“ถ้าตัดสินติดคุก ต้องรอประกันอีกครับ”
นี่เป็นการนัดสัมภาษณ์ครั้งแรกที่ฉันต้องลุ้นว่าอีกฝ่ายจะมาตามนัดได้หรือไม่ เพราะเขามีนัดฟังคำพิพากษาที่ศาลในช่วงเช้าวันเดียวกัน
ตกบ่าย เขามาตามนัดได้สำเร็จ เพราะศาลเลื่อนวันพิพากษาออกไป สำหรับคนทั่วไปวันพิพากษาเป็นวันชี้ชะตาชีวิตที่คงไม่มีจิตใจไปทำธุระอื่น แต่สำหรับ ไผ่–จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ที่มีคดีความจากการชุมนุมการเมืองค้างอยู่หลายสิบคดี โดยเฉพาะจากช่วงม็อบ 2563-2564 การวนเวียนขึ้นศาลกลายเป็นธุระประจำในชีวิตของเขา ทั้งเป็นธุระสำคัญที่ทำให้เขาต้องเดินทางจากต่างจังหวัดมาขึ้นศาลที่กรุงเทพฯ บ่อยครั้ง
คดีมาตรา 112, มาตรา 116, พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฯลฯ ทั้งหมดล้วนมีโอกาสนำไปสู่การตัดสินจำคุก แต่เขาก็ใช้ชีวิตต่อไปอย่างปกติ ทำงานรณรงค์ประเด็นการเมืองและยังไม่หยุดพูดถึงปัญหาของประเทศนี้
“ผมไม่ได้กลัวอะไร คุกก็เคยติดมาแล้ว ถามว่าอยากเข้าไปไหม…ไม่อยาก แต่ถ้าต้องเข้าไปแล้วจะอยู่ได้ไหม ผมก็อยู่ได้ไง”
สี่ปีคือตัวเลขรวมช่วงเวลาที่เขาถูกคุมขังจากการถูกจับด้วยคดีการเมืองหลายครั้ง ครั้งที่ยาวนานที่สุดคือคดี 112 เมื่อปี 2559 หลังแชร์ข่าวจากบีบีซีในช่วงคณะรัฐประหารปกครองบ้านเมือง
ไม่ใช่เรื่องปกติที่นักกิจกรรมการเมืองต้องทำตัวคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในเรือนจำ แต่มันก็เกิดขึ้นกับไผ่ที่ต้องเข้าออกเรือนจำหลายครั้ง
สิ่งที่เขาทำทั้งหมดนั้นในอารยประเทศเรียกว่าเสรีภาพ แต่ในประเทศไทยเรียกว่าความผิดร้ายแรง
การดึงรั้งไว้ด้วยคดีความเช่นนี้เป็นการเอาคืนของฝ่ายอำนาจเก่าที่โต้กลับผู้ประท้วงช่วงม็อบ 2563 แม้ในสภาพที่ผู้คนถูกกดหัวไม่ให้เงยหน้าฝันถึงการเปลี่ยนแปลงจนความหวังหดแคบ แต่สิ่งสำคัญคือการไม่ลืมว่าครั้งหนึ่งสปิริตการต่อสู้แบบ 2563 เคยถูกจุดขึ้นและโหมกระพือไปทั่วแผ่นดิน
การมองไม่เห็นในวันนี้จึงไม่ใช่ว่ามันไม่มีจริง เพราะครั้งหนึ่งทุกคนเคยร่วมเป็นประจักษ์พยานคลื่นการเปลี่ยนแปลงที่โหมซัด เช่นเดียวกับไผ่ที่เคยร่วมยืนมองคลื่นมนุษย์ลงถนน แต่เมื่อคลื่นลมสงบสงัด การทำงานรักษาความหวังและแนวร่วมเพื่อรอคลื่นครั้งต่อไปก็เป็นเรื่องจำเป็น

จาก 2557 ถึง 2563
กว่าสิบปีที่แล้วไผ่เริ่มเคลื่อนไหวการเมืองกับกลุ่มดาวดินระหว่างเรียนที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งเป็นที่รู้จักจากการต่อสู้เรื่องเหมืองทองคำที่จังหวัดเลย
กลุ่มดาวดินเป็นที่รู้จักในวงกว้างกว่าเดิมจากการชูสามนิ้วแสดงการต่อต้านรัฐประหาร ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหารลงพื้นที่ขอนแก่นในเดือนพฤศจิกายน 2557 จนทำให้จตุภัทร์ถูกจดจำในชื่อ ‘ไผ่ ดาวดิน’
ในช่วงหลังรัฐประหาร 2557 มีการใช้กฎหมายคุกคามและละเมิดสิทธิผู้คนจำนวนมากจนเกิดบรรยากาศตึงเครียดและความหวาดกลัว แม้มีคนออกมาต่อต้านแต่ก็เกิดขึ้นในปริมาณน้อยและถูกอุ้มหรือบุกจับได้อย่างง่ายดาย
“ผมไม่ได้คิดผิดนะตอนที่ออกไปค้านรัฐประหาร แต่มันไม่มีการสนับสนุนเลย ริบหรี่มาก เราเรียนกฎหมายมาก็รู้อยู่แล้วว่ารัฐประหารไม่ดี แต่การเรียนรู้ของคนในสังคมอาจต่างกัน มีคนประเภทไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา คือคนที่ชอบทหาร แต่อยู่กับประยุทธ์ไป 8-9 ปีก็เริ่มแย่ จนเลือกตั้ง 2566 แล้วประยุทธ์ไปต่อไม่ได้”
การอยู่ภายใต้ระบอบประยุทธ์อย่างยาวนานให้บทเรียนสำคัญกับคนในสังคมไทย จากปี 2557 ที่มีคนเพียงหยิบมือออกมาต่อต้านรัฐประหาร สังคมก็ค่อยๆ รับรู้ความเลวร้ายของระบอบใหม่ ก่อตัวความไม่พอใจจนระเบิดออกเป็นม็อบ 2563 ที่มีคนทั่วประเทศออกมาชุมนุมจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“เวลาอยู่ข้างเรา ถ้าเรายืนอยู่บนหลักการที่ถูกต้อง เมื่อวันเวลาผ่านไปก็จะเกิดพัฒนาการทางสังคม จาก 2557 มาถึงตอนนี้คนเปลี่ยนไปเยอะ คนรุ่นใหม่สนใจประเด็นสังคมมากกว่ายุคเรา เพียงแต่เมื่อผู้มีอำนาจไม่รับฟังข้อเสนอแล้วยังใช้อำนาจสร้างความกลัว มันก็ไปต่อไม่ได้” ไผ่บอก
แม้ว่าการประท้วงในปี 2563 จะเริ่มต้นจากการยุบพรรคอนาคตใหม่ แต่ประเด็นประท้วงก็ค่อยๆ ขยายตัวไปสู่ความไม่พอใจรอบด้านทั้งการเมือง สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม จนมีข้อเรียกร้องใหญ่คือให้ยุบสภาฯ, หยุดคุกคามประชาชน และร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จนถึงข้อเรียกร้องอันแหลมคมอย่างการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 10 ข้อ
ภาพการชุมนุมของคนเรือนแสนสะท้อนความสำเร็จก้าวแรกในการสร้างความตื่นตัวในหมู่ประชาชน แม้สุดท้ายแล้วจะไม่สามารถกดดันให้รัฐบาลเผด็จการทำตามข้อเรียกร้องได้ก็ตาม
สำหรับไผ่ในฐานะหนึ่งในแกนนำการชุมนุมที่มีการรวมตัวของคนหลากหลายกลุ่ม เขาบอกว่าการขึ้นปราศรัยโดยมองเห็นคนสุดลูกหูลูกตาทำให้ ‘ใจฟู’ ขึ้นมา
“มันก็ใจฟู ตกใจนะ ไม่คิดว่าจะมีคนเยอะขนาดนั้น คนรุ่นเราเริ่มจากการประท้วงเล็กๆ แอบจัดแล้วโดนตามจับ พอมาเจอคนเยอะสุดลูกหูลูกตาก็มีความหวัง มีพลังใจ ตอกย้ำความคิดความเชื่อของเราที่ว่าประชาชนนี่แหละคือตัวแปรสำคัญในการเปลี่ยนแปลง”


สปิริต 2563 – อำนาจเป็นของประชาชน
เหตุการณ์สำคัญครั้งหนึ่งของม็อบ 2563 คือการฝังหมุดคณะราษฎรหมุดที่สองที่สนามหลวงเมื่อ 19-20 กันยายน 2563 สะท้อนการสืบทอดมรดกความคิดของคณะราษฎรที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 และต่อมาผู้ชุมนุมหลากหลายกลุ่มจึงรวมตัวกันในนาม ‘คณะราษฎร (2563)’
ไผ่มองว่า ปัจจัยที่ทำให้มรดกความคิดจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ถูกนำมาใช้ในม็อบ 2563 เป็นเพราะการใช้อำนาจของฝ่ายอนุรักษนิยมในช่วงหลังชัดเจนมากจนทำให้ประชาชนเห็นปัญหา
“อำนาจของฝ่ายอนุรักษนิยมช่วงหลังชัดมาก ทำให้คนเห็นปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น เครือข่ายอนุรักษนิยมได้รับผลประโยชน์จากนโยบายการเมืองแบบนี้ รัฐธรรมนูญแบบนี้ โครงสร้างการเมืองแบบนี้ จนถึงการหยิบใช้กระบวนการยุติธรรมและกลไกต่างๆ เป็นเครื่องมือ
“ประวัติศาสตร์ไทยจาก 2475 วนลูป ไม่ได้พัฒนาไปไหนเลย เรายังอยู่ในลูปเดิม รัฐธรรมนูญไทยที่ผ่านมาส่วนใหญ่ก็มาจากการรัฐประหาร การต่อสู้จึงไม่ได้ไปไหน คนรุ่นใหม่ก็เห็นประวัติศาสตร์จนเขาออกมานำการต่อสู้และเกิดคณะราษฎรในปี 2563”
ท่ามกลางประเด็นเรียกร้องอันหลากหลายของม็อบ 2563 สำหรับไผ่เขามองเห็นว่าสปิริตที่ทุกคนออกมาลงถนนร่วมกันคือความรู้สึกว่าอำนาจเป็นของประชาชน
“ทุกคนรู้สึกว่าประเทศนี้เป็นของเรา อำนาจเป็นของประชาชน เขาจึงพยายามเรียกร้อง มันเป็นคุณค่าแบบ 2475 ที่ว่า ‘ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศเรานี้เป็นของราษฎร’
“ก่อนหน้านั้นสักสิบปีคนก็เห็นว่าอำนาจอยู่กับเผด็จการทหารที่มาปราบนักการเมือง ไม่ยอมรับกลไกเลือกตั้ง โดยมีเสียงชนชั้นกลางในเมืองสนับสนุนและมองเสียงชาวบ้านเป็นรากหญ้า แต่สังคมก็พัฒนามาจนไม่เชื่อในทหารแล้ว แต่เชื่อในอำนาจของตัวเอง เชื่อว่าประเทศนี้เป็นของเรา นี่คือจิตวิญญาณในปี 2563-2564 ว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน”
ในฐานะนักกิจกรรมคนหนึ่ง ช่วงการประท้วง 2563-2564 ก็เป็นอีกหนึ่งช่วงชีวิตของไผ่ที่เข้มข้นที่สุด
“เราสู้เต็มที่กับรัฐบาล นายทุน และทหาร ท้าทายที่สุดคือตอนที่มีข้อเสนอปฏิรูปสถาบันฯ ทั้งยาก ทั้งท้าทาย เป็นประสบการณ์ใหม่ของผม”
แม้ที่สุดแล้วข้อเสนอปฏิรูปสถาบันฯ จะกลายเป็นเรื่องที่ชนชั้นนำหยิบใช้โจมตีฝ่ายผู้ประท้วงอย่างรุนแรง แต่ไผ่ก็เคารพการตัดสินใจของคนเจเนอเรชันนี้ที่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาต่อสู้เท่าที่มีกำลัง อย่างน้อยที่สุดคุณูปการสำคัญคือทำให้ช่วงการเลือกตั้ง 2566 พรรคการเมืองต้องพูดถึงเรื่องมาตรา 112 กันอย่างเปิดเผยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งนี่เป็นผลลัพธ์จากความอยุติธรรมที่ทำให้คนต้องลงถนนเพื่อส่งเสียง
แม้ไผ่จะเติบโตมาในฐานะนักกิจกรรมรุ่นใหม่ แต่การต้องทำงานกับนักกิจกรรมรุ่นใหม่กว่าก็ทำให้เขาได้เรียนรู้การเคลื่อนไหวและวิธีทำงานในรูปแบบที่ต่างไป
“เด็กรุ่นใหม่กล้าแสดงออก ยุคนี้หาข้อมูลได้ง่ายขึ้นทำให้ทุกคนเก่ง กิจกรรมต่างๆ ก็มาจากจินตนาการของคนรุ่นใหม่ที่สดใสมากเลย ประเทศนี้ควรให้ทุกคนได้ออกแบบร่วมกัน มีพื้นที่ให้กันและกัน เราทำงานร่วมกัน ต่อสู้ร่วมกัน ติดคุกด้วยกัน อดอาหารกัน สู้กันแบบสุดๆ เลยนะ”
ภาพการประท้วงที่เบ่งบานช่วง 2563-2564 กลายเป็นจุดสูงสุดของความหวังในขบวนการภาคประชาชนที่ฝันถึงการเปลี่ยนแปลง
“คนบางรุ่นอาจเติบโตมาในยุคที่การต่อสู้ไม่เห็นความหวัง เจอแต่ความพ่ายแพ้ โดนปราบ โดนฆ่า แต่คนยุคผมเห็นความหวังในปี 2563-2564 เราเห็นโอกาสว่าสิ่งที่เราเชื่อมันมีจริงๆ นะ แล้วความหวังนั้นก็จากไป บางคนอาจมองว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก แต่มันเคยเกิดขึ้น มันมีจริงๆ แสดงว่ามันมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นอีก” ไผ่ยืนยัน


‘ยังไม่มากพอ – ยังไม่ถูกรับฟัง’
บทเรียนม็อบ 2563 เมื่อความหวังอยู่ที่ประชาชน
บทเรียนสำคัญจากปี 2563 ที่ไผ่มองเห็นคือในวันนั้นคนในขบวนการเดินไปโดยไม่มีองค์ความรู้และการพูดคุยวางแผนที่เพียงพอ เพราะกระแสการต่อสู้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เป็น ‘การด้นสด’ ที่มีข้อผิดพลาด แต่ทั้งหมดนั้นทำให้ขบวนการได้เรียนรู้และต้องเตรียมพร้อมรับมือเมื่อกระแสการต่อสู้ครั้งต่อไปก่อตัว เพื่อให้ผู้ร่วมขบวนการบาดเจ็บน้อยที่สุดในทุกด้าน โดยเฉพาะเรื่องคดีความ
“คุณูปการของ 2563 มีสองส่วน หนึ่งคือทำให้สังคมตาสว่างขึ้น สองคือทำให้ขบวนการเคลื่อนไหวเติบโตมากขึ้น จากเดิมที่มีแต่รุ่นพี่เอ็นจีโอหรือคนเสื้อเหลืองแดง แต่ปรากฏการณ์ 2563 ทำให้คนรุ่นใหม่มีบทบาทมากขึ้น มีองค์กรหน้าใหม่เกิดขึ้น มีคนเจเนอเรชันใหม่มาทำงานด้านประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนมากขึ้น”
จากวันที่ไผ่ขึ้นปราศรัยโดยมองเห็นผู้ชุมนุมสุดลูกหูลูกตาและเกิดความหวังถึงการเปลี่ยนแปลง ผ่านมาเพียงไม่กี่ปี หลังเลือกตั้ง 2566 เกิดการเมืองข้ามขั้วและการกดปราบอดีตผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่องทำให้เขารู้ว่าจำนวนคนสุดลูกหูลูกตาในปี 2563 ที่เขาเห็นนั้นยังไม่พอ
“ผู้ชุมนุมสุดลูกหูลูกตาที่เราเห็นนั้นยังไม่มากพอต่อการเปลี่ยนแปลง โจทย์ท้าทายใหม่คือจะขยายจำนวนนี้อย่างไร นักเรียน นักศึกษา ประชาชนออกมาหลักแสนคนในปี 2563-2564 เขาก็ยังไม่ฟัง มันต้องมีคนมากกว่านั้น คำถามก็คือประชาชนจะอดทนได้แค่ไหน เมื่อไรคนจะรู้สึกไม่ไหวแล้วกับระบบการเมือง”
บนสองเส้นทางที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หนทางหนึ่งคือการต่อสู้ในรัฐสภา อีกหนทางคือการต่อสู้บนท้องถนน ไผ่เห็นว่าทั้งสองเส้นทางต้องเดินไปพร้อมกัน แต่การสู้ในสภาจะสำเร็จไม่ได้หากปราศจากความเข้มแข็งของการต่อสู้บนท้องถนนจากภาคประชาชน
“การรัฐประหารหลายประเทศไปต่อไม่ได้ เพราะประชาชนออกมาคัดค้านต่อต้าน ประวัติศาสตร์ในประเทศอื่นก็ไม่ต่างจากบ้านเรา หลายประเทศมีอำนาจเก่า มีทุนผูกขาด มีทหาร เมื่อประชาชนรู้ว่าไม่เอาแบบเดิมแล้วและต้องการเปลี่ยนแปลง เขาก็ลุกฮือขึ้นมา เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงจนเกิดกติกาใหม่แล้วกลไกรัฐสภาก็เดินหน้าต่อไป
“สังคมไทยต้องการพัฒนาการทางการเมืองแบบนี้ สิ่งสำคัญคือประชาชน เพราะรัฐสภาแทบไม่มีหวังเลย รัฐธรรมนูญก็ไม่แก้ไข ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย ฝ่ายอนุรักษนิยมเป็นคนเขียนกติกา เขาก็เขียนเพื่อรักษาอำนาจตัวเอง เลือกตั้งใหม่ก็ไม่ต่างจากเดิม”
ไผ่ยกตัวอย่างจากการเกิดขึ้นของรัฐธรรมนูญ 2540 ว่า เมื่อประชาชนตื่นตัวทางการเมืองมากๆ จะเกิดกระแสกดดันให้มีความเปลี่ยนแปลง เกิดการร่างกติกาใหม่ที่แฟร์ และเกิดกลไกที่ทำให้รัฐสภาเข้มแข็ง
“บทเรียนของม็อบ 2563-2564 คือจากนี้ฝ่ายก้าวหน้าจะมียุทธศาสตร์ในการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตยอย่างไร จะขยายความก้าวหน้ากับคนกลางๆ อย่างไร จะยกระดับคนที่ไม่สนใจการเมืองให้มาสนใจอย่างไร จะยกระดับคนที่สนใจอยู่แล้วให้ตื่นตัวมากขึ้นอย่างไร นอกจากเลือกตั้งแล้วเขาจะทำอะไรได้อีกบ้าง นอกจากไม่เอาเผด็จการทหารแล้วทำอย่างไรที่เขาจะเห็นปัญหาทุนผูกขาดหรือองค์กรอิสระ”
ความร่วมใจแสดงการต่อต้านในปี 2563-2564 ทำให้เห็นว่าสังคมไทยเกิดฉันทมติว่าต้องการการเลือกตั้งและไม่เอารัฐประหาร แต่ไผ่เห็นว่าแนวคิดพื้นฐานนี้ควรถูกพัฒนาให้กลายเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองของคนไทย
“ผมดีใจว่าสังคมนี้เอาเลือกตั้งแล้ว ทีนี้เราจะเอาอย่างไรกับกติกา เพราะการเลือกตั้งสองครั้งที่ผ่านมาภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 พรรคอันดับหนึ่งไม่ได้เป็นรัฐบาลทั้งสองครั้ง ผมคิดว่ารัฐบาลนี้ไม่แก้รัฐธรรมนูญหรอก แต่ถ้าประชาชนต้องการแก้รัฐธรรมนูญ ผมคิดว่ามีโอกาส ผมมีความหวังกับประชาชนมากกว่าในทุกเรื่อง ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินว่าสังคมนี้จะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องค่อยๆ ขยับ ค่อยๆ เรียนรู้กันครับ”
ทั้งหมดนี้คือโจทย์ใหญ่ที่คนทั้งสังคมต้องร่วมกันพูดคุยระหว่างที่การเปลี่ยนแปลงยังมาไม่ถึง

เก็บเกี่ยวเพื่อนร่วมทาง รอคอยไฟการต่อสู้โหมกระพือ
หากปี 2563-2564 เป็นจุดสูงสุดของขบวนการต่อสู้คนรุ่นใหม่ หลังจากนั้นเส้นกราฟก็ค่อยๆ ดิ่งลง นักโทษคดีการเมืองถูกเพิ่มโทษจำคุกเรื่อยๆ อดีตแกนนำนักศึกษาหลายคนลี้ภัย อดีตผู้ร่วมชุมนุมจำนวนมหาศาลมีคดีติดตัว การนิรโทษกรรมยังไม่มีวี่แวว การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ดูริบหรี่
“ม็อบ 2563 ดันเพดานขึ้นไป หลังจากนั้นก็โดนกดเพดานลง บีบจนไม่ให้มีพื้นที่อยู่ในประเทศนี้จนบางคนต้องลี้ภัยออกไป คนที่ยังสู้อยู่ก็ต้องอยู่ใต้เพดานที่ต่ำลง หลายคนติดคุก เขาพยายามบีบทุกทางเพื่อยื้อการเปลี่ยนแปลง ไม่ให้เพื่อไทยกับก้าวไกลจับมือกัน แบ่งแยกแล้วปกครอง ใครแหลมก็ต้องออกจากประเทศหรือติดคุก ยุบพรรค ให้เสนอกฎหมายไม่ได้ เขาตีกรอบกระชับพื้นที่เข้ามาเรื่อยๆ นี่คือการต่อสู้ที่ผลัดกันกินแดนกันไปมา
“ผมเข้าใจทุกคนนะ อย่างคนที่มีคดี 112 พอต่อสู้ในกระบวนการ ศาลก็ไม่ให้เรียกหลักฐาน พิสูจน์ไม่ได้ แล้วจะสู้อย่างไร บางคนก็จำต้องลี้ภัย พอเสียแกนนำไปฝ่ายอนุรักษนิยมก็ได้ประโยชน์ คนที่ยังอยู่ในประเทศก็จ่อคุก หลายคนก็อยู่ในคุกแล้ว ทางเลือกน้อยมาก บรรยากาศอึมครึม ไม่มีหวังในการเปลี่ยนแปลง เขาจะทำให้ประเทศนี้เปลี่ยนไม่ได้ พวกนั้นกลัวการเปลี่ยนแปลง เขาไม่ไว้ใจประชาชน จึงออกแบบกลไกต่างๆ ที่ซับซ้อนไว้”
ไผ่ไม่คาดหวังการเปลี่ยนแปลงภายใต้สภาชุดนี้ เขาเห็นว่าตั้งแต่หลังเลือกตั้ง 2566 ที่คนไทยทั้งประเทศ ‘ได้กลิ่นความเจริญ’ ทำให้ฝ่ายอนุรักษนิยมต้องหาทางพลิกแพลงจนเกิดการจับมือข้ามขั้วและเกิดสภาพรัฐสภาที่เป็นอนุรักษนิยม
“สมมติว่าผมติดคุกก็คงไม่คาดหวังว่าจะได้นิรโทษกรรม หมดหวังแล้ว เขาไม่พูดกันเรื่องนิรโทษกรรม 112 แล้ว เขาไม่แก้รัฐธรรมนูญ ไม่มีอะไรเลย อยู่ในสภาวะแบบนี้
“รัฐสภาวันนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อประชาชน เพราะมีกลุ่มทุน กลุ่มทหาร และกลุ่มอำนาจผูกขาดควบคุมสภาอยู่ พอเสียงข้างมากเป็นอนุรักษนิยมก็ชัดเจนว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ไม่แก้ 112 ไม่แก้รัฐธรรมนูญต่อให้ไม่แตะหมวดหนึ่งและหมวดสอง ไม่มีการยกเลิกเกณฑ์ทหาร ไม่เปลี่ยนแปลงกฎหมายอะไรให้เป็นประโยชน์กับประชาชน สิ่งที่เขาเคยพูดก็แค่หาเสียงกับเรา หวังว่าประชาชนจะเรียนรู้ การเปลี่ยนแปลงต้องมาจากข้างล่าง ต้องกดดันให้ไปถึงผู้มีอำนาจว่าประชาชนต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ”
เขามองว่าหลังม็อบ 2563 และการเลือกตั้ง 2566 ความขัดแย้งเริ่มเผยตัวชัดเจนว่าคู่ขัดแย้งคือประชาชนกับชนชั้นนำ ไม่ว่าประชาชนเสื้อเหลืองหรือแดง ไม่ว่ามีอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างกันอย่างไร แต่ประชาชนทุกคนมีจุดร่วมคือการอยู่ภายใต้โครงสร้างการเมืองเดียวกัน
“คู่ขัดแย้งชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่าคือประชาชนกับชนชั้นนำ ขณะที่ประชาชนแตกแยกกัน ชนชั้นนำเขาก็จับมือกันแล้ว ขนาดขัดแย้งกันมา 18 ปีนะ ประชาชนเสื้อเหลืองเสื้อแดงจะทำอย่างไรต่อ งงสิ ชนชั้นนำเขาสมานกัน ส่วนประชาชนถูกแบ่งแยกจนบั่นทอนกำลัง
“ฝ่ายประชาชนต้องหาจุดร่วมว่า เรามีอะไรร่วมกันที่จะเปลี่ยนแปลงให้ประเทศนี้ดีขึ้นไหม เช่น เรื่ององค์กรอิสระ กระจายอำนาจ เกณฑ์ทหาร มีเรื่องไหนพอจะเป็นจุดร่วมได้บ้าง จุดต่างก็ว่ากันไป ผมมองว่าประชาชนแต่ละฝ่ายที่เคยเข้าร่วมการต่อสู้แต่ละครั้งเขาก็เจตนาให้ประเทศนี้ดีขึ้นในมุมมองที่แตกต่างกัน ไม่มีใครเข้าร่วมเพราะอยากให้ประเทศฉิบหาย เราต้องมองจุดร่วม”
จุดร่วมหนึ่งของประชาชนที่ไผ่เห็นตอนนี้คือการไม่เอารัฐประหาร เขาจึงเห็นว่าต้องขยับเป็นเรื่องๆ ไป จนถึงเรื่องมาตรา 112 ที่มีบางเสียงทัดทานว่า ‘สังคมไทยยังไม่พร้อม’ แต่ไผ่เห็นว่าถ้าประชาชนขยับพร้อมกัน ออกมาพร้อมกันมากพอก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้
หน้าที่ของประชาชนจึงไม่ได้มีเพียงรอเข้าคูหาเลือกตั้งครั้งต่อไป ด้วยกติกาในรัฐธรรมนูญเช่นนี้ ต่อให้มีเลือกตั้งกี่ครั้งชนชั้นนำก็จะจับมือกันเหนียวแน่นเพื่อไม่ให้พรรคที่ได้คะแนนเสียงอันดับหนึ่งตั้งรัฐบาลสำเร็จ
“จากการจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง 2566 ผมคิดว่าชนชั้นนำแยบยลขึ้น แต่ใช่ว่าประชาชนมองไม่เห็น ประชาชนก็เก่งขึ้นเหมือนกัน เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุที่พรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นรัฐบาลเขาก็เชื่อมโยงเรื่องราวได้ แต่แค่ไม่พูดออกมา
“ฝ่ายชนชั้นนำมีเครื่องมือมากขึ้น มีความแยบยลในการกดขี่มากขึ้น มีการเอารัดเอาเปรียบมากขึ้น ประชาชนก็รู้ทัน แต่ยังทนอยู่ ถ้าประชาชนไม่ทนก็ต้องออกมา หากคิดว่าม็อบ 2563-2564 มันแรงไป ก็ต้องลองกันดูว่าถ้าเคลื่อนไหวโดยไปแตะโครงสร้างส่วนอื่นๆ ที่ไม่ใช่โครงสร้างส่วนบนแล้วจะไปต่อได้ไหม”
ระหว่างทางที่รอกระแสการเคลื่อนไหวของประชาชนกลับมาอีกครั้ง สิ่งที่ไผ่ทำคือการทำงานผ่านองค์กร IPAM ซึ่งทำงานรณรงค์สร้างการตระหนักรู้ การตื่นตัวทางการเมือง และการมีส่วนร่วมทางการเมืองในกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ทั่วประเทศ
“ผมเชื่อว่าประเทศนี้มีความหวังอยู่ที่คนรุ่นใหม่ การจะเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ต้องรอเจเนอเรชันใหม่ขึ้นมา ระหว่างนั้นเราก็จัดกิจกรรมเรียนรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนและประเด็นปัญหาในพื้นที่ต่างๆ เพราะเด็กบางคนเติบโตมาในระบบการศึกษาไทยที่ไม่เปิดกว้างจึงยังไม่เห็นโลกกว้าง เราพบว่ายังมีคนรุ่นใหม่ที่สนใจเรื่องสังคม ถ้าปี 2563-2564 คนรุ่นใหม่รวมตัวกันทำกิจกรรมการเมืองบนถนน ปี 2565-2566 ก็ยังมีคนรุ่นใหม่รวมตัวทำกิจกรรมเชิงสังคมอยู่ เพียงแต่รูปแบบมันเปลี่ยนไป”
แม้การจัดกิจกรรมรณรงค์สร้างความเข้าใจกับคนรุ่นใหม่จะไม่ใช่งานที่เห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันทีทันใด แต่ไผ่มองว่านี่คือการสร้างคนให้มีเพื่อนร่วมทางเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างการเดินทางที่ยังไม่รู้ว่ากระแสการต่อสู้จะกลับมาอีกครั้งเมื่อไหร่


“เธอไม่ได้เดียวดายใต้ฟ้ากว้าง”
ในแง่เส้นทางชีวิตส่วนตัว ไผ่ใช้ชีวิตเป็นนักกิจกรรมการเมืองมาสิบกว่าปี เจอชีวิตหลากรูปแบบสุดโลดโผน เมื่อมองย้อนไปในชีวิตตัวเองเขาจึงบอกว่าสิ่งสำคัญที่เก็บเกี่ยวได้คือ ‘ความเข้าใจ’
“เข้าใจสังคมมากขึ้น เข้าใจสถานการณ์มากขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น”
เขาบอกอย่างเรียบง่าย แต่คงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับนักกิจกรรมหนุ่มที่เคยปล่อยชีวิตตะลุยไปทุกเส้นทางที่มีความเสี่ยง
“ผมคิดว่าตัวเองรอบคอบมากขึ้น อาจมีกลยุทธ์ มีวิธีการมากขึ้น ผมยังเป็นซ้ายอยู่ แต่อาจจะไม่แหลมคมเท่าเดิม ความแหลมคมมีข้อดีคือมันลึก แต่ไม่กว้าง ปี 2563-2564 มีคนออกมาจำนวนหนึ่ง แต่ยังไม่มากพอ เป้าหมายวันนี้คือเราจะทำให้มีคนมากพอต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร เราก็ต้องทำประเด็นที่กว้างมากขึ้น หาจุดร่วมสงวนจุดต่าง จะไปแหลมคมอย่างเดียวไม่ได้
“พอเป้าหมายเปลี่ยน เวลาเราจะเสนอเรื่องอะไรก็ต้องดูว่าจุดไหนที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเราไปไกลกว่าสังคมก็จะไม่มีการสนับสนุน เราต้องไม่ล้ำหน้าจากมวลชน แต่เราอยู่ระดับเดียวกับมวลชน”
เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงโจทย์ใหม่ของไผ่ แต่เขามองว่าเป็นโจทย์ท้าทายของฝ่ายก้าวหน้าไทยด้วยว่าจะขยายแนวร่วมอย่างไร ให้ผู้คนเห็นว่าการเมืองคือชีวิตของเขา ให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญเกี่ยวข้องกับชีวิตคนตั้งแต่ครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน สิ่งสำคัญคือต้องออกแบบกิจกรรมให้ปลอดภัยจึงจะมีคนเข้าร่วมมาก เพราะบทเรียนจากม็อบ 2563-2564 คือช่วงที่ม็อบรุนแรงจะมีคนเข้าร่วมน้อย
“ทุกปัญหาในแต่ละพื้นที่ที่เจอเป็นบทเรียนให้เราเติบโตทั้งนั้นเลย เช่น ช่วง 2563-2564 ม็อบเกิดความแตกต่างเชิงอุดมการณ์ จนเกิด REDEM แยกขึ้นมา พอขบวนการไม่เป็นเอกภาพ ต่างคนต่างแยกกันทำ มวลชนก็สับสน เรื่องนี้ก็ให้บทเรียนเรา
“ช่วงที่จัดงานเชิงวัฒนธรรม DEMO EXPO เป็นงานดนตรีแล้วคนเข้าร่วมเยอะก็เป็นประสบการณ์สำคัญนะ จากที่ไม่รู้จักศิลปินนักดนตรีก็ได้รู้จักกัน ตอนหลังก็ชวนมาทำงานร่วมกัน เราก็ได้ขยายวงออกไป มันยังไม่มากพอจะสร้างการเปลี่ยนแปลงหรอก แต่ทุกปัญหาเราได้เติบโต ทุกองค์กรและทุกกลุ่มที่ผมตั้งขึ้นมาก็ให้บทเรียนทุกครั้ง แล้วเจอการเปลี่ยนผ่านของคนแต่ละรุ่นก็ทำให้เราเจออะไรใหม่ๆ เสมอ”
เมื่อถามถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง “จุดแข็งคือผมยังหนักแน่นอยู่ในเส้นทางนี้ จุดอ่อนก็คือยังไม่ชนะ” เขาตอบพร้อมหัวเราะ
“ผมปรับไปเรื่อยๆ ถ้าเจอผมในแต่ละปีก็จะแตกต่างไป ปีนี้ผมมีท่าทีที่มีแผนระยะยาว เมื่อก่อนจะคิดแค่ระยะสั้นตามสถานการณ์ เราต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ อะไรที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเราก็พยายามทำไป อีกจุดแข็งหนึ่งคือผมปรับตัวได้ ไม่ได้คิดว่าหลักการเราถูกต้องเสมอ ผมเป็นนักปฏิบัติที่ศึกษาทฤษฎี แต่เวลาปฏิบัติก็ต้องปรับให้สอดคล้องกับพื้นที่ เราปรับเพื่อไปสู่เป้าหมาย
“จุดอ่อนคือเราอาจจะยังคิดได้ไม่ดีพอ หรืออาจยังนำเสนอได้ไม่ดีพอ จึงทำให้คนเข้าร่วมน้อย ขบวนการก็มีปัญหาที่ทำให้คนถอยห่างออกไปในเรื่องต่างๆ เราก็ต้องแก้ไข”
ไผ่อธิบายเพิ่มว่าวิธีคิดการทำงานที่เปลี่ยนไปคือ จาก ‘ทำเพื่อได้ทำ’ กลายเป็น ‘ทำเพื่อได้ผล’
“ตอนนี้เราอยากทำเพื่อได้ผล เรื่องที่ยังไม่ได้ผลก็ยังไม่ทำ ไม่ใช่ว่าเลิกทำ แต่อดทนระยะยาว เราเพียงแค่ไม่พูดตอนนี้ ไม่ใช่ว่าเราไม่สู้ เพียงแค่ว่ายังสู้เขาไม่ได้ แต่วันไหนที่สู้ได้เราก็จะสู้”
แม้ปลายทางที่มองมุ่งไปคือการเปลี่ยนแปลงสังคม แต่ภาวะที่มีคดีดึงรั้งให้ขาข้างหนึ่งก้าวเข้าคุกท่ามกลางกระแสมวลชนมีความตื่นตัวต่ำก็ทำให้สิ่งที่เขาทำต่อไปไม่ใช่เรื่องง่าย
“ผมไม่ค่อยกลัวอะไรนะ คุกก็เคยติดมาแล้ว ห่วงเรื่องเดียวคือถ้าติดคุกแล้วงานขององค์กรจะไปต่อได้ไหม ช่วงหลังก็พยายามสร้างคนรุ่นถัดไป เพราะช่วง 2563-2564 พอแกนนำเข้าคุก เด็ดหัวปุ๊บข้างนอกก็ไปต่อไม่ได้ ตอนนั้นโดนจับประมาณหกเดือน ขบวนการก็ช็อกกันยาวเลย”
ในมุมส่วนตัว คนในครอบครัวก็เคารพเส้นทางชีวิตที่ไผ่เลือก แม้การติดคุกจะเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่คนรอบตัวก็คอยดูแลเขาในทุกสถานการณ์
“ถามว่าแม่เป็นห่วงไหม ไม่อยากให้ติดคุกไหม ก็ไม่อยากให้ติดหรอก แต่เราก็เข้าใจกัน เข้าคุกแต่ละครั้งถ้าได้ประกันก็ดีใจ ไม่ได้ประกันก็เยี่ยมกันไป แม่ก็จะมีประสบการณ์ระดับหนึ่ง เพราะผมติดบ่อยอยู่ เราเคลื่อนไหวให้ได้ข้อเรียกร้องนะ ไม่ใช่เพื่อให้ติดคุก แต่เขาไม่ให้ข้อเรียกร้องแล้วให้คุกมาแทนไง
“ติดคุกมันก็แย่แหละ แต่อยู่ได้ ผมคิดว่าการติดคุกก็เป็นการต่อสู้แบบหนึ่ง ไม่ได้รู้สึกว่าเราเข้าคุกเพราะทำผิด อย่างคนที่แทงคนตายแล้วเข้าคุก เขาอาจจะรู้สึกว่าไม่น่าทำเลย ถ้าย้อนไปได้จะไม่ทำอีก ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้น ไม่ได้รู้สึกว่าถ้าย้อนเวลาไปได้จะไม่ปราศรัยว่า ‘ประเทศนี้ไม่ใช่ของประชาชน’ หรือคิดว่าเราไม่น่าพูดถึงปัญหาต่างๆ เลย มันไม่ใช่ไง ทุกครั้งที่ติดคุกก็ไม่เคยรู้สึกผิด”
แม้เข้าออกเรือนจำด้วยคดีการเมืองหลายครั้ง แต่เขาไม่มีความรู้สึกว่าเสียดายวันเวลาและสิ่งที่ทำลงไป “ชีวิตเราเลือกแล้ว เรารับมือกับสิ่งที่เราเลือกได้ และเราจัดการมันได้”
หนทางในอนาคต ไผ่ก็ยังเห็นตัวเองทำสิ่งที่ทำทุกวันนี้ คือการทำงานภาคประชาชนเพื่อขับเคลื่อนประเด็นเชิงสังคมและการเมือง โดยต้องออกแบบชีวิตให้เอาตัวรอดในโลกทุนนิยมได้
“อนาคตก็ยังอยู่ในเส้นทางนี้แหละ อยากจะรณรงค์ อยากจะทำเรื่องสิทธิมนุษยชน อยากทำเรื่องการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางการเมืองไทย ให้ประเทศนี้เป็นประชาธิปไตยก่อน หลังจากนั้นค่อยว่ากัน มีเป้าหมายของตัวเองแบบนี้ อยากเปลี่ยนแปลงประเทศให้ได้ ยังอยู่ในวงการนี้ ยังอยู่ในประเทศนี้ ไม่ได้ไปไหน”
เมื่อถามว่ากลัวไหมหากเป้าหมายที่ต้องการนั้นอาจไม่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตของเขา ไผ่ยิ้ม “ไม่กลัวนะ เหมือนติดคุกที่ก็ไม่ได้กลัว ตอนปี 2563 เราเห็นแบบแวบๆ อยู่ ผมเป็นคนคิดบวก ผมเชื่อว่ามันจะเปลี่ยนไง ประเทศจะเปลี่ยน เพียงแต่ว่าตอนไหนแค่นั้นเอง ปี 2563 ให้ภาพที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น
“ผมเห็นเพื่อนๆ มีทั้งคนที่ยังอยู่ในเส้นทางและคนที่ถอดใจ เส้นทางการต่อสู้มันยาวไกล เราพ่ายแพ้มาเยอะ ต้องมีวิธีรับมือความพ่ายแพ้ให้เป็นและเอามาเป็นพลังในการหาทางชนะใหม่”
เป้าหมายชีวิตของไผ่เป็นเป้าหมายที่คนจำนวนมากร่วมฝันถึง บางคนฝันมาทั้งชีวิตก็ยังไม่เป็นจริง บางคนตายก่อนจะได้เห็น บางคนทดท้อและเลิกสนใจ แต่ความฝันนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นจริงหากทุกคนเลิกใฝ่ฝันถึงมัน
“เธอไม่ได้เดียวดายใต้ฟ้ากว้าง
และฟ้าไม่ได้อ้างว้างอย่างเธอเห็น
หากเธอเลือกเส้นทางอย่างที่เป็น
เธอจะเห็นว่าผองเพื่อนก็เคลื่อนพล”
– ปฐพี กวีดิน