ท่ามกลางข้อขัดแย้งเรื่องการแก้ไขมาตรา 69 ของพระราชกำหนดการประมงฉบับใหม่ ที่อาจเปิดช่องให้มีการอนุญาตให้ใช้เรือปั่นไฟร่วมกับอวนล้อมจับปลากะตักในเวลากลางคืน โดยอ้างถึงเหตุผลว่าเพื่อเพิ่มปริมาณการจับปลากะตักและลดการนำเข้า เพราะค่า MSY ของปลากะตัก หรือการคำนวณโควตาที่สามารถจับได้นั้นยังเหลือ โดยกรมประมงแจ้งว่าจะไม่มีการเพิ่มจำนวนเรือจับปลากะตัก และจะไม่อนุญาตให้จับเกิน MSY ที่มีอยู่ จึงเกิดคำถามสำคัญถึงหลักการและที่มาของการคำนวณ MSY ในกรณีนี้ รวมไปถึงข้อควรคำนึงอื่นๆ ในการใช้ค่า MSY บริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในระยะยาว
การประเมินผลผลิตสูงสุดที่ยั่งยืน (Maximum Sustainable Yield) หรือ MSY เป็นแนวคิดสำคัญในการจัดการประมงที่พัฒนาขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 หลักการพื้นฐานของ MSY คือ เมื่อประชากรสัตว์น้ำมีขนาดเล็ก อัตราการเพิ่มประชากรจะต่ำเนื่องจากมีพ่อแม่พันธุ์น้อย เมื่อประชากรมีขนาดปานกลางอัตราจะเพิ่มขึ้นจนถึงจุดสูงสุด และเมื่อประชากรมีขนาดใหญ่มากเรื่อยๆ อัตราการเพิ่มจะช้าลงเนื่องจากเกิดการแข่งขัน และมีข้อจำกัดด้านทรัพยากรและพื้นที่อาศัย จนกระทั่งถึงจุดสูงสุดนั่นคือมีประชากรมากที่สุดเท่าที่ศักยภาพพื้นที่จะรองรับได้ (carrying capacity) หรือค่า ‘K’ ในสมการสำหรับทางทฤษฎี
ค่า MSY คือจุดที่อัตราการเติบโตของประชากรมีค่าสูงสุด โดยจุดของอัตราการเติบโตดังกล่าวเป็นจุดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการทำประมง เพราะประชากรสัตว์น้ำมีศักยภาพในการผลิตส่วนเกิน (surplus production) สูงสุด จึงไม่ทำให้ประชากรลดลงในระยะยาว โดยทั่วไปจุด MSY มักอยู่ที่ประมาณครึ่งหนึ่งของค่า ‘K’ ส่งผให้ MSY จึงเป็นการกำหนดปริมาณสูงสุดของสัตว์น้ำชนิดหนึ่งๆ ที่สามารถจับได้โดยไม่ทำให้ประชากรลดลงหรือมีการทดแทนอย่างสมดุล

MSY คำนวณจากอัตราการเติบโตของประชากรสัตว์น้ำ ซึ่งหากนำมาพลอตเป็นกราฟพาราโบลาคว่ำ แสดงถึงอัตราการเติบโตที่แตกต่างกันไปตามขนาดของประชากร
- เมื่อประชากรมีน้อย (เช่น หลังจากการจับมากเกินไป หรือหายากในธรรมชาติ) การเติบโตจะช้า เนื่องจากมีพ่อพันธุ์แม่พันธุ์น้อยหรือไม่เพียงพอสำหรับการสืบพันธุ์
- เมื่อประชากรอยู่ในระดับกลาง การเติบโตจะเร็วที่สุด เนื่องจากมีการสืบพันธุ์มากและมีทรัพยากรเพียงพอ
- เมื่อประชากรใกล้ขีดความสามารถในการรองรับของระบบนิเวศ (carrying capacity) การเติบโตจะช้าลงอีกครั้ง เนื่องจากการแข่งขันกันเองสูง
‘จุดที่ให้ผลผลิตสูงสุด’ หรือ ‘MSY’ คือจุดที่การเก็บเกี่ยวเท่ากับอัตราการเติบโตสูงสุดของประชากร เป็นจุดสมดุลที่ทำให้สามารถจับสัตว์น้ำได้มากที่สุดโดยที่ประชากรยังคงรักษาขนาดไว้ได้ในระยะยาว และทำให้เกิดแนวคิดว่า ถ้าจับน้อยเกินไปจะทำให้สูญเสียโอกาสในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากร แต่ถ้าจับมากเกินไป (overfishing) ก็จะทำให้ประชากรลดลงจนไม่สามารถฟื้นตัวได้ หมายความว่าเราไม่ควรจับมากกว่าอัตราการเติบโตของประชากร ถ้าไม่ต้องการให้ประชากรสัตว์น้ำลดลง
การคำนวณ MSY อาศัยการทำแบบจำลองประชากรที่ต้องอาศัยข้อมูลทางชีววิทยา อาทิ ขนาดของประชากร การเติบโตของประชากร อัตราการจับ ความสามารถในการรองรับประชากรสูงสุด ซึ่งแต่ละโมเดลก็จะมีสมการที่แตกต่างออกไป เช่น Schaefer Model เป็นสมการโลจิสติกส์เหมาะกับปลาส่วนใหญ่ที่มีการเติบโตปกติ เช่น ปลากะพง หรือ Fox Model ใช้สมการ Exponential เหมาะกับปลาที่มีวงจรชีวิตสั้น อัตราการเติบโตต่ำ เช่น ปลากะตัก ปลาซาร์ดีน หรือ Beverton-Holt Model พิจารณาปลาแยกตามอายุและขนาด เหมาะกับปลาที่มีช่วงชีวิตยาว เช่น ปลาทูน่า ปลาคอด หรือ Ricker Model ใช้กับปลาที่มีการวางไข่เป็นจำนวนมากแต่มีอัตราการรอดต่ำหลังวางไข่ เช่น ปลาแซลมอน การเลือกแบบจำลองที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญมาก ทั้งนี้ทั้งนั้นอัตราการจับก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของเครื่องมือประมงด้วยเช่นกัน

ปัญหาของการใช้ MSY ในมุมมองการจัดการประมงเชิงระบบนิเวศ
แม้ว่า MSY จะเป็นแนวคิดที่มีประโยชน์และใช้กันอย่างแพร่หลายในการจัดการประมง แต่มีข้อจำกัดสำคัญหลายประการเมื่อพิจารณาในบริบทของการจัดการประมงเชิงระบบนิเวศ (Ecosystem-Based Fisheries Management หรือ EBFM)
1. การพิจารณาชนิดพันธุ์แบบแยกส่วน: MSY มุ่งเน้นที่ชนิดพันธุ์เป้าหมายเพียงชนิดเดียว โดยละเลยความซับซ้อนของระบบนิเวศทางทะเล
- ปฏิสัมพันธ์ระหว่างชนิดพันธุ์: ในกรณีของปลากะตักซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในระดับห่วงโซ่อาหารต่ำ (Low Trophic Level) ของปิรามิด ปลากะตักเป็นอาหารสำคัญของปลาผู้ล่าหลายชนิด ตั้งแต่ปลาอินทรี ปลากะพง ปลาทรายแดง ไปจนถึงวาฬบรูด้า การจับในระดับ MSY อาจเพียงพอสำหรับการดำรงอยู่ของประชากรปลากะตักเอง แต่อาจไม่เพียงพอสำหรับการหล่อเลี้ยงประชากรปลาผู้ล่าที่พึ่งพาปลากะตักเป็นอาหาร
- ผลกระทบต่อโครงสร้างห่วงโซ่อาหาร: ตามแนวคิดของการทำประมงในระดับห่วงโซ่อาหารที่ต่ำกว่า หรือ fishing down the food web หมายถึงเมื่อปลาขนาดใหญ่หรือปลาผุ้ล่าเริ่มหมดไป การทำประมงจึงหันมาจับปลาที่อยู่ในระดับต่ำกว่าในห่วงโซ่อาหาร แต่หากมีการจับปลากะตักในปริมาณมาก แม้จะอยู่ในระดับ MSY อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างห่วงโซ่อาหาร ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ ‘trophic cascade’ อาหารของปลาผู้ล่าลดจำนวนลง ก็อาจส่งผลต่อไปยังองค์ประกอบอื่นๆ ในระบบนิเวศได้อีก
2. สมมติฐานที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง: แบบจำลอง MSY ตั้งอยู่บนข้อสมมติหลายประการที่มักไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในระบบนิเวศ
- สภาพแวดล้อมคงที่: MSY สมมติว่าสภาพแวดล้อมทางทะเลคงที่ตลอดเวลา แต่ในความเป็นจริง ระบบนิเวศทางทะเลมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามฤดูกาล ยังไม่นับปรากฏการณ์ El Niño/La Niña และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิน้ำทะเล ซึ่งกำลังเป็นปัจจัยการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่เรายังไม่ทราบแน่ชัดว่าจะส่งผลต่อการแพร่กระจายของสัตว์น้ำ หรือปริมาณการจับอย่างไร ทั้งหมดเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและการอยู่รอดของปลากะตัก
- การฟื้นตัวเป็นเส้นตรง: MSY มักสมมติว่าประชากรสามารถฟื้นตัวได้อย่างเป็นเส้นตรงเมื่อความกดดันจากการประมงลดลง แต่ในความเป็นจริงยังมีปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อมมากมายที่ส่งผลกระทบอาทิ คุณภาพน้ำ อาหาร และระบบนิเวศอาจมี ‘tipping points’ หรือจุดวิกฤตที่เมื่อเกินไปแล้ว การฟื้นตัวอาจเกิดขึ้นได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลย
3. การละเลยผลกระทบจากวิธีการจับ: MSY เน้นที่ปริมาณการจับ แต่ไม่ได้คำนึงถึงวิธีการจับ
- เครื่องมือทำลายล้าง: ในกรณีของการใช้แสงไฟล่อและอวนล้อมขนาดใหญ่โดยเฉพาะอวนตาถี่จับปลากะตัก แม้ปริมาณการจับอาจอยู่ในระดับ MSY ของปลากะตัก แต่วิธีการจับอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อองค์ประกอบอื่นๆ ในระบบนิเวศ เช่น:
- การจับติดสัตว์น้ำพลอยได้ หรือสัตว์น้ำชนิดอื่นที่ไม่ใช่เป้าหมาย (bycatch) รวมถึงลูกปลาของชนิดพันธุ์ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง งานวิจัยของกรมประมงปลากะตักในอ่าวไทยเมื่อปี 2551 พบว่าเรืออวนล้อมจับปลากะตักประกอบแสงไฟล่า ทำให้เกิดการจับสัตว์น้ำวัยอ่อนที่เป็นปลาเศรษฐกิจหลายชนิด อาทิ ปลาทู-ปลาลัง ปลาข้างเหลือง ปลาหลังเขียว ปลาทูแขก ปลาสีกุนตาโต เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจถึง 7,385 บาท/วัน
- การรบกวนพฤติกรรมของสัตว์ทะเลจากแสงไฟที่รุนแรง เนื่องจากการใช้แสงไฟล่อจะรบกวนวงจรธรรมชาติของแพลงตอนและปลาขนาดเล็กที่มีการอพยพในแนวดิ่งในเวลากลางคืน (vertical migration) หลายชนิดมีพฤติกรรมผสมพันธุ์และวางไข่ในช่วงกลางคืนที่แสงน้อย การมีแสงไฟยังทำให้สัตว์น้ำขนาดเล็กมารวมตัวกันในบริเวณที่มีแสง นอกจากถูกล่าได้ง่าย ก็ยังทำให้ปลาที่เป็นเหยื่อ และปลาที่ล่าเหยื่อมารวมตัวด้วยเช่นกัน จึงมีโอกาสถูกจับได้ง่ายและนำไปสู่การทำประมงที่มากเกินขนาด (overfishing)
- ความเสียหายต่อถิ่นที่อยู่อาศัย: MSY ไม่ได้คำนึงถึงความเสียหายต่อถิ่นที่อยู่อาศัยที่อาจเกิดขึ้นจากการทำประมง เช่น กรณีเรืออวนลาก หรืออวนรุน ซึ่งในระยะยาวอาจส่งผลต่อความสามารถในการสนับสนุนประชากรสัตว์น้ำ
4. ความไม่แน่นอนและข้อจำกัดของข้อมูล: การคำนวณ MSY มีข้อจำกัดด้านข้อมูลที่สำคัญ
- คุณภาพของข้อมูล: การประเมิน MSY ที่แม่นยำต้องอาศัยข้อมูลการจับและความพยายามในการจับที่ละเอียดและยาวนานพอ แต่ในหลายประเทศรวมทั้งไทย ข้อมูลเชิงสถิติเหล่านี้มักไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะในส่วนของการประมงพื้นบ้านและการประมงผิดกฎหมาย (ปัจจุบันการทำประมงอวนล้อมเวลากลางคืนประกอบแสงไฟยังเป็นประมงผิดกฎหมาย) ทำให้การประเมิน MSY อาจคลาดเคลื่อน
- ความไม่แน่นอนในแบบจำลอง: แบบจำลองที่ใช้คำนวณ MSY มีความไม่แน่นอนสูง และผลลัพธ์อาจแตกต่างกันมากขึ้นอยู่กับสมมติฐานและวิธีการทางสถิติที่ใช้
- การขาดข้อมูลระบบนิเวศ: การประเมิน MSY แบบดั้งเดิมมักไม่ได้นำข้อมูลทางระบบนิเวศมาประกอบการพิจารณา เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างชนิดพันธุ์ หรือบทบาทของชนิดพันธุ์เป้าหมายในระบบนิเวศโดยรวม
5. ผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจที่ไม่ได้พิจารณา: MSY เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นด้านชีววิทยาและการประมงเป็นหลัก แต่ไม่ได้ครอบคลุมมิติทางสังคมและเศรษฐกิจ
- ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากร: การอนุญาตให้ใช้เครื่องมือทำประมงที่มีประสิทธิภาพสูงเช่นอวนล้อมกับแสงไฟล่อ ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนสูง อาจเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการรายใหญ่มากกว่าชาวประมงพื้นบ้าน เพิ่มความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากร
- ผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารในท้องถิ่น: การจับปลากะตักในปริมาณมากเพื่อผลิตปลาป่นอาจส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารของชุมชนชายฝั่งที่พึ่งพาปลากะตักเป็นอาหารโดยตรงหรือพึ่งพาปลาเศรษฐกิจ และปลาผู้ล่าที่กินปลากะตัก

แนวทางการประยุกต์ใช้ MSY ในบริบทการจัดการประมงเชิงระบบนิเวศ
แม้ว่าการจัดการประมงในปัจจุบันไม่ควรละทิ้งแนวคิด MSY โดยสิ้นเชิง แต่ควรปรับปรุงและบูรณาการเข้ากับแนวคิดการจัดการเชิงระบบนิเวศ
1. กำหนดจุดอ้างอิงเชิงระบบนิเวศ หรือ Ecological Reference Points (ERPs): แทนที่จะใช้ MSY เพียงอย่างเดียว ควรพัฒนาและใช้จุดอ้างอิงเชิงนิเวศวิทยา (ERPs) ซึ่งพิจารณาบทบาทของชนิดพันธุ์ในระบบนิเวศโดยรวม
- การสำรองสำหรับผู้ล่า (Predator Buffer): ในกรณีของปลากะตัก อาจกำหนดให้ระดับการจับต่ำกว่า MSY ทางชีววิทยา เพื่อให้มีปลากะตักเหลือเพียงพอสำหรับผู้ล่าในระบบนิเวศ
- การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างชนิดพันธุ์: ใช้แบบจำลองที่ซับซ้อนขึ้นซึ่งรวมความสัมพันธ์ระหว่างชนิดพันธุ์ต่างๆ ในการกำหนดระดับการจับที่เหมาะสม
2. การจัดการเชิงพื้นที่ (Spatial Management): นอกเหนือจากการควบคุมปริมาณการจับ ควรพิจารณาการจัดการเชิงพื้นที่
- เขตห้ามทำการประมง: ควรมีการจัดการพื้นที่คุ้มครองทางทะเลบางส่วนอย่างเคร่งครัดให้เป็นพื้นที่ที่ปลอดการทำประมง (No-take zone) เพื่อให้เป็นพื้นที่ควบคุมและแหล่งขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำวัยอ่อน
- เขตควบคุมการทำประมง: กำหนดพื้นที่ที่ห้ามใช้เครื่องมือประมงที่มีประสิทธิภาพสูงเช่นอวนล้อมกับแสงไฟล่อ อวนลาก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เป็นแนวเชื่อมต่อทางทะเล (Marine Corridor) ระหว่างระบบนิเวศต่างๆ
- เขตการประมงหมุนเวียน: การใช้นโยบายหมุนเวียนพื้นที่ทำประมง มีการปิดพื้นที่ตามฤดูกาล โดยเฉพาะฤดูขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำ เพื่อให้แต่ละพื้นที่มีเวลาฟื้นตัวอย่างเพียงพอ
3. การจัดการโดยคำนึงถึงวิธีการจับ: นอกจากจะควบคุมปริมาณการจับแล้ว ยังควรควบคุมวิธีการจับด้วย
- ข้อจำกัดด้านเครื่องมือประมง: กำหนดข้อจำกัดในการใช้เครื่องมือประมงที่มีผลกระทบสูง เช่น จำกัดความเข้มของแสงไฟที่ใช้ล่อ หรือขนาดของอวนล้อม ขนาดตาอวนที่ใช้
- เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: ส่งเสริมการพัฒนาและใช้เทคโนโลยีการประมงที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและลดการจับติดสัตว์น้ำที่ไม่ใช่เป้าหมาย
4. การใช้หลักการป้องกันไว้ก่อน (Precautionary Principle): การประเมิน MSY มีความไม่แน่นอนสูง จึงควรใช้หลักการป้องกันไว้ก่อน
- การกำหนดโควตาต่ำกว่า MSY: กำหนดโควตาการจับที่ต่ำกว่าระดับ MSY ที่ประเมินได้ เพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในการประเมิน ตามหลักการป้องกันไว้ก่อน (Precautionary Principle) ที่ระบุไว้ในพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 ตามมาตรฐานการประมงยั่งยืน ของ Marine Stewardship Councils มีข้อเสนอแนะในการกำหนดค่า MSY ของการทำประมงสัตว์น้ำที่อยู่ในฐานของห่วงโซ่อาหาร (Low Trophic Level Fisheries) ว่าไม่ควรเกิน 40% ของประชากรสัตว์น้ำที่มีอยู่ หรือ ประมาณ 60-70% ของ MSY ปกติเท่านั้น
- การจัดการแบบปรับตัวได้: ปรับเปลี่ยนนโยบายการประมงตามผลการติดตามและข้อมูลใหม่ๆ ที่ได้รับ เช่น ‘ใช้กฎควบคุมการจับสัตว์น้ำ’ (Harvest Control Rules – HCRs) กำหนดวิธีการปรับโควต้าการจับสัตว์น้ำตามสถานะของประชากรปลา ‘ลดโควต้าการจับปลา’ หากประชากรปลาลดลงต่ำกว่าระดับที่ปลอดภัย ‘ห้ามทำประมงในช่วงฤดูวางไข่’ หรือกำหนดมาตรการหยุดทำประมงชั่วคราว (moratoriums) และ ‘กำหนดโควต้าการจับปลาแบบปรับตัวได้’ ตามสภาพแวดล้อม เช่น ลดเป้าหมาย MSY ในช่วงที่เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Niño) ซึ่งมีผลกระทบต่อจำนวนประชากรปลา
5. การบูรณาการมิติทางสังคมและเศรษฐกิจ: การจัดการประมงควรพิจารณามิติทางสังคมและเศรษฐกิจร่วมด้วย
- การกระจายสิทธิการทำประมงอย่างเป็นธรรม: จัดสรรโควตาหรือสิทธิในการทำประมงระหว่างประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้านอย่างเป็นธรรม
- การพิจารณาความมั่นคงทางอาหารในท้องถิ่น: ให้ความสำคัญกับการประมงเพื่อการบริโภคในท้องถิ่นควบคู่ไปกับการประมงเชิงพาณิชย์
แม้ว่า MSY จะยังคงเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการจัดการประมง แต่การอ้างว่า “MSY ยังเหลือ” เพื่อสนับสนุนการเพิ่มการจับปลากะตักด้วยวิธีการที่มีผลกระทบสูง เช่น การใช้แสงไฟล่อและอวนล้อมตาถี่ขนาดใหญ่นั้น เป็นการมองปัญหาอย่างแคบเกินไปในบริบทของการจัดการประมงเชิงระบบนิเวศสมัยใหม่
การจัดการประมงปลากะตักอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยที่กว้างกว่า MSY ของปลากะตักเพียงอย่างเดียว ต้องคำนึงถึงบทบาทของปลากะตักในระบบนิเวศ ผลกระทบของวิธีการจับต่อสิ่งแวดล้อม ความไม่แน่นอนในการประเมินทรัพยากร และมิติทางสังคมและเศรษฐกิจ
การใช้แนวทางที่บูรณาการหลายมิติ ทั้งการกำหนดโควตาที่คำนึงถึงระบบนิเวศ การจัดการในเชิงพื้นที่ การควบคุมวิธีการจับ การใช้หลักการป้องกันไว้ก่อน และการพิจารณามิติทางสังคมและเศรษฐกิจ จะช่วยให้การจัดการประมงปลากะตักในไทยมีความยั่งยืนมากขึ้น ทั้งในแง่ของการดำรงอยู่ของทรัพยากรปลากะตักเอง ความสมบูรณ์ของระบบนิเวศทางทะเล และความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนชายฝั่งและสังคมโดยรวม