‘สิ่งแวดล้อมและความยุติธรรมเป็นเรื่องเดียวกัน’: เมื่อรัฐและทุนเติบโตถึงจุดที่โลกไม่สามารถย้อนกลับไปได้ กับ กฤษฎา บุญชัย

กฤษฎา บุญชัย

นักวิทยาศาสตร์และนักสิ่งแวดล้อมต่างออกมาเตือนว่า หากยังไม่ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จนอุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้นอีก 2 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมนั้น สภาพภูมิอากาศจะอยู่ใน ‘จุดที่ไม่สามารถย้อนกลับไปได้ (a point of no return)’

ประโยคดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้ทุนใหญ่และเทคโนโลยีเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด เกิดการแปรทรัพยากรธรรมชาติเป็นวัตถุดิบตอบสนองอุตสาหกรรมและระบบทุนนิยมโลก

ท่ามกลางวิถีดังกล่าว คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) รายงานการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปี 2544 – 2563 อุณหภูมิพื้นผิวโลกเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 1 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม จนเกิดการตั้งเป้าหมายการรักษาอุณหภูมิทั่วโลกตามข้อตกลงปารีส (paris agreement) ว่าไม่ให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นเกินกว่า 2 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคอุตสาหกรรม และพยายามจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม ภายในปี 2643

“สำหรับผมนั้นชีวิตแต่ละชีวิต ธรรมชาติแต่ละแห่ง ทุกสิ่งย่อมมีคุณค่าและสิทธิของมัน” นี่คือเสียงสะท้อนจาก กฤษฎา บุญชัย ผู้ประสานงานเครือข่าย Thai Climate Justice for All (TCJA) ที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมมาเป็นระยะเวลานานต่อสถานการณ์สิ่งแวดล้อมและภาวะโลกรวนในปัจจุบัน หลายคนอาจจะมองว่าประเด็นอย่างสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นประเด็นที่ตั้งอยู่อย่างเอกเทศ แต่สำหรับเขากลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะประเด็นสิ่งแวดล้อมล้วนเกี่ยวพันทั้งการเมือง สังคม หรือแม้กระทั่ง ‘ความยุติธรรม’

ความยุติธรรมในสายตาของกฤษฎาจึงไม่ใช่เพียงความยุติธรรมอันเกิดจากตัวบทกฎหมายในรัฐธรรมนูญ แต่คือความยุติธรรมของสังคมและประชาชนที่ควรได้รับ ซึ่งหมายความรวมถึงความเป็นธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

101 ชวนกฤษฎาพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นในประเด็นสิ่งแวดล้อม เขาวาดฝันถึงสังคมที่มีความยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อมอย่างไร

คำตอบอยู่ในบรรทัดถัดหลังจากนี้

ในฐานะที่เป็นทั้งนักสิ่งแวดล้อมและนักมานุษยวิทยา มองสถานการณ์ภาวะโลกรวน (climate change) ปัจจุบันนี้อย่างไร

สถานการณ์ภาวะโลกรวน หรือ climate change หากสำรวจตั้งแต่ต้นธารจะพบว่าเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม จากกลุ่มประเทศที่ใช้พลังงานฟอสซิลขนาดใหญ่เพื่อให้ระบบทุนนิยมของโลกเติบโต ดังนั้นจึงกล่าวได้เลยว่าระบบทุนนิยมโลกเติบโตได้ด้วยพลังงานฟอสซิลเป็นสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมาในแวดวงสิ่งแวดล้อมเองก็ตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องความไม่เป็นธรรมที่ขึ้นตลอดมาท่ามกลางการเติบโตของระบบทุนนิยม


ความไม่เป็นธรรมกับสิ่งแวดล้อมเชื่อมโยงกันได้อย่างไร และโลกกำลังตั้งคำถามเรื่องความไม่เป็นธรรมอย่างไร

ในฉับพลันที่โลกเริ่มต้นการใช้พลังงานฟอสซิล ทำให้บางประเทศใช้ทรัพยากรมากและปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมากเช่นเดียวกัน มันจึงมีการตั้งคำถามในเรื่องความไม่เป็นธรรม 4 ประการ ประกอบด้วย

ประการที่ 1 – ความไม่เป็นธรรมระหว่างประเทศ กล่าวคือประเทศที่ใช้พลังงานเยอะ ส่วนใหญ่คือประเทศที่พัฒนาแล้ว และประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกรวน ส่วนใหญ่คือประเทศยากจนหรือกำลังพัฒนา

ในด้านหนึ่ง มนุษย์ต่างไม่เคยทราบมาก่อนว่าการปล่อยมลพิษอย่างคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซอื่นๆ จะส่งผลกระทบต่อทั้งโลกขนาดนี้ คือทำให้โลกเกิดการแปรปรวน คำว่า ‘แปรปรวน’ หมายถึงมันส่งผลกระทบอย่างรุนแรง โดยเฉพาะกับประเทศที่อยู่แถบเส้นศูนย์สูตร เขตร้อนชื้น ซึ่งประเทศส่วนมากเป็นประเทศกำลังพัฒนาและมีความเปราะบางสูง ดังนั้นจึงเห็นว่าผลกระทบจากภาวะโลกรวนตกไปอยู่กับประเทศยากจนและกำลังพัฒนาค่อนข้างเยอะ ขณะที่ประเทศที่ใช้ทรัพยากรมากไม่ได้รับผลกระทบหรือได้รับน้อย สถานการณ์ดังกล่าวจึงเกิดคำถามเรื่องความไม่เป็นธรรมขึ้น

ประการที่ 2 – ความไม่เป็นธรรมภายในประเทศ ภายในประเทศก็มีความไม่เป็นธรรม คือความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนยากจนด้วย ต้องยอมรับว่าคนที่มีฐานะย่อมมีฐานทรัพยากรและทางเลือกสำหรับชีวิตมากกว่า เช่น หากวันนี้เกิดภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม ภัยแล้ง หรือแม้กระทั่งปัญหาฝุ่น พวกเขาสามารถพึ่งพาทุนและเทคโนโลยีในการจัดการกับปัญหาได้ แต่คนยากจนกลับเป็นเหมือนด่านหน้าของการเผชิญภัยพิบัติ บ่อยครั้งจึงเห็นภาพของชาวบ้านหรือผู้คนในชนบทเผชิญกับภัยพิบัติจำนวนมากและซ้ำซาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่อยู่อาศัย การเพาะปลูก โรคภัย หรือแม้กระทั่งคนจนเมืองที่เจอสภาวะฝุ่นพิษ พวกเขาไม่มีทางเลือกในชีวิต ไม่มีแม้กระทั่งเครื่องมือที่จะป้องกันด้วยซ้ำ

ประการที่ 3 – ความไม่เป็นธรรมระหว่างรุ่น นับเป็นอีกหนึ่งโจทย์ใหญ่ที่ทั่วโลกต่างตั้งคำถามโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพราะต้องอย่าลืมว่าคนรุ่น baby boomers , gen X และ gen Y ล้วนใช้พลังงานฟอสซิลอย่างหนักหน่วงตลอด 50 ปีที่ผ่านมา และไม่ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ผลกระทบนั้นตกไปยังคนรุ่นต่อไปที่กำลังจะเกิดและเติบโตขึ้นมา พวกเขาเกิดมาในต้นทุนธรรมชาติที่ติดลบ กล่าวคืออนาคตของพวกเขาไม่มีทางเลือกอย่างคนรุ่นก่อนที่มีโอกาสเห็นสิ่งแวดล้อมที่ดี อากาศบริสุทธิ์ แล้วมนุษย์จะต้องอยู่ในโลกที่มีภาวะโลกรวนและวิบัติไปอีกชั่วลูกชั่วหลาน

ประการที่ 4 – ความไม่เป็นธรรมในเชิงระบบนิเวศ ที่ผ่านมาระบบทุนนิยมเองทำให้มนุษย์แปลกแยกกับธรรมชาติ และใช้ทรัพยากรธรรมชาติเหล่านั้นราวกับเป็นเพียงปัจจัยการผลิต มนุษย์จึงไม่เคยคำนึงถึงขีดจำกัดของธรรมชาติ เช่น แม่น้ำโขงที่สร้างเขื่อนจำนวนมากโดยประเทศจีน ลาว และไทย ซึ่งไปทำลายระบบนิเวศของทั้งโลก ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง ความมั่นคงทางอาหารพังทลาย

เมื่อมนุษย์สร้างปัญหากับระบบนิเวศขนาดนี้ เรากลับมองว่าไม่ว่าเช่นไรธรรมชาติก็สามารถรองรับได้ แม้ว่าปัจจุบันสังคมพอจะเข้าใจและตื่นตัวในประเด็นสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่แนวคิดที่ใช้ธรรมชาติแก้ปัญหายังคงอยู่ เราเห็นแนวคิดนี้อยู่ตามทุกแผนการพัฒนา เช่น แผนพัฒนาระบบจัดการน้ำ หลายประเทศเชื่อว่าการสร้างเขื่อนเป็นการจัดการน้ำที่ดี หรือหากกักเก็บน้ำได้ยิ่งมากคือมีระบบการจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพสูง แต่ในความจริงนับว่าเป็นการทำลายธรรมชาติอย่างรุนแรง

พูดตรงไปตรงมาคือมนุษย์ในระบบทุนนิยมต่างใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดความคุ้มค่าที่สุด หรือหากใช้จนเกินขีดจำกัดก็จะฝืนดันขึ้นไป เช่น การตัดแต่งพันธุกรรม หรือ GMOs (genetically modified organisms) เพราะเดิมทีระบบพันธุ์พืชมีข้อจำกัด มนุษย์จึงตัดสินใจฝ่าขีดจำกัดนั้นออกไป

ดังนั้น ประเด็นความเป็นธรรมต่อระบบนิเวศจึงเป็นอีกโจทย์ใหญ่ที่ไม่ใช่เพียงมิติความเป็นธรรมระหว่างมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น เดิมทีพวกเรามีเพียงความคิดว่ามนุษย์ต้องมีสิทธิที่จะมีธรรมชาติที่ดี (right to nature) ปัจจุบันกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองและนักสิ่งแวดล้อมเกิดแนวคิดใหม่อย่าง ‘สิทธิของธรรมชาติ (right of nature)’ ซึ่งพยายามให้ธรรมชาติมีฐานะเป็นผู้มีชีวิตหรือผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิด้วย เช่น ในประเทศนิวซีแลนด์ มีกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองที่เรียกร้องให้แม่น้ำวังกานุย (whanganui river) ต้องมีสิทธิในฐานะนิติบุคคล หากผู้ใดละเมิดหรือทำลายธรรมชาตินี้จะมีความผิด  การเกิดขึ้นของแนวคิดดังกล่าวแปลว่าการเรียกร้องได้ขยับไปอีกขั้นหนึ่ง คือเราเห็นความเป็นธรรมของนิเวศอย่างแท้จริง


ประเด็นความไม่เป็นธรรมดังกล่าวสะท้อนให้เห็นอะไรบ้าง

ทั้งหมดนี้มันกลับไปเชื่อมโยงกับคำถามคือ ‘ใครคือผู้สร้างมลพิษ’ หากเทียบการใช้ทรัพยากรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นประเทศพัฒนา ชนชั้นร่ำรวยล้วนมีคนที่ใช้ทรัพยากรเยอะและปล่อยมลพิษเยอะ ทั้งหมดนี้สร้างคาร์บอนฟุตปรินต์ (carbon footprint) มหาศาล หากเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาหรือคนยากจนที่เขาใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพียงเพื่อการดำรงชีวิตประจำวัน อย่างปัญหาฝุ่น PM 2.5 หลายคนมักหันไปโทษคนยากจน แต่กลับลืมตั้งคำถามว่ามลพิษส่วนใหญ่มาจากภาคพลังงานซึ่งตอบสนองภาคเหมืองและภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก ดังนั้นคนที่อยู่โครงสร้างส่วนบนจึงเป็นผู้ที่สร้างมลภาวะและได้ประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรเหล่านั้น

ด้านกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ จะพบว่ามีกลุ่มคนชายขอบที่เราลืมนึกถึงพวกเขาอีกมาก เช่น ผู้หญิง เด็ก คนชรา ชาวเขา กลุ่มชาติพันธุ์ มักจะเป็นผู้ที่ไม่มีอำนาจต่อรองทางสังคมมาก และมีความเปราะบางสูงกว่า ดังนั้นผลกระทบที่เกิดกับพวกเขามาก แต่มาตรการและงบประมาณรัฐที่เข้าไปช่วยเหลือน้อย


แล้วคุณมอง ‘ความยุติธรรมในมิติสิ่งแวดล้อม’ อย่างไร

แก่นหลักคือเราต้องเห็นว่าใครคือผู้สร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศ และผู้นั้นต้องมีบทบาทรับผิดชอบมากกว่าผู้อื่น หลักการดังกล่าวปรากฏในความตกลงปารีส (paris agreement) ประเด็นของโลกร้อนแล้ว ใช้คำว่า ‘ความรับผิดชอบที่แตกต่าง’ เช่น หากประเทศใดที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงต้องรับผิดชอบมากกว่าประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อย

นอกจากนี้ยังต้องทบทวนว่าใครคือผู้ที่มีหน้าที่กอบกู้และรักษาสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมามักพุ่งไปยังภาคเอกชน นักวิชาการ หรือผู้ที่ถือครองทรัพยากรมาก แต่ในความจริงแล้ว ผู้ที่มีหน้าที่ปกป้องและกอบกู้สิ่งแวดล้อมคือประชาชนคนธรรมดาต่างหาก เห็นได้จากที่ผ่านมาชุมชนท้องถิ่นคือผู้ที่สามารถดูแลป่าได้ดีที่สุด จากป่าอนุรักษ์ที่เหลืออยู่ในโลกส่วนใหญ่อยู่บริเวณพื้นที่ของกลุ่มชนพื้นเมือง แปลว่าเขตเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในเขตอนุรักษ์ของรัฐหรือเอกชน แต่คือวิถีชีวิตของชนพื้นเมืองที่สามารถอนุรักษ์ได้ดี

บทเรียนที่ทั่วโลกสรุปคือประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมกับความยุติธรรมไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เพราะในด้านหนึ่งเมื่อเราพูดถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม แต่กลับไม่พูดถึงความไม่เป็นธรรม นั่นแปลว่าคุณกำลังกีดกันประชาชนส่วนใหญ่และมอบอำนาจให้กับกลุ่มคนบางกลุ่ม ในทางกลับกัน หากโลกสนใจเพียงเรื่องความยุติธรรม แต่ไม่สนใจสิ่งแวดล้อมเลยก็ไม่ได้ เพราะผลกระทบของความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นมากที่สุดอยู่ที่ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมาเราอาจจะบอกว่าผลกระทบหลักของความไม่เป็นธรรมออกมาในรูปแบบของสงครามหรือการละเมิดสิทธิทางการเมือง นั่นเป็นเพียงความรุนแรงที่ปรากฏ แต่เบื้องหลังของสงครามหรือการละเมิดสิทธิ ส่วนหนึ่งไม่มากก็น้อยมาจากเรื่องของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น การต่อสู้กันระหว่างทุตซี (Tutsi) และฮูตู (Hutu) ที่เคยขัดแย้งกัน ทุกคนอาจจะคิดว่ามันเป็นเพียงความขัดแย้งทางวัฒนธรรม แต่เบื้องหลังของความขัดแย้งคือความไม่เป็นธรรมในพื้นที่หากินและทรัพยากรต่างหาก

ดังนั้นเมื่อเราพูดถึงความยุติธรรม เราต้องเห็นบทบาทของกลุ่มคนตัวเล็กตัวน้อยหรือชุมชนซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างความยุติธรรมเหล่านั้น ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำว่าใครคือผู้สร้างผลกระทบ ใครคือผู้ได้รับผลกระทบ และใครคือผู้ที่ต้องกอบกู้ผลกระทบเหล่านั้น เพื่อสร้างชีวิตที่ดีและเท่าเทียมกันของผู้คนในอนาคต


จากความตกลงปารีสที่ใช้คำว่า ‘ความรับผิดชอบที่แตกต่าง’ คุณมองคำนี้อย่างไร

นิยามดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายคือให้ประเทศที่ปล่อยมลพิษลดการปล่อยของตนเอง แต่ที่ผ่านมามีความพยายามเบี่ยงเบนจากหลักการดังกล่าว การกระทำที่ชัดเจนคือการเกิดขึ้นของแนวคิด ‘ตลาดคาร์บอน’

ระบบ ‘ตลาดคาร์บอน’ เกิดขึ้นมาจากฐานความคิดที่มองว่าภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะภาคพลังงานปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณมหาศาล และลดการปล่อยลงได้น้อย ดังนั้นจึงเกิดแนวคิดคือ ป่าไม้ ทะเล แม่น้ำ สามารถดูดซับมลพิษได้ โดยหากภาคอุตสาหกรรมปล่อยมลพิษปริมาณจำนวนเท่าใด เราก็นำธรรมชาติมาดูดกลับ หรือที่เรียกว่า ‘การชดเชยคาร์บอน’ เมื่อบัญชีปล่อยมลพิษ และบัญชีดูดกลับมีปริมาณเท่ากัน เรียกว่า ‘คาร์บอนเป็นกลาง (Net Zero)’

ปัญหาที่เกิดขึ้นคือระบบตลาดคาร์บอนคิดถึงแต่เพียงการสร้างแรงจูงใจแก่ผู้ก่อมลพิษ จึงเกิดความคิดว่าไม่จำเป็นต้องลดการปล่อยมลพิษก็ได้ เพียงแต่เอาเงินไปลงทุนปลูกป่าในพื้นที่ต่างๆ พฤติกรรมดังกล่าวสร้างความไม่เป็นธรรมอย่างมาก เพราะนั่นแปลว่าผู้ที่มีเงินมากย่อมสามารถปล่อยมลพิษได้มาก ผลที่เกิดขึ้นคือผู้ปล่อยมลพิษก็สามารถปล่อยมลพิษได้ปริมาณมาก และยังมีแนวโน้มปล่อยต่อไป

หากยกตัวอย่างให้เป็นรูปธรรม อย่างกรณีน้ำมันรั่วที่จังหวัดระยอง ส่งผลให้ทะเลเสียหายจนบัดนี้ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ แต่บริษัทนั้นกลับใช้วิธีปลูกป่าเพิ่มอีกสองล้านไร่ เพื่อให้องค์กรของตนบรรลุด้านคาร์บอนเป็นกลาง คำถามสำคัญกว่านั้นคือ ชีวิตของชาวประมง ชีวิตของทะเลที่อ่าวไทย มันนำมาแลกกับการปลูกต้นไม้ได้ไหม คนที่มองปัญหานี้ไม่ออกแสดงว่าคิดว่าแลกได้ กล่าวคือแลกระหว่างการทำลายธรรมชาติที่หนึ่งแล้วไปฟื้นธรรมชาติอีกที่หนึ่งได้

สำหรับผมมันแลกกันไม่ได้ ชีวิตแต่ละชีวิต ธรรมชาติแต่ละแห่ง ย่อมมีคุณค่าและสิทธิของมัน ไม่สามารถแลกเปลี่ยนราวกับตัวเลขได้ หากวันนี้เรามองว่าแลกเปลี่ยนได้แปลว่าคาร์บอนฟุตปรินต์ที่เกิดจากชาวบ้านเผาไร่ กับคาร์บอนฟุตปรินต์ที่เกิดจากบริษัทอุตสาหกรรมพลังงาน มีค่าเท่ากัน ทั้งที่ในความจริงแล้วเจตจำนงของชีวิตนั้นต่างกันมหาศาลระหว่างการสู้เพื่ออยู่รอดกับการแสวงหากำไรสูงสุด

ทั้งๆ ที่ระบบทุนนิยมคือปัญหาของโลกและสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันนี้ แต่ระบบทุนนิยมกลับกระโดดเข้ามาเป็นกลไกจัดการปัญหา ที่ผ่านมาจึงเกิด ‘การฟอกเขียว (greenwashing)’ บ่อยครั้ง


ที่ผ่านมามักจะได้ยินประโยคว่า “ประเทศพัฒนาแล้วสร้างมลพิษ แต่ผลกระทบตกมาที่ประเทศกำลังพัฒนา” แต่ปัจจุบันนี้ประเทศเหล่านั้นก็เป็นเหมือนหัวเรือด้านเศรษฐกิจที่คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกอยู่ ซึ่งประเทศกำลังพัฒนาต่างต้องพึ่งการนำเข้าและส่งออกจากประเทศเหล่านั้น คุณมองประเด็นนี้อย่างไร

มันมีแนวคิดการวิเคราะห์ระบบโลก (world system theory) โดยแบ่งกลุ่มประเทศต่างๆ ออกเป็น 3 ระดับ คือ ประเทศในกลุ่มแกนกลาง (core countries) , ประเทศกลุ่มกึ่งชายขอบ (semi-periphery countries) และประเทศกลุ่มชายขอบ (periphery countries) ซึ่งในประเด็นนี้ประเทศในกลุ่มแกนกลางคือศูนย์กลางของระบบทุนนิยมที่ทำหน้าที่ดูดทรัพยากรจากประเทศกลุ่มกึ่งชายขอบและชายขอบเข้ามาสู่แกนกลางของระบบทุนนิยม และประเทศกลุ่มแกนกลางก็จะแปรรูปผ่านภาคอุตสาหกรรมกระจายกลับไป แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือประเทศแกนกลางยิ่งโต ขณะที่รอบข้างเริ่มเหี่ยว 

ตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนคือ ประเทศญี่ปุ่นที่มีพื้นที่สีเขียวจำนวนมากและหันมาให้ความสำคัญกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม คำถามคือทำไมประเทศเหล่านั้นถึงมีพื้นที่สีเขียวมาก เขาไม่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติแล้วหรือ คำตอบคือใช้ แต่ประเทศญี่ปุ่นเลือกที่จะนำเข้าจากประเทศกำลังพัฒนา 

จากตัวอย่างดังกล่าวจะเห็นได้ว่าระบบทุนนิยมโลกสร้างให้เกิดสภาวะการดูดทรัพยากรเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตและความมั่งคั่งในกลุ่มประเทศแกนกลาง และผลักภาระออกไป


หากแต่ละประเทศย่อมมีผลประโยชน์ของชาติ แล้วแบบนี้เราจะแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ต้องพึ่งความร่วมมือซึ่งกันและกันอย่างไร

หากเรามัวคิดเช่นนั้นว่าทุกประเทศต่างมีผลประโยชน์ของชาติ ผลสะท้อนคือ เวทีการประชุม COP (conference of the parties) ที่ผ่านมาไม่สามารถสร้างข้อตกลงร่วมกันได้ เวทีการประชุมดังกล่าวจึงไม่มีผลที่ก้าวหน้ามากนัก เพราะแต่ละประเทศก็คิดแต่ประโยชน์ของชาติ

อีกทั้งการประชุมด้านสิ่งแวดล้อมไม่ได้มีฐานะเป็นภาคบังคับ เป็นเพียงเวทีการหาทางแก้ไขร่วมกัน ดังนั้นเวทีเหล่านี้แทนที่จะเป็นเวทีที่เอาจริงเอาจัง มันจึงเป็นเพียงเวทีไปแสดงว่าฉันทำอะไร คุยโม้โอ้อวดเสียเยอะ แต่ทำได้จริงน้อย เพราะเวทีการประชุมดังกล่าวไม่มีมาตรการเชิงกดดัน ทั้งนี้ภาคประชาสังคมก็ยังหวังว่าแต่ละประเทศจะเห็นว่าผลประโยชน์ของชาติไม่สามารถแยกจากผลประโยชน์ของโลกได้


อย่างการประชุม COP27 เมื่อปีที่ผ่านมา มีการตั้งกองทุน lost and damage หรือนำเงินกองทุนไปช่วยประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกรวน การแก้ปัญหาเหล่านี้ตอบโจทย์หรือไม่

ไม่ตอบโจทย์ แม้ขณะนี้จำเป็นต้องถมงบประมาณ เพราะในปัจจุบันนี้มีหลายคนที่ใกล้จะใช้ชีวิตไม่ได้จากสถานการณ์โลกปัจจุบัน เช่น การประสบภัยพิบัติซ้ำซาก เป็นต้น แต่ความเสียหายจากสถานการณ์ภาวะโลกรวนนับวันยิ่งรุนแรงมากขึ้น หากการปล่อยปริมาณของก๊าซเรือนกระจกยังเติบโตมากขึ้นในแต่ละปี คุณมีงบประมาณในกองทุนเท่าไหร่ก็ถมไม่พอ

ดังนั้นการตั้งกองทุน lost and damage เป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องตั้งเพื่อเป็นงบประมาณในการเปลี่ยนผ่าน เช่น การให้กู้เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันของประเทศที่เปราะบาง เป็นต้น แต่ปัญหาขณะนี้คือแม้ในการประชุม COP ครั้งที่ผ่านมาจะมีข้อตกลงเรื่องนี้ แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าใครจะเป็นผู้สนับสนุนเงินในกองทุน วิธีการเข้าถึงกองทุน และจำนวนเงินคือเท่าใด

ก่อนหน้านี้มีการตั้งกองทุนชื่อ ‘green climate fund’ ซึ่งมีจุดประสงค์คล้ายกับกองทุน lost and damage คือเป็นทุนสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนา แต่การเข้าถึงกองทุนนั้นเป็นเรื่องที่ยาก อย่างประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงเกี่ยวกับสถานการณ์ภาวะโลกรวนเป็นอันดับต้นๆ กลับได้เงินในกองทุนดังกล่าวเพียง 1 โครงการ และโครงการที่ได้เป็นของกรมชลประทานที่ทำเรื่องระบบการจัดการน้ำในคลองชลประทาน นับเป็นบทเรียนสำคัญเลยว่าไม่มีใครมาดูปลายทางเลยว่าโครงการที่ได้รับงบประมาณจากกองทุนทำเกี่ยวกับการจัดการสถานการณ์ภาวะโลกรวนหรือไม่

จากประโยคที่คุณกล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่เสี่ยงต่อสภาวะโลกรวนอันดับต้นของโลก ผลกระทบที่พวกเราพบเจออย่างรูปธรรมคืออะไร

สายตาของนักมานุษยวิทยาจะสนใจว่าผู้คนในแต่ละพื้นที่มีความเข้าใจต่อการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิอากาศอย่างไรหรือมีวิถีชีวิตที่สัมพันธ์กับภูมิอากาศอย่างไร ข้อค้นพบคือแต่ละพื้นที่มีความสัมพันธ์กับภูมิอากาศทั้งสิ้น เช่น ชาวกะเหรี่ยงในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร จังหวัดกาญจนบุรี กล่าวคือวิถีชีวิตของพวกเขาไม่ได้แยกออกจากดินหรือน้ำ ซึ่งที่ผ่านมาเขาดูแลทรัพยากรเหล่านั้นผ่านสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ ดังนั้นการทำไร่หมุนเวียนมันสัมพันธ์กับผีในดิน ผีในข้าว และภูมิอากาศทั้งสิ้น

นอกจากความสัมพันธ์ระหว่างชีวิตและธรรมชาติของชาวกะเหรี่ยง ยังมีอีกหนึ่งเครื่องมือที่ชาวบ้านในหลายพื้นที่ใช้คือการพยากรณ์ธรรมชาติ เดิมทีพวกเขาอาจจะสังเกตจากมด แมลง พืช ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสภาพภูมิอากาศ แต่ด้วยสภาวะโลกรวนและภูมิอากาศที่ผันผวนในปัจจุบันนี้ทำให้การพยากรณ์ของชาวบ้านเริ่มใช้ไม่ได้ เนื่องจากภูมิปัญญาท้องถิ่นมีรากฐานมาจากแบบแผนพฤติกรรมที่ชัดเจนและซ้ำ เมื่อพวกเขาอ่านมันไม่ได้ ทำให้เขาเริ่มจะประสบปัญหาการปรับตัวไม่ถูก

หลายคนมองว่าการปรับตัวไม่ถูกไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ความจริงแล้วเป็นเรื่องที่ใหญ่มากเพราะมันทำให้พวกเขาออกแบบชีวิตไม่ได้เลย


เมื่อเป็นอย่างนี้ คุณมองนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของไทยอย่างไร คิดว่ามันช่วยหนุนเสริมให้เกิดความเป็นธรรมในทางสิ่งแวดล้อมได้จริงไหม

นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยที่ผ่านมา เรามองว่าสิ่งแวดล้อมเป็นเพียงปัจจัยที่น่ารำคาญมากกว่าเป็นสาระของตัวมันเอง นโยบายจึงเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจแล้วค่อยระแวดระวังสิ่งแวดล้อมบ้าง ตัวอย่างที่ชัดเจนเลยคือเศรษฐกิจ BCG (bio-circular-green economy) ที่พื้นฐานของแนวคิดนี้คือเรื่อง green growth เน้นเพียงการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่นแม้จะพูดถึงการเกษตร แต่เป็นการเกษตรเชิงแข่งขัน หมายความว่ารัฐไม่ได้วางโจทย์ใหญ่ที่จะสร้างความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจและธรรมชาติ แต่โจทย์กลับไปตกอยู่ที่จะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจเติบโตต่อไป

ต่อมา รัฐยังผูกขาดทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ ที่ดิน น้ำ ส่งผลให้เกิดการรวมศูนย์และผลประโยชน์ในหน่วยงาน แต่รัฐพยายามทำตัวราวกับเป็นเจ้าที่ดิน ทั้งที่เจตจำนงของกฎหมายคือให้ดูแลทรัพยากร พอรัฐมีอำนาจมาก อย่างอุทยานแห่งชาติที่ผ่านมาก็สร้างเงินมหาศาลจนเกิดการทุจริตขึ้น

สุดท้าย รัฐเปิดเสรีให้กลุ่มทุนเข้ามาใช้ประโยชน์กับทรัพยากรธรรมชาติเยอะไป โดยที่กลุ่มทุนไม่ต้องแสดงความรับผิดชอบหรือขอบเขตในการใช้ทรัพยากรแต่อย่างใด อย่างกลุ่มทุนพลังงานซึ่งเป็นกลุ่มทุนที่เติบโตมาในช่วงภายในไม่กี่ปีนี้ ด้วยโครงสร้างเช่นนี้ทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้น แม้วันนี้เรามีการเลือกตั้งที่ดี พรรคการเมืองที่ดี แต่หากคุณไม่เข้ามารื้อโครงสร้างเหล่านี้ สุดท้ายประชาธิปไตยด้านพลังงานมันไม่เกิด ประชาชนจะมีไม่มีสิทธิในการจัดการพลังงานและได้รับสวัสดิการพลังงานที่เป็นธรรม

ทั้งหมดนี้สะท้อนแล้วว่าที่ผ่านมารัฐไทย แม้จะออกนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม แต่เป็นการดำเนินนโยบายอย่างฉาบฉวยเท่านั้น ทั้งที่ประชาชนทุกคนล้วนแต่มี ‘สิทธิในสิ่งแวดล้อม’ และสิทธิเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของเขาด้วย ไม่ใช่เพียงเรื่องคุณภาพชีวิตหรือการมีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นอย่างเดียว สิทธิของชาวบ้านที่จะเข้าถึงทรัพยากร สิทธิของพวกเราที่ต้องไม่เจอกับฝุ่นควันเช่นนี้ ไม่ทำให้เราป่วย ไม่ทำให้เราเป็นโรคมะเร็ง สิทธิที่เราจะกินอาหารที่ดีโดยปลอดสารเคมี ทั้งหมดนี้คือรากฐานว่าทำไมการทำงานเรื่องสิ่งแวดล้อมจึงเป็นเรื่องสำคัญ

หลายคนอาจจะมองว่ารัฐต้องเลือกระหว่างการดูแลสิ่งแวดล้อมหรือการคำนึงสิทธิมนุษยชน (รัฐเข้าไปจัดการพื้นที่ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ป่าเพื่อดูแลทรัพยากรธรรมชาติ) แต่มันเป็นเรื่องตลกนะ เพราะเขาไม่เอาทั้งคู่


ก่อนหน้านี้โครงการเศรษฐกิจ BCG มักถูกวิจารณ์เรื่องกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นผู้ก่อมลพิษเข้าไปนั่งเป็นคณะกรรมการบริหารของโมเดลเศรษฐกิจ BCG คุณมองข้อวิจารณ์เหล่านี้อย่างไร

เนื่องด้วยแนวคิดเศรษฐกิจ BCG มีปัญหาด้วยตัวเอง เพราะเป็นโครงสร้างที่เน้นให้ภาคทุนขนาดใหญ่เป็นผู้ขับเคลื่อน ต้องกล่าวก่อนว่าผมยอมรับว่าทุนมีความสำคัญและเป็นส่วนที่จะสามารถขับเคลื่อนการทำงานได้ แต่คำถามคือภาคประชาชนหายไปไหน ทั้งที่ภาคประชาชนควรเป็นสัดส่วนใหญ่ในคณะกรรมการด้วยซ้ำ แล้วให้เอกชนเป็นส่วนเสริม พอโครงการดังกล่าวขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนจึงเกิดสภาวะย้อนแย้ง กล่าวคือกลุ่มทุนเหล่านั้นยังไม่สามารถจัดการกับมลพิษที่ตนเองก่อได้ แต่วันนี้กลับมาเป็นผู้ขับเคลื่อนในนามสีเขียว คำถามคือนโยบายสิ่งแวดล้อมมันจะถูกแก้ไขได้ไหม ปัจจุบันคำว่า ‘สีเขียว’กลายเป็นพื้นที่การแสวงหาผลกำไรแบบใหม่ ซึ่งแยกขาดกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สนใจเพียงตลาดคาร์บอนเพียงอย่างเดียว เพราะมันคือธุรกิจยังไงล่ะ (หัวเราะ)

ที่ผ่านมาระบบการเมืองของประเทศไทยโดยเฉพาะรัฐบาลประยุทธ์ จะเห็นสภาวะราชการเข้าหากลุ่มทุนขนาดใหญ่ เพราะสามารถแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ได้โดยขาดการตรวจสอบและการมีส่วนร่วมของประชาชน สังเกตเลยว่ายุคไหนที่ประเทศปกครองด้วยอำนาจนิยม เราจะเห็นทุนนิยมบริวาร กล่าวคือทุนอยู่ในระบบราชการเต็มไปหมด รูปแบบดังกล่าวเป็นบ่อเกิดให้เกิดการจับมือกันระหว่างอำนาจสองแบบ คืออำนาจนิยมในระบบราชการ กับอำนาจผูกขาดในระบบทุนนิยม เราจึงเห็นว่าในคณะกรรมการบริหารของโมเดลเศรษฐกิจ BCG จึงพากลุ่มทุนขนาดใหญ่เข้าไปนั่งได้

สภาวะที่ทุนและราชการจับมือกันเช่นนี้ส่งผลให้รัฐใหญ่ขึ้น และทุนจะไม่อยู่ในระบบตลาดเสรี การผสานเช่นนี้กลายเป็นระบบรวมศูนย์อำนาจระหว่างทุนและอำนาจนิยม มิหนำซ้ำยังมีภาพลักษณ์เป็นสีเขียวมากขึ้น นับเป็นเรื่องน่ากลัวอย่างยิ่ง

จากที่คุณพูด เห็นได้ว่าระบอบการปกครองสัมพันธ์ค่อนข้างมากกับการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ถ้าอย่างนั้นคุณคิดหรือไม่ว่าหากวันนี้ประเทศเป็นประชาธิปไตย เราจะแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้

ใช้คำว่า ‘หากประเทศเป็นประชาธิปไตยจะแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ดีขึ้น’ ดีกว่า เพราะสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติควรจะถูกกระจายถึงมือประชาชน และประชาชนต้องมีสิทธิในการดูแล จัดการ และตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน ป่าไม้ พลังงาน น้ำ การเกษตรหรือเรื่องต่างๆ

แนวคิดนี้คือการทำให้ทรัพยากรเป็นสาธารณะ ประชาชนมีอำนาจต่อทรัพยากรเหล่านี้ร่วมกัน ดังนั้นประชาธิปไตยจึงเป็นเหมือนหลักประกันให้เกิดสิ่งเหล่านี้ และโอกาสการผูกขาดทรัพยากรก็จะยากขึ้นด้วย ตัวอย่างหนึ่งคือ ประเทศบราซิลที่ประธานาธิบดีคนที่ผ่านมาเป็นพวกอนุรักษนิยมสุดโต่ง ไม่เอาทั้งชนพื้นเมือง นักสิ่งแวดล้อม เป็นช่วงที่ประเทศบราซิลทำลายป่าจำนวนมหาศาล แต่ผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ลูอิส อีนาซียู ลูลา ดา ซิลวา (Luiz Inácio Lula da Silva) อดีตประธานาธิบดีที่หวนกลับมาครองตำแหน่งอีกครั้ง ประเทศบราซิลจึงเกิดการกลับขั้วทางนโยบาย จากตัวอย่างดังกล่าวจะเห็นว่าถ้าประเทศเป็นประชาธิปไตย เราจะสามารถเปลี่ยนนโยบายได้เสมอ

เพียงแต่เวลาพูดถึงประชาธิปไตย สังคมต้องไปให้ถึงรูปธรรมของการมีอำนาจของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นเราจะติดอยู่กับประชาธิปไตยที่เป็นแนวคิดเชิงนามธรรม มองว่าประชาธิปไตยเป็นเพียงการช่วงชิงอำนาจผ่านการเลือกตั้งระหว่างสองฝ่าย คือฝ่ายอนุรักษนิยมและฝ่ายเสรีนิยม แต่ว่าโครงสร้างใหญ่ ทั้งระบบทุนนิยมบริวารที่ครองทรัพยากรสาธารณะต่างๆ ไม่ถูกแก้ไขซ้ำร้ายยังผูกขาด 

ต่อให้วันนี้เปลี่ยนพรรคการเมืองที่มีความคิดก้าวหน้าที่สุด  แต่หากคุณไม่รื้อโครงสร้างเหล่านี้ ประชาชนชนชั้นล่างก็ยังอดอยากยากจนอยู่ดี สิ่งแวดล้อมก็ยังเกิดปัญหาอยู่ดี และความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมก็เกิดขึ้นอยู่ดี


สังคมไทยจะก้าวไปสู่ความยุติธรรมได้จริงหรือ

คำถามนี้คงเป็นเหมือนหมุดหมายของสังคม สังคมที่หมายความรวมถึงประชาชน แต่หมุดหมายนี้จะเกิดขึ้นอีกสิบปี หรือร้อยปีไม่มีใครรู้ แต่ว่าเป็นหมุดหมายที่หากวันนี้เราเกิดเป็นมนุษย์ก็คงทิ้งไม่ได้ เพราะว่ามันคือชีวิตของเรา ต่อให้มันไม่สำเร็จวันนี้ รุ่นต่อไปก็ต้องขับเคลื่อนให้ไปถึงจุดหมายให้ได้


ภาพสังคมที่มีความยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อมที่คุณอยากเห็นเป็นอย่างไร

ภาพความยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อมที่ผมอยากเห็นนั้น ต้องกลับไปสู่หลักการพื้นที่ของประชาธิปไตยเลย คือสิทธิ เสรีภาพ และความเป็นธรรม

สิทธิ – สิทธิที่ประชาชนจะมีทรัพยากรเพื่อดำรงชีพอย่างมีศักดิ์ศรี มีสิ่งแวดล้อมที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดี

เสรีภาพ – เสรีภาพที่สามารถเลือกจะดำเนินชีวิตบนความรับผิดชอบได้ ณ ปัจจุบันยิ่งมีทรัพยากรไหนที่ถูกผูกขาด เราแทบไม่มีเสรีภาพที่จะเลือกได้เลย

ความเป็นธรรม – ช่วงที่ผ่านมาความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้ที่ได้รับผลประโยชน์และเสียประโยชน์ในทรัพยากรมีช่องว่างมหาศาล รัฐต้องลดช่องว่างเหล่านี้และสร้างให้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นสาธารณะอย่างแท้จริง

ดังนั้นสังคมที่มีความยุติธรรมคือต้องสร้างให้เกิดหลักประกันด้านสิทธิเสรีภาพและความเป็นธรรมเหล่านี้


ผลงานชิ้นนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) (TIJ) และ The101.world

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save