ช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025 เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ในอินโดนีเซีย สาเหตุเกิดจากการสั่งสมความไม่พอใจของประชาชนต่อชนชั้นนำของประเทศที่นโยบายของรัฐมักเอื้อประโยชน์ให้กับชนชั้นนำมากเกินไป โดยเฉพาะผู้แทนประชาชน ซึ่งประชาชนเห็นว่าไม่ได้ทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ประกอบกับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำต่อเนื่องมาตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19
อย่างไรก็ตาม สาเหตุเฉพาะหน้าที่ทำให้เกิดการชุมนุมประท้วงคือการประกาศเงินสวัสดิการที่พักอาศัยของสมาชิกสภาผู้แทนประชาชนเดือนละ 50 ล้านรูเปียห์ ซึ่งเป็นเงินจำนวน 10 เท่าของค่าแรงขั้นต่ำของผู้ใช้แรงงานในอินโดนีเซีย การประท้วงยิ่งรุนแรงมากขึ้นเมื่อไรเดอร์ส่งอาหารรายหนึ่งถูกรถตำรวจปราบม็อบชนและทับเสียชีวิต การประท้วงขยายไปทั่วทั้งประเทศ เกิดเป็นการจลาจล และมีผู้เสียชีวิตเกือบ 10 ราย นี่นับเป็นการประท้วงครั้งใหญ่และรุนแรงที่สุดนับจากปี 1998 ซึ่งนำไปสู่การลาออกของประธานาธิบดีซูฮาร์โตและการล่มสลายของยุคระเบียบใหม่
กลุ่มที่เป็นหัวหอกในการประท้วงครั้งนี้คือกลุ่มผู้ใช้แรงงาน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มของบรรดา ‘แม่ๆ’ ที่ออกมาเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐหยุดใช้ความรุนแรงในการปราบปรามประชาชน ภาพขบวนการนักศึกษากับการเมืองอินโดนีเซียเป็นภาพที่คนทั่วไปคุ้นชินกัน นักศึกษามักจะออกมาเป็นแนวหน้าในการประท้วงผู้นำทางการเมือง ความไม่ชอบมาพากล ความไม่เป็นธรรมของนโยบายรัฐ จนกลายเป็นคำถามติดปากของชาวอินโดนีเซียเมื่อเกิดวิกฤตการณ์ต่างๆ ในประเทศว่า ‘นักศึกษาอยู่ไหน’
ทว่าการประท้วงในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมากลับมีกลุ่มผู้ใช้แรงงานเป็นแนวหน้า ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ เนื่องจากขบวนการแรงงานมักถูกหลงลืมในประวัติศาสตร์การเมืองอินโดนีเซีย ทั้งที่จริงๆ แล้วขบวนการแรงงานกำเนิดและเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ยุคอาณานิคม
ขบวนการแรงงานยุคอาณานิคม
ขบวนการแรงงานอินโดนีเซียเริ่มต้นขึ้นในปี 1879 จากกำเนิดของ Netherland Onder Werpen Genootschaft หรือ NIOG ซึ่งถือเป็นสหภาพแรงงานแห่งแรกของบรรดาครูในโรงเรียนของเนเธอร์แลนด์ หลังจากนั้นก็มีสหภาพแรงงานอื่นๆ ก่อตั้งขึ้นตามอาชีพของแรงงาน ต่อมาในปี 1905 เกิดสหภาพรถไฟ (Serikat Kereta Api Negeri) ในปี 1906 เกิดสหภาพพนักงานไปรษณีย์ (Serikat Pekerja Pos) และสหภาพกรรมกรน้ำตาล (Serikat Buruh Gula) ในปี 1907 เกิดสหภาพกรรมกรเฝ้าสวนในเมืองเดลี (Serikat Pengawas Perkebunan Deli) และในปี 1908 เกิดสหภาพกรรมกรรถไฟและรถราง (Serikat Buruh Kereta Api dan Trem) ในช่วงแรกชาวยุโรปเป็นผู้ก่อตั้งสหภาพต่างๆ เหล่านี้ ต่อมาภายหลังจึงมีผู้ใช้แรงงานชาวพื้นเมืองเข้าร่วมสหภาพเหล่านี้
สหภาพแรงงานที่ก่อตั้งโดยชาวพื้นเมืองจริงๆ เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1910 โดยในปี 1911 มีการก่อตั้งสมาคมศุลกากรชาวพื้นเมือง (Perkumpulan Bumiputra Pabean) สมาคมครูผู้ช่วย (Persatuan Guru Bantu) สมาคมครูดัตช์อีสต์อินดีส (Perserikatan Guru Hindia-Belanda) และสมาคมพนักงานโรงรับจำนำพื้นเมือง (Persatuan Pegawai Pegadaian Bumiputra) ต่อมาในปี 1917 มีการก่อตั้งสมาคมกรรมกรและเกษตรกร (Perhimpunan Kaum Buruh dan Tani) ในเขตอุตสาหกรรมน้ำตาล
ด้วยสภาพการทำงานที่ค่อนข้างแย่และการกดขี่ของนายทุนในช่วงอาณานิคม ทำให้บรรดาผู้ใช้แรงงานรวมตัวกันและดึงปัญญาชนและผู้นำองค์กรมวลชนต่างๆ ที่ก่อตั้งขึ้นจำนวนมากในช่วงทศวรรษ 1910 มาร่วมด้วย เช่น ปัญญาชนจากบูดี อูโตโม (Budi Utomo) และซาเรกัต อิสลาม (Sarekat Islam) เป็นต้น
กำเนิดวันกรรมกรในอินโดนีเซียจากชาวดัตช์
อิทธิพลของชาวต่างชาติต่อขบวนการแรงงานอินโดนีเซียมีค่อนข้างมาก การเกิดขึ้นขององค์กรแรงงานในช่วงทศวรรษ 1910 ได้รับแรงบันดาลใจจากการปฏิวัติรัสเซียในปี 1917 นอกจากนี้ ผู้ที่ถือได้ว่าเป็นผู้ให้กำเนิดวันกรรมกรสากลในอินโดนีเซียคือชาวดัตช์นามว่าอดอล์ฟ บาร์ส (Adolf Baars) นักหนังสือพิมพ์และบรรณาธิการนิตยสาร De Indische Gids ซึ่งเป็นสื่อของรัฐบาลอาณานิคมเนเธอร์แลนด์
บาร์สเดินทางมาถึงดินแดนหมู่เกาะอินโดนีเซียในปี 1917 เขารู้สึกเห็นใจเมื่อเห็นสภาพการกดขี่แรงงานชาวพื้นเมือง จึงเขียนวิพากษ์วิจารณ์การเอารัดเอาเปรียบแรงงานพื้นเมือง ตีแผ่การจ่ายค่าจ้างที่ต่ำเกินไปของบรรดานายทุน สภาพการทำงานของแรงงานที่ย่ำแย่ ตลอดจนการเช่าที่ดินที่ไม่เป็นธรรมในกสิกรรม เขาเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐานที่ผู้ใช้แรงงานควรได้ เช่น ชั่วโมงการทำงานที่เป็นธรรม สิทธิการลา การเข้าถึงการศึกษาแบบฟรี และประกันสุขภาพ
ไม่เพียงแต่ใช้ปากกาเป็นอาวุธเท่านั้น บาร์สยังช่วยก่อตั้งสหภาพแรงงานกุงถังฮวี (Serikat Buruh Kung Tang Hwee) สหภาพที่สมาชิกประกอบด้วยกรรมกรชาวพื้นเมืองและชาวจีน องค์กรนี้เป็นหัวหอกในการเรียกร้องสิทธิของผู้ใช้แรงงานและต่อต้านการกดขี่ของเจ้าอาณานิคม
เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1908 สหภาพแรงงานกุงถังฮวีจัดการประชุมใหญ่ที่จาการ์ตา มีผู้เข้าร่วมราว 10,000 คนจากหลายภาคแรงงาน ทั้งโรงงาน ท่าเรือ รถไฟ และเกษตรกรรม บรรดาผู้ใช้แรงงานได้เรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐานของกรรมกร เช่น ค่าจ้างที่เหมาะสม ชั่วโมงการทำงานที่เป็นธรรม ยกเลิกการบังคับแรงงาน และการยอมรับสิทธิของผู้แรงงานตามกฎหมาย
การประชุมดังกล่าวกลายเป็นการชุมนุมประท้วงและถือเป็นการประท้วงของผู้ใช้แรงงานครั้งแรกในประเทศอินโดนีเซีย และวันที่ 1 พฤษภาคม 1908 ถือเป็นวันกำเนิดวันกรรมกรสากลครั้งแรกในอินโดนีเซีย และหลังจากนี้มีการจัดงานรำลึกวันกรรมกรหรือแรงงานสากลในวันที่ 1 พฤษภาคมอย่างต่อเนื่อง ยกเว้นในช่วงที่ถูกสั่งห้ามโดยรัฐบาลอาณานิคม
ปี 1919 ในที่ประชุมสมัชชาของซาเรกัต อิสลามครั้งที่สี่ ณ เมืองสุราบายา มีการประกาศก่อตั้งสหภาพแรงงาน (Persatuan Pergerakan Kaum Buruh) ซึ่งได้รับอิทธิพลแนวความคิดคอมมิวนิสต์ที่กำลังเฟื่องฟูในอินโดนีเซียขณะนั้น ต่อมาในเดือนสิงหาคมปี 1920 สหภาพแรงงานได้จัดการประชุมสมัชชาครั้งแรกที่เมืองเซอมารัง โดยผู้ที่มีบทบาทสำคัญในสหภาพแรงงานคือเซอมาอุน (Semaun)
แต่หลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียก่อการจลาจลและถูกปราบปรามในปี 1926 ขบวนการแรงงานก็ซบเซาไปด้วย รัฐบาลอาณานิคมเนเธอร์แลนด์ควบคุมการเคลื่อนไหวต่อต้านของกลุ่มต่างๆ รวมถึงสั่งห้ามการจัดงานรำลึกวันแรงงานสากล ต่อมาญี่ปุ่นเข้ายึดครองดินแดนอินโดนีเซียช่วงสงครามโลกครั้งที่สองในปี 1942 ในช่วงแรกเหมือนญี่ปุ่นจะนำพาแสงแห่งความหวังมาสู่องค์กรเคลื่อนไหวต่างๆ ทว่าญี่ปุ่นกลับยุบองค์กรแรงงานต่างๆ เหล่านี้ นอกจากนี้ มีการเกณฑ์ชาวอินโดนีเซียไปใช้แรงงานหนักเพื่อบรรลุเป้าประสงค์ของสงคราม
ขบวนการแรงงานหลังประกาศเอกราช
หลังการประกาศเอกราชของอินโดนีเซียเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 1945 ได้ไม่ถึงเดือน มีการก่อตั้งองค์กรแรงงานชื่อว่าแนวร่วมแรงงานอินโดนีเซีย (Barisan Buruh Indonesia) ในวันที่ 15 กันยายน 1945 ซึ่งแนวร่วมนี้ประกาศจะเข้าร่วมต่อสู้ในสงครามต่อสู้เพื่อเอกราชกับเนเธอร์แลนด์ที่ไม่ยอมรับการประกาศเอกราชของอินโดนีเซีย แนวร่วมแรงงานอินโดนีเซียได้ก่อตั้ง ‘กองกำลังกรรมกร’ ติดอาวุธตามโรงงานต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีการก่อตั้งแนวร่วมแรงงานสตรี (Barisan Buruh Wanita) ขึ้นด้วย ต่อมาแนวร่วมแรงงานอินโดนีเซียพัฒนาการจนกลายเป็นศูนย์กลางองค์กรแรงงานทั่วทั้งอินโดนีเซีย (Sentral Organisasi Buruh Seluruh Indonesia) หรือ SOBSI ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าของขบวนการแรงงานอินโดนีเซีย เพราะสามารถรวมสหภาพแรงงาน 34 แห่งทั่วทั้งประเทศไว้ด้วยกัน
แม้ว่า SOBSI จะประกาศตนว่าไม่ใช่พรรคการเมือง แต่การดำเนินการขององค์กรไม่สามารถหลุดพ้นจากกระแสทางการเมืองได้ ดังนั้น ในการต่อสู้ช่วงสงครามเอกราช SOBSI จึงร่วมมือกับกลุ่มและพรรคการเมืองที่มีแนวคิดเดียวกัน ซึ่งคือพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย (Partai Komunis Indonesia) หรือ PKI ในปี 1948 เกิดความแตกแยกภายใน SOBSI อันเนื่องจากความคิดเห็นไม่ตรงกันต่อเรื่องข้อตกลงหยุดยิงและการแบ่งเขตแดนระหว่างรัฐบาลสาธารณรัฐอินโดนีเซียกับเนเธอร์แลนด์ แต่ในเวลาไม่นาน SOBSI ก็รวบรวมกลุ่มต่างๆ ได้อีกครั้ง และออกแถลงการณ์ไม่ยอมรับข้อตกลงหยุดยิงดังกล่าว
หลังเนเธอร์แลนด์ยอมรับอธิปไตยของอินโดนีเซียโดยสมบูรณ์ในปี 1949 ขบวนการแรงงานในอินโดนีเซียเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษ 1950 โดยองค์กรแรงงานต่างๆ มักจะมีสายสัมพันธ์กับพรรคการเมือง อยู่ภายใต้ร่มของพรรคการเมือง ซึ่งพรรคการเมืองต่างๆ ล้วนมีองค์กรลูกของตัวเองเป็นฐานเสียงสนับสนุน ทั้งองค์กรแรงงาน องค์กรสตรี องค์กรวัฒนธรรม และอื่นๆ จำนวนแรงงานที่มีสายสัมพันธ์กับพรรคการเมืองต่างๆ มีอยู่ราว 3-4 ล้านคน ในบรรดาองค์กรแรงงานต่างๆ SOBSI มีความเข้มแข็งที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ประธานาธิบดีซูการ์โนประกาศใช้ประชาธิปไตยแบบชี้นำ
แต่เมื่อยุคซูการ์โนสิ้นสุดลงจากความขัดแย้งทางการเมืองและรัฐประหารที่ล้มเหลว พรรค PKI ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังรัฐประหารดังกล่าว นำไปสู่การยุบพรรค PKI ประกาศให้พรรค PKI ผิดกฎหมาย ตลอดจนการกวาดล้างสมาชิกพรรคและผู้สนับสนุนที่มีผู้เสียชีวิตราว 500,000-2,000,000 คน SOBSI ก็ได้รับผลกระทบนี้ด้วยเช่นกัน รัฐบาลสั่งยุบ SOBSI และจับกุมผู้นำและนักกิจกรรมแรงงานนับพันคนเข้าคุก
ขบวนการแรงงานยุคระเบียบใหม่
ยุคระเบียบใหม่ที่เริ่มต้นในปี 1966 ภายใต้การนำของประธานาธิบดีซูฮาร์โตมีการควบคุมการเคลื่อนไหวในสังคมอย่างเข้มข้น รัฐบาลบังคับให้พรรคการเมืองต่างๆ ที่มีอยู่มากมายก่อนหน้านั้นยุบรวมกันให้เหลือแค่สองพรรค กับอีกหนึ่งกลุ่มกอลคาร์ ซึ่งเป็นเสมือนพรรคการเมืองของรัฐบาล และรัฐบาลยังใช้การควบรวมนี้กับองค์กรมวลชนต่างๆ รวมถึงองค์กรแรงงาน ปี 1968 รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานผุดความคิดจะรวมสหภาพแรงงานต่างๆ เข้าด้วยกัน ต่อมาในปี 1969 มีการก่อตั้งสภาที่ปรึกษาแรงงานอินโดนีเซีย (Majelis Permusyawaratan Buruh Indonesia) หรือ MPBI ขึ้น เพื่อเป็นองค์กรร่วมของสหภาพแรงงานทั้งหมด โดยรวมองค์กรแรงงาน 21 องค์กรเข้าไว้ด้วยกัน
ในปี 1973 ในที่ประชุมสมัชชา MPBI แถลงการณ์ก่อตั้งสหพันธ์แรงงานทั่วทั้งอินโดนีเซีย (Federasi Buruh Seluruh Indonesia) หรือ FBSI ขึ้น ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นสหภาพแรงงานทั่วทั้งอินโดนีเซีย (Serikat Pekerja Seluruh Indonesia) หรือ SPSI ซึ่งเป็นองค์กรแรงงานเดียวที่รัฐบาลอนุญาตให้ดำเนินการได้ โดย SPSI ถือเป็นองค์กรแรงงานที่มีอายุยืนยาวที่สุดและยังดำเนินการจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ราวต้นทศวรรษ 1990 เริ่มมีองค์กรแรงงานที่ก่อตั้งขึ้นและต้องการเคลื่อนไหวภายนอก SPSI แม้จะไม่ได้รับการยอมรับโดยรัฐบาลก็ตาม
ความสำเร็จของยุคระเบียบใหม่คือการตัดสายสัมพันธ์ระหว่างองค์กรแรงงานกับพรรคการเมืองต่างๆ ที่เคยมีในสมัยซูการ์โน นอกจากนี้ รัฐบาลยุคระเบียบใหม่ห้ามจัดรำลึกวันแรงงานสากล โดยรัฐบาลมองว่าการเคลื่อนไหวในวันแรงงานสากลมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการคอมมิวนิสต์ซึ่งถูกแบนในอินโดนีเซีย ขบวนการแรงงานในยุคระเบียบใหม่เคลื่อนไหวอะไรไม่ได้มากนัก เพราะรัฐบาลควบคุมอย่างเข้มข้น ออกกฎหมายห้ามแรงงานชุมนุมประท้วง ซ้ำร้ายผู้นำแรงงานที่ลุกขึ้นมาต่อต้านหรือประท้วงนโยบายที่เน้นการพัฒนาของรัฐ มักประสบกับชะตากรรมอันน่าเศร้าสลด เป็นต้นว่าถูกดำเนินคดี ถูกทำร้ายร่างกาย ถูกทรมาน ไปจนถึงถูกสังหารเสียชีวิต
ขบวนการแรงงานยุคปฏิรูป
หลังการลาออกของประธานาธิบดีซูฮาร์โตซึ่งถือเป็นจุดสิ้นสุดยุคระเบียบใหม่ อินโดนีเซียเข้าสู่ยุคปฏิรูปและเกิดการปฏิรูปในประเทศทุกด้าน ซึ่งรวมถึงด้านองค์กรแรงงาน ภายใต้บรรยากาศที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น มีการก่อตั้งสหภาพแรงงานขึ้นจำนวนมาก ย้อนกลับไปเหมือนก่อนปี 1973 ที่องค์กรแรงงานต่างๆ ถูกบีบกลายๆ ให้ต้องรวมตัวกัน และองค์กรแรงงานสามารถกลับมาจัดงานรำลึกวันแรงงานสากลได้อีกครั้ง จนกระทั่งรัฐบาลอินโดนีเซียสมัยประธานาธิบดีซูซีโล บัมบัง ยูโดโยโน (Susilo Bambang Yudhoyono) ประกาศในปี 2013 ให้วันแรงงาน -วันที่ 1 พฤษภาคม- เป็นวันหยุดแห่งชาติ
อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลยุคระเบียบใหม่เบียดขับขบวนการแรงงานให้เป็นกลุ่มชายขอบส่งผลรุนแรงต่อการเคลื่อนไหวของขบวนการแรงงานหลังยุคระเบียบใหม่ องค์กรแรงงานต่างๆ ไม่สามารถรวมตัวกันได้เป็นปึกแผ่น และพรรคการเมืองต่างๆ ที่เป็นพรรคของผู้ใช้แรงงานก็ไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งทั่วไป ตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งแรกหลังยุคระเบียบใหม่ในปี 1999 จนถึงปัจจุบัน
ประวัติศาสตร์ขบวนการแรงงานในอินโดนีเซียมีช่วงขาขึ้นและลง มีรากเหง้าตั้งแต่ยุคอาณานิคม สหภาพแรงงานต่างๆ เกิดขึ้นจากการเอารัดเอาเปรียบผู้ใช้แรงงานในยุคบังคับเพาะปลูกของเจ้าอาณานิคมเนเธอร์แลนด์และนโยบายเสรีนิยมหลังจากนั้นที่นำไปสู่การก่อตั้งอุตสาหกรรมต่างชาติจำนวนมากในหมู่เกาะอินโดนีเซีย หลังจากอินโดนีเซียเป็นเอกราช ขบวนการแรงงานเฟื่องฟูและมีบทบาทมากในสังคมการเมืองอินโดนีเซีย จนกระทั่งยุคระเบียบใหม่จำกัดเสรีภาพและการแสดงออกขององค์กรแรงงาน
แม้จะผ่านการปฏิรูปในช่วงต้นของยุคปฏิรูป แต่สภาพการทำงาน ค่าจ้างที่ต่ำเกินไป การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม กฎหมายที่ดูเหมือนเอื้อประโยชน์ให้นายทุน ตลอดจนความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศล้วนผลักให้ขบวนการแรงงานอินโดนีเซียออกมาเรียกร้องสิทธิและความเป็นธรรมที่พวกเขาพึงมีและพึงได้ ดังที่เราเห็นในหน้าสื่อต่างๆ ช่วงเดือนสิงหาคม 2025
ข้อมูลประกอบการเขียน
Ahmad, Iqbal Faza and Ayubbi, Syaefuddin Ahrom Al. “Kronik Gerakan Serikat Buruh di Indonesia: Peta dan Sejarah.” Journal of Social Movements, Vol, 1, No. 1, January 2024: 10-24.
Arsika, Melati Putri. “Sejarah Hari Buruh di Indonesia dari Masa ke Masa.” Detiksumbagsel, 30 April 2024, https://www.detik.com/sumbagsel/berita/d-7318901/sejarah-hari-buruh-di-indonesia-dari-masa-ke-masa
Habibi, Muhtar. “Gerakan Buruh Pasca Soeharto: Politik Jalanan di Tengah Himpitan Pasar Kerja Flekisel.” Jurnal Ilmu Sosial dan Ilmu Politik, Volume 16, Nomor 3, March 2013: 200-216.
Jumaidi, Susanto and Indriawati, Tri. “Sejarah Buruh Indonesia: Gerakan Pekerja pada Masa Soekarno.” Kompas, 4 May 2023, https://www.kompas.com/stori/read/2023/05/04/190000979/sejarah-buruh-indonesia–gerakan-pekerja-pada-masa-soekarno
Rizqiyah, Syaula Aida. “Sejarah Pergerakan Buruh di Indonesia dan Daftar 69 Organisasinya.” Sindonews, 30 April 2023, https://nasional.sindonews.com/read/1084603/12/sejarah-pergerakan-buruh-di-indonesia-dan-daftar-69-organisasinya-1682820293
Wahyu, Yohan. “Perjuangan Buruh, dari Era Kolonial ke Era Digital.” Kompas, 1 May 2025, https://www.kompas.id/artikel/perjuangan-buruh-dari-era-kolonial-ke-era-digital