ปรับตัวตามโจทย์โลกยุคใหม่ ปรุงกระบวนการยุติธรรมอย่างไรให้ ‘กินได้’ และเป็นที่พึ่งของประชาชน

นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หนึ่งในระบบที่อยู่เคียงคู่และก่อร่างสร้างมาพร้อมกับอารยธรรมของมนุษย์ คงหนีไม่พ้น ‘ระบบยุติธรรม’ ที่ไม่เพียงเป็นเครื่องมือควบคุมสังคมให้เกิดความสงบเรียบร้อย แต่ยังเป็นเหมือนเครื่องรับประกันสิทธิและเสรีภาพ ให้ความมั่นใจว่าทุกคนจะได้รับสิทธิที่พึงได้รับ และคนที่กระทำผิดจะถูกลงโทษ

และแม้กระบวนการยุติธรรมจะวิวัฒน์ไปสักเท่าไหร่ แต่สิ่งหนึ่งไม่เคยเปลี่ยนและไม่ควรเปลี่ยนคือหัวใจของกระบวนการยุติธรรมในการรับประกันความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม ให้ความเป็นธรรม และตอบสนองผู้ที่ร้องขอความยุติธรรมเสมอ

อย่างไรก็ดี เช่นเดียวกับหลายๆ เรื่องบนโลกที่ต้องไหลผ่านตามกระแสธารแห่งการเปลี่ยนแปลง กระบวนการยุติธรรมก็เช่นกัน นับตั้งแต่วิกฤตโควิด-19 แพร่ระบาดมาจนถึงยุคที่หลายคนนิยามว่าเป็นยุคเทคโนโลยี ‘เขย่า’ โลก การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทั้งส่งเสริมกระบวนการยุติธรรมให้ใกล้ชิดและตอบสนองต่อประชาชนมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็คล้ายจะเป็นความท้าทายใหม่ของกระบวนการยุติธรรมที่ต้องเผชิญและปรับตัวเช่นกัน

ถ้าพูดให้ถึงที่สุดคือ คำถามและความท้าทายสำคัญคือกระบวนการยุติธรรมควรดำรงตนอย่างไรในกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้ ทั้งในยุคที่ผลกระทบจากโควิด-19 ยังคงทิ้งรอยแผลไว้ในทุกมิติของสังคม และการมีเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกให้มากขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับภัยคุกคามที่เข้ามาแทรกแซงได้อย่างง่ายดายเช่นกัน

ในโลกยุคใหม่มีโจทย์อะไรที่สำคัญ และกระบวนการยุติธรรมควรปรับตัวอย่างไรเพื่อให้ยังเป็นที่พึ่งของประชาชนเสมอ วันโอวันชวนหาคำตอบได้ในบรรทัดถัดจากนี้

หมายเหตุ: เก็บความบางส่วนจากเวทีเสวนา “วันนี้ที่โลกไม่เหมือนเดิม…กระบวนการยุติธรรมต้องปรับตัวอย่างไร” ในการประชุมทางวิชาการระดับชาติว่าด้วยงานยุติธรรม ครั้งที่ 22 จัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม 2568

จาก VUCA สู่ BANI ภาคการเงินรับมืออย่างไรในวันที่โลกเปลี่ยนแปลงไป –
จิรานุวัฒน์ ธัญญะเจริญ

“ประชาชนเป็นศูนย์กลางของกระบวนการยุติธรรม เพราะสุดท้ายกระบวนการยุติธรรมมีไว้เพื่อประชาชน” คือคำกล่าวนำจาก จิรานุวัฒน์ ธัญญะเจริญ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกฎหมาย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

เพื่อให้เห็นที่มาที่ไปชัดเจนขึ้น จิรานุวัฒน์เริ่มจากการฉายภาพความเปลี่ยนแปลงของโลก จากเดิมที่เราคุ้นเคยกับโลกแบบ VUCA (โลกที่ผันผวน ไม่แน่นอน ซับซ้อน และคลุมเครือ) การแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้ทำให้เรารู้จักกับโลกแบบ BANI ที่มีความเปราะบาง (brittle) ชวนวิตกกังวล (anxious) ไม่เป็นเส้นตรง (no linear) และไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยเหตุผลแบบเดิม (incomprehensible) อีกต่อไป

“คำถามสำคัญคือ อะไรคือปัจจัยที่ทำให้เกิดโลกเช่นนี้ขึ้น” จิรานุวัฒน์กล่าว “ปัจจัยแรกคงหนีไม่พ้นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งความขัดแย้งระหว่างยูเครน-รัสเซีย จีน-สหรัฐฯ หรือล่าสุดคือนโยบายของทรัมป์ที่ทำให้เกิดความไม่แน่นอน นอกจากนี้ด้านสิ่งแวดล้อมก็มีผล ทั้งวิกฤตการณ์โลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ บวกกับการดิสรัปต์ของเทคโนโลยี เร่งด้วยโรคระบาดและตอกย้ำด้วยความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม”

คำถามต่อมาคือ เมื่อโลกหมุนเร็วเช่นนี้ หนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของระบบเศรษฐกิจอย่าง ธปท. ทำอะไรเพื่อสร้างความสมดุลให้กับโลกที่ตกอยู่ในสภาวการณ์เช่นนี้

ในฐานะผู้แทน ธปท. จิรานุวัฒน์อธิบายว่า หน้าที่ของ ธปท. จะเป็นไปตามกฎหมายของ ธปท. คือการดูแลเสถียรภาพทางการเงินและทำให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างยั่งยืน

“คำว่ายั่งยืนคือระยะยาว เพราะเราจะไม่ได้เติบโตในระยะสั้น” จิรานุวัฒน์เน้นย้ำ พร้อมทั้งยกตัวอย่างว่า “อย่างเรื่องเงินเฟ้อ เราจะทำอย่างไรให้ราคาของไม่ขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนที่ต้องไม่ขยับเร็วและไม่เปลี่ยนแปลงมากจนเกินไป”

นอกจากเสถียรภาพทางการเงิน อีกหน้าที่สำคัญของ ธปท. คือการดูแลเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน กล่าวคือดูแลธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุน ทำให้มีความเข้มแข็งและมั่นคง เพื่อประชาชนและเพื่อระบบเศรษฐกิจการเงินของประเทศ เนื่องจากสถาบันการเงินถือเป็นตัวกลางที่จะส่งผ่านเงินจากคนที่ยังพอมีพอกินไปยังคนที่ต้องการเงิน

และสุดท้าย คือเสถียรภาพของระบบชำระเงิน ให้มีความราบรื่นและปลอดภัย จิรานุวัฒน์กล่าวว่า ปัจจุบัน ประชาชนสามารถใช้บัตร ATM กดเงินได้ตลอดเวลาและกดได้อย่างรวดเร็ว แสดงว่าตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็วและทันที

นี่นำมาสู่ข้อสรุปถึงบทบาทของ ธปท. ในยุคที่โลกไม่เหมือนเดิมและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วว่า ธปท. มีหน้าที่สร้างสมดุลระหว่างเสถียรภาพทั้ง 3 ด้าน และที่สำคัญคือ ไม่ว่า ธปท. จะออกมาตรการใด มาตรการเหล่านั้นต้องสอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

“ตัวอย่างเช่นในปี 2563 ที่โควิด-19 ระบาด ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงมาก เราจึงต้องออกมาตรการแบบปูพรมเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ก่อน แต่พอระยะเวลาผ่านไป เมื่อเราเห็นกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักแล้ว เราก็จะปรับเปลี่ยนมาตรการให้ตรงกับเป้าหมายยิ่งขึ้น” จิรานุวัฒน์กล่าว “เรายังต้องสร้างสมดุลที่ชั่งน้ำหนักระหว่างประชาชนกับกลุ่มเปราะบาง โดยมีการวางรากฐานภาคการเงินเพื่อสนับสนุนโอกาสใหม่ๆ ทางเศรษฐกิจ”

และทั้งหมดที่กล่าวไป จิรานุวัฒน์ยังเน้นย้ำถึงการสร้างความยืดหยุ่นและภูมิคุ้มกันให้ผู้ใช้บริการทางการเงิน หรือการสร้าง resiliency ให้กับทั้งประชาชนและภาคเศรษฐกิจในระยะยาว

“การจะสร้าง resiliency ได้ นอกจากเรื่องความมีเสถียรภาพแล้วยังต้องมีความทนทาน ยืดหยุ่น ที่สำคัญคือล้มได้ลุกเร็วแบบตุ๊กตาล้มลุก เคยมีคนกล่าวไว้ว่า resiliency ต้องมีองค์ประกอบ 3 ด้าน คือมีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวไว้เป็นเสถียรภาพ มีภูมิคุ้มกัน (buffer) ทางการเงิน มีทางเลือกอื่นๆ หรือการเติบโตจากโอกาสใหม่ทางดิจิทัลหรือสิ่งแวดล้อม ที่ต้องการการเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกสีเขียวอย่างยั่งยืน”

ทั้งหมดนี้นำมาสู่ความพยายามของ ธปท. ในมิติต่างๆ ทั้งการดำเนินนโยบายแบบยืดหยุ่นผ่านมติของคณะกรรมการนโยบายทางการเงินที่จะมีมติทุก 8 สัปดาห์ในการพิจารณาว่าจะคง ลด หรือเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ตามบริบทที่เกิดขึ้น รวมถึงการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินที่มีหัวใจอยู่ที่หนี้ครัวเรือน

“หลายคนคงเคยได้ยินข่าวว่า ปัจจุบันหนี้ครัวเรือนของประเทศต่อ GDP สูงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ช่วงโควิดเป็นต้นมา เพราะทุกคนต้องกู้มาดำเนินธุรกิจต่างๆ ในปี 2563 เราจึงมีการออกกฎหมายเพื่อฟื้นฟูหนี้ หรือออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) ให้ผู้ประกอบธุรกิจ”

“ล่าสุดก็มีการออกประกาศเรื่องการให้สินเชื่ออย่างเป็นธรรม (responsible lending) คือการให้สถาบันการเงินหรือตัวลูกหนี้สร้างสภาพแวดล้อมการกู้ยืมบนหลักการของความรับผิดชอบ ถ้าพูดให้ถึงที่สุดคือ เจ้าหนี้ต้องรับผิดชอบ และลูกหนี้ต้องมีวินัย สองอย่างนี้ต้องสมดุลกัน”

นอกจากนี้ อีกปัญหาใหญ่คือเรื่องหนี้เรื้อรัง เนื่องจากคนจำนวนหนึ่งเลือกที่จะจ่ายบัตรเครดิตแบบขั้นต่ำและจ่ายดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ จนก่อให้เกิดปัญหาดอกท่วมเงินต้น ซึ่ง ธปท. เสนอทางแก้ปัญหาโดยการให้เจ้าหนี้คุยกับลูกหนี้ เปลี่ยนหนี้เป็นแบบผ่อนกำหนดเวลาและให้จบภายในระยะเวลาห้าปี อีกทั้งดอกเบี้ยต้องไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ซึ่งต้องพิจารณาจากความสามารถในการจ่ายของลูกหนี้ควบคู่ไปกับการเอื้อให้เขามีเงินก้อนที่สามารถดำรงชีพได้ด้วย

อีกโครงการสำคัญของ ธปท. คือ โครงการคุณสู้ เราช่วย เพื่อช่วยลูกหนี้รายย่อยและให้ความรู้กับประชาชนเพื่อให้สามารถปรับโครงสร้างหนี้และรักษาทรัพย์สินไว้ได้

อย่างไรก็ดี นอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับเงินทองและหนี้แล้ว จิรานุวัฒน์ชี้ให้เห็นอีกปัญหาใหญ่ในระบบการเงินที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี กล่าวคือเมื่อคนเข้าถึงโทรศัพท์มือถือได้มากขึ้นก็อาจจะทำธุรกรรมทางการเงินได้ง่ายดายและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น แต่ก็สามารถถูกหลอกลวงง่ายขึ้นตามไปด้วย

ตัวอย่างเช่น บัญชีม้า ที่ ธปท. พยายามแก้ปัญหาให้มีบัญชีม้าเกิดขึ้นน้อยที่สุด หรือหากเกิดขึ้นแล้วก็ต้องระงับให้เร็วที่สุด เพื่อให้ประชาชนได้เงินคืนกลับมา ซึ่งการทำงานดังกล่าวต้องเกิดจากการบูรณาการของหน่วยงานทุกภาคส่วน อย่างไรก็ดี แต่ละหน่วยงานที่เข้ามาทำงานร่วมกันต่างมีกฎหมายเป็นของตัวเองทำให้ถูกจำกัดกรอบบางส่วนไว้และไม่สามารถทำงานก้าวล่วงกันได้

ก้าวย่างที่สำคัญคือการออกพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 และมีการแก้อีกครั้งในปีนี้โดยมีความเปลี่ยนแปลงสองเรื่องที่เห็นได้ชัดเจน เรื่องแรกคือการได้เงินคืนอย่างรวดเร็วผ่านกลไกที่ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ชี้ขาดได้โดยไม่ต้องฟ้องศาล และองคาพยพหรือกลไกทั้งหมดที่มีส่วนเกี่ยวข้องและเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การโอนเงินสำเร็จ จะต้องมีส่วนรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น เว้นเสียแต่ว่าจะปฏิบัติตามมาตรฐานที่องค์กรกำกับดูแลของแต่ละหน่วยงานกำหนดไว้แล้ว

“ตอนนี้ ธนาคารพาณิชย์จะส่ง SMS ให้ใคร ห้ามส่งเป็นลิงก์เด็ดขาดนะครับ ใครเจอธนาคารพาณิชย์จริงๆ ส่งลิงก์มาให้สามารถแจ้ง ธปท. ที่ 1213 ได้เลย อีกทั้งตอนนี้อาจจะมีขั้นตอนเยอะนิดหนึ่งตอนโอนเงิน เช่น ถ้าโอนมากกว่า 5 หมื่นบาทต้องมีการยืนยันตัวตน สแกนหน้าก่อนเข้าแอปพลิเคชัน ในทางเทคนิคมันจะมีความปลอดภัยสูงสุดด้วย”

นอกจากเรื่องภัยทางการเงินแล้ว จิรานุวัฒน์ยังกล่าวถึงมิติของการอำนวยความสะดวกทางการเงินโดยใช้เทคโนโลยี โดยยกตัวอย่างเรื่องของข้อมูลเปิด (open data) เพื่อให้ประชาชนใช้ข้อมูลได้อย่างเป็นธรรมมากขึ้น ผ่านโครงการ Your Data คือถ้าประชาชนยินยอมเปิดเผยข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานจะสามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น วิเคราะห์สินเชื่อ เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ข้อมูลของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้ความปลอดภัย และสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ด้วย

“เรายังมีความพยายามในการจัดตั้งธนาคารไร้สาขา (virtual bank) คือใช้เทคโนโลยีเพื่อทำให้เกิดการติดต่อและนำข้อมูลต่างๆ เช่น การจ่ายค่าไฟฟ้า ประปา ค่าโทรศัพท์ มาประมวลผล เพื่อช่วยให้ประชาชนระดับรากหญ้าเข้าถึงบริการทางการเงินมากขึ้น”

ในตอนท้าย จิรานุวัฒน์ชี้ว่า แม้เทคโนโลยีจะต่อยอดบริการทางการเงินได้ แต่การให้บริการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการเงินก็มีความเสี่ยงเช่นเดียวกัน จึงมีการทำ sandbox เพื่อให้ทดสอบระบบ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบต่างๆ ที่ออกมาจะตอบโจทย์ประชาชนให้เข้าถึงบริการทางการเงินได้มากขึ้น และผู้ให้บริการจะต้องให้บริการอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมด้วย

อ่านระบบนิเวศของความยุติธรรม ทำอย่างไรให้ความยุติธรรมเป็นธรรมอย่างแท้จริง – ดร.เสรี นนทสูติ

สำหรับ ดร.เสรี นนทสูติ รองกรรมการผู้จัดการมูลนิธิ สถาบันวิจัยและพัฒนาองค์กรภาครัฐ (IRDP) หลักการสองข้อที่ควรท่องไว้ให้ขึ้นใจคือ ความยุติธรรมเป็นเรื่องของทุกคน และความยุติธรรมที่กินได้หมายถึงความยุติธรรมเป็นงานที่ต้องทำและวัดผลได้

“จริงๆ ความยุติธรรมและกระบวนการยุติธรรมมีความแตกต่างกันอยู่” เสรีกล่าวนำ “กระบวนการยุติธรรมจะเกี่ยวข้องกับคนกลุ่มหนึ่งคือ ทหาร ตำรวจ อัยการ ศาล และราชทัณฑ์ แต่ถ้าพูดถึงความยุติธรรมจะไปไกลกว่า 5 หน่วยงานเหล่านี้ ต้องบอกว่าระบบนิเวศของความยุติธรรมกว้างขวางเหลือเกิน”

เมื่อมองในทางปฏิบัติ เสรีชี้ว่าคนส่วนมากจะคุ้นเคยกับจุดเริ่มต้นของความยุติธรรมเมื่อมีการเกิดขึ้นของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights: UDHR) ที่มีการประกาศใช้ในปี 1948

“ถามว่าทำไมต้องมีปฏิญญาฯ ดังกล่าว เราต้องมองนะครับว่าโลกบางครั้งก็ไม่ยุติธรรม บางคนจะอ้างว่า การจะจัดการกับคนในประเทศหนึ่งๆ เป็นอธิปไตยของประเทศนั้นๆ แต่อธิปไตยต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบด้วย มิเช่นนั้นจะเกิดการเข่นฆ่าคนในประเทศแบบที่ไม่มีความผิด เช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในสมัยฮิตเลอร์ หรือกรณีของโรฮิงญา นอกจากนี้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังมีการสร้างอาวุธทำลายล้างสูงขึ้นมาด้วย”

ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ประกอบกันทำให้เกิดปฏิญญาฯ ดังกล่าวเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ขึ้นมา อย่างไรก็ดี ปฏิญญาฯ เป็นเพียงหลักการ ในทางปฏิบัติจริง มีการออกกฎหมายระหว่างประเทศ 9 ฉบับในรูปแบบอนุสัญญา ซึ่งไทยเข้าเป็นภาคีแล้ว 8 ใน 9 ฉบับ

เมื่อลงมาในรายละเอียด เสรีชี้ว่า เมื่อไทยนำตัวเองเข้าไปผูกพันกับมาตรฐานสากลระหว่างประเทศ ไทยจะมีพันธะผูกพันหลักๆ สองข้อ ในที่นี้ข้อแรกคือ การแก้กฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับสิทธิมนุษยชน และข้อสองคือการออกกฎหมายที่จำเป็นต่อการสร้างความเป็นธรรมมากขึ้น อีกทั้งรัฐยังมีหน้าที่ในการรายงานให้สหประชาชาติทราบความคืบหน้าการดำเนินการในประเทศด้วย

“ลองมองภาพประเทศไทย ถ้าเราเปรียบความก้าวหน้าเป็นไฟจราจร สีเขียว (มีความก้าวหน้า) สีเหลือง (รอพิจารณา) และสีแดง (ไม่ได้มีการดำเนินการและไม่มีความก้าวหน้า) เราจะได้ไฟสีอะไร จริงๆ เรามีความไม่เท่าเทียมอยู่เยอะ ทั้งคอร์รัปชัน สิทธิคนพิการ” เสรีกล่าว พร้อมทั้งชี้ว่าประเด็นที่ไทยค่อนข้างก้าวหน้าและได้รับคำชมจากสหประชาชาติในปี 2558 คือ ไทยมีการออกพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 ที่ห้ามการเลือกปฏิบัติทางเพศ ในทางกฎหมายประมวลแพ่งและพาณิชย์ ไทยมีความเป็นกลางทางเพศ (gender neutral) แล้ว

แม้ประเทศไทยจะมีความก้าวหน้าในหลายด้าน ทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ ทว่าเสรีเน้นว่า เราควรจะเริ่มที่คำถามสำคัญสองข้อ ข้อแรกคือ ปัจจัยใดที่จะทำให้สังคมขาดหรือไม่มีความยุติธรรม และข้อที่สองคือ หน่วยงานหรือตัวเราเองเป็นความเสี่ยงต่อความยุติธรรมอย่างไร และจะมีโอกาสในการส่งเสริมให้เกิดความยุติธรรมอย่างไรบ้าง

“ถ้ามองในภาพใหญ่ที่สุด ความอยุติธรรมที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นเพราะมีการออกกฎหมายที่ไม่ยุติธรรม” เสรีกล่าว และนี่จึงเป็นที่มาของการระบุในรัฐธรรมนูญว่าจะต้องมีการทบทวนผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายทุก 5 ปี แต่นอกจากกฎหมายแล้ว ยังมีนโยบายและผู้ปฏิบัติที่อาจจะไม่ยุติธรรมเสียเอง ทั้งสามสิ่งนี้ก่อให้เกิดความไม่ยุติธรรม ผนวกกับปัจจัยอื่นๆ เช่น คอร์รัปชัน

“ถ้าประเทศยังมีคอร์รัปชันก็อย่าหวังเลยครับว่าจะเกิดความยุติธรรมในประเทศ เพราะความเป็นธรรมในสังคมจะเกิดได้ต้องมีการใช้ทรัพยากรต่างๆ เช่น การเข้าถึงการศึกษา ระบบประกัน สวัสดิการสังคมต่างๆ รัฐต้องใช้ทรัพยากรทั้งหมด และทรัพยากรเหล่านี้มาจากการเก็บภาษีทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าประเทศใดมีคอร์รัปชัน ประเทศนั้นมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนแน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลย”

ความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรมทางสังคมก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ขัดขวางความยุติธรรม ทว่าเสรีชี้ว่า หนึ่งทางเลือกที่จะทำให้เกิดความยุติธรรมมากขึ้นคือการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ซึ่งต้องมาพร้อมกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ด้วย

เสรียกตัวอย่างประเทศที่ได้รับคำชื่นชมด้านรัฐบาลดิจิทัลมากที่สุดประเทศหนึ่งอย่างเอสโตเนีย ซึ่งระบบราชการเอื้อให้ประชาชนใช้บัตรใบเดียวในการติดต่องานด้านราชการได้ทั้งหมด ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ รัฐบาลจะส่งอีเมลให้ผู้ปกครองที่กำลังจะมีลูกขึ้นชั้นประถมเลือกโรงเรียนไว้ก่อนหน้าจะเรียนจริง 1 ปี เพื่อจัดแผนรองรับไว้ และนี่คือตัวอย่างของรัฐบาลที่ตอบสนอง (responsive) ต่อประชาชนได้

“สุดท้ายที่ผมอยากจะย้ำคือ ต่อให้ต้องมีการทบทวนทุก 5 ปี แต่จริงๆ ถ้าเรารู้แล้วว่าต้องแก้กฎหมาย ก็ให้แก้เลย 5 ปีควรเป็นแค่การประเมินผลสัมฤทธิ์ ถ้าต้องแก้ก็แก้เลย เพราะไม่ฉะนั้นก็เท่ากับความไม่เป็นธรรมจะอยู่ไปอีก 5 ปี เราควรปรับความเข้าใจตรงนี้ด้วย” เสรีทิ้งท้าย

เปิดเผยข้อมูล พัฒนาเทคโนโลยี เพื่อสร้างกระบวนการยุติธรรมที่ ‘กินได้’ สำหรับประชาชน – ณัฐวัชร์ วรนพกุล

“ผมเคยถามตัวเองว่า ความยุติธรรมมีจริงไหม คำตอบคือมี แต่ไม่เท่ากัน ถ้าพูดให้ถึงที่สุดคือ เท่าเทียมแต่ไม่เท่ากัน” ณัฐวัชร์ วรนพกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล กล่าวนำ พร้อมทั้งอธิบายเพิ่มเติมว่า ด้วยหลักสิทธิมนุษยชนจะมีการพูดถึงเรื่องสวัสดิการอยู่แล้ว ซึ่งในปัจจุบัน มีความพยายามปรับเรื่องสวัสดิการให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลมากขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกและมุ่งตอบโจทย์ทุกช่วงวัยตั้งแต่แรกเกิดจนถึงเสียชีวิต ไล่เรียงตั้งแต่เบี้ยเด็กแรกเกิด สวัสดิการนมโรงเรียน อาหารกลางวัน หรือค่าเรียนต่างๆ สิทธิประกันสังคมและค่ารักษาพยาบาล 30 บาท ไปจนถึงสวัสดิการสำหรับช่วงบั้นปลายอย่างเบี้ยผู้สูงอายุหรือเบี้ยค่าทำศพ

เมื่อเป็นเช่นนี้ ณัฐวัชร์จึงสะท้อนให้เห็นมุมมองจากหน่วยงานกลางที่เป็นผู้ดูแลรัฐบาลดิจิทัล คือความพยายามในการทำให้เกิดความสะดวกรวดเร็ว งานบริการมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นนิยามของแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล พ.ศ. 2565 เพื่อปรับตัวตามบริบทของสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค ที่แม้จะใช้เทคโนโลยีมากขึ้น แต่ก็เสี่ยงกับการเผชิญภัยจากไซเบอร์มากขึ้นเช่นกัน

ทั้งหมดที่ว่ามานำมาสู่ประเด็นสำคัญคือ ทำอย่างไรให้เกิดการรับรู้อย่างทั่วถึงมากขึ้น และทำให้ดัชนีความยุติธรรมที่นำไปสู่ความเป็นรัฐบาลเปิดเกิดได้มากขึ้น โดยณัฐวัชร์ชี้ให้เราเห็นกฎหมายหลายฉบับที่มุ่งให้การบริหารงานเป็นแบบดิจิทัลมากขึ้น ทว่าแม้จะมีกฎหมายพร้อม แต่กลับตกม้าตายที่ผู้ปฏิบัติไม่สามารถนำไปปฏิบัติและส่งมอบต่อให้ประชาชนผู้ใช้บริการได้

“พอเป็นเช่นนี้ กระบวนการยุติธรรมกินได้ที่พยายามมุ่งเน้นความสะดวกและโปร่งใสจึงไม่ได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ แต่มันมีคำว่า เยอะ ยาก และยุ่ง อยู่ในทุกกลไกของกระบวนการที่จะให้บริการประชาชน และสุดท้ายก็ไม่ได้ตอบโจทย์ความโปร่งใสหรือหลักสิทธิมนุษยชนเลย คือมันอยู่แค่นี้ ไม่ได้ครอบคลุมไปถึงการทำให้เกิดความเท่าเทียมจริง”

เมื่อเริ่มต้นด้วยตัวกฎหมาย ณัฐวัชร์อธิบายว่า ในมุมมองราชการ กฎหมายเป็นเหมือนหลังพิงให้ผู้ปฏิบัติงานสบายใจว่าการดำเนินการต่างๆ เป็นไปตามกฎระเบียบที่จำเป็น เป็นที่ยึดว่าทุกคนสามารถนำบริการในรูปแบบกระดาษมาปรับเป็นดิจิทัลได้โดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย

แต่ดังที่กล่าวไปแล้ว แม้จะมีกฎหมายแต่หากผู้ปฏิบัติยังไม่สามารถทำตามกฎหมายได้อย่างเต็มที่ กฎหมายดังกล่าวก็อาจไม่ก่อให้เกิดผลดังที่ต้องการนัก อาทิ การมีพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ที่เน้นให้เปิดเผยเป็นหลักและปกปิดเป็นข้อยกเว้น แต่เมื่อปฏิบัติจริง ผู้ปฏิบัติกลับเน้นปกปิดเป็นหลักแทน ทำให้แต่ละหน่วยงานต้องรอข้อมูลกันนานมาก

“พอเราพูดถึงข้อมูลเปิด เราคาดหวังให้รัฐนำข้อมูลมาเปิด ยิ่งเปิดเยอะยิ่งดี ทั้งในเชิงการทำโครงการและทำธุรกิจ” ณัฐวัชร์กล่าว “ถ้าประชาชนทราบว่า ภาษีที่เราจ่ายให้รัฐถูกนำไปใช้อะไรบ้าง ก็จะสะท้อนให้เห็นความโปร่งใสว่าประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมและตรวจสอบได้ นี่แหละคือสิ่งที่เราคาดหวังและอยากให้เกิด แม้แต่ความร่วมมือที่เราต้องทำเพื่อหลักความยุติธรรมก็มีคดีเก่าๆ ที่เปิดเผยออกมา”

“นี่คือกลไกการเปิดเผยข้อมูล เป็นการมุ่งเน้นให้สังคมมีความยุติธรรมและทั่วถึง” ณัฐวัชร์กล่าว

อย่างไรก็ดี ดังที่กล่าวไปแล้วว่าปัญหาหลักยังอยู่ที่ผู้ปฏิบัติ และอีกปัจจัยเสริมคือความรู้ความเข้าใจของประชาชน โดยณัฐวัชร์ชี้ว่า ความเข้าใจของคนในอำเภอเมืองหรือรอบอำเภอเมืองกับคนที่อยู่รอบนอกออกไปไกลก็แตกต่างกันแล้ว ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการสื่อสารที่ไม่ทั่วถึงด้วย

“ผมมองว่า หน่วยงานรัฐส่วนกลางควรเข้าใจมุมมองคนที่อยู่ในท้องถิ่นให้มากขึ้นด้วย เพื่อจะทำอะไรให้ถูกตัว ถูกกลุ่ม และถูกเป้าหมายมากขึ้น”

“ปัจจุบัน เราเพิ่มความรู้ความเข้าใจทางด้านดิจิทัล (digital literacy) ได้มากขึ้นแล้วนะครับ โดยเฉพาะหลังจากช่วงโควิด-19 ทุกวันนี้ลุงป้าในต่างจังหวัดสแกน QR Code กันได้เกือบหมดแล้ว ผมว่ามันเปลี่ยนแปลงองคาพยพด้านดิจิทัลของไทยไปมากเลย แต่ด้านลบที่มาจากภัยทางไซเบอร์ก็มี เราเลยต้องมีสติในทุกเวลาที่ใช้เทคโนโลยีด้วย”

‘บูรณาการการทำงานร่วมกัน’ กุญแจสำคัญรับมือภัยร้ายทางไซเบอร์ – พ.ต.อ.ณัทกฤช พรหมจันทร์

ในมุมมองของผู้ที่ทำงานด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์มาอย่างยาวนาน พ.ต.อ.ณัทกฤช พรหมจันทร์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ สำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) เกริ่นนำว่า ไทยเป็นผู้ใช้และบริโภคเทคโนโลยีระดับโลก อันจะนำมาซึ่งปัญหาความปลอดภัยทางเทคโนโลยีเช่นกัน และยิ่งเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไป กระบวนการรับมือก็ต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย โดยเฉพาะฝั่งตำรวจที่เป็นต้นน้ำ

จากการเก็บสถิติ ณัทกฤชชี้ว่า ปัจจุบันไทยกำลังเผชิญกับปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งต้องการการรับมือที่แตกต่างไปจากอาชญากรรมที่เกิดขึ้นภายในประเทศ ถ้าพูดให้ถึงที่สุดคือ คดีมากกว่า 4 แสนคดีในประเทศไทยเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ และสร้างความเสียหายมากกว่าถึง 6 เท่า มูลค่าความเสียหายเฉลี่ยประมาณ 140,000 บาทต่อคดี ขณะที่คดีในประเทศ จะพบได้เยอะ และมีมูลค่าความเสียหายเฉลี่ย 20,000 บาทต่อคดี

ในฐานะคนที่ทำงานตรงนี้มาเป็นเวลานาน ณัทกฤชชี้ว่า ความยากของคดีอาชญากรรมข้ามชาติคือ แม้จะสามารถหาวิธีรับมือได้แล้ว ทว่าเมื่อรับมือคดีแบบหนึ่งได้ ก็ยังเหลือคดีอีกหลายแบบที่ต้องหาวิธีรับมือ โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับโซเชียลมีเดียที่อยู่ในพื้นที่สีเทาและไม่ได้อยู่ใต้กฎหมายหรือการกำกับดูแลของไทยเลย

“ประเทศไทยเราเก่งเรื่องออกกฎหมายนะครับ ทุกเรื่องมีทุกหน่วยรองรับ และทุกหน่วยก็มีกฎหมายเป็นของตัวเองซึ่งเราก้าวข้ามไม่ได้ แต่การทำงานถ้าจะให้สัมฤทธิ์ผลต้องเป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกัน ตอนนี้ที่ไทย ถ้าใครโดนหลอกลวงผ่าน Facebook หรือ Instagram ขึ้นมานี่เราแทบไม่ได้หลักฐานเลย”

เมื่อพูดถึงการแก้ปัญหา ณัทกฤชแบ่งออกเป็นสองข้อหลักๆ คืออาชญากรรมข้ามชาติ กับอาชญากรรมที่ไม่ได้เป็นแบบข้ามชาติ โดยเขายกตัวอย่างมาตรการแบ่งความรับผิดชอบที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ออกมาตรการให้ผู้ส่ง (sender) ถ้าจำเป็นต้องส่งลิงก์ใดๆ จะต้องเชื่อมกับโดเมน (domain) ที่ลงทะเบียนไว้ หากมีนอกเหนือจากนี้ ผู้ส่งจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ

“หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามออกกฎเกณฑ์เพื่อให้การบังคับใช้มีประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด เพราะประชาชนต้องการเงินคืน ไม่ได้ต้องการความสูญเสีย เรื่องนี้จะเป็นผลลัพธ์สะท้อนความสำเร็จในการออกกฎหมายด้วย”

อีกการดำเนินการสำคัญคือ การทำงานเชิงรุกแบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ อาทิ การล่อซื้อ ทั้งนี้ณัทกฤชชี้ว่าปัจจุบันมีการหลอกลวงหลายรูปแบบ โดยเฉพาะการโฆษณาผ่านทางโซเชียลมีเดีย ชักชวนลงทุนต่างๆ ทำให้การหลอกให้ลงทุนกลายเป็นความเสียหายอันดับหนึ่ง

“ถ้าให้สรุปคือ เรายังขาดมาตรการในการควบคุม หรือแม้แต่ความเปลี่ยนแปลงทางเทคนิคที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเกิดขึ้นเร็วมากจนภาครัฐหรือภาคปฏิบัติตามไม่ทันแน่ๆ” ณัทกฤชกล่าวตอนท้าย ก่อนสรุปด้วยข้อเสนอว่า หน่วยงานจำเป็นต้องติดตามกฎหมาย วิธีการ และแนวปฏิบัติ รวมถึงหาทางทำให้เรื่องต่างๆ ยืดหยุ่นขึ้นบ้าง

“ถ้าหน่วยงานพยายามทำความเข้าใจและปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงจะเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่สิ่งที่สำคัญคือ หน่วยงานต้องมีการบูรณาการร่วมกันด้วยจึงจะสำเร็จ” ณัทกฤชทิ้งท้าย


ผลงานชิ้นนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) (TIJ) และ The101.world

MOST READ

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save