ชื่อของ ‘จอน อึ๊งภากรณ์’ เป็นที่รู้จักดีในแวดวงภาคประชาสังคมจากการทำงานอย่างต่อเนื่องยาวนานและมีส่วนร่วมในองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในสังคม
จอนเริ่มต้นชีวิตการทำงานด้วยการเป็นอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล หลังเรียนจบวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยซัสเซกซ์ อังกฤษ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เขาต้องไปอยู่ประเทศอังกฤษกับครอบครัว รวมถึงพ่อคือ ‘ป๋วย อึ๊งภากรณ์’
ระหว่างลี้ภัยที่อังกฤษ ป๋วยได้ก่อตั้งมูลนิธิมิตรไทยร่วมกับเพื่อนฝูง ทำให้จอนได้รับหน้าที่ติดต่อประสานงานและเป็นการเริ่มต้นงานเอ็นจีโอของเขา
เมื่อกลับประเทศไทยในปี 2523 จอนมารับตำแหน่งผู้อำนวยการคนแรกของมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคมและทำงานภาคประชาสังคมอย่างต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน เขาเป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ (AIDS Access) และสำนักข่าวประชาไท และร่วมก่อตั้งโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw)
นอกจากนี้เขายังเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2540 และมีส่วนร่วมในการผลักดันหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา จอนทำงานหลากด้าน-สนใจปัญหาหลายแง่มุม แต่เป้าหมายใหญ่ของงานที่เขาทำคือการผลักดันประชาธิปไตย เพื่อให้คุณภาพชีวิตและสิทธิของประชาชนได้รับการยกระดับ อันเป็นเป้าหมายใหญ่ที่สังคมไทยใฝ่ฝันถึง
ระหว่างการเดินทางไกลของการต่อสู้ร่วมกันเพื่อประชาธิปไตย แม้หลายครั้งจะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คนในสังคมหมดหวัง เมื่ออุปสรรคเบื้องหน้าดูยิ่งใหญ่และไม่มีวันทำลายลงได้ แต่จอนก็ยืนยันหนักแน่นว่าสังคมไทยจะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่เป็นอยู่มีแต่จะทำให้ทุกอย่างถดถอยลง
101 พูดคุยกับจอนถึงเส้นทางชีวิตที่ผ่านมาของเขา การก่อร่างความคิดในวัยเยาว์ ประสบการณ์มากกว่าสี่ทศวรรษในภาคประชาสังคม บทสะท้อนการทำงาน และชวนมองมุ่งไปข้างหน้าถึงเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยของสังคมไทย

หากมองย้อนกลับไปคุณมองชีวิตวัยเด็กของตัวเองอย่างไร
ในช่วงเด็กผมเติบโตทั้งในประเทศอังกฤษและประเทศไทย ผมเกิดที่อังกฤษ มาอยู่ไทยแต่เล็ก กลับอังกฤษตอนอายุ 8 ขวบ และกลับมาไทยอีกครั้งตอนอายุ 13 ปี โดยอยู่กับพ่อแม่ตลอด
ตอนเด็กชีวิตผมไม่ค่อยมีความสุข โดยเฉพาะที่อังกฤษ อาจจะเป็นเพราะผมไม่ค่อยมีเพื่อน โดนล้อเลียนบ้าง โดนบูลลี่บ้าง ไม่ได้โดนมากมายแต่ก็มีบ้าง พออายุ 13 ปีผมกลับมาประเทศไทย ชีวิตก็กลายเป็นตรงกันข้าม มีเพื่อนเยอะ มีความสุขดี มีเพื่อนสนิททั้งตอนอยู่โรงเรียนสาธิตปทุมวันและโรงเรียนเตรียมอุดมฯ แต่ผมถูกเลี้ยงแบบเจ้าระเบียบ เพราะแม่เป็นคนเจ้าระเบียบ
ชีวิตในบ้านเมื่อครั้งเป็นเด็กมีกิจวัตรแบบไหนที่หล่อหลอมให้คุณและน้องๆ สนใจเรื่องการเมืองและสังคม
ส่วนใหญ่อยู่ที่โต๊ะกินข้าวตอนเย็น คุณแม่จะเป็นคนชวนคุย เพราะคุณพ่อเวลาอยู่ที่บ้านจะไม่ค่อยพูด แม่จะเป็นคนแสดงความเห็นทางการเมือง บางทีแม่ก็เล่าว่าพ่อทำอะไรอยู่แล้วให้พ่ออธิบายเพิ่ม
คุณแม่ไม่ค่อยชอบสังคมไทยเรื่องการมีคนใช้ในบ้าน ไม่ชอบการมีรถประจำตำแหน่ง ไม่ชอบคอร์รัปชันในประเทศไทย ไม่ชอบการใช้อิทธิพล และไม่ชอบช่องว่างทางเศรษฐกิจในสังคมไทย เหล่านี้เป็นเรื่องหลักที่ผมเรียนรู้จากคุณแม่ โดยเฉพาะความคิดแบบสังคมนิยมประชาธิปไตย
ความคิดแบบสังคมนิยมประชาธิปไตยเป็นความคิดที่ผมรับได้ แต่ความคิดเรื่องสันติวิธีเป็นเรื่องที่ผมยังไม่ชัดเจนกับตัวเอง คือคุณแม่สู้เรื่องสันติวิธีมาก่อนและมีกลุ่มเพื่อนสันติวิธีที่อังกฤษซึ่งปฏิเสธการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อนคุณแม่หลายคนต้องขึ้นศาล โดยเฉพาะผู้ชาย ถ้าเป็นสงครามโลกครั้งที่หนึ่งคนที่ไม่ยอมเป็นทหารบางคนอาจถูกยิงเป้าได้ แต่ในสงครามโลกครั้งที่สองมีการเปลี่ยนแปลง ถ้าศาลเชื่อว่าคนนี้มีความคิดแบบสันติวิธีจริงๆ ไม่ยอมร่วมการรบหรือไม่ยอมเป็นทหารด้วยความเชื่อ ศาลจะปล่อย แต่ถ้าศาลพบว่าเป็นการเสแสร้งก็จะถูกลงโทษ
ความคิดทางการเมืองของอาจารย์ป๋วยกับคุณมาร์กาเร็ตไม่ตรงกันเสียทีเดียว มีเรื่องไหนที่คุณได้อิทธิพลทางความคิดจากพ่อและเรื่องไหนที่ได้จากแม่
เรื่องที่ได้จากพ่อมากที่สุดคือความกล้าหาญ โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นที่ประจักษ์คือการเผชิญหน้ากับคนที่มีอำนาจในสังคมไทย ซึ่งเป็นพวกทหาร อย่างจอมพลประภาส จารุเสถียร ผมเคยเจอจอมพลประภาสในร้านก๋วยเตี๋ยว เราไปกินก๋วยเตี๋ยวกันทั้งครอบครัวแล้วบังเอิญเจอจอมพลประภาสนั่งอีกโต๊ะหนึ่ง คุณพ่อก็เล่าว่าคนนี้แหละคือคนที่มีอำนาจอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่ง นั่นคือสิ่งที่ได้เรียนรู้ อีกเรื่องหนึ่งที่ได้เรียนรู้จากคุณพ่อแต่ผมทำไม่ได้คือคุณพ่อมีฝีมือมากทั้งการพูด การเขียน การแต่งกลอน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ประทับใจในคุณพ่อ
ส่วนคุณแม่เป็นเรื่องการเป็นนักกิจกรรม นักสู้ทางการเมือง เวลาอยู่อังกฤษคุณแม่จะแอกทีฟ คุณแม่เรียนจบสังคมวิทยา เป็นนักสังคมสงเคราะห์ พอมาอยู่เมืองไทยคุณแม่ก็ทำงานสังคมสงเคราะห์อยู่เหมือนกัน ในสมัยนั้นประเทศไทยมีงานสังคมสงเคราะห์น้อยและเป็นเรื่องคุณหญิงคุณนายไปแจกของให้คนจน แต่คุณแม่ทำแบบมืออาชีพ ร่วมมือกับศูนย์แม่และเด็กที่สาทรเข้าไปในสลัมคลองเตย ไปเยี่ยมแต่ละบ้านว่าเขามีปัญหาอะไรและต้องการความช่วยเหลืออย่างไรบ้าง นี่คืองานพาร์ตไทม์ที่คุณแม่ทำสมัยผมเป็นเด็ก
ครอบครัวคุณสนใจเรื่องการเมืองและสังคมทุกคน แต่ละคนก็อาจเห็นตรงกันบ้าง-ไม่ตรงกันบ้าง มีเรื่องไหนไหมที่เป็นหลักการที่ทุกคนเห็นตรงกัน
ผมว่าต่างกันหมดนะ อย่างใจ (น้องคนเล็ก) ก็ไปทางทรอตสกี้ เป็นสมาชิกพรรคสังคมนิยมแรงงาน ค่อนข้างจะไปทางความคิดเรื่องการปฏิวัติ แต่ก็ไม่ได้รุนแรง ในขณะที่ปีเตอร์ (น้องคนรอง) ผมคิดว่าเขาเป็นคนรักความเป็นธรรม แต่ก็ค่อนข้างจะไปกับระบบทุนนิยม
อาจพูดได้ว่ารักความเป็นธรรมเหมือนกัน แต่มองวิธีการคนละแบบ
ก็คงอย่างนั้น
ตอนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ทำไมคุณเลือกเรียนวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์
ผมสนใจเรื่องทางวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ไหนแต่ไร เก่งทางคณิตศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์ก็จะเป็นฟิสิกส์ สมัยมัธยมได้คะแนนดี หลังจากจบ มศ.5 พ่อแม่ก็ส่งไปเรียนมหาวิทยาลัยที่อังกฤษ ซึ่งผมไม่ได้มีธงว่าจะเรียนอะไร ผมต้องไปเตรียมตัวอยู่สองปี ต้องสอบ GCE A Level เพื่อเข้ามหาวิทยาลัย ผมก็เลือกเรียนทางฟิสิกส์ แต่พอเข้าไปเรียนแล้วอยากเปลี่ยนไปเรียนวิศวะ ก็ทำเรื่องเปลี่ยน ซึ่งจริงๆ แล้วผมก็ไม่ถนัดเท่าไหร่ เรียนไปแล้วก็ไม่ได้สนใจมาก ไม่ดูหนังสือ พูดตรงๆ คือไม่ค่อยเอาไหน

ช่วง 14 ตุลาฯ ถึง 6 ตุลาฯ คุณสอนฟิสิกส์ในมหาวิทยาลัยไทย การเมืองและการเคลื่อนไหวในสังคมตอนนั้นส่งผลต่อคุณอย่างไรบ้าง
พอเรียนจบผมกลับมาเมืองไทยและไปสอนที่คณะวิทยาศาสตร์ มหิดล หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ผมสนิทกับพวกนักศึกษาแพทย์และเภสัช จึงเริ่มสนใจสถานการณ์การเมืองในเมืองไทย ตอนนั้นมีนักศึกษาร้องเรียนให้ปรับปรุงหลักสูตรและปฏิรูประบบคัดเลือกนักศึกษาคณะแพทย์ เภสัช ทันตแพทย์ สาธารณสุข ผมมีความเห็นเรื่องนี้จึงได้รับเลือกให้เข้าร่วมกลุ่มทำงานศึกษาเรื่องการปฏิรูปร่วมกันทั้งอาจารย์และนักศึกษา
หลังจากนั้นผมจึงสมัครเป็นสมาชิกสภาคณาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดลและได้รับเลือก ทำให้ผมได้ไปร่วมกิจกรรมกับสภาคณาจารย์มหาวิทยาลัยอื่นๆ และได้รู้จักอาจารย์ที่มีความคิดก้าวหน้าในหลายสถาบัน จนเกิดกลุ่มอาจารย์หกสถาบัน ตอนหลังกลายเป็นแปดสถาบัน เป็นกลุ่มอาจารย์ที่นัดคุยกันเรื่องสถานการณ์การเมืองว่าจะช่วยขบวนการนักศึกษาได้อย่างไรบ้าง
วันหนึ่งอาจารย์สุดาทิพย์ อินทร ซึ่งเป็นเพื่อนในกลุ่มอาจารย์ฯ ชวนผมเข้าไปดูการประท้วงที่โรงงานฮาร่า ตอนนั้น มด-วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ เข้าไปร่วมเรียกร้องด้วย ผมมีกล้องถ่ายหนัง Super 8 เสียงในฟิล์มก็เลยเข้าไปถ่ายชีวิตคนงานโรงงานฮาร่าตอนเขายึดโรงงาน โดยมีอาจารย์สุดาทิพย์และเพื่อนอาจารย์อีกสองคนจากศิลปากรคืออาจารย์สมโภชน์และอาจารย์ลาวัณย์ อุปอินทร์ เป็นทีมสี่คนร่วมกันผลิตภาพยนตร์เรื่องการต่อสู้ของกรรมกรหญิงโรงงานฮาร่า ซึ่งตอนนี้หอภาพยนตร์เก็บรักษาไว้ มีคนยืมไปฉายทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นระยะๆ
จากที่ผมแค่มีความคิดสมัยอยู่กับพ่อแม่ แต่เป็นคนไม่เอาไหน ไม่ทำอะไร ตอน 14 ตุลาฯ ก็ไม่ได้ไปร่วมอะไรด้วย แต่หลังจากนั้นเมื่อมาสนิทกับผู้นำนักศึกษา มาสนใจเรื่องการปฏิรูปหลักสูตรและระบบคัดเลือกนักศึกษา ทำกิจกรรมสภาอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์และสภาคณาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล มารู้จักเพื่อนอาจารย์ที่มีความคิดก้าวหน้า ได้เข้าไปดูในโรงงานฮาร่า ทำให้ผมได้ทำกิจกรรมและได้เรียนรู้จากการต่อสู้ของนักศึกษา เห็นการสังหารนักศึกษา เช่น อมเรศ ไชยสะอาด นักศึกษาคณะสาธารณสุข มหิดล ผู้นำกิจกรรมนักศึกษาซึ่งไปออกค่ายของคณะแล้วถูกยิงตายด้วยปืนลูกซอง
ก่อนเกิด 6 ตุลาฯ ก็มีคนมาชวนผมว่าถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรให้เข้าป่า ตอนนั้นผมแค่คิดว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจชัดเจน พอดีเดือนกันยายน 2519 เป็นช่วงปิดเทอมผมจึงไปเยี่ยมคุณแม่ที่อังกฤษ ตอนนั้นคุณพ่อยังอยู่เมืองไทย แล้วก็เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ขึ้น คุณพ่อต้องลี้ภัยไปอยู่กับคุณแม่ที่อังกฤษ ผมก็เลยลาออกจากการเป็นอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ มหิดล
หลังจากนั้นอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ไปเยี่ยมคุณพ่อและร่วมกันตั้งมูลนิธิมิตรไทย เป็นมูลนิธิจดทะเบียนในอังกฤษ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมประชาธิปไตยในประเทศไทยและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารแบบไม่ถูกปิดกั้นผ่านจดหมายข่าวมิตรไทย ส่วนผมทำหน้าที่ไปพูดคุยแลกเปลี่ยนกับกลุ่มนักศึกษาและคนงานไทยที่เรียกร้องประชาธิปไตยในต่างประเทศ อย่างฝรั่งเศส เยอรมนี สวีเดน อเมริกา
จนกระทั่งในปี 2523 ผมกลับมาเมืองไทยแล้วอาจารย์โคทม อารียาชวนให้ไปสมัครเป็นผู้อำนวยการโครงการอาสาสมัครเพื่อสังคม หรือ คอส. (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม หรือ มอส.) ซึ่งอาจารย์โคทมร่วมก่อตั้งกับอีกหลายคน เช่น อาจารย์สุลักษณ์ คุณหญิงอัมพร มีศุข คุณศรีสว่าง พั่ววงศ์แพทย์ เป็นต้น ผมก็ได้รับเลือกเป็นผู้อำนวยการ โดยมี อ้วน-ภูมิธรรม เวชยชัย เป็นรองผู้อำนวยการและหัวหน้าฝ่ายอบรม
ตอนกลับมาเมืองไทยคุณไม่สนใจงานสอนแล้วเหรอ
ผมไม่มีพัฒนาการทางวิชาการเลย ตอนเป็นอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ ผมสอนฟิสิกส์ สอนไฟฟ้า เพราะเรียนจบวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ที่จริงผมจบแค่ปริญญาตรี ถ้าสมัยนี้ก็คงไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยไม่ได้ ผมไม่เหมาะที่จะสอน เพราะไม่มีความก้าวหน้าทางวิชาการและตอนหลังผมสนใจประเด็นทางสังคมมากกว่า
คุณกลับไทยและทำงานที่ มอส. ในปี 2523 ซึ่งเป็นช่วงที่นักศึกษาในป่ากลับคืนสู่เมือง งานอาสาสมัครตอนนั้นเป็นอย่างไร
อาสาสมัครรุ่นแรกๆ ของ มอส. คือ คนที่เข้ามหาวิทยาลัยหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ เขาจึงมีความกระตือรือร้นทางการเมืองและเป็นคนที่มุ่งมั่นทำงาน ตอนเปิดโครงการรุ่นแรกเรามีเงินพอที่จะจ้างอาสาสมัครได้ 18-19 คน เขาก็ประชุมกันว่าขอให้ลดค่าตอบแทนรายเดือนของอาสาสมัคร เพื่อที่จะรับคนเพิ่ม ซึ่งเราไม่ได้ทำนะ เพราะค่าตอบแทนตอนนั้นก็น้อยอยู่แล้ว แทบจะไม่พอกิน
อาสาสมัครสองรุ่นแรกเป็นคนที่มีไฟแรง มีคนที่ยังอยู่ในวงการพัฒนา เป็นผู้นำที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก เช่น ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ, วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ, สุภัทรา นาคะผิว เป็นต้น ผมทำ มอส. อยู่สิบปี แต่ทำงานบริหารเป็นหลัก
หลังอยู่ที่ มอส. มาสิบปีแล้วในปี 2534 จึงออกไปก่อตั้งมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ (AIDS Access) ตอนนั้นมีวิธีคิดอย่างไร
ตอนนั้นผมสนใจปัญหาโรคเอดส์มาก เพราะติดตามข่าวในต่างประเทศแล้วมาคิดว่าโรคเอดส์จะมาระเบิดในประเทศไทย เพราะประเทศไทยมีสถานบริการทางเพศเยอะมาก ทั้งสำหรับชาวต่างประเทศและสำหรับคนไทย ผมเองก็เป็นคนเที่ยวอยู่เหมือนกันจึงคิดว่ามันจะกระทบสังคมไทยอย่างมาก มอส. ก็ตั้งเจ้าหน้าที่มาศึกษาเรื่องนี้ร่วมกับองค์กรอื่น เช่น เอ็มพาวเวอร์ซึ่งเป็นเอ็นจีโอที่ทำงานกับพนักงานบริการ
ผมสนใจประเด็นเอดส์กับความรังเกียจที่เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งผมมองว่าเป็นความอยุติธรรมอย่างมาก ผมสนิทกับกลุ่มเอ็นจีโอทางภาคเหนือและภาคอีสาน ส่วนใหญ่เป็นอดีตอาสาสมัคร มอส. เวลาผมไปต่างจังหวัดเขาก็ชวนผมไปประชุมด้วยบ้าง ผมก็จะพูดถึงปัญหาเอดส์ ตอนแรกเขาไม่เชื่อกันเลย เขาไม่คิดว่ามันจะกระทบกับตัวเขาและพื้นที่ที่เขาทำงาน
ตอนนั้นเอดส์เข้ามาในไทยหรือยัง
เริ่มเข้ามาแล้วและกระทรวงสาธารณสุขออกกฎหมายเข้มงวดมาก คือให้อำนาจเจ้าหน้าที่บังคับคนที่สงสัยว่าติดเชื้อเอดส์ห้ามออกหรือเข้าพื้นที่ ถ้าไม่ให้ความร่วมมือก็สามารถเอาไปขังในสถานสงเคราะห์พิเศษได้ เครือข่ายที่สนใจเรื่องเอดส์ก็คัดค้านกฎหมายนี้ เราแสดงความเห็นกันว่าถ้ามีการประชุมเรื่องกฎหมายนี้ทางเอ็มพาวเวอร์จะวอล์กเอาต์แสดงการคัดค้าน ผมก็ไปร่วมรณรงค์เรื่องนี้ด้วย
ช่วงนั้นผมสนใจเรื่องเอดส์มากที่สุด จึงขอแยกตัวออกจาก มอส. มาตั้งมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ก็ได้คนเก่งๆ มาทำงานด้วย โดยผมสนใจรูปแบบที่ไม่ค่อยมีใครทำ แนวทางแรกคือให้เจ้าหน้าที่ไปสอบใบประกาศวิทยุแล้วไปจัดรายการวิทยุหลายแห่ง เปิดเพลงและคุยเรื่องเอดส์เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ทั้งที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ เชียงราย แนวทางที่สองคือการรับโทรศัพท์ให้คำปรึกษาคนที่มีปัญหาเรื่องเอดส์โดยไม่ต้องบอกชื่อ เราจะให้รหัสแทนตัว เวลาเขาโทรมาจะได้รู้ว่าเป็นคนเดิม แต่เราไม่อยากรู้ว่าเขาเป็นใคร และเมื่อได้ทำงานกับผู้ติดเชื้อเอดส์ เราจึงชวนเขามารวมกลุ่มกัน จึงเริ่มมีกลุ่มผู้ติดเชื้อเกิดขึ้น
จากการเรียนรู้จากองค์การแพทย์ไร้พรมแดนทำให้เรารู้เรื่องปัญหาและอุปสรรคในการเข้าถึงยา ช่วงนั้นเรารู้กันแล้วว่าแม้เอดส์จะรักษาหายไม่ได้ แต่ยาจะช่วยได้เยอะ เช่น ยืดอายุได้หลายปี สมัยนั้นยาแพงมากๆ นอกจากผู้ติดเชื้อในประเทศไทยจะเข้าถึงยาต้านไวรัสไม่ได้แล้ว หากติดเชื้อฉวยโอกาส ยารักษาบางตัวก็แพงจนสู้ไม่ได้และตายไป เราจึงมาต่อสู้เรื่องยา
เราผลักดันให้รัฐบาลไทยบังคับใช้ CL ยา (compulsory licensing; สิทธิเหนือสิทธิบัตร) ต่อมากระทรวงสาธารณสุขสมัยหมอมงคล ณ สงขลาเป็นรัฐมนตรี เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยยอมใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิ ซึ่งถูกต้องตามข้อตกลง WTO แต่ถูกรัฐบาลสหรัฐฯ คัดค้าน เพราะเขามีผลประโยชน์จากบริษัทยาในสหรัฐฯ
การใช้ CL ทำให้ช่วงแรกประเทศไทยสามารถนำเข้ายาราคาถูกจากอินเดียได้ ต่อมาจึงให้องค์การเภสัชผลิตยาเองได้ ปกติหากมีสิทธิบัตรยาจะทำให้ผู้อื่นผลิตไม่ได้ ทำให้ยาแพงกว่าที่ควรเป็นสิบกว่าเท่า สมัยผมทำงานเรื่องเอดส์ ไปเยี่ยมผู้ป่วยแล้วพบว่ายาที่เขาต้องใช้เม็ดละ 200 กว่าบาท แต่เขาไม่มีเงิน ในที่สุดก็ตาย แต่สมัยนี้ยาเม็ดละประมาณแปดบาท เพราะสิทธิบัตรหมดอายุแล้ว บริษัทไทยก็ผลิตกันเยอะแยะ
สิ่งที่เราสู้เป็นเรื่องความเป็นธรรม การสู้เรื่องเอดส์เป็นการต่อสู้เรื่องสิทธิมนุษยชน ตั้งแต่การมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ถูกรังเกียจ ไม่ถูกเลือกปฏิบัติ นี่เป็นเรื่องที่ยังสู้กันถึงทุกวันนี้ เพราะนายจ้างหลายแห่งยังบังคับคนที่จะเข้าทำงานให้ตรวจเอชไอวี นี่คือการละเมิดสิทธิ ระยะหลังก็ต้องแอบทำกัน เพราะรู้ว่ามันผิด เป็นการเลือกปฏิบัติ
ปัจจุบันเรื่องโรคเอดส์ในประเทศไทยไม่ใช่วิกฤตเหมือนแต่ก่อนที่มีคนติดเชื้อล้านกว่าคน แต่ยังเป็นปัญหาอยู่ ตอนนี้ก็ยังมีคนตายด้วยเอดส์ เพราะไม่กินยา โรคเอดส์ไม่ใช่ปัญหาสาธารณสุขแต่เป็นปัญหาสิทธิมนุษยชน

จากการทำงานเรื่องเอดส์นำไปสู่การร่วมผลักดันหลักประกันสุขภาพได้อย่างไร
หลังจากทำเรื่องการเข้าถึงยา ลำดับถัดมาก็คือเรื่องการเข้าถึงบริการ หลังจากที่ผมสมัคร สว. และได้เข้าสภาก็มีการประชุมระหว่างเอ็นจีโอหลายกลุ่มกับหมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ที่โรงแรมริชมอนด์ แล้วชวนผมไปด้วย
ตอนนั้นหมอสงวนกำลังพยายามผลักดันระบบประกันสุขภาพของรัฐที่ครอบคลุมประชาชนทุกคนที่ไม่มีสิทธิในระบบประกันสังคมหรือสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ เขาร่างกฎหมายมาแล้วประสานงานกับสารี อ๋องสมหวัง มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ให้มีการพูดคุยกัน ที่ประชุมนั้นเริ่มสนใจแนวคิดของหมอสงวน ผมก็สนใจเพราะมันคือเรื่องรัฐสวัสดิการ จึงตั้งคณะทำงานขึ้นมารณรงค์ให้เกิดกฎหมายหลักประกันสุขภาพ ตอนแรกผมได้รับเลือกเป็นประธานคณะทำงาน เป้าหมายคือต้องล่า 50,000 รายชื่อจึงจะเสนอเป็นกฎหมายประชาชนได้ แต่ตอนหลังผมลาออก เพราะจะมีความผิดจากการที่ผมเป็น สว. ซึ่งเป็นผู้ต้องพิจารณากฎหมายด้วย
ขณะนั้นกลุ่มผู้ติดเชื้อเอดส์มีอยู่ 500 กว่ากลุ่มทั่วประเทศและพวกเขาสนใจเรื่องนี้มากๆ เพราะมันหมายถึงการเข้าถึงยาโดยไม่ต้องจ่ายเงิน จึงมีการไปเก็บรายชื่อ เซ็นรับรอง สมัยนั้นยากมาก เพราะต้องใช้ทั้งสำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้าน ตามหมู่บ้านไม่มีร้านถ่ายเอกสารก็ต้องเข้าไปในเมืองแล้วกลับไปในหมู่บ้านอีกคืน สุดท้ายคณะทำงานเก็บได้ 60,000 กว่ารายชื่อ กลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวีเก็บรายชื่อได้มากที่สุด
ระหว่างนั้นผมก็ได้รับการติดต่อจากหมอเลี้ยบ-สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ว่าเขาสนใจเรื่องนี้มากและจะเสนอเรื่องนี้กับคุณทักษิณ ชินวัตรให้เป็นโครงการหลักของรัฐบาลไทยรักไทยหากได้รับเลือกตั้ง ผมกับหมอสงวนก็ไปคุยเรื่องนี้กับผู้สมัคร สส. ของไทยรักไทย เขาก็รับเข้าไปเป็นนโยบายพรรค
เมื่อไทยรักไทยได้เป็นรัฐบาลแล้วเขาก็ดำเนินโครงการนี้ได้เร็ว ในขณะที่การเสนอร่างฉบับประชาชนยังไม่ได้รับการรับรองรายชื่อ สภาใช้เวลานานมากในการนับแล้วบอกว่ารายชื่อขาดไปส่วนหนึ่ง เพราะบางคนที่ลงชื่อไม่ได้ไปเลือกตั้งจึงหมดสิทธิ เราก็ต้องไปเก็บเพิ่ม ตอนนั้นประธานสภาคือคุณอุทัย พิมพ์ใจชน ผมก็ไปหาคุณอุทัยบ่อย อยากให้รับรองจำนวนผู้เสนอกฎหมาย แต่มันก็ช้า จนกฎหมายของพรรคไทยรักไทยเข้าสภา โดยที่กฎหมายของประชาชนไม่มีโอกาส แม้มันสู้ร่างประชาชนไม่ได้ แต่ก็ไม่เสียหายมาก เพราะร่างของไทยรักไทยเอาเนื้อหาของพวกเราไปใช้เยอะ
ข้อดีของระบบหลักประกันสุขภาพคือเป็นการร่วมมือหลายฝ่าย กรรมการมีทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้แทนผู้ให้บริการ ผู้แทนผู้รับบริการ แต่กฎหมายที่บังคับใช้ตัดผู้รับบริการจาก 13 คน เหลือ 5 คน แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย
นับแต่มีโครงการหลักประกันสุขภาพก็มีคนพยายามล้มเลิกตลอดมา แรงต่อต้านเหล่านี้มาจากไหน
ประเทศไทยมีระบบสาธารณสุขสองระบบใหญ่ คือระบบแสวงกำไรกับระบบรัฐสวัสดิการ หากระบบที่เป็นรัฐสวัสดิการยิ่งเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ ระบบที่เป็นการค้าก็จะกำไรน้อยลงเรื่อยๆ เช่น ถ้าประชาชน 99 เปอร์เซ็นต์ใช้บริการสถานพยาบาลที่เป็นรัฐสวัสดิการเหมือนประเทศในยุโรป โรงพยาบาลเอกชนและอื่นๆ จะลำบากขึ้น เป็นต้น
เรื่องนี้มีหลายความขัดแย้ง ประเทศไทยเปิดเสรีการค้าขายเรื่องสุขภาพจนเราพยายามหารายได้จากชาวต่างประเทศที่มารับบริการในประเทศไทย เรื่องนี้ก็กลายเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของระบบหลักประกันสุขภาพ เพราะบุคลากรมักไหลไปสู่ภาคธุรกิจ ทั้งที่รัฐลงทุนในการจัดการศึกษาสำหรับบุคลากรมหาศาล เช่น แพทย์ เภสัช ทันตแพทย์ เมื่อเขาออกไปภาคธุรกิจก็เสียค่าปรับน้อยมากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายที่รัฐลงทุน นี่จึงเป็นปัญหาที่สู้กันลำบาก
มองบทบาทของตัวเองระหว่างการเป็นเอ็นจีโอและนักการเมืองอย่างไร มีเรื่องไหนที่ได้เรียนรู้จากการทำหน้าที่ สว. จากการเลือกตั้ง (2543-2549)
ผมคิดว่ามันไม่ต่างกันมาก ถ้าเป็นนักการเมืองแบบมืออาชีพคือการพยายามเปลี่ยนแปลงสังคมในทางที่ดี พยายามรณรงค์และออกกฎหมาย ยุคหลังเราก็จะเห็นว่าเอ็นจีโอส่วนใหญ่พยายามผลักดันกฎหมายภาคประชาชนเข้าสภา ไม่ว่าเรื่องสิ่งแวดล้อม สุขภาพ สิทธิผู้บริโภค มันเชื่อมต่อกันอยู่แล้ว
เอ็นจีโอส่วนใหญ่มีงานสองด้านคือบริการประชาชนและรณรงค์ร่วมกับประชาชนในประเด็นที่เป็นปัญหา เอ็นจีโอสนใจการรณรงค์ในประเด็นทางสังคม นักการเมืองก็ต้องสนใจเช่นเดียวกัน
สิ่งที่ผมเรียนรู้ตอนที่เป็น สว. คือการเป็นกลุ่มน้อยในวุฒิสภา อาจเรียกว่าเป็น สว. อิสระก็ได้ เหมือนที่มี สว. อิสระกลุ่มหนึ่งในปัจจุบัน แม้วิธีเลือกจะต่างกัน ผมไม่เห็นด้วยกับวิธีเลือกแบบปัจจุบัน
ผมเรียนรู้ว่าการเป็นเสียงส่วนน้อยจะสู้อย่างไร สว. เสียงส่วนน้อยต้องพยายามจับกลุ่มกัน เช่น ตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันและมีกรรมาธิการเป็นของตัวเอง สามารถเรียกเจ้าหน้าที่รัฐมาชี้แจงได้ โดยต้องพยายามทำแนวร่วมกับ สว. ที่ไม่อิสระที่พอจะคุยกันได้ หมายถึง สว. ที่มีพรรคการเมืองครอบงำ
การครอบงำ สว. ของพรรคการเมืองมีหลายรูปแบบ บางรูปแบบคือทำให้ลูก สว. มีโอกาสเป็นแคนดิเดต สส. ในพื้นที่ บางรูปแบบได้รับเงินเดือนพิเศษหรือได้เงินในการโหวตแต่ละครั้ง เวลา สว. อยู่ภายใต้อิทธิพลของพรรคการเมืองไม่ได้หมายความว่าทุกโหวตถูกชี้นำ เขาจะชี้นำเฉพาะเรื่องสำคัญ เช่น การเลือกองค์กรอิสระจะเห็นการล็อกโหวตชัด แต่เรื่องทั่วไปบางเรื่องที่ผมเสนอก็สามารถผ่านที่ประชุมได้ แม้หลายคนไม่ชอบขี้หน้าผมแต่ก็โหวตให้ เพราะไม่ใช่ประเด็นที่เขาถูกชี้นำ ที่สำคัญคือกลุ่ม สว. อิสระต้องเอาชนะในการอภิปรายให้ได้
มีอยู่ 2-3 เรื่องที่ผมเคยทำสำเร็จและภาคภูมิใจ เช่น กฎหมายเรื่องมหาวิทยาลัยต่างๆ อย่างมหาวิทยาลัยราชภัฏ ผมแทรกเข้าไปหนึ่งมาตราว่ามหาวิทยาลัยจะปฏิเสธการรับนักศึกษาเพราะเขาไม่มีเงินจ่ายค่าการศึกษาไม่ได้ ผมพยายามแทรกเข้าไปเพื่อช่วยนักศึกษาที่ไม่มีค่าเทอม เรื่องนี้ผ่านเข้าไปอยู่ในกฎหมายรายฉบับของมหาวิทยาลัยต่างๆ แต่ตอนหลังถูกเอาออก เพราะทบวงมหาวิทยาลัยมักจะไม่เห็นด้วย
แม้ สว. ชุดปัจจุบันมีกลุ่มอิสระน้อยมาก แต่คุณมองว่ายังมีโอกาสทำอะไรได้บ้าง โดยเฉพาะในเรื่องที่พรรคการเมืองยังไม่มีท่าทีใช่ไหม
ใช่ ผมคิดว่าเขาไม่ควรท้อแท้ ยังทำอะไรได้อยู่ ผมเสนอว่าน่าจะมีกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเอ็นจีโอด้านต่างๆ ไปช่วยเรื่องข้อมูลที่จะใช้ในการอภิปราย แม้เราจะแพ้โหวต แต่เราจะชนะการอภิปราย เพราะส่วนใหญ่คนที่จะขึ้นมาอภิปรายเรื่องทางสังคมคือพวกเรา คนอื่นจะไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เรารู้ปัญหา เราก็จะพูดถึงปัญหาได้
ในปี 2547 คุณก่อตั้งประชาไท ความสนใจเรื่องสื่อเกิดขึ้นได้อย่างไรและประชาไทเข้ามาช่วยเติมเต็มระบบนิเวศสื่อไทยอย่างไร
สมัยนั้นผมรู้สึกว่าเอ็นจีโออ่อนในเรื่องสื่อ เอ็นจีโอมีความรู้ เห็นปัญหา แต่ไม่ค่อยมีการสะท้อนสู่สังคม สื่อที่คนพอจะรู้จักคือเว็บไซต์ไทยเอ็นจีโอ นอกนั้นไม่ค่อยมีเท่าไหร่
ผมเคยไปประชุมที่ฟิลิปปินส์แล้วมีชาวฟิลิปปินส์มาพรีเซนต์ว่าเขาตั้งเว็บไซต์มินดาเนา ซึ่งสามารถเผยแพร่ปัญหาของเกาะมินดาเนาแบบที่สื่อทั่วไปไม่เคยทำได้ ผมก็คิดขึ้นมาว่าประเทศไทยน่าจะมีสื่อที่สะท้อนมุมมองสังคมของเอ็นจีโอและประชาชน ก็เลยรับไอเดียมินดาเนามาแล้วขอทุนในการทำประชาไท โดยผมต้องการให้เป็นสื่อมืออาชีพและเป็นที่สนใจของผู้อ่าน ตอนนั้นนิ้ว (อรพิณ ยิ่งยงพัฒนา) เป็นผู้ช่วยของผม ผมจึงให้นิ้วช่วยบริหารจัดการบุคลากรที่จะมาทำงาน จึงเกิดประชาไทขึ้น ซึ่งมี บก. คนแรกคือสมเกียรติ จันทรสีมา
ตอนนั้นเป็นช่วงหลังเหตุการณ์ตากใบ เรามีผู้สื่อข่าวเป็นคนในพื้นที่ไปสัมภาษณ์เหยื่อในเหตุการณ์ตากใบเผยแพร่เป็นซีรีส์ หลังจากนั้นก็มีทีมทำงานใหม่เข้ามา ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข มาเป็น บก. แทน
ที่จริงผมไม่ชำนาญเรื่องสื่อ แค่ช่วยตั้งขึ้นมาและหาทุนให้ แล้วประชาไทก็ไปได้ บางช่วงผมเองก็มีความขัดแย้งกับคนในประชาไท ไม่เห็นด้วยในบางเรื่อง แต่ผมไม่สมควรไปแทรกแซง โดยเฉพาะช่วงหลังรัฐประหาร 2549 เว็บบอร์ดประชาไทและส่วนบทความเต็มไปด้วยคนเสื้อแดง ในความเป็นสื่อผมรู้สึกว่าลำเอียง แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว คอลัมนิสต์ประชาไทจากช่วงแรกๆ ก็มีคนที่เติบโตขึ้น เช่น บุญยืน ศิริธรรม (ปัจจุบันเป็นประธานสภาองค์กรของผู้บริโภค)
ในสมัยนั้นผมคิดว่าการมีประชาไทเป็นเรื่องสำคัญ การเป็นกระบอกเสียงให้ประชาชนทั่วไปได้เป็นเรื่องสำคัญ แต่ระยะหลังความสำคัญของประชาไทอาจลดลงบ้าง เนื่องจากมีสื่อภาคประชาชนเกิดขึ้นมากมาย

ส่วนไอลอว์ที่คุณก่อตั้ง (2552) ในวันนี้เป็นเอ็นจีโอที่มีบทบาทในสังคมและคนรู้จักมาก คุณมองภาพไอลอว์ในวันแรกไว้อย่างไร จินตนาการไหมว่าจะมาถึงวันนี้
ไอลอว์ปัจจุบันไม่เหมือนที่จินตนาการไว้ตอนแรก ผมกับนิ้วร่วมกันก่อตั้งไอลอว์ ผมแค่ช่วยหาทุนและหาบุคลากรบ้าง แล้วมีเป๋า (ยิ่งชีพ อัชฌานนท์) ที่เป็นอาสาสมัครสิทธิมนุษยชนของ มอส. มาสมัคร ผมกับนิ้วก็สัมภาษณ์แล้วรับเข้ามา
ไอเดียแรกของไอลอว์คือส่งเสริมให้เกิดกฎหมายภาคประชาชน โดยเปิดให้คนเสนอไอเดียกฎหมายแล้วประชาชนที่เข้ามาอ่านก็สามารถให้ความเห็นและปรับปรุงได้ ถ้ามีคนเห็นด้วยเพียงพอก็จะทำเรื่องล่ารายชื่อเพื่อเสนอเป็นกฎหมายประชาชน นี่คือไอเดียแรกๆ แต่เหตุการณ์ก็พาไปเรื่อยๆ ตามทางที่ไอลอว์ไป เช่น มีคนมาเสนอจ้างไอลอว์ให้ศึกษาปัญหาของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เราจึงทำโครงการศึกษาโดยมีผู้วิจัยคือสาวตรี สุขศรี, ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ และอรพิณ ยิ่งยงพัฒนา
ไอลอว์เข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่างๆ เช่น เรื่องการปราบเสื้อแดงที่ราชประสงค์ ซึ่งคนที่ทำงานเป็นหลักคือนิ้ว จนกระทั่งเกิดรัฐประหาร 2557 นิ้วได้รับทุนไปเรียนต่อที่อังกฤษ ผมจึงเข้าไปทำหน้าที่ผู้อำนวยการแทน เราคุยกันว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์รัฐประหาร จึงเริ่มต้นด้วยศูนย์ข้อมูลที่บันทึกการละเมิดสิทธิมนุษยชนในสมัยรัฐประหาร เช่น คนที่ถูกเรียกไปรายงานตัว คนที่ขึ้นศาลทหาร ซึ่งกลายเป็นหน้าที่หลักในการบันทึกการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยรัฐในสถานการณ์รัฐประหารและพัฒนามาถึงปัจจุบัน
ในอนาคตคิดว่ามีเรื่องใดที่ไอลอว์ยังพัฒนาไปได้อีก
ผมคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่ปัจจุบันก็ดีแล้ว คือมีส่วนร่วมพัฒนาการเมืองในเรื่องสิทธิประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน เห็นว่าทำได้ดี คนที่เป็นหลักคือเป๋า สามารถนำองค์กรไปได้ดี ที่จริงทุกวันนี้ผมวางมือจากไอลอว์แล้ว ผมวางมือจากทุกโครงการที่เคยทำ ผมจะทำไประยะหนึ่ง ถ้ามีทีมเจ้าหน้าที่ที่ทำต่อได้ ผมก็พอแล้ว โชคดีคือทุกองค์กรที่เคยเกี่ยวข้องมีทีมงานที่เข้มแข็ง
อาชีพคุณคือการตั้งองค์กรหรือเปล่า (ยิ้ม)
มันกลายเป็นอย่างนั้น อาจจะเป็นเพราะว่าผมเรียนรู้เรื่องการติดต่อแหล่งทุนและการขอทุนสำหรับโครงการต่างๆ ตั้งแต่ตอนทำมูลนิธิมิตรไทย ซึ่งเดี๋ยวนี้สิ่งที่เป็นความเชี่ยวชาญของผมนั้นเอ็นจีโอไทยก็เข้าถึงแหล่งทุนได้ทั้งนั้น แต่สมัยก่อนมีไม่กี่คนที่สามารถดีลกับแหล่งทุนได้ จุดแข็งของผมคือเรื่องแหล่งทุน
หลังจากทำงานมาหลากหลาย มีงานไหนที่คิดว่ายากที่สุดที่เคยทำมา
ไอลอว์น่าจะยากที่สุด เพราะสิ่งที่เราตั้งใจตอนแรกมันฝันเกินไป มันไม่เป็นจริง จะให้ประชาชนมาร่วมแสดงความเห็นในกฎหมายจนกลายเป็นกฎหมายจริงมันไม่เวิร์ก สิ่งที่เวิร์กคือสิ่งที่ไอลอว์ทำตอนหลัง คือมีธงชัดเจนว่าสู้เพื่อประชาธิปไตยแล้วหาวิธีสู้โดยใช้ความรู้ทางกฎหมายโดยเฉพาะอย่างเป๋า
ผมมาคิดเอาตอนหลังว่าผมเลือกเรียนผิด ผมควรจะเรียนกฎหมาย ถ้าย้อนกลับไปก็จะเรียนกฎหมาย เพราะมันเป็นเครื่องมือที่ต้องใช้ในการสู้กับพวกที่มีอำนาจ ตอนแรกไอลอว์ก็ไม่ค่อยมีคนอ่านเว็บไซต์หรือเฟซบุ๊กเท่าไหร่ อยู่ดีๆ คนอ่านก็เพิ่มขึ้นมา อาจเพราะคนรุ่นใหม่สนใจเรื่องการต่อสู้ทางการเมืองจึงเริ่มมารู้จักไอลอว์ ช่วงแรกมันค่อยเป็นค่อยไปมาก แต่ตอนหลังเหมือนติดไฟแล้วไปโลด
มองบทบาทเอ็นจีโอไทยในอดีตกับปัจจุบันว่าเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
มันเปลี่ยนมาตลอด เอ็นจีโอไทยที่อยู่ได้ตอนนี้ต้องเป็นเอ็นจีโอที่มีจุดยืนชัดเจน ต่อสู้กับปัญหาที่เป็นที่ยอมรับในสังคม เช่น ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาการเมือง ปัญหาสิทธิมนุษยชน เป็นต้น โดยส่วนใหญ่ต้องเป็นการทำงานร่วมกับองค์กรของชาวบ้านที่เกี่ยวข้อง ต่างกับสมัยก่อนที่เอ็นจีโอจำนวนมากฝันหวานเรื่องชุมชนพึ่งตนเอง ไปอยู่ในหมู่บ้านไม่ต้องสนใจรัฐบาล ชาวบ้านจะสร้างระบบของตัวเอง
ปัจจุบันเอ็นจีโอจำนวนมากยังเป็นคนรุ่นเก่า ไม่ค่อยมีคนรุ่นใหม่ๆ เข้ามา เอ็นจีโอที่จะไปได้ไกลต้องมีคนใหม่ๆ เข้ามาร่วมให้มาก
ปัจจุบันคนไทยจำนวนมากตื่นตัวเรื่องสังคมการเมืองและสามารถใช้โซเชียลมีเดียส่งเสียงได้เอง แล้วบทบาทของเอ็นจีโอควรเป็นอย่างไร
คนรุ่นใหม่อาจสนใจปัญหาแล้วมารวมกลุ่มกัน แต่ยังไม่เก่งในการจัดการสักเท่าไหร่ บางทีก็อาจจะใจร้อนเกินไป การต่อสู้ทางการเมืองของคนรุ่นใหม่หลายกลุ่มยังขาดบทเรียน บทบาทหนึ่งที่เอ็นจีโอทำได้คือการช่วยให้พวกเขาเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนรุ่นก่อนๆ แต่ที่จริงผมไม่ได้ห่วงเอ็นจีโอสักเท่าไหร่ เพราะเอ็นจีโอจะเกิดขึ้นมาเองเพื่อทำงานในเรื่องที่เป็นปัญหาวิกฤต ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่ามันจะมีปัญหาอะไรบ้าง
ช่วงการเมืองเหลืองแดงวงการเอ็นจีโอขัดแย้งกันจนหลายคนทำงานร่วมกันไม่ได้ ทุกวันนี้ถือว่ากลับมาคืนดีกันหรือยัง มีปัจจัยอะไรที่ทำให้คนกลับมาคุยกัน
ที่จริงผมคิดว่าจุดแตกหักในแวดวงเอ็นจีโอคือช่วง กปปส. มากกว่าช่วงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น ช่วง กปปส. ผมเองก็เสียใจมากที่เห็นคนในวงการเอ็นจีโอไปเดินขบวนเรียกร้องการปฏิรูปที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย มันเป็นความผิดพลาดของคนในวงการเอ็นจีโอ แต่ตอนนี้คนส่วนใหญ่เห็นแล้วว่าอะไรเกิดขึ้น จากการที่เขาเห็นรัฐบาลประยุทธ์และ คสช. ปกครองประเทศไทยยาวนาน
ตอนนี้ความขัดแย้งลดลง แต่ยังมีอยู่บ้าง เป็นธรรมดาในทุกแวดวงที่จะมีความขัดแย้งเห็นต่าง มีชอบ มีเกลียด เป็นเรื่องธรรมดา แต่ความขัดแย้งช่วงก่อนหน้ารัฐประหารคลี่คลายไปเยอะแล้ว

คุณทำงานมาหลากด้านหลายประเด็น คิดว่าตัวเองมีแพสชันเรื่องไหนมากที่สุด
ก็คงเป็นเรื่องประชาธิปไตยนี่แหละ ทุกวันนี้เมื่อมองดูสถานการณ์บางทีก็รู้สึกท้อแท้ เพราะต้องถือว่าในบรรดาเผด็จการทั้งหลายนั้นเผด็จการประยุทธ์ประสบความสำเร็จในสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด นั่นคือรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันซึ่งล็อกทุกอย่างไว้และยกเลิกยากมาก เราจึงได้เกิดศาลรัฐธรรมนูญแบบปัจจุบัน จึงได้เกิดการยุบพรรคการเมืองที่เป็นที่นิยม เหตุที่บางทีผมรู้สึกท้อแท้เพราะคอร์รัปชันในทุกวงการเชื่อมโยงกันหมด
การจะประสบความสำเร็จเรื่องประชาธิปไตยเราต้องมีรัฐธรรมนูญใหม่ซึ่งเป็นฉบับของประชาชน ถ้าไม่มีก็จะเป็นแบบนี้เรื่อยๆ ทุกวันนี้ผมคิดแต่เรื่องนี้
หากมองเป้าหมายเรื่องการเมืองและรัฐสวัสดิการที่สังคมไทยวาดภาพไว้ในอดีต คุณคิดไหมว่าที่จริงทุกวันนี้เราควรไปถึงเป้าหมายนั้นแล้ว แต่เราก็ยังเดินไปไม่ถึงสักที
ใช่ เรามีอุปสรรค ทุกประเทศในภูมิภาคนี้มีปัญหาหมด แต่บางประเทศมีโอกาสไปได้ไกลกว่าประเทศไทย แม้ว่าสังคมไทยอาจจะมีความรุนแรงน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน แต่การมีกลุ่มที่มีอำนาจที่อนุรักษ์และไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ทำให้ประเทศไทยล้าหลังไปเรื่อยๆ ล้าหลังทางเศรษฐกิจ ล้าหลังทางประชาธิปไตย ล้าหลังในเรื่องช่องว่างระหว่างคนมีกับคนจน
ช่วง 3-4 ปีก่อนเรามีการประท้วงใหญ่ มีประชาชนตื่นตัวทางการเมืองจำนวนมาก และมีความพยายามครั้งใหญ่ในการต่อต้านโครงสร้างแบบเก่า แต่สุดท้ายก็ยังไม่สำเร็จ คุณคิดว่าเรามีโอกาสทำสำเร็จไหม เมื่อโครงสร้างที่เป็นอยู่ดูเหนียวแน่นและเปลี่ยนไม่ได้เลย
ผมไม่เชื่อว่าเปลี่ยนไม่ได้ ผมไม่อยากให้คนรุ่นใหม่ที่เคยออกมาต่อสู้ท้อแท้หรือเลิกต่อสู้ แต่บางทีการต่อสู้อาจจะต้องเปลี่ยนรูปแบบบ้าง มันไม่ง่ายที่จะออกมาสู้บนถนนแล้วเปลี่ยนเลย ผมคิดว่าการที่พรรคก้าวไกลได้คะแนนสนับสนุนถึง 14 ล้านกว่าคน แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในสังคมไทย คือคนรุ่นใหม่สามารถเปลี่ยนความคิดคนรุ่นเก่าได้ด้วย เรื่องนี้สำคัญ ผมรู้จักกลุ่มอนุรักษนิยมบางคนที่อายุมาก แต่เขาก็ยังเลือกก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งหลังนี้ ประชาชนที่ยอมรับสถานการณ์ไม่ได้ขยายตัวเรื่อยๆ แต่ยังมีอุปสรรคอยู่มาก
อุปสรรคใหญ่อันหนึ่งคือทหารและวัฒนธรรมทหาร เด็กบางคนพอเข้าไปเรียนเตรียมทหารก็รับวัฒนธรรมความคิดแบบทหารที่แยกออกจากสังคมไทย ตราบใดที่สถาบันทหารยังมีวัฒนธรรมแบบในปัจจุบันก็จะเป็นอุปสรรค ปัญหาคือเรามองไม่เห็นว่าในหมู่ทหารมีคนที่มีความคิดก้าวหน้าสักกี่เปอร์เซ็นต์และอยู่ที่ไหน แต่ผมเชื่อว่ามี
ผมเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ที่สังคมจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป เพราะทุกอย่างจะถดถอยหมด เศรษฐกิจจะแย่ เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านเราจะโตช้ากว่า แม้แต่ในกลุ่มทหารก็ต้องมีคนรุ่นใหม่ที่จะเอื้ออำนวยต่อการปฏิรูปทหารมากขึ้น ถ้าปฏิรูปทหารได้ การปฏิรูปอื่นๆ ก็จะตามมา
หากมองตัวอย่างประเทศเผด็จการที่เปลี่ยนแปลงเป็นประชาธิปไตยสำเร็จ ความเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากประชาชน แต่เกิดจากการที่ชนชั้นนำขัดแย้ง ผิดพลาด หรือเสื่อมลงเอง ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วเราควรทำอะไร
ผมคิดว่าการต่อสู้ของประชาชนทั่วไปมีอิทธิพลต่อผู้มีอำนาจหรือผู้ที่เกิดมาในชนชั้นที่ได้เปรียบ เช่น การต่อสู้ของพรรคก้าวไกลและผู้สนับสนุนก็มีอิทธิพลต่อพวกอนุรักษนิยมด้วย เขาได้รับผลอยู่ กำแพงจะถูกทำลายลง
การเปลี่ยนแปลงต้องอาศัยทั้งสองส่วน หากมีเพียงการลุกขึ้นสู้กับอำนาจข้างบนของประชาชนมันก็อาจจะไม่สำเร็จถ้าไม่มีพลังปฏิรูปภายในกลุ่มข้างบน ซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องได้รับอิทธิพลจากข้างล่างด้วย ฉะนั้นมันจึงมีความสัมพันธ์กันหมด ขาดกันไม่ได้ จะต้องเกิดกลุ่มทหารรุ่นใหม่ที่เริ่มตั้งคำถามกับระบบทหารและวัฒนธรรมทหาร
ผมเชื่อว่าเปลี่ยนแน่ เพียงแต่จะใช้เวลานานเท่าไหร่ สู้อย่างไรจึงจะชนะ สู้อย่างไรจึงจะทำให้คนไปด้วยกัน ที่ผ่านมามีบางเรื่องที่คนรุ่นใหม่อาจจะผิดพลาดคือการแสดงออกเกินเลยจนประชาชนอีกส่วนหนึ่งรับไม่ค่อยได้ เรื่องนี้ต้องหลีกเลี่ยง ต้องระวัง ผมหวังว่าองค์กรอย่างไอลอว์อาจจะช่วยสร้างการเรียนรู้ร่วมกันในหมู่นักต่อสู้ มาสรุปบทเรียนการต่อสู้กัน
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์ แต่จะดำเนินไปอย่างไร ทำอย่างไรจะไม่เสียเลือดเนื้อ ทำอย่างไรจะหลีกเลี่ยงได้ ทำอย่างไรจะเร่งจังหวะได้ สิ่งเหล่านี้ต้องพยายามหาคำตอบร่วมกัน
หากคนรุ่นใหม่จะเรียนรู้จากประสบการณ์ทำงานของคุณ มีหลักการทำงาน นิสัย หรือความคิดแบบใดที่สำคัญต่อการทำงานเปลี่ยนแปลงสังคม
ผมไม่ได้คิดว่าตัวผมจะเป็นตัวอย่างหากคนรุ่นใหม่ต้องการเรียนรู้จากคนรุ่นพี่ ผมแค่มีบทบาทบางอย่าง สิ่งที่ผมมีในตอนนี้ คนรุ่นใหม่ก็มีกันเยอะแยะ คนใหม่ๆ ที่เข้าไปทำงานในไอลอว์ตอนนี้ก็มีคนเก่งหลายคน
ผมเป็นคนชอบสนุก ไม่ใช่คนซีเรียสเรื่องงาน ทุกอย่างที่เคยทำมาก็เป็นเรื่องที่เอ็นจอย เมื่อเริ่มรู้สึกเบื่อก็จะไปทำอย่างอื่น ผมไม่ได้คิดแบบพรรคคอมมิวนิสต์ที่ว่าเป็นนักสู้ต้องเสียสละ ผมคิดว่าหากเราเห็นความอยุติธรรม เราควรทำเรื่องถนัดที่ช่วยลดความอยุติธรรมได้ โดยที่เราทำแบบสนุกและไม่ยากเกินไปที่เราจะทำ
ในแต่ละช่วงของชีวิตมีการตั้งเป้าหมายการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปไหม
ผมไม่ค่อยได้ตั้งเป้าหมาย ไหลไปตามสถานการณ์มากกว่า เช่นที่ผมไปสมัคร สว. ก็เริ่มต้นจากที่เอ็นจีโอประชุมกันว่ารัฐธรรมนูญ 2540 เปิดให้สามารถสมัคร สว. ได้โดยไม่ต้องใช้เงินเยอะ เราจึงต้องการสนับสนุนคุณสวิง ตันอุด นักพัฒนาภาคเหนือ ให้ลงสมัคร สว. เชียงใหม่ คุยกันไปคุยกันมาก็คิดกันว่าจะมีคนอื่นสมัครอีกไหม มีคนถามว่าทำไมอาจารย์จอนไม่ลงสมัคร คุณพ่อก็มีชื่อเสียง จะมีส่วนช่วยในการเลือกตั้ง ซึ่งก็จริง ผมก็โอเค สุดท้ายต้องยอมรับว่าผมได้รับเลือกเข้าไปอย่างหวุดหวิด อันดับคะแนนเป็นคนสุดท้าย ที่เข้าไปได้เพราะชื่อเสียงคุณพ่อมีส่วนมาก ตอนไปแนะนำตัวแถวเยาวราชก็มีคนทักจำนวนมาก อีกทั้งมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีรณรงค์ให้ผมเยอะเลย ไปช่วยแจกใบปลิว ไปช่วยติดโปสเตอร์ เรื่องนี้ไม่ได้มาจากการวางแผน เป็นการตัดสินใจเมื่อเห็นโอกาสมากกว่า
ตอนที่ผมทำงานด้านเอดส์จะมีการวางแผนมากกว่า ผมเบื่อการทำงานใน มอส. รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องที่จับได้อย่างเป็นรูปธรรม ไม่เหมือนเรื่องเอดส์ จึงเริ่มมีไอเดียการทำงานเรื่องเอดส์ขึ้นมาและตั้งองค์กร
ประเมินตัวเองในภาพรวมมองว่าความสำเร็จคือเรื่องอะไรและมีเรื่องใดที่อยากทำแล้วยังไม่ได้ทำ
โดยรวมผมไม่ใช่คนขยัน แต่อาจจะมีความคิดริเริ่ม เวลามองเห็นโอกาสก็จะลองจับมันดู ชีวิตผมมีภาษีในบางเรื่องและเป็นความบังเอิญหลายเรื่อง ตั้งแต่การรู้จักแหล่งทุน ความสามารถในการหาทุน สิ่งเหล่านี้กลายเป็นโอกาสที่เมื่อทำโครงการอะไรหากมีเหตุผลที่ดีก็หาทุนได้ เวลาใครอยากร่วมกันทำอะไรเขาก็จะมาหาแล้วผมก็ช่วยหาทุนให้
ผมไม่คิดว่ามีองค์กรไหนที่ผมเกี่ยวข้องแล้วมันสำเร็จเพราะผม ความสำเร็จเกิดจากทีมงาน อย่างถ้าไอลอว์ไม่มีเป๋าก็คงไม่มาไกลขนาดนี้ ถ้ามูลนิธิเข้าถึงเอดส์ไม่มีนิมิตร์ เทียนอุดมก็ไม่มาไกล เหมือนกับถ้าประชาไทไม่มีชูวัส ไม่มีจิ๋ว (จีรนุช เปรมชัยพร) ความสำเร็จอยู่ที่คนทำงาน หรืออาจจะเป็นเพราะผมเลือกคนที่มาทำงานด้วยเก่งก็ได้
ส่วนเรื่องที่อยากทำแล้วยังไม่ได้ทำนั้นไม่มีแล้ว เพราะอายุมากแล้ว คิดว่าไปได้แค่นี้ ตอนนี้ผมเป็นคนคอยสังเกตมากกว่า นานๆ ทีถ้าคิดอะไรออกก็จะเสนอเป๋าว่าทำไมไอลอว์ไม่ทำอย่างนี้นะ ก็แล้วแต่ว่าเขาจะเห็นด้วยหรือไม่