อยไปกว่าประเทศอื่นเลย ในบางมาตรฐานการประเมิน เราอยู่ใน 5 อันดับแรกประเทศที่มีระบบสาธารณสุขดีที่สุดในโลก เราดำเนินการได้ดีไปหลายเรื่องแล้วแต่ก็ยังมีอีกหลายมุมที่เรายังรู้ไม่มากพอว่า climate change ส่งผลกับโรคนั้นๆ อย่างไร รวมไปถึงการเผยแพร่ความรู้ให้คน อย่างที่ผมกล่าวไปก่อนหน้านี้ว่ายังมีคนไม่เข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศส่งผลต่อเขาอย่างไร เขาอาจจะเห็นแค่ว่าปีนี้ท่วม ปีนี้แล้ง แต่ไม่รู้ว่ามันทำให้การแพร่ระบาดของโรคในพื้นที่ของเขาเปลี่ยนไปอย่างไร ดังนั้น การศึกษาวิจัยหรือการให้ข้อมูลอาจจะทำในระดับประเทศอย่างเดียวไม่พอ ต้องลงมาทำระดับพื้นที่ด้วย โครงการด้านดิจิทัลของกระทรวงสาธารณสุขและรัฐบาล ตลอดจนการสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐและกระทรวงจะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนชุมชนให้สามารถปรับตัวต่อ climate change มากขึ้น

ข้อเสนอแนะข้างต้นดูจะต้องผลักโดยรัฐหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบาย แล้วถ้าเป็นประชาชนคนธรรมดา เราจะเริ่มต้นรับมือกับผลกระทบของ climate change อย่างไรได้บ้าง

เราอาจเริ่มที่การทำความเข้าใจก่อนว่าในพื้นที่ที่เราอยู่ ทั้งบ้านหรือที่ที่เราไปประจำอย่างโรงเรียนหรือที่ทำงานเสี่ยงที่จะเกิดโรคอะไรบ้าง เช่น ไข้เลือดออกมักระบาดตามโรงเรียน พอเด็กติดจากโรงเรียนกลับมาบ้าน ยุงกัดเด็กแล้วก็ไปกัดพ่อแม่ ก็ติดต่อกัน ฉะนั้น เราต้องเข้าใจความเสี่ยงก่อนว่าจะเกิดโรคอะไรขึ้นได้บ้างจาก climate change หลักการตรงนี้เรียกว่าองค์ความรู้ด้านความเสี่ยง (risk knowledge)

แต่ผลกระทบด้านสาธารณสุขไม่ได้มาทางตรงอย่างเดียว เราพูดถึงสุขภาพโดดๆ ไม่ได้ เพราะประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับมิติเศรษฐกิจและสังคม ถ้าเป็นครัวเรือนที่พึ่งพาการทำเกษตร การปลูกพืชเชิงเดี่ยวเยอะๆ จะมีความเสี่ยงเยอะ เพราะผลผลิตลดลงจากสภาพดินฟ้าอากาศที่แปรปรวน ซึ่งจะส่งผลสืบเนื่องไปยังรายได้ แล้วก็กระทบต่อไปยังเรื่องสุขภาพจิตอีก ฉะนั้น เกษตรกรต้องกระจายความเสี่ยงมากขึ้น ปลูกพืชหลายอย่างมากขึ้น ถ้าฝนตกหนัก พืชหนึ่งไปไม่รอด ยังมีพืชอื่นที่ทนฝนให้ได้เก็บเกี่ยว ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจว่าเราเสี่ยงอะไรเราก็จะวางแผนล่วงหน้าได้ และจะรับมือได้ดีกว่าเมื่อเจอภัยพิบัติ

หรืออย่างครอบครัวที่มีผู้ป่วยติดเตียง พอฝุ่น PM 2.5 มา ย้ายหนีไม่ได้ ก็ต้องคิดไปถึงการทำห้องที่ติดแอร์และมีเครื่องฟอกอากาศ แต่ก็ไม่ใช่ทุกครัวเรือนจะมีทุนพอที่จะทำเช่นนั้นได้ ดังนั้น ความพร้อมของประชาชนเป็นผลจากการสนับสนุนของรัฐด้วย โดยเฉพาะในครัวเรือนที่ยากจน ซึ่งจัดว่าเป็นกลุ่มเปราะบาง สมมติค่าฝุ่น PM 2.5 อยู่ในระดับวิกฤต ถ้าไปบอกเขาว่าเด็กกับผู้ป่วยเสี่ยงสูงนะ ควรอยู่ในห้องปิด มีเครื่องฟอกอากาศ เขาก็อาจจะตอบว่ารู้แล้วแหละ แต่ให้ทำยังไงได้ ในกรณีนี้การให้ความรู้อย่างเดียวอาจไม่พอ เราอาจต้องมีมาตรการบางอย่างมาช่วยด้วย

ผมมองว่าหน่วยบริการสาธารณสุขระดับปฐมภูมิ เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) อาจเป็นทางออกที่ดี เพราะเรามีกระจายทั่วถึงทั้งประเทศนับ 10,000 แห่ง สมมติช่วงที่ค่าฝุ่นวิกฤต รพ.สต ทำห้องแอร์ปลอดฝุ่น กลุ่มเปราะบางก็อาจจะมาพึ่งพิงพื้นที่นี้ได้ เราจะเหมือนมีโอเอซิสที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งไม่ใช่ทุกประเทศที่จะหน่วยบริการที่ครอบคลุมแบบนี้

ดังนั้น เราควรใช้จุดแข็งนี้เพิ่มประสิทธิภาพในการรับมือ การใช้กลไกภาครัฐอย่างศูนย์สุขภาพท้องถิ่น และ อสม. ต้องควบคู่ไปกับการเตรียมการรับมือของชุมชนเอง ดังนั้น ไม่เพียงแต่เรื่องการเพิ่มพูน risk knowledge ให้ประชาชน แต่ในระดับชุมชนจะต้องหารือและวางแผนการรับมือภัยพิบัติและโรคที่ไวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยตัวเองให้ได้ ส่วนบทบาทของรัฐส่วนกลาง คือการทำโครงการต่างๆ ที่ช่วยให้ชุมชนสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ ตอนนี้ผมเห็นว่าโครงการด้านดิจิทัลหลายโครงการมีศักยภาพที่จะสนับสนุนให้ชุมชนสามารถเข้าถึงข้อมูลและเสริมสร้างความพร้อมในการรับมือได้

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save