ย้อนหลังไปในปี 2566 António Guterres เลขาธิการสหประชาชาติกล่าวประโยคที่เป็นวรรคทองภายหลังจากชุมชนวิทยาศาสตร์ยืนยันถึงแนวโน้มอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกว่า “‘ยุคโลกร้อน’ (global warming) ได้จบลง และ ‘ยุคโลกเดือด’ (global boiling) มาถึงแล้ว”
จนเมื่อต้นปี 2568 ทุกสำนักอุตุนิยมวิทยาที่มีชื่อเสียงของโลกต่างรายงานตรงกันว่า ปี 2567 เป็นปีที่ร้อนที่สุดทะลุสถิติเท่าที่มีการเก็บบันทึกข้อมูลตรวจวัดในประวัติศาสตร์ และทำลายสถิติอุณหภูมิรายเดือนที่ร้อนที่สุดอย่างไม่เคยมีมาก่อนติดต่อกัน 15 เดือน (มิถุนายน 2566 ถึงสิงหาคม 2567) ในขณะที่อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกขยับขึ้นแตะขีดจำกัด 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมซึ่งประชาคมโลกตกลงให้เป็นเป้าหมายแรกตามความตกลงปารีส
อันที่จริงต้องกล่าวในที่นี้ว่า ไม่มีระดับภาวะโลกร้อนใดที่เรียกว่า ‘ปลอดภัย’ แม้อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกจะเพิ่มขึ้นเพียง 1 องศาเซลเซียสจากระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม โดยในปี 2561 เกิดคลื่นความร้อนที่ทำลายสถิติ ไฟป่าลุกลามตั้งแต่ในเขตอาร์กติกไปจนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ มีรายงานถึงการละลายตัวอย่างรวดเร็วของชั้นดินเยือกแข็งถาวรและต้นเบาบับโบราณล้มตายลงอย่างกะทันหัน การที่แนวปะการังเกรทแบริเออร์ (Great Barrier Reef) กำลังล่มสลายและน้ำแข็งในแอนตาร์กติกละลายเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าภายในเวลาเพียงห้าปี ล้วนเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่ามนุษยชาติก้าวล่วงเข้าสู่เขตอันตรายมาไกลเกินคาดแล้ว
ในขณะที่เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วทั้งไฟป่ามหากาฬ พายุหมุนและมหาวาตภัย ความแห้งแล้งยาวนาน คลื่นความร้อนที่เป็นอันตรายทั้งบนบกและในทะเลได้ทวีความสุดขีดมากขึ้นทั่วโลก ถนนทุกสายมุ่งไปสู่เมืองเบเลง บราซิล สถานที่จัดการประชุมเจรจาสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 30 (COP30) ในเดือนพฤศจิกายน 2568 ที่จะถึงนี้ โดยหนึ่งในวาระสำคัญคือการเสนอเป้าหมายใหม่ที่ทะเยอทะยานมากขึ้นเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก่อนที่หน้าต่างแห่งโอกาสในการหลีกเลี่ยงหายนะโลกเดือดจะปิดลง
เดือนมิถุนายน 2568 วีซ่าการย้ายถิ่นฐาน (migration visa) รูปแบบใหม่ครั้งแรกของโลกเปิดให้ชาวเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก เริ่มจากประเทศตูวาลูย้ายไปที่ออสเตรเลียเพื่อหลบหนีจากผลกระทบร้ายแรงที่สุดจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศโดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงหน้าต่างแห่งโอกาสที่เป็นเดิมพันของกลุ่มประเทศหมู่เกาะขนาดเล็กได้เป็นอย่างดี
แม้ว่าเราจะมีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ความตกลงปารีส มีแผนแม่บท แผนปฏิบัติการและกลไกการดำเนินงานในระดับภูมิภาคและประเทศ ตลอดจนคู่มือ ‘how to’ มากมายที่แนะนำวิธี ‘ดีต่อใจ ดีต่อโลก’ ให้สอดคล้องกับความตระหนักของสาธารณชนต่อวิกฤตโลกเดือดที่เพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังมีช่องว่างระหว่างขนาดของวิกฤตและการลงมือทำที่นิยมเรียกว่า Climate Action ดังนั้น บทความนี้จะชี้ให้เห็นช่องว่างดังกล่าวที่ถูกละเลยและมองข้ามในการสนทนาทางสังคม ตลอดจนการสื่อสารและการณรงค์สาธารณะ
มนต์สะกดของลัทธิเสรีนิยมใหม่
การสำรวจความคิดเห็นด้านสิ่งแวดล้อมนับตั้งแต่ปี 2564 โดย Marketbuzzz ร่วมกับ School of Global Studies มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พบว่า ‘ภาวะโลกร้อนและมลพิษทางอากาศ’ เป็นความกังวลหลักของประชาชนต่อเนื่องมา 5 ปีจนถึงปัจจุบัน ตามมาด้วยความกังวลทางเศรษฐกิจ โดยการสำรวจชี้ให้เห็นว่าการลงมือทำเพื่อสิ่งแวดล้อมที่พบมากที่สุดยังคงเป็นกิจกรรมง่ายๆ ภายในครัวเรือน เช่น ปิดไฟ ปิดแอร์ ใช้ถุงผ้าไปช้อปปิ้ง แยกขยะ ซึ่งไม่ต้องใช้ความพยายามมากและเห็นผลเป็นรูปธรรม
การลงมือทำที่ ‘ดีต่อใจ ดีต่อโลก’ ที่ใช้ความพยายามมากขึ้น เช่น วิธีทำให้บ้านและออฟฟิศเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนหลอดประหยัดไฟ ทำปุ๋ยจากเศษอาหาร ไปจนถึงการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา หรือในขั้นสุดจากงานวิจัยที่ระบุว่าวิธีที่ดีที่สุดในต่อกรกับวิกฤตโลกเดือดคือการวางแผนครอบครัวหรืออีกนัยหนึ่งมีลูกให้น้อยลงหรือไม่มีลูกเลย (มีปัจจัยหลักอื่นๆ ที่ผู้คนตัดสินใจไม่มีลูกซึ่งไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ Climate Action)
แต่ประเด็นคือ ไม่ว่าเราจะมีความพยายามที่ ‘ดีต่อใจ ดีต่อโลก’ มากน้อยเพียงใด อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลต่างหากกลับทำให้มันไร้ความหมาย
เมื่อพิจารณาถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่ปี 2531 ซึ่งเป็นปีที่ก่อตั้งคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) อีกทั้งยังเป็นปีที่เกิดการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าวิกฤตสภาพภูมิอากาศเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยมีการวิจัย Cabon Majors ที่พลิกโฉมวงการพบว่ามีอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล (บริษัทขนาดใหญ่ที่ผลิตน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และซีเมนต์) 100 ราย รวมถึงเอ็กซอนโมบิล (ExxonMobil) เชลล์ (Shell) บีเอชพีบิลลิตัน (BHP Billiton) และแก๊สพรอม (Gazprom) เชื่อมโยงกับปริมาณร้อยละ 71 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก ในขณะที่เรากำลังสาละวนอยู่กับการเลือกหาผลิตภัณฑ์สีเขียวหรือซื้อแผงโซลาร์ใหม่ แต่ ‘คาร์บอนยักษ์ใหญ่’ เหล่านี้ยังคงเดินหน้าเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลทำลายโลกต่อไป
เสรีภาพในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษของคาร์บอนยักษ์ใหญ่ 100 ราย และการที่เราหมกมุ่นกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเราเองนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เนื่องจากมีบทวิเคราะห์ว่านี่คือผลพวงของโครงการทางการเมืองของลัทธิเสรีนิยมใหม่ (neoliberalism) ที่ผงาดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 โดยมีหนึ่งในแกนกลางของอุดมการณ์นี้คือแนวคิดที่ว่าตลาดเป็นกลไกหลักในการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด
ผลที่ตามมาคือการลดทอนกฎระเบียบของตลาดในวงกว้าง ในแง่มุมด้านสิ่งแวดล้อมได้เปิดทางให้บรรษัทมีเสรีภาพในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไร้ขอบเขตและก่อให้เกิดการทำลายสิ่งแวดล้อม ภายใต้ข้ออ้างเรื่องผลกำไรและประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ เมื่อเราพิจารณาบรรษัทที่ร่ำรวยที่สุด 20 อันดับแรกของโลก จึงไม่น่าแปลกใจที่กลุ่มบรรษัทเหล่านี้ปรากฏอยู่ในรายชื่อของ ‘คาร์บอนยักษ์ใหญ่’ ด้วย
ลัทธิเสรีนิยมใหม่ทิ้งร่องรอยลึกซึ้งไว้ในวิธีที่สังคมต่างๆ จัดโครงสร้างเศรษฐกิจของตนนานนับทศวรรษ Martin Lukacs สื่อมวลชนและคอลัมนิสต์ของ The Guardian อธิบายแบบง่ายๆ ถึงมนต์สะกดของมันว่า
“…เราถูกหล่อหลอมด้วยวัฒนธรรมที่ทำให้คิดว่าเราเป็น ‘ผู้บริโภค’ แทนที่จะเป็น ‘พลเมือง’ และต้อง ‘พึ่งตนเอง’ แทนที่จะ ‘พึ่งพากันและกัน’ เราจึงรับมือกับปัญหาเชิงระบบด้วยการพึ่งทางออกปัจเจกซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้กระทั่งก่อนยุคเสรีนิยมใหม่ เศรษฐกิจทุนนิยมขยายตัวจากการทำให้ผู้คนเชื่อว่าปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบที่เอาเปรียบไม่ว่าจะเป็นความยากจน การว่างงาน สุขภาพที่ย่ำแย่ ชีวิตที่ไร้เป้าหมายนั้นคือความล้มเหลวส่วนบุคคล ลัทธิเสรีนิยมใหม่ยิ่งทำให้การโทษตัวเองนี้หนักขึ้น โดยบอกเราว่าถ้าเราไม่มีงานดีๆ เป็นหนี้ท่วมหัว ไม่มีเวลาให้เพื่อนเพราะเครียดและทำงานหนักเกินไป นั่นเป็นความผิดของเราและตอนนี้เรายังต้องรับผิดชอบต่อการล่มสลายทางนิเวศวิทยาของโลกอีก…”
การไปให้พ้นจากมนต์สะกดของลัทธิเสรีนิยมใหม่ Martin Lukacs เสนอว่า “…เรายังจำเป็นต้องมีการบริโภคที่ยั่งยืนและพัฒนาทางเลือกสีเขียว แต่ทางเลือกเหล่านี้จะมีพลังจริงเมื่อระบบเศรษฐกิจทางเลือกของเราเป็นประชาธิปไตย ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่เพียงผู้มีชื่อเสียงและอิทธิพลทางความคิดหรือผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจ การเคลื่อนไหวมวลชนและการมีจินตนาการร่วมทางการเมืองเท่านั้นที่จะหลีกเลี่ยงวิกฤตสภาพภูมิอากาศ…และเราต้องรวมพลังกันสู้กับอำนาจของบรรษัท”
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากเราต้องการบรรลุเป้าหมายในการกู้วิกฤตโลกเดือด ปฏิบัติการทางการเมืองร่วมกันเป็นสิ่งจำเป็น โดยที่การเลือกบริโภคระดับปัจเจกเพียงลำพังไม่อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ และความพยายามแก้ไขผลกระทบด้านลบของระบบด้วยกลไกที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบนั้นย่อมล้มเหลวตั้งแต่ต้น
การลุกขึ้นต่อกรกับอำนาจที่ครอบงำของบรรษัทและการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจการเมืองเชิงระบบนั้น อาจเห็นได้อย่างชัดมากกว่าในกลุ่มประเทศซีกโลกเหนือ ไม่ว่าจะเป็นขบวนการเพื่อความเป็นธรรมด้านภูมิอากาศ การถอนการลงทุนในอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล การปฏิวัติระบบพลังงานหมุนเวียนที่สะอาด บางส่วนเชื่อมโยงกับขบวนการสิทธิพลเมือง เช่น Black Lives Matter การต่อสู้เพื่อสิทธิของผู้อพยพและชนพื้นเมือง การเรียกร้องค่าจ้างที่เป็นธรรม รวมไปถึงแผนปฏิรูประบบเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรมเพื่อกู้วิกฤตสภาพภูมิอากาศของพรรคแรงงานบางประเทศในยุโรป
แต่การต่อกรเพื่อได้มาซึ่งภาระรับผิดของ ‘ยักษ์ใหญ่คาร์บอน’ ในกลุ่มประเทศซีกโลกใต้นั้นมีบริบทและเงื่อนไขที่ต่างออกไป
เผชิญหน้ายักษ์ใหญ่คาร์บอน
ในเดือนพฤศจิกายนปี 2558 ซาอูล ลูเซียโน ลิวยา (Saúl Luciano Lliuya) เกษตรกรชาวเปรู ยื่นฟ้องบริษัท RWE อุตสาหกรรมฟอสซิลยักษ์ใหญ่ของเยอรมนีต่อศาลในเยอรมนี โดยลิวยาอ้างว่า RWE ต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อวิกฤตโลกเดือดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมากอย่างตั้งใจ ส่งผลให้ธารน้ำแข็งบนภูเขาใกล้บ้านเกิดของเขาในเมืองวาราซ (Huaraz) ประเทศเปรูเกิดละลายและถล่มลงมาและก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน
แม้ว่า RWE จะเป็นเพียงหนึ่งในยักษ์ใหญ่คาร์บอนที่มีส่วนร่วมในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ลิวยาจึงไม่ได้เรียกร้องให้ RWE รับผิดชอบทั้งหมด แต่ร้องขอศาลสั่งให้ RWE จ่ายค่าชดเชยบางส่วนสำหรับค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบป้องกันน้ำท่วม
หลังจากที่ศาลชั้นต้นของเยอรมนีเคยปฏิเสธคดีนี้ แต่ในปี 2560 ศาลอุทธรณ์เยอรมนีอนุญาตให้คดีเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาพยานหลักฐาน ถือเป็นสัญญาณสำคัญที่ถือว่า RWE มีความรับผิดชอบต่อความเสียหายจากสภาพภูมิอากาศในต่างประเทศได้แม้จะไม่ใช่ผู้ก่อมลพิษเพียงรายเดียวก็ตาม
ความสามารถที่เพิ่มขึ้นของนักวิทยาศาสตร์ในการเชื่อมโยงเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงเข้ากับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนการระบุปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศที่มาจากแต่ละบริษัทนั้นเป็นการเปิดพื้นที่ให้บุคคล ชุมชน และรัฐบาลท้องถิ่นสามารถเรียกร้องให้บริษัทต่างๆ มีภาระรับผิด (accountable) ต่อผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
ในเดือนธันวาคม 2558 คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน (The Commission on Human Rights-CHR) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระภายใต้รัฐธรรมนูญของฟิลิปปินส์ เริ่มต้นพิจารณาคำร้องที่มีเป้าหมายเพื่อให้บริษัทในกลุ่ม ‘ยักษ์ใหญ่คาร์บอน’ มีภาระรับผิดต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับโลกและผลกระทบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่เกี่ยวเนื่องกัน การพิจารณาครั้งดังกล่าวถือเป็นการไต่สวนด้านสิทธิมนุษยชนระดับชาติว่าด้วยวิกฤตสภาพภูมิอากาศครั้งแรกของโลกซึ่งริเริ่มโดยกลุ่มภาคประชาสังคม 14 องค์กร ร่วมกับเกษตรกรและชาวประมงฟิลิปปินส์ นักสิทธิมนุษยชน ผู้รอดชีวิตจากพายุไต้ฝุ่น ศิลปินและพลเมืองผู้ตระหนักถึงปัญหา
คำร้องนี้เกิดขึ้นจากผลกระทบร้ายแรงของมหาพายุไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนในปี 2556 ที่สร้างความสูญเสียและเสียหายอย่างหนักในฟิลิปปินส์ พร้อมกับข้อมูลจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถระบุได้ว่าบริษัทใดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ โดยมีผู้นำชุมชน กลุ่มชนพื้นเมือง ประธานสมาคมเกษตรกรระดับชาติและแรงงานในภาคขนส่งร่วมเป็นพยานถึงความทุกข์ยากที่พวกเขาต้องเผชิญซึ่งเป็นผลบางส่วนจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ขณะเดียวกันผู้เชี่ยวชาญนำเสนอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าด้วยวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ผลกระทบ สาเหตุและภาระรับผิดของยักษ์ใหญ่คาร์บอนทั้งหลาย
คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน (The Commission on Human Rights-CHR) ฟิลิปปินส์เปิดรายงานในปี 2565 ว่า กลุ่มผู้ปล่อยคาร์บอนรายใหญ่ของโลก อาทิ เอ็กซอนโมบิล (ExxonMobil) เชลล์ (Shell) บีเอชพีบิลลิตัน (BHP Billiton) โททอล (Total) เชฟรอน (Chevron) และบีพี (BP) ก่อให้เกิดวิกฤตโลกเดือดและทำลายสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ในการดำรงชีวิต เข้าถึงอาหาร สุขภาพที่ดีและวิถีการดำรงชีวิต
การลงความเห็นโดยคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน (The Commission on Human Rights-CHR) ฟิลิปปินส์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การฟ้องร้องต่ออุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลที่เชื่อมโยงกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และพบว่าบรรษัทเหล่านั้นมีความผิดจริงตามกฎหมายและศีลธรรม จึงสามารถสร้างมิติใหม่และผลสะเทือนต่อผู้กำหนดนโยบายและสมาชิกสภานิติบัญญัติทั้งในฟิลิปปินส์และอีกหลายประเทศที่มีคดีสภาพภูมิอากาศในเชิงยุทธศาสตร์ (strategic climate litigation) ตามมา
การเผชิญหน้ากับยักษ์ใหญ่คาร์บอนผ่านคดีสภาพภูมิอากาศในเชิงยุทธศาสตร์น่าจะเป็นแนวทางหนึ่งที่คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนอาเซียนและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของไทยอาจนำมาประยุกต์ได้ เพื่อยกระดับความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศและช่วยคลายมนต์สะกดของลัทธิเสรีนิยมใหม่ในระดับประเทศไปพร้อมๆ กันด้วย
จิตพลิกใจผัน (Disrupted Mind) ในวันโลกเดือด
ข้อค้นพบส่วนหนึ่งจากการสำรวจความคิดเห็นด้านสิ่งแวดล้อมโดย Marketbuzzz ร่วมกับ School of Global Studies มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่ามีช่องว่างอย่างมากระหว่างความกังวลของประชาชนกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมระดับปัจเจก โดยผลสำรวจพบว่า 65% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตของตน และเกือบครึ่งหนึ่ง (48%) คาดว่าสถานการณ์จะเลวร้ายลงในอีกห้าปีข้างหน้า ข้อค้นพบดังกล่าวสามารถสะท้อนสิ่งที่ทีมสำรวจและนักวิจัยเรียกว่า ‘ความกังวลฝังรากลึกของสาธารณชน’ ที่ยังคงอยู่แม้จะเผชิญกับวิกฤตทางเศรษฐกิจที่รุนแรงมากขึ้น
ในระดับที่กว้างขึ้น ข้อค้นพบดังกล่าวนี้สะท้อนถึงความท้าทายนานหลายสิบปีที่นักวิทยาศาสตร์และนักกิจกรรมด้านสภาพภูมิอากาศสื่อสารตอกย้ำถึงความเร่งด่วนของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ รวมไปถึงผลกระทบที่เป็นหายนะหากไม่ทำอะไรเลย แต่จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ความท้าทายดังกล่าวกลายเป็นตัวจุดชนวนขยายความกังวลและความตระหนก (climate anxiety) ต่อผู้คนที่รับสาร นั่นหมายถึงว่าหากเราต้องการจะคลายมนต์สะกดของลัทธิเสรีนิยมใหม่ เราต้องเข้าใจถึงสิ่งที่นักจิตวิทยาทางสังคมเรียกว่า cognitive dissonance หรือ สภาวะเมื่อสิ่งที่ถูกต้องกลับไม่ถูกใจ
ในเวลาต่อมามีการวิเคราะห์ในระดับลึกเพื่อความเข้าใจในการคลายมนต์สะกดของลัทธิเสรีนิยมใหม่ กล่าวคือลัทธิเสรีนิยมใหม่ไม่ได้เอาเปรียบนิสัยที่ไม่มีอยู่ในตัวเรา แต่ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เราปฏิเสธที่จะยอมรับว่ามีในตัวเอง เช่น ความโลภ ความใจร้อน หรือการหลงใหลในความสะดวกสบาย กล่าวคือเราไม่ได้โกรธเพียงระบบนี้หรือผู้ที่หาผลประโยชน์จากมัน แต่เรายังโกรธตัวเองที่ปล่อยให้ตัวเรายอมจำนนต่อมันด้วย
ในปี พ.ศ. 2524 บารุค ฟิชฮอฟฟ์ (Baruch Fischhoff) ตีพิมพ์บทความเรื่อง Hot Air : The Psychology of CO2-Induced Climatic Change เขาสำรวจว่าผู้คนรับรู้และประมวลผลข้อมูลเกี่ยวกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างไร โดยเฉพาะอุปสรรคทางจิตวิทยาที่ขัดขวางความเข้าใจ อีกทั้งบทความดังกล่าวยังชี้ให้เห็นถึงความท้าทายในการสื่อสารข้อมูลที่ซับซ้อน มีระยะยาว ไม่แน่นอน และยากต่อการคาดการณ์อย่างเรื่องวิกฤตสภาพภูมิอากาศ รวมถึงความเอนเอียงในกระบวนการรู้คิดและใช้ความรู้สติปัญญา (cognitive biases) ตลอดจนกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่คนใช้เป็นทางลัดในการตัดสินใจ (heuristics) ว่ามีอิทธิพลต่อการรับรู้ความเสี่ยงและการตัดสินใจอย่างไร เช่น เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว (อุทกภัย ไฟป่า คลื่นความร้อน) ดึงความสนใจผู้คนได้มากกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกหรือระดับน้ำทะเลที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น
งานของฟิชฮอฟฟ์ได้วางรากฐานต่อความเข้าใจมิติทางจิตวิทยาของการสื่อสารเรื่องวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และความจำเป็นในการสื่อสารให้เหมาะสมเพื่อระดมการมีส่วนร่วมจากสาธารณชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงวิธีการรายงานข่าวโลกเดือด ในการออกแบบแคมเปญเพื่อเปลี่ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรมของผู้คน
นอกจากนี้ยังมีอุปสรรคทางจิตวิทยาที่ขัดขวางไม่ให้ผู้คนตัดสินใจเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อช่วยลดคาร์บอนและการปรับตัวต่อผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ โดยมี Robert Gifford ซึ่งเป็นนักจิตวิทยาสิ่งแวดล้อมที่มหาวิทยาลัยวิคตอเรีย แคนาดา ระบุถึง ‘อุปสรรคขัดขวางการลงมือทำ’ (Dragons of Inaction) 33 แบบ
อุปสรรคขัดขวางการลงมือทำส่วนใหญ่เกิดจากความเชื่อและวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และมักไม่รู้ตัวว่าตนเองมีความคิดเหล่านี้อยู่ เช่น ความไม่รู้ (ระดับของข้อมูลหรือความเข้าใจเกี่ยวกับวิกฤตโลกเดือดมีผลต่อสิ่งที่ผู้คนคิดว่าสามารถทำได้) อุดมการณ์ (เชื่อว่าตลาดเสรีหรือความเฉลียวฉลาดของมนุษย์และเทคโนโลยีแก้ปัญหาได้หมดหรือเชื่อว่าวิกฤตโลกเดือดเป็นการลงโทษจากพระเจ้า) แรงกดดันทางสังคม (การยอมรับจากสังคม บรรทัดฐานทางสังคม ค่านิยมร่วมและความเชื่อที่แพร่หลาย) ความกลัวที่จะสูญเปล่า (กลัวว่าสิ่งที่ลงทุนไปแล้ว เช่น รถยนต์หรือโรงไฟฟ้าถ่านหินจะสูญเปล่า หรือกลัวว่าการเปลี่ยนแปลงจะไร้ผลเพราะอาจล้มเหลวหรือไม่มีคนอื่นร่วมมือ)
ดังนั้น การสื่อสารและการรณรงค์ที่มุ่งขจัดอุปสรรค เปลี่ยนแปลงบรรทัดฐานทางสังคม ปรับสภาพแวดล้อมรอบตัวผู้คน หรือปรับเรื่องเล่าที่หล่อหลอมโลกทัศน์ของผู้คนจะเป็นการสื่อสารและการรณรงค์ที่ทรงพลัง
เมื่อพูดถึง ‘การปฏิเสธเรื่องสภาพภูมิอากาศ’ หลายครั้งเรามักนึกถึง ‘กลุ่มคนผู้ไม่เชื่อเรื่องโลกร้อน’ ที่คอยบ่อนทำลายข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ แต่ในทางจิตวิทยา ‘การปฏิเสธ’ ยังหมายถึงปรากฏการณ์ทั่วไปของมนุษย์ในการจัดการกับความจริงที่น่าอึดอัด (inconvenient truth) ภัยคุกคามจากวิกฤตโลกเดือดที่กระตุ้นให้ผู้คนหยิบกลไก ‘การปฏิเสธความเปราะบาง’ ที่มีอยู่ในจิตใจมารับมือ
การปฏิเสธทำให้เรารู้สึกไม่ผิดที่ทำกิจกรรมที่ปล่อยคาร์บอนในชีวิตประจำวัน แต่ยังทำให้เราปิดกั้นข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับภาวะฉุกเฉินด้านภูมิอากาศที่สร้างความไม่สบายใจ และพร้อมจะเชื่อแม้เพียงข้อมูลเพียงเล็กน้อยที่บอกว่า ‘คงไม่เลวร้ายขนาดนั้น’
ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์การสื่อสารจึงเสนอว่า องค์กรสิ่งแวดล้อมควรตระหนักถึงความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์และสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่ตัดสิน เปิดให้มีความร่วมมือ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมเพื่อให้ผู้คนสำรวจความขัดแย้งภายในของตนเอง ‘การยอมรับ’ ว่าวิกฤตสภาพภูมิอากาศจะเปลี่ยนแปลงโลกและชีวิตของผู้คนอย่างมหาศาล ผู้คนจำเป็นต้องผ่าน ‘กระบวนการโศกเศร้า’ กับความจริงข้อนี้เสียก่อน
สุดท้าย ทุกครั้งที่ความหวังของผู้คนถูกปลุกขึ้นจากการรณรงค์และการสื่อสารก่อนการประชุมเจรจาสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศ (Conference of Parties) มักกลายเป็นความกลัว สิ้นหวัง และซึมเศร้าเมื่อการเจรจาล้มเหลว จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับนักสื่อสารและนักรณรงค์ที่ต้องสร้างสรรค์ทางเลือกที่ดีกว่า นั่นคือการก้าวข้ามทั้ง ‘ความหวัง’ และ ‘ความกลัว’ และยอมรับ ‘ความไม่แน่นอน’ ตลอดจนการช่วยให้ผู้คนก้าวข้ามกับดัก ‘ความสำเร็จ’ จะช่วยบรรเทาความวิตกกังวลของพวกเขาและเปิดพื้นที่ให้เกิดความอดทนซึ่งจำเป็นในการทำสิ่งที่ ‘ดีต่อใจ ดีต่อโลก’ ยืนหยัดท้าทายยักษ์ใหญ่คาร์บอน และคลายมนต์สะกดของลัทธิเสรีนิยมใหม่
อ้างอิง
Holding your Government Accountable for Climate Change: A PEOPLE’S GUIDE
Neoliberalism has conned us into fighting climate change as individuals
Response: Neoliberalism has conned us into fighting climate change as individuals
Neoliberalism and climate change: How the free-market myth has prevented climate action
Making behavioral science integral to climate science and action