ญี่ปุ่นโพ้นทะเล: เรื่องราวของชาวญี่ปุ่นในบราซิล (ตอนที่ 1)

ตอนที่ผมมีโอกาสไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่นในระหว่าง ค.ศ. 1999-2002 นั้น ผมมีเพื่อนเป็นคนบราซิลเชื้อสายญี่ปุ่นที่เช่าห้องอยู่ด้วยกันชื่อฮิเดกิ เขามีหน้าตาเหมือนคนญี่ปุ่นแต่ผิวสีเข้มกว่า ฮิเดกิถือเป็นคนแรกที่ทำให้สนใจในเรื่องของลาตินอเมริกา ประกอบกับมีเพื่อนคนไทยของผมคนหนึ่งที่เคยเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วยกันในระดับปริญญาตรีและต่อมาได้เดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้แวะมาเยี่ยมผมที่โตเกียว แล้วถามว่าผมจะเรียนปริญญาเอกต่อด้านเศรษฐศาสตร์หรือไม่ ซึ่งผมตอบว่าไม่ เพราะพอแล้วกับเศรษฐศาสตร์ แต่ผมอยากเรียนอาณาบริเวณศึกษาโดยเฉพาะเกี่ยวกับทวีปแอฟริกา เรียนจบแล้วก็อยากมาสอบเข้ากระทรวงการต่างประเทศของไทย และคงได้มีโอกาสไปประจำอยู่ที่ประเทศในแอฟริกา เพราะผมอยากอยู่ในประเทศที่เป็นซาฟารี จะได้เห็นสิ่งสาราสัตว์มากมาย อย่างไรก็ตามเมื่อผมหาข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนต่อระดับปริญญาเอกที่เกี่ยวกับแอฟริกา ผมจะต้องเริ่มกลับมาตั้งต้นใหม่ที่จะเรียนภาษาของแอฟริกาด้วย ซึ่งมีมากมาย เช่น ภาษาสวาฮิลี ซึ่งคงยากเกินไปสำหรับผม ทำให้ผมหันไปสนใจที่จะไปเรียนทางด้านลาตินอเมริกาแทน เพราะการเรียนภาษาไม่ยุ่งยาก แค่เรียนภาษาสเปนแต่เพียงอย่างเดียวก็ใช้ได้สำหรัยทุกประเทศในลาตินอเมริกา ยกเว้นประเทศเดียวคือบราซิลที่ใช้ภาษาโปรตุกีสซึ่งก็มีความใกล้เคียงกับภาษาสเปน ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุที่ผมเลือกศึกษาลาตินอเมริกาอย่างจริงจัง

ที่เกริ่นมาทั้งหมดเพื่อจะบอกว่าหนึ่งในแรงบันดาลใจให้ผมหันไปเรียนต่อเกี่ยวกับลาตินอเมริกาก็คือฮิเดกิ ซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นโพ้นทะเลที่สืบทอดเชื้อสายมาจากคนญี่ปุ่นที่อพยพไปอยู่ในบราซิล

บราซิลนั้นถือเป็นประเทศที่มีคนเชื้อสายญี่ปุ่นมากเป็นอันดับสองของโลกรองจากประเทศญี่ปุ่นเองเท่านั้น โดยตัวเลขคร่าวๆ ในปี 2022 นั้นมีประมาณสองล้านคน ซึ่งช่วงระยะเวลาที่มีคนญี่ปุ่นอพยพไปสู่บราซิลมากที่สุดนั้นอยู่ระหว่างปี 1908-1960 โดยในภาษาญี่ปุ่นเองเรียกคนกลุ่มนี้ว่า 日系ブラジル人 หรือ Nikkei ส่วนในภาษาโปรตุกีสเรียกพวกเขาว่า Nipo-brasileiros โดยคนญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในบราซิลนั้นนับว่าอยู่มาตั้งแต่รุ่นทวดหรือรุ่นปู่ย่า

คนญี่ปุ่นกลุ่มแรกที่เริ่มอพยพไปอยู่บราซิลเริ่มอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 1908 เมื่อเรือ Kasato Maru นำชาวญี่ปุ่นจำนวน 781 คนไปขึ้นที่ท่าเรือ Porto de Santos โดยพวกเขาเหล่านั้นเข้าไปทำงานในไร่กาแฟที่รัฐ São Paulo ทำให้ทุกวันที่ 18 มิถุนายน ของทุกปีถือเป็นวันชาติของชาวญี่ปุ่นโพ้นทะเลในบราซิล

การอพยพของชาวญี่ปุ่นสิ้นสุดลงเมื่อเรือ Nippon Maru เทียบท่าในบราซิลเมื่อปี 1973 โดยตั้งแต่ปี 1908 ถึง 1973 มีคนญี่ปุ่นอพยพไปบราซิลทั้งสิ้น 242,171 คน ถือเป็นกลุ่มคนที่อพยพไปสู่บราซิลมากเป็นลำดับที่ห้า รองลงมาจากคนโปรตุเกส คนอิตาเลียน คนสเปน และคนเยอรมัน โดยในปัจจุบันคนญี่ปุ่นโพ้นทะเลส่วนใหญ่อาศัยอยู่ที่รัฐ São Paulo และ Paraná ตามลำดับ

สาเหตุของการที่ชาวญี่ปุ่นอพยพไปสู่บราซิลเป็นจำนวนมากเนื่องจากในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ญี่ปุ่นมีประชากรเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากและส่วนใหญ่เป็นคนในชนบทที่ยากจน ขณะเดียวกันรัฐบาลบราซิลในขณะนั้นต้องการแรงงานอพยพเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะแรงงานในไร่กาแฟในรัฐ São Paulo

กาแฟนั้นถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของบราซิล โดยเฉพาะสายพันธุ์โรบัสตาที่บราซิลส่งออกเป็นลำดับที่หนึ่งของโลกเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แรงงานอพยพที่เข้ามาทำไร่กาแฟนั้นมากที่สุดเป็นแรงงานชาวอิตาเลียน ซึ่งอพยพมาทางเรือเช่นเดียวกันกับคนญี่ปุ่น และได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลของบราซิล อย่างไรก็ตามในปี 1902 รัฐบาลของอิตาลีประกาศระงับการอพยพของคนอิตาเลียนไปยังบราซิล เนื่องจากมีรายงานว่าแรงงานชาวอิตาเลียนถูกใช้งานอย่างหนักในไร่กาแฟของบราซิล ทำให้บราซิลต้องหาแรงงานอพยพมาจากที่ใหม่ๆ รวมถึงจากญี่ปุ่น ถือเป็นการเริ่มต้นศักราชการอพยพของแรงงานญี่ปุ่นมายังบราซิล

สำหรับคนงานในไร่กาแฟแต่ดั้งเดิมนั้น เจ้าของไร่กาแฟใช้แรงงานผิวสีจากประเทศในแอฟริกาเป็นส่วนใหญ่ผ่านการค้าทาส แต่การค้าทาสก็มาถูกประกาศยกเลิกในปี 1850 ดังนั้นเจ้าของไร่กาแฟขนาดใหญ่ในบราซิลตัดสินใจที่จะเชิญชวนคนจากประเทศในยุโรปให้เข้ามาทำงานในไร่กาแฟ ซี่งสอดคล้องกับนโยบาย ‘whitening’ ของรัฐบาลบราซิลในขณะนั้นที่ต้องการจะเพิ่มปริมาณคนผิวขาวในประเทศ โดยหวังว่าเชื้อสายแรงงานผิวสีจากแอฟริกาและจากชนพื้นเมืองจะลดลงหรือหมดไปจากประเทศ รัฐบาลของบราซิลจึงสนับสนุนการอพยพของชาวผิวขาวเป็นจำนวนมาก โดยมีการออกค่าโดยสารเรือให้มายังบราซิล

ในขณะเดียวกันญี่ปุ่นนั้นอยู่ในยุคสมัยรัฐบาลเอโดะที่กินระยะเวลาถึง 265 ปี โดยเป็นยุคที่ญี่ปุ่นโดดเดี่ยวประเทศตัวเอง ไม่ติดต่อกับประเทศภายนอกยกเว้นดัตช์ อย่างไรก็ตามผลิตผลการเกษตรที่เพาะปลูกในประเทศก็ไม่เพียงพอสำหรับการบริโภคของคนญี่ปุ่นเอง และรัฐบาลทหารของญี่ปุ่นภายใต้การนำของโชกุนตระกูลโตกุกาวาก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอาหารในช่วงฤดูหนาวของญี่ปุ่นได้ ส่งผลให้เกิดความอดอยากขึ้นทั่วประเทศ กระทั่งต่อมาหลังจากระบอบโชกุนล่มสลายและเข้าสู่สมัยเมจิ รัฐบาลญี่ปุ่นได้พยายามพัฒนาประเทศให้มีความทันสมัยและเริ่มติดต่อกับโลกภายนอก ทว่าการปฏิรูปทางการเกษตรที่ทำให้หันมาใช้เครื่องจักรทำงานในภาคการผลิตส่งผลให้มีคนตกงานเป็นจำนวนมาก เกษตรกรรายย่อยจำนวนนับพันครอบครัวต้องกู้ยืมเงินมาใช้จ่าย หรือไม่ก็ต้องขายที่กินของตนเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว

ดังนั้นชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยจึงเริ่มอพยพไปต่างแดนเพื่อหาชีวิตที่ดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1930 รัฐบาลญี่ปุ่นได้เร่งการพัฒนาอุตสาหกรรมให้ทันสมัย ประชากรในประเทศเริ่มเยอะขึ้นจนล้นประเทศ อย่างไรก็ตามการจะอพยพไปยังประเทศต่างๆ ของชาวญี่ปุ่นนั้นไม่ใช่ง่าย อย่างทางฝั่งรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในช่วงนั้นก็ได้ประกาศห้ามการอพยพของคนประเทศต่างๆ ในเอเชีย เนื่องจากเป็นกังวลว่าพวกเขาเหล่านั้นจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมอเมริกันได้ โดยเฉพาะกฎหมายการอพยพย้ายถิ่นในปี 1924 ของสหรัฐฯ ก็มีเป้าหมายที่จะยับยั้งการอพยพเข้ามาของชาวญี่ปุ่นโดยเฉพาะ ขณะเดียวกันในออสเตรเลียก็ได้ออกนโยบาย White Australia Policy เพื่อป้องกันไม่ให้คนผิวสีเข้าประเทศได้

ด้วยเหตุนี้เอง ในปี 1907 รัฐบาลของบราซิลและญี่ปุ่นจึงได้ลงนามในสนธิสัญญาให้คนญี่ปุ่นสามารถอพยพไปยังบราซิลได้ โดยส่วนหนึ่งมีสาเหตุจากการลดลงของแรงงานชาวอิตาเลียนในไร่กาแฟดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ประกอบกับความต้องการใช้แรงงานคนเพิ่มมากขึ้นในไร่กาแฟเนื่องจากการขยายพื้นที่เพาะปลูกในบราซิล กระทั่งมีแรงงานชาวญี่ปุ่นกลุ่มแรกเดินทางไปถึงบราซิลและได้เข้าไปทำงานในไร่กาแฟแทนแรงงานจากอิตาลี โดยแรงงานกลุ่มแรกนั้นส่วนใหญ่มาจากเกาะโอกินาวา

ในช่วงเจ็ดปีแรกมีประมาณ 3,434 ครอบครัวหรือ 14,983 คนจากญี่ปุ่นอพยพไปยังบราซิล จากนั้นเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในปี 1914 มันได้ช่วยเร่งผลักดันให้คนญี่ปุ่นอพยพไปสู่บราซิลเพิ่มขึ้น กล่าวคือนับตั้งแต่ ค.ศ. 1917 ถึง 1940 มีประชากรชาวญี่ปุ่นกว่า 164,000 คนได้ย้ายไปอยู่บราซิล โดยกว่าร้อยละ 90 ได้อพยพไปรัฐ São Paulo ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการเพาะปลูกกาแฟเป็นจำนวนมาก โดยดูได้จากตารางข้างล่างนี้

ปีจำนวนผู้อพยพจากญี่ปุ่นไปบราซิล
1906–19101,714
1911–191513,371
1916–192013,576
1921–192511,350
1926–193059,564
1931–193572,661
1936–194116,750
1952–19557,715
1956–196029,727
1961–19659,488
1966–19702,753
1971–19751,992
1976–19801,352
1981–1985411
1986–1990171
1991–199348


ยอดรวมของชาวญี่ปุ่นอพยพไปยังบราซิลตลอดช่วงระยะเวลาดังกล่าวมีมากถึง 242,643 คน โดยในบทความครั้งต่อไปผมจะกล่าวถึงสภาพชีวิตของคนญี่ปุ่นโพ้นทะเลในบราซิลเหล่านี้ว่ามีลักษณะเช่นไร และพวกเขาได้รับการปฏิบัติอย่างไรจากคนบราซิล


อ่านตอนที่ 2 ได้ที่ ญี่ปุ่นโพ้นทะเล: เรื่องราวของชาวญี่ปุ่นในบราซิล (2)

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save