Overlapping Trauma: นี่คือปัญหาที่คนไทยกำลังเผชิญ

ทุกปี คนจากหลายแวดวงมักจะทำนายว่า ปีต่อไปคือปี ‘เผาจริง’ หรือสถานการณ์จะเลวร้ายวิกฤตมากๆ และเป็นอย่างนี้ต่อเนื่องมาไม่น่าจะต่ำกว่าสิบปีแล้ว

ถ้าเป็นพวกหมอดู ก็อาจพูดในมุมการเคลื่อนของดวงดาวต่างๆ หรือแม้กระทั่งบอกว่าตัวเองมีญาณหยั่งรู้ มีเทพ พระอินทร์หรือพระยมต่างๆ มาคอยกระซิบบอก (แต่ไม่ยักมีเทพองค์ไหนบอกออกมาตรงๆ เสียที มีแต่บอกมาแบบกำกวมให้ต้องมานั่งตีความเอาเอง ประเภทจะเกิดเหตุในสามวัน เจ็ดวัน สิบห้าวัน หนึ่งเดือน สามเดือน หกเดือน อะไรทำนองนี้ – ซึ่งมันก็ต้องถูกเข้าสักทีนั่นแหละน่า!)

ถ้าเป็นเหล่านักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์การเงินหรือนักวิเคราะห์อนาคตศาสตร์ ก็อาจดูจากตัวชี้วัดเศรษฐกิจต่างๆ อย่างเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน ดัชนีหุ้น ข้อมูลประชากร ดัชนีผู้บริโภค ดอกเบี้ย หรือแม้กระทั่ง ‘กราฟ’ ที่หลายคนคิดขึ้นมาเองโดยเอาโน่นนั่นนี่มาตัดแปะผสมกันเป็นเหตุปัจจัยแล้วเรียกว่ากราฟทางเทคนิค เอาเข้าจริง นักวิเคราะห์เหล่านี้คล้ายหมอดูอยู่เหมือนกัน ตรงที่มัก ‘บอก’ ให้ชัดเจนไม่ได้หรอกว่าจะเกิดแบบนั้นแบบนี้จริงหรือเปล่า ปัญหาของนักวิเคราะห์เหล่านี้ก็คือ วิเคราะห์ ‘อดีต’ เก่งมาก ว่าที่ปลายทางมันเป็นแบบนี้ เป็นเพราะเกิดเหตุแบบนี้ๆ แต่พอให้วิเคราะห์อนาคตเข้าจริงๆ ก็มีถูกบ้างผิดบ้างเหมือนกัน จนหลายคนแซวว่าเหมือนการเอา ends มาใช้ justify means หรือก็คือใช้ผลลัพธ์ปลายทางมาพิสูจน์ว่าวิธีการของตนนั้นถูกต้อง

นอกจากนี้ยังมีสายอื่นๆ ที่เสียง ‘ดัง’ น้อยกว่าสองสายที่ว่ามา เช่น นักสังคมวิทยาที่ดูความตึงเครียดทางการเมือง สงคราม ความขัดแย้งในสังคม, นักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ ที่ดูเรื่องสุขภาวะทางจิต หรือที่น่าสนใจที่สุด (แต่มักได้รับความสนใจน้อยที่สุด) ก็คือนักสิ่งแวดล้อม ที่ ‘คำเตือน’ ของพวกเขาควรได้รับการ ‘รับฟัง’ แน่นหนักที่สุด แต่ก็กลับมีคนสนใจไม่มากเท่าที่ควร ทั้งที่เรื่องที่นักสิ่งแวดล้อมเตือนว่ามันจะแย่ หรือมีอาการเผาจริงเกิดขึ้นนั้น เป็นเรื่องที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุด ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิสูงทำลายสถิติ ไฟป่า (อันนี้เผาจริงแน่ๆ) หรือภัยพิบัติต่างๆ

เพราะฉะนั้น ถ้าบอกว่าปีนี้ (หรือปีหน้า) จะ ‘แย่’ หรืออยู่ในสภาวะ ‘เผาจริง’ หรือไม่ ก็ต้องถามกลับก่อนว่า สิ่งที่เรียกว่าแย่นั้น แย่ในมิติไหน ใครวิเคราะห์ ใครพยากรณ์ ใครทำนาย ที่สำคัญที่สุดก็คือ มนุษย์โดยทั่วไปมีแนวโน้มจะจดจำเฉพาะเรื่องที่แย่ๆ โดยเฉพาะเรื่องแย่ๆ ที่เกิดขึ้นจริง มากกว่าเรื่องดีๆ

แล้วถ้าใช้ ‘ผล’ กลับไป justify ‘เหตุ’ ในรอบครึ่งปีที่ผ่านมานี้ล่ะ เราเจออะไรบ้าง และมันแย่ในระดับเผาจริงจนเกรียมไปมากแค่ไหน หรือเผาแล้วเผาอีกจนกลายเป็นจุณแทบไม่เหลือซากไปแล้วกันแน่

ปีที่ผ่านมา เราเจอเรื่องใหญ่ๆ ทั้งนั้น ตั้งแต่สงครามในระดับโลกที่เป็นสงครามจริงๆ, สงครามการค้าผ่านภาษีของทรัมป์ แถมยังเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยเจอกับ ‘แผ่นดินไหว’ ในระดับที่ไม่เคยเกิดมาก่อน ส่วนภัยพิบัติทางธรรมชาติก็ไม่ได้น้อยลงเลย โดยเฉพาะน้ำท่วมทางภาคเหนือ

พอผ่านมากลางๆ ปี เราก็เจอกับเรื่องคลิปเสียงของนายกรัฐมนตรีกับฮุน เซน ซึ่งนำไปสู่การปะทะ (ที่เวลานั้นยังไม่ได้เรียกว่า ‘สงคราม’ อย่างเป็นทางการ) แถมยังซ้ำเติมด้วยมิติทางสังคมอื่นๆ อีกหลากหลายเรื่อง ทั้งเรื่องพระกับสีกา ที่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก ส่วนในทางสังคมก็เพิ่งมีการกราดยิงในตลาดใหญ่ใจกลางเมือง ไม่นับเรื่องไฟดับเป็นวงกว้างที่หาคำอธิบายไม่ได้ในทันทีอีก และทั้งหมดนี้รองรังอยู่ด้วยปัญหาปากท้องและเศรษฐกิจที่ผู้คนไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร

ถ้าถามว่านี่คือการ ‘เผาจริง’ หรือเปล่า คือสภาวะที่ย่ำแย่ที่สุดแล้วหรือเปล่า ผมคิดว่าไม่ว่าจะเป็นนักวิเคราะห์อนาคตศาสตร์ที่เก่งที่สุด หมอดูหรือโหราพยากรณ์ที่มีพระอินทร์พระยมมาคอยกระซิบข้างหูใดๆ ก็ไม่น่าจะตอบได้หรอกว่า ณ ขณะนี้ เราอยู่ใน ‘จุดต่ำสุด’ ของความท้าทายในสังคมทุกมิติแล้วจริงหรือ เพราะไม่มีใครรู้หรอกว่าจะมีอะไรแย่กว่านี้เกิดขึ้นได้อีกหรือเปล่า

แต่ที่เราพอจะบอกได้จริงๆ ณ ขณะเวลานี้ก็คือ สังคมไทยและประเทศไทยกำลังอยู่ในสภาวะวิกฤตแบบที่เรียกว่า ‘พหุวิกฤต’ หรือ polycrisis ชัดเจนมาก

เราเจอกับทั้งเศรษฐกิจตกต่ำ ปากท้องย่ำแย่ พลเรือนตายจากอาวุธสงครามที่มาจากต่างชาติ เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ น้ำท่วม คนไม่เชื่อมั่นหรือ ‘ไม่ไว้ใจ’ ภาคการเมือง (ตั้งแต่นายกฯ พรรคร่วมรัฐบาล จนถึงฝ่ายค้าน) แถมยังลุกลามมาไม่เชื่อมั่นไม่ไว้ใจในสถาบันสงฆ์อีก เพราะเกิดวิกฤตกับพระชั้นผู้ใหญ่หลายรูปในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

แต่ละเรื่อง – ถ้าเกิดขึ้นเพียงเรื่องหนึ่งเรื่องใด ก็มากเพียงพอแล้วที่จะทำให้สังคมเข้าสู่ภาวะวิกฤตในมิตินั้น

แต่นี่มัน ‘ประเดประดัง’ เกิดพร้อมๆ กัน ติดๆ กัน ทั้งยัง ‘ซ้อนทับ’ กันหลายระลอกจนทำให้คนธรรมดาๆ อย่างเราๆ ท่านๆ แทบจะเกิดอาการ ‘สำลักวิกฤต’ เสพข่าวแทบไม่ทัน

พหุวิกฤตนั้น นำไปสู่สภาวะที่เรียกว่า ‘ระบบพัง’ แต่เป็นการพังพร้อมๆ กันหลายระบบ หรือ multi-system breakdown พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ระบบต่างๆ ที่ประชาชนเคย ‘พึ่งพิง’ ล้มเหลวไปในเวลาใกล้ๆ กัน เช่น ระบบการเมืองตอนนี้ พูดได้เลยว่าความเชื่อมั่นต่ำมาก เพราะประชาชนไม่รู้จะหันไปทางไหนหรือ ‘เชื่อ’ ใครได้อย่างแท้จริง ระบบความมั่นคงของเรา ก็ต้องบอกว่าอยู่ในระดับที่ย่ำแย่ ประเทศแบบไหนที่ปล่อยให้คนของตัวเองต้องล้มตายจากอาวุธสงครามของต่างชาติ ทั้งที่แค่เดินไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อหรือเข้าโรงพยาบาล ส่วนระบบเศรษฐกิจก็เรียกได้ว่าไม่มีใครมั่นใจได้เลย ยิ่งถ้าเป็นระบบความปลอดภัยพื้นฐาน เหตุกราดยิงหรืออุบัติเหตุต่างๆ ก็ทำให้เรามั่นใจในชีวิตและทรัพย์สินของตัวเองไม่ได้ และที่ร้ายที่สุดก็คือระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากจะเกิดเหตุภัยพิบัติมากขึ้น ทั้งน้ำท่วม แผ่นดินไหวแล้ว เรายังไม่อาจแน่ใจได้เลยว่ากระบวนการภาครัฐ เช่นการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม เกิดขึ้นอย่างโปร่งใสและมีผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้งจริงๆ

เหตุร้ายเหล่านี้เกิดขึ้นทุกระดับ ทั้งระดับส่วนตัวและระดับส่วนรวม แถมยังเกิดขึ้นซ้ำๆ เหตุหนึ่งยังไม่ทันจะหายไป เหตุใหม่ก็เข้ามาอีก สภาวะแบบนี้เรียกว่า overlapping trauma หรือความบอบช้ำซ้ำซ้อน คือยังไม่ทันฟื้นจากเรื่องหนึ่ง ก็เกิดเรื่องใหม่ซ้ำเข้าไปอีก

ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดวิกฤตศรัทธา ไม่ใช่แค่กับระบบใดระบบหนึ่ง หรือรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งเท่านั้น ทว่าเป็นวิกฤตศรัทธากับหลายระบบพร้อมๆ กัน ซึ่งถือเป็นเรื่องอันตรายที่สุดอย่างหนึ่งของสังคม เพราะมันทำให้สังคมเปราะบางมากจนอาจนำสังคมทั้งสังคมไปสู่สภาวะล่มสลายได้

พหุวิกฤตไม่ใช่เรื่องใหม่ในประวัติศาสตร์ โลกเคยเผชิญเรื่องนี้มาแล้วหลายครั้ง เช่น ปลายศตวรรษที่ 14 ในยุโรป ที่เกิดกาฬโรคระบาดพร้อมๆ กับสงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส แถมศาสนจักรก็ยังเป็นที่พึ่งให้ผู้คนไม่ได้ด้วย เกิดความตกต่ำล้มเหลว ทั้งยังถูกกระหน่ำซ้ำเติมด้วยน้ำท่วมและพายุ จนผลิตผลทางการเกษตรไม่ได้ผลดี

มีผู้วิเคราะห์ว่า แม้จะเกิดพหุวิกฤตหนักหนาแบบนี้ แต่สุดท้ายแล้วมนุษย์ก็ไม่ยอมแพ้ เพราะพหุวิกฤตในปลายศตวรรษที่ 14 นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงหลายเรื่อง จนนำยุโรปเข้าสู่ยุคเรอเนสซองส์หรือยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาได้

พหุวิกฤตอีกช่วงหนึ่งที่กินเวลานานหลายสิบปี คือช่วงต้นศตวรรษที่แล้ว ซึ่งเกิดวิกฤตซ้อนเหลื่อมกันหลายครั้ง ทั้งสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจนมีคนตายหลายสิบล้านคน เกิดโรคไข้หวัดสเปนระบาดจนมีคนตายกว่า 50 ล้านคน มีการล่มสลายของหลายจักรวรรดิที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีต เช่น ออสเตรีย-ฮังการี, จักรวรรดิเยอรมัน, ออตโตมัน รวมไปถึงการปฏิวัติในรัสเซียจนเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทั่วโลกตึงเครียดทางการเมือง และส่งผลทางเศรษฐกิจต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression) ซึ่งส่งผลมาถึงการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยด้วย ที่สำคัญก็คือ สภาวะแบบนี้ ทำให้เกิดความเฟื่องฟูของลัทธิฟาสซิสต์ ทั้งในเยอรมนี อิตาลี และจักรวรรดินิยมในญี่ปุ่น แล้วสุดท้ายก็นำไปสู่สงครามเต็มรูปแบบ คือสงครามโลกครั้งที่สอง

กว่าโลกจะฟื้นตัวได้ก็กินเวลายาวนาน แต่ทั้งหมดนี้ก็ทำให้เกิดความร่วมมือของมนุษยชาติในรูปของสหประชาชาติขึ้นมาได้ในที่สุด

พหุวิกฤตไม่ได้มีแค่นี้ แต่ยังมีอีกหลายครั้ง เช่น ปี 1968 สงครามเวียดนามมาถึงจุดเดือด มีการฆ่าฟันกันมหาศาล ไล่ไปจนถึงการลอบสังหารทั้งมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ และโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี

ปี 2020 เกิดโรคระบาดอย่างโควิด-19 เกิดการปิดเมืองทั่วโลก มีความไม่เสมอภาคด้านวัคซีน แถมยังมีวิกฤตภูมิอากาศต่างๆ และเริ่มเห็นการกลับมาของสงครามเย็นที่ต่อมาพัฒนากลายมาเป็นสงครามจริงๆ และสงครามตัวแทน

เราอาจมองว่าพหุวิกฤตเป็นเรื่องเลวร้ายก็ได้ ถ้าเราต้องอยู่ท่ามกลางมัน แต่ในอีกด้านหนึ่ง นักประวัติศาสตร์ก็มองว่า พหุวิกฤตคือ ‘สัญญาณ’ ที่บอกว่ามนุษย์กำลังต้องการการเปลี่ยนแปลงใหญ่ และหลังพหุวิกฤตแทบทุกครั้ง ก็มักนำไปสู่ ‘สิ่งที่ดีกว่า’ เสมอ

แล้วถ้าถามว่าตอนนี้ไทยอยู่ในช่วงไหนของพหุวิกฤต ก็เป็นไปได้ว่าเราน่าจะกำลัง ‘ตกท้องช้าง’ ของวิกฤตทั้งหลายอยู่ เราอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ การเมืองไร้เสถียรภาพ สังคมแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่ก็ยังต้องลุกขึ้นต่อสู้ต่อกรกับประเทศเพื่อนบ้านโดยขาดผู้นำประเทศที่เข้มแข็งและเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน

ดังนั้น ถ้าเรายังไม่สามารถสร้าง ‘ระบบใหม่’ ที่ ‘ตอบสนอง’ กับประชาชนอย่างยั่งยืนขึ้นมาได้ แต่หันกลับไปหาวิธีแก้ปัญหาเก่าๆ โดยไม่หันกลับไปดูประวัติศาสตร์อย่างมีสติ เราก็อาจทำอะไรบางอย่าง ‘ซ้ำรอย’ ประวัติศาสตร์ ที่ก่อให้เกิดเรื่องน่าเสียใจขึ้นมาได้

ในปี 1933 เยอรมนีตกอยู่ในสภาพย่ำแย่พอๆ กับไทยในปัจจุบัน ตอนนั้นเยอรมนีเลือกผู้นำที่มีบุคลิก ‘กล้า’ และ ‘ชัดเจน’ แต่ไม่ซับซ้อน โดยไม่สนใจหลักการประชาธิปไตยใดๆ ผลลัพธ์ก็คือ เยอรมนีก้าวเข้าสู่ยุคเผด็จการฟาสซิสต์ที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

ถ้าเราไม่สร้างระบบใหม่ที่ตอบสนองต่อประชาชน ‘อย่างแท้จริง’ ก็เป็นไปได้ที่เราอาจ ‘หลุด’ ออกจากระบอบประชาธิปไตยในทางปฏิบัติได้ง่ายมาก เรากำลังยืนอยู่ในจุดที่หลายสังคมในโลกเคยผ่านมาหลายครั้ง และแต่ละครั้งก็ทิ้ง ‘บาดแผล’ ไว้ลึกมาก

การเกิด overlapping trauma หรือความบอบช้ำซ้ำๆ กระหน่ำลงมานั้น มักทำให้เราไม่เหลือ mental load หรือสติปัญญาที่จะคิดพิจารณาไตร่ตรองให้ชัดเจนว่าเราต้องการอะไรจริงๆ และสิ่งที่เราต้องการนั้นจะส่งผลต่อไปอย่างไรในอนาคต จึงมีโอกาสมากที่การ ‘เลือก’ หรือการ ‘ตัดสินใจ’ บางอย่างของเรา จะนำเราไปสู่อาการ ‘พัง’ ของสังคมในระดับโครงสร้างได้

overlapping trauma คือภาวะที่บาดแผลทางใจหลายรูปแบบเกิดขึ้นซ้อนทับกันในเวลาเดียวกัน โดยไม่มีเวลาฟื้นตัว เช่น เพิ่งสูญเสียคนรักไปยังไม่ทันเยียวยา ก็มาตกงานเสียก่อน แล้วก็พบว่ารัฐไม่ได้เหลียวแล ต่อมาอีกสักพักบ้านก็ถูกน้ำท่วมครั้งใหญ่จนไม่เหลืออะไร เป็นต้น สภาวะเหล่านี้จะก่อให้เกิดการซ้อนทับของปัญหาทั้งในระดับปัจเจกและระดับโครงสร้าง สมองของเราจะ ‘ถูกเซ็ต’ เข้าโหมดระวังภัยอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่มีความมั่นคงปลอดภัยใดๆ ในชีวิตเลย สภาวะแบบนี้เรียกว่า hypervigilance คือต้องระวังตัวตลอดเวลา มีอะไรมากระตุ้นนิดเดียวก็ส่งผลได้มากเพราะไวต่อการกระตุ้น แถมยังไม่มีช่วงเวลาให้พักหรือฟื้นตัวขึ้นมาได้ด้วย

overlapping trauma จึงอาจนำไปสู่สภาวะอื่นๆ ได้หลายอย่าง เช่น อาการ ‘ด้านชา’ ทางสังคม ไม่รู้สึกรู้สาต่ออะไรอีกแล้วในแบบที่เรียกว่า ignorant หรือไม่ก็อาจเกิดความหวาดระแวงฝังลึก มีความ ‘ไม่ไว้วางใจ’ เรื้อรัง (chronic distrust) คือไม่ไว้ใจใครอีกเลย ทั้งสื่อ นักการเมือง ระบบ หรือแม้แต่พระและศาสนาที่เคยเป็นที่พึ่งพิงทางจิตวิญญาณมาก่อน

สภาวะแบบนี้อาจนำไปสู่ความรุนแรงรูปแบบต่างๆ ได้ ที่เห็นกันได้บ่อยๆ ก็คือความรุนแรงทางคำพูดในโซเชียล ที่นับวันก็มีแต่จะรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดความรุนแรงทางตรงถึงระดับทำร้ายร่างกายกันหรือแม้กระทั่งกราดยิงคนไม่รู้จักได้ ทั้งนี้ก็เพราะวิกฤตภายนอกได้หลอมรวมเข้าภายในตัวเราอย่างรุนแรง จนเกิดความรู้สึกว่าไม่มีอะไรอีกแล้วที่มีความหมาย เช่น ไม่เชื่อว่าการทำความดีหรืออุทิศตนให้อะไรสักอย่างจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้

รัฐไทยต้อง ‘ตระหนัก’ ว่า overlapping trauma มีอยู่จริง และ ‘กำลังเกิดขึ้น’ ทั่วทุกหัวระแหงด้วย รัฐต้องยอมรับความผิดพลาดของตัวเองและเหล่าคนทำงาน ไม่ว่าจะเกิดโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ โดยทุจริตหรือสุจริต แล้วหาวิธีลงโทษคนผิดให้ได้จริงๆ ทำให้กฎหมายเป็นกฎหมาย นิติรัฐเป็นนิติรัฐ ไม่ใช่เอื้อให้แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือลงมือจัดการกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงเพราะเรื่องนั้น ‘เข้าทาง’ การครองอำนาจและกำจัดฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น

overlapping trauma ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ไม่ใช่แค่เรื่องของคนป่วยหนึ่งคนที่กินยาหรือเข้ารับการรักษาแบบจิตบำบัดแล้วจะมีโอกาสหาย แต่ overlapping trauma คือสัญญาณที่บอกเราว่าระบบต่างๆ ของทั้งสังคมนี้กำลัง ‘พัง’ ลงพร้อมๆ กัน

และทั้งหมดนี้ไม่ได้แปลว่ามันจะนำเราไปสู่ยุคเรอเนสซองส์ครั้งใหม่เสมอไป

อาจเป็นตรงข้ามก็ได้!

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save