ตุลาการละคร

“สิ่งที่เรากำลังเผชิญเป็นเพียงส่วนหนึ่งเล็กๆ ของภูเขาน้ำแข็งลูกใหญ่ ท่านเองก็รู้ดีว่าหลังจากที่ท่านเดินกลับจากบัลลังก์นี้ เบื้องหลังห้องนี้มีคณะกรรมการที่คอยพิจารณาคดีของข้าฯ รวมถึงคดีการเมืองอื่น ข้าฯ คาดการณ์ว่าคำตัดสินของคดีนี้อาจมีคำตอบก่อนเริ่มพิจารณาคดีเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อเริ่มทำการสืบพยานมาถึงจุดนี้ ข้าฯ หวังว่าท่านจะตระหนักถึงความจริงและสัจธรรมบางอย่างได้บ้าง”

ส่วนหนึ่งของข้อความจากผู้ตกเป็นจำเลยในคดี ‘ดูหมิ่นเทพยดา’ ในระหว่างที่เขาต้องให้ปากคำในการพิจารณาคดี ณ สารขัณฑ์ประเทศ


แม้จะพอมีความรู้ทางกฎหมายอยู่บ้างนิดๆ หน่อยๆ เฉกเช่นประชาชนทั่วไปซึ่งต่างเข้าใจว่าการพิจารณาคดีในชั้นศาลนั้น เป็นกระบวนการสำคัญในการพิสูจน์ความถูกผิดระหว่างผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหา แต่หลังจากเดินไปยังศาลหลายแห่งในดินแดนของสารขัณฑ์ประเทศ ไม่ว่าจะในฐานะของผู้สังเกตการณ์ พยานของคู่ความในคดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไปยืนอยู่ฝ่ายจำเลยในคดีที่เผชิญกับข้อกล่าวหาดูหมิ่นเทพยดา การมีประสบการณ์ดังกล่าวทำให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนความเข้าใจต่อกระบวนการในชั้นศาลไปอย่างไพศาล

พึงต้องกล่าวไว้ในเบื้องต้นว่าในสารขัณฑ์ประเทศนี้ ความผิดฐานดูหมิ่นเทพยดาเป็นข้อหาตามกฎหมาย แม้ในบทบัญญัติจะได้มีการเขียนเอาไว้อย่างชัดแจ้งถึงขอบเขตของความผิด รวมถึงขอบเขตของประเภทเทพยดาที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย แต่ในการชี้ขาดด้วยอำนาจของตุลาการกลับนำมาซึ่งข้อกังขา ข้อสงสัย กระทั่งความไม่ไว้วางใจต่ออำนาจตุลาการในดินแดนแห่งนี้

โดยทั่วไป ภายใต้ระบบกฎหมายในประเทศอันได้รับการยกย่องว่ามีความอารยะ กระบวนการในการพิจารณาคดีที่เปิดเผย โปร่งใส เปิดให้มีการต่อสู้กันด้วยพยานหลักฐานอย่างมีเหตุผล รวมทั้งมีตุลาการมีจิต ‘ประภัสสร’ ที่เป็นกลาง ไม่ได้มีอคติหรือความเอนเอียงทางความเชื่อมาทำหน้าที่ตัดสิน สามารถกล่าวได้ว่ากระบวนการและขั้นตอนเหล่านี้คือเสาหลักแห่งความยุติธรรมในเชิงกระบวนการ (procedural justice) อันจะมีส่วนอย่างสำคัญต่อการนำไปสู่ความยุติธรรมเชิงเนื้อหา (substantive justice)  

ความยุติธรรมเชิงกระบวนการคือการเปิดโอกาสให้คู่ความได้ต่อสู้กันอย่างเต็มที่และด้วยคนตัดสินที่เปี่ยมด้วยความรู้และจิตที่วางเป็นกลาง จะทำให้คำตัดสินนั้นสามารถนำมาซึ่งการยุติข้อพิพาทได้ด้วยการยอมรับกันอย่างกว้างขวาง หลักการเหล่านี้ต่างได้รับการยอมรับเอาไว้อย่างชัดเจน แน่นอนว่าในสารขัณฑ์ประเทศก็ได้ตระหนักถึงความสำคัญและมีการรับรองไว้เช่นเดียวกัน

เมื่อข้าพเจ้าได้มีส่วนร่วมในคดีดูหมิ่นเทพยดา ก็ได้พบว่าจำเลยในคดีต่างสามารถต่อสู้กับข้อกล่าวหาของทางฝ่ายปรักปรำได้อย่างเต็มที่ สามารถมีทนาย พยานผู้เชี่ยวชาญ การให้ปากคำทั้งด้วยวาจาหรือเป็นเอกสาร การนัดหมายพิจารณาคดีที่คำนึงถึงความสะดวกของทั้งจำเลยและฝ่ายผู้ปรักปรำ ต้องนับว่าในเชิงกระบวนการนั้นฝ่ายจำเลยยังพอสามารถจะเข้าถึงได้

อาจมีบ้างที่จะถูกจำกัดพยานฝ่ายจำเลยในการต่อสู้ด้วยการตัดจำนวนพยานลง หรือการปฏิเสธไม่ให้มีการเรียกข้อมูลการเหาะเหินเดินอากาศของเหล่าเทพยดา ฯลฯ แต่ในภาพรวมก็ยังคงต้องนับว่าพอจะเป็นกระบวนการที่ใช้ได้อยู่ไม่น้อย

แต่ความยุติธรรมในเชิงกระบวนการจะนำมาสู่ความยุติธรรมเชิงเนื้อหาได้จริงกระนั้นหรือ

ในครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้พบกับผู้ตัดสินที่มีความคุ้นเคยเพราะเขาเคยได้รับการถ่ายทอดความรู้จากข้าพเจ้าเมื่อยังเยาว์วัย ทั้งเคยปรึกษาหารือกันในหลายเรื่อง แต่ในวันนี้เมื่อเขาขึ้นไปนั่งอยู่บนบัลลังก์ แม้ก่อนจะเริ่มการพิจารณาคดี เมื่อเพ่งมองไปและเขาก็มองกวาดกลับมา สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็นก็มีแต่สีหน้าที่เรียบเฉย ราวกับว่าเราทั้งสองมิได้มีการรู้จักกันมาก่อนหน้าแต่อย่างใดในชาติภพนี้

อันที่จริงถ้าเราได้มีโอกาสเจอกันข้างนอกห้องพิจารณาก็อาจจะได้ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบมากกว่านี้ หรืออาจชวนกันไปดื่มกินต่อในยามเย็น ในแบบที่มนุษย์ปกติสามารถกระทำต่อกันได้โดยไม่ต้องรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ผิดแต่อย่างใด เราอาจได้พูดคุยเรื่องอุดมการณ์และความมุ่งมั่นต่อความยุติธรรมที่เขาได้เคยลั่นวาจาไว้ในยามหนุ่มฉกรรจ์ว่ายังเป็นเช่นนั้นหรือไม่

แต่นั่นแหละ สำหรับสารขัณฑ์ประเทศได้มีการกำหนดจริยธรรมสำหรับผู้ตัดสินไว้ว่าต้องวางตนให้ ‘เป็นกลาง’ การแสดง (ออก) ให้เห็นถึงคุณลักษณะดังกล่าวที่ง่ายที่สุดก็คือ เมื่อเจอบุคคลใดในห้องพิจารณาหรือแม้กระทั่งในอาณาบริเวณของศาลก็ไม่ควรแสดงออกให้คนอื่นรู้ว่าเขาคนนั้นรู้จักมักคุ้นกับตน

มองในแง่ดี การกระทำเช่นนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่ทำให้คู่ความรู้สึกสบายใจที่เห็นผู้ตัดสินไม่รู้จักอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ในอีกด้าน ถ้าคนจะติดต่อกันในยุคสมัยนี้ก็สามารถใช้เทคโนโลยีสื่อสารนานาประเภทได้อีกเป็นจำนวนมาก การไม่ทักทายกันในห้องพิจารณาก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการแสดง (performance) ประเภทหนึ่งเท่านั้น ทั้งอาจไม่ได้รับประกันความเป็นกลางให้เกิดขึ้นแต่อย่างใด เมื่อลับหลังจากสาธารณะอาจมีการติดต่อ ประสานงาน คำสั่ง ยี่ต๊อก หรืออะไรต่อมิได้อีกเป็นจำนวนมาก

ในคดีดูหมิ่นเทพยดา การกระทำในหลากหลายลักษณะที่ยังมีความคลุมเครือว่าอาจเข้าหรือไม่เข้าข่ายความผิด บางครั้งก็กระทำต่อเทพยดาที่ไม่อยู่ในหมวดหมู่ของความผิด แต่เป็นที่รับรู้และเชื่อกันโดยทั่วไปว่าสุดท้ายคำตัดสินที่เกิดขึ้นก็ล้วนแต่ดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งทนายความ พยานที่มาเบิกความ รวมถึงจำเลย ต่างก็รู้สึกว่าคำตัดสินในคดีดูหมิ่นเทพยดานั้นไม่ใช่เรื่องของพยานหลักฐานและหลักวิชาแบบที่มักจะอวดอ้างกันแต่อย่างใด

ไม่ว่าคำตัดสินที่เกิดขึ้นจะมาจากการกำกับของเหล่าเทพยดา การชี้นิ้วของผู้ตัดสินในระดับสูง หรือเป็นมุมมองของคนผู้ตัดสินก็ตาม ล้วนแต่สร้างข้อกังขาให้เกิดขึ้น

บรรทัดฐานของคำตัดสินที่เกิดขึ้นจึงนำไปสู่คำถามเรื่องความยุติธรรมเชิงเนื้อหา และเมื่อไม่สามารถให้คำตอบในประเด็นดังกล่าวได้ การพยายามให้สิทธิแก่จำเลยในเชิงกระบวนการในชั้นศาล จึงพอจะเป็น ‘ความยุติธรรม’ ประการเดียวที่ผู้ตัดสินจะพอมอบให้แก่จำเลยได้

ข้าพเจ้าจึงไม่รู้สึกแปลกใจในการให้ปากคำในชั้นศาลที่ได้รับโอกาสในการแสดงความเห็นและให้ปากคำอย่างเต็มที่ ผู้ตัดสินมิได้เข้ามาขัดจังหวะในการอธิบายความเห็น อาจมีคำถามบ้างก็เพียงแค่ให้มีความชัดเจนมากขึ้น รวมทั้งการจดจารเพื่อเป็นหลักฐานก็กระทำอย่างเต็มที่ ไม่ต้องกล่าวถึงฝ่ายอัยการที่แทบไม่ได้มีข้อสงสัยหรือคำถามมากสักเท่าใด เพราะพวกเขาคงมั่นใจว่าในขั้นตอนสุดท้าย คำตัดสินก็ต้องพิพากษาลงโทษจำเลยอย่างแน่นอน จะมากหรือน้อยก็ถือว่าคดีได้จบลงอย่างเรียบร้อยแล้ว

ไม่ใช่เฉพาะในคดีดูหมิ่นเทพยดาโดยตรง ข้อพิพาทในหลายคดีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดูหมิ่นเทพยดาก็ดำเนินไปในลักษณะที่ไม่แตกต่างกัน ผู้ถูกกล่าวหาสามารถชี้แจงเหตุผลของตนเองได้โดยเฉพาะกระบวนการในชั้นศาล แม้ว่าสดับรับฟังแล้วจะมีเหตุผลมากเพียงใดแต่สุดท้ายก็อาจต้องเผชิญกับคำตัดสินว่า ‘เซาะกร่อนบ่อนทำลาย’ เหล่าทวยเทพยดา

งานวิชาการของชาวต่างชาติได้ชี้ให้เห็นถึง ‘การแสดง’ ในกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ด้วยการชี้ให้เห็นว่ากฎหมายไม่ใช่เพียงสิ่งที่บัญญัติเป็นอักขระเท่านั้น แต่การกระทำทั้งของบุคคลฝ่ายต่างๆ สถานที่ ผู้ชม ฯลฯ ล้วนแต่เป็นส่วนสำคัญต่อการสร้างความหมายให้กับกฎหมาย งานจำนวนหนึ่งได้ชี้ให้เห็นว่าในยุคเอเธนส์โบราณ (ancient Athens) ยุคกลางสืบเนื่องมาถึงยุคสมัยใหม่ตอนต้นของยุโรป (medieval and early modern Europe) ความรู้ทางกฎหมายที่ถูกสร้างขึ้นมาจากการแสดง (law as performance) ของบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง (แต่โดยใครและด้วยวิธีการอย่างใด ไม่ใช่ประเด็นที่จะอภิปรายในที่นี้)

แม้จะอยู่ในยุคสมัยที่ถือว่าเป็นระบบกฎหมายแบบสมัยใหม่ แต่หากพิจารณากระบวนการชั้นศาลในสารขัณฑ์ประเทศแล้ว ก็น่าสนใจไม่น้อยว่าเอาเข้าจริงแล้วสิ่งที่เรียกว่าความยุติธรรมเชิงกระบวนการได้กลายสภาพเป็นเพียง ‘การแสดงละคร’ ที่มีบทกำหนดผลในบั้นปลายไว้อย่างชัดเจน แน่นอน อันไม่อาจผันแปรเป็นอย่างอื่นได้ใช่หรือไม่

และถ้าคำตอบคือใช่ สภาวะเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรในดินแดนสารขัณฑ์ประเทศที่ฝ่ายตุลาการได้รับการยกย่องมาอย่างต่อเนื่องยาวนานถึงความเป็นอิสระและยุติธรรม

MOST READ

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Law

20 Aug 2023

“ยิ่งจริง ยิ่งไม่หมิ่นประมาท”: ความผิดฐานหมิ่นประมาทกฎหมายเยอรมัน

ดิศรณ์ ลิขิตวิทยาวุฒิ ชี้ให้เห็นถึงปัญหาของกฎหมายหมิ่นประมาทไทย และยกตัวอย่างกฎหมายหมิ่นประมาทเยอรมันเป็นแนวทางหนึ่งในการปรับปรุงกฎหมายต่อไป

ดิศรณ์ ลิขิตวิทยาวุฒิ

20 Aug 2023

Law

25 Aug 2022

กฎหมายยาเสพติดใหม่: 8 เดือนของการบังคับใช้ในภาวะที่ยังไร้กฎหมายลูก กับ ภูวิชชชญา เหลืองธีรกุล

101 คุยกับอัยการ ภูวิชชชญา เหลืองธีรกุล ถึงประโยชน์และช่องว่างที่พบในการบังคับใช้กฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา

วงศ์พันธ์ อมรินทร์เทวา

25 Aug 2022

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save