‘ความมั่นคง’ ปัญหาใหญ่กว่าสำหรับญี่ปุ่นในการเจรจาภาษีทรัมป์

ท่ามกลางความสับสนในโลกปัจจุบันอันเป็นผลจากการกลายร่างของสหรัฐฯ จากที่เคยเป็นเสาหลักพิทักษ์ระเบียบ แปรเปลี่ยนเป็นปัจจัยสั่นคลอนการเมืองและเศรษฐกิจโลกซึ่งเดิมทีก็มีปัญหามามากอยู่แล้วให้ยิ่งอลหม่านกันไปใหญ่ ญี่ปุ่นดูจะเป็นชาติที่มีเหตุให้ต้องวิตกมากมายในสภาวะเช่นนี้และกำลังปัดป้องไม่ให้ตนได้รับผลที่สาหัสจนเกินไปจากความปั่นป่วนซึ่งเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น และไม่ให้ระเบียบและบรรทัดฐานโลกเสรีแล่นเตลิดจากกรอบที่เป็นอยู่แบบกู่ไม่กลับ

ญี่ปุ่นเป็นชาติพันธมิตรของสหรัฐฯ ที่พูดได้อย่างเต็มปากและชอบธรรมว่ามีความสำคัญไม่เป็นสองรองใคร ซึ่งสะท้อนจากความเหนียวแน่น ต่อเนื่อง และคุณประโยชน์ที่สร้างให้แก่กัน ทั้งต่อการบริหารจัดการระเบียบทั้งของภูมิภาคและของโลก อย่างน้อยญี่ปุ่นก็เป็นฝ่ายเชื่ออย่างนั้นและยึดเป็นวาทกรรมที่กล่าวย้ำบ่อยครั้งให้เห็นความสำคัญของระบบพันธมิตรที่ดำเนินมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนเกือบ 80 ปีแล้ว แม้ญี่ปุ่นจะมี ‘บทบาทรอง’ เสมอมา แต่นั่นก็สะท้อนสถานะของสหรัฐฯ ซึ่งกลายเป็นมหาอำนาจผู้ปกครองระเบียบ (hegemon) ปัจจุบัน

ถึงกระนั้น ญี่ปุ่นก็เป็นหนึ่งในพันธมิตรที่สหรัฐฯ ไม่ได้ใยดีหรือพิจารณาเป็นกรณีพิเศษจากความสัมพันธ์อันยาวนานดังกล่าว กลับถูกตบหน้าด้วยมาตรการภาษีที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้หลายขนาน โดยนอกจากภาษีนำเข้าเพื่อตอบโต้คู่ค้าที่กีดกันสหรัฐฯ (reciprocal tariff) ซึ่งญี่ปุ่นเจอเข้าไป 24% แล้ว ยังถูกกระทบจากภาษีนำเข้าเหล็ก อลูมิเนียม ไปจนถึงรถยนต์และชิ้นส่วนอย่างละ 25% ซึ่งส่งผลหนักหน่วงต่อเศรษฐกิจของประเทศที่ยังไม่พ้นภาวะลูกผีลูกคนเสียที

แม้ว่าทรัมป์ได้ชะลอการบังคับใช้ภาษีตอบโต้คู่ค้าออกไป 90 วัน เพื่อเปิดให้ชาติทั้งหลายที่ตกเป็นเป้าเข้ามาเจรจายื่นหมูยื่นแมว โดยหวังให้สหรัฐฯ พึงพอใจและไว้ชีวิต แต่สำหรับญี่ปุ่น ความเสียหายนั้นได้บังเกิดไปแล้ว ซึ่งไม่ใช่ปัญหาการค้าหรือเศรษฐกิจที่กำลังเจรจากันอยู่ แต่เป็นผลเชิงลบที่กระทบต่อแก่นแกนยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง ซึ่งสำหรับญี่ปุ่นแล้ว ตั้งอยู่บนระบบพันธมิตรแบบทวิภาคีกับสหรัฐฯ และการแสดงออกอย่างคงเส้นคงวาของสหรัฐฯ ให้เห็นความแน่วแน่ที่จะคุ้มกันพันธมิตรในเอเชียและที่ต่างๆ

กระแสความสนใจ ‘ภาษีทรัมป์’ ซึ่งสหรัฐฯ นำมาลงโทษมิตรประเทศอย่างไม่ไว้หน้าและกำลังบั่นทอนระบบเศรษฐกิจเสรีเป็นการใหญ่ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงปัญหาความมั่นคงในอินโดแปซิฟิกซึ่งญี่ปุ่นเล็งเห็นมาพักหนึ่งถึงความละเอียดอ่อนและสุ่มเสี่ยงต่อสงคราม ท่าทีของทรัมป์กลับยิ่งเพิ่มความสับสนต่อแนวทางที่ญี่ปุ่นพยายามเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากว่าทศวรรษ โดยการปรับจุดยืนและบทบาทเชิงยุทธศาสตร์อย่างระมัดระวัง ซึ่งต้องอาศัยทั้งการแก้ไขกฎหมาย ปลูกฝังค่านิยมและหลักเหตุผลใหม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพื่อผสานเข้ากับยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ และรับมือกับภัยคุกคามใหม่ๆ

ข้อเขียนนี้อยากหวนมองว่าในระยะที่ผ่านมาญี่ปุ่นมีพัฒนาการด้านความมั่นคงก้าวหน้าไปถึงไหน ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับความพยายามกระชับความร่วมมือกับสหรัฐฯ โดยมุ่งทำให้การป้องปรามภัยคุกคามมีความเข้มแข็ง เราจะวิเคราะห์ดูว่าความยุ่งเหยิงจากนโยบายของทรัมป์กระทบต่อพลวัตที่ฟูมฟักมาแรมปีนี้อย่างไร สิ่งที่เห็นได้ชัดอย่างหนึ่งคือญี่ปุ่นกำลังถูกผลักให้ต้องหาลู่ทางเผื่อไว้ในยามที่การป้องปรามเสื่อมลง และสหรัฐฯ ไม่พร้อมให้การปกป้องพันธมิตร เราอาจสำรวจแนวโน้มนี้จากความเคลื่อนไหวของญี่ปุ่นที่ดำเนินไประหว่างการเจรจาภาษีในช่วงเวลานี้

การเจรจาที่ยังคืบหน้าไม่ถึงไหนระหว่างฝ่ายญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ

ทีมเจรจาของญี่ปุ่นนำโดย เรียวเซ อาคาซาวะ รัฐมนตรีที่ดูแลด้านเศรษฐกิจการคลัง คนสนิทของนายกฯ ชิเงรุ อิชิบะ ได้เจรจากับฝ่ายสหรัฐฯ เป็นรอบที่สองแล้วเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แต่ก็ดูเหมือนยังไม่มีความคืบหน้าชัดเจนใดในการประสานจุดยืน แม้ญี่ปุ่นอาจรู้สึกตั้งแต่ต้นว่าตนมีสิ่งจูงใจหลายประการให้สหรัฐฯ ปฏิบัติด้วยความปราณี ทั้งการเป็นพันธมิตรที่เพ่งเล็งว่าจีนเป็นปัญหา หรือการตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ โดยเดินหน้าปฏิรูปต่างๆ นานาในแบบ ‘เด็กดี’ ทำตามพี่ใหญ่ แต่นั่นก็ดูไม่ได้ช่วยทำคะแนนให้ญี่ปุ่นผ่านบททดสอบนี้ง่ายๆ

ทีมอาคาซาวะได้พูดคุยเป็นรอบที่สองแล้วก็จริง แต่การเข้าหาเพื่อร้องขอรัฐบาลทรัมป์ให้ยกเว้นภาษีแก่ญี่ปุ่นเดินหน้าเต็มสูบมาตั้งแต่เริ่มมีสัญญาณเกี่ยวกับมาตรการนี้ อาจมองได้ว่าญี่ปุ่นตื่นตัวเพราะมีเรื่องความมั่นคงแฝงอยู่ในการต่อรองทางเศรษฐกิจ โดยต้องการประคองสัญญะและกริยาอากัประหว่างกันแบบที่ช่วยตอกย้ำความเหนียวแน่นของพันธมิตรไว้ เพื่อสื่อให้โลกเห็นว่าการผลัดเปลี่ยนผู้นำไม่ได้เป็นปัญหาในความสัมพันธ์แต่อย่างใด ความเป็นปึกแผ่นนี้เป็นแกนหลักในการสกัดและป้องปรามชาติที่อาจคิดกระทำบุ่มบ่ามโดยใช้กำลังต่อญี่ปุ่นและระเบียบของภูมิภาค

การยกเว้นมาตรการให้แก่ญี่ปุ่นมีผลอย่างมากต่อการสร้างความเชื่อมั่นและความต่อเนื่องในยุทธศาสตร์ความมั่นคง ซึ่งในช่วงสมัยรัฐบาลไบเดนได้หันกลับสู่ลู่ทางดั้งเดิมที่ญี่ปุ่นอุ่นใจ แต่ท่าทีตั้งต้นของรัฐบาลทรัมป์ถือเป็น ‘รูปการณ์เลวร้าย’ (worst case scenario) อย่างหนึ่งที่กระทบต่อยุทธศาสตร์ป้องปรามเป็นอย่างมาก ซึ่งญี่ปุ่นก็ทำได้แค่ปรับตัวเพื่อดูดซับผลสะเทือน โดยสนองตอบแนวโน้มที่สหรัฐฯ อาจ ‘ทอดทิ้ง’ ด้วยท่าทีใจดีสู้เสือ และมองว่าน่าจะหว่านล้อมให้สหรัฐฯ เห็นผลประโยชน์ของการร่วมมือในหมู่พันธมิตรในยามที่ทุกฝ่ายเผชิญความท้าทายเชิงภูมิรัฐศาสตร์ร่วมกัน

เมื่อมองว่าญี่ปุ่นดำเนินยุทธศาสตร์ที่ทุ่มเทเข้าหาสหรัฐฯ เสมอมา จึงไม่น่าแปลกที่นายกฯ อิชิบะ ยืนกรานที่จะไม่ใช้วิธีตอบโต้หนักหน่วง (แบบจีนหรือแคนาดา) แต่หาทางรอมชอม วิธีหนึ่งคือย้ำถึงคุณูปการที่ตนมี อย่างการเป็นชาติที่ลงทุนมากเป็นอันดับหนึ่งในสหรัฐฯ ซึ่งก็พร้อมจะขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล ทั้งยังให้คำมั่นจะลดภาวะได้เปรียบดุลการค้ามูลค่า 6-7 หมื่นล้านดอลลาร์ ด้วยการนำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ทั้งด้านพลังงาน (LNG) สินค้าเกษตร (ข้าว ข้าวโพด ถั่วเหลือง) ตลอดจนผ่อนปรนกฎเกณฑ์ที่สหรัฐฯ มองว่ากีดกันการค้า (non-tariff barrier) อย่างมาตรฐานความปลอดภัยรถยนต์

การย้ำถึงผลประโยชน์ร่วมกันเหล่านี้เห็นได้ตั้งแต่ตอนที่อิชิบะพบปะทรัมป์เป็นครั้งแรกเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ โดยนอกจากหัวข้อข้างต้นแล้ว เขายังยื่นข้อเสนอที่จะสนับสนุนโครงการพัฒนาแหล่งก๊าซในอลาสกา ซึ่งแม้ยังมีคำถามใหญ่เรื่องความคุ้มค่าแต่ก็เพื่อเอาใจทรัมป์ เขายังอวยชัย ‘ยุคทอง’ (golden age) ของพันธมิตรจากการฟื้นคืนความยิ่งใหญ่ของสหรัฐฯ และชี้ถึงความมุ่งมั่นที่จะอัดฉีดงบกลาโหมขึ้นเป็น 2% ของ GDP ตามแผน 5 ปีนับจากปี 2023 ตามที่สหรัฐฯ เคยเรียกร้องญี่ปุ่นตั้งแต่ตอนที่ทรัมป์เป็นผู้นำสมัยแรก เพื่อร่วมดูแลระเบียบในเอเชียเคียงคู่สหรัฐฯ

บรรยากาศชื่นมื่นขณะทั้งสองพบเจอกันในห้องทำงานรูปไข่ชวนให้หวนนึกถึงสมัยอาเบะ-ทรัมป์ (1.0) ที่สานสัมพันธ์แบบส่วนตัวตั้งแต่วันแรกพบจนจบสมัยได้อย่างราบรื่น และยังเป็นภาพตรงข้ามกับตอนที่ผู้นำยูเครนพบทรัมป์ปลายเดือนเดียวกันซึ่งออกมาเละเทะไม่เป็นท่า แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้ญี่ปุ่นหลุดจากโผชาติที่ถูกสหรัฐฯ เพ่งเล็ง แม้ญี่ปุ่นจะไม่ลดละด้วยการส่งรัฐมนตรีพาณิชย์ โยจิ มุโท ไปร้องขอให้ทบทวนภาษีรถยนต์ เหล็ก และอื่นๆ ที่จะทยอยตามมา แต่สหรัฐฯ ดูจะไม่สนทั้งคำมั่นของญี่ปุ่นว่าจะปรับปรุงตัว และความสำคัญของการย้ำเอกภาพระหว่างพันธมิตรเพื่อจัดการภัยความมั่นคง

จุดยืนของญี่ปุ่นในการเจรจาภาษีทรัมป์

ญี่ปุ่นในตอนแรกหวังที่จะปกป้องยุทธศาสตร์ป้องปรามด้วยการหาทางโน้มน้าวสหรัฐฯ ให้ปฏิบัติต่อตนเป็นกรณีพิเศษเพื่อส่งสัญญาณย้ำถึงเอกภาพ แต่เมื่อสหรัฐฯ ตัดสินใจที่จะสื่อสารในทางตรงข้ามว่าจะยึดผลประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้ง โดยเตือนพันธมิตรว่าอย่าคิดแต่จะมาพึ่งพิง จงถามว่าคุณให้อะไรสหรัฐฯ ได้บ้าง นี่ทำให้กลไกป้องปรามร่วมกับสหรัฐฯ ซึ่งญี่ปุ่นได้ขยับขยายอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีมานี้ตกอยู่ในภาวะรวนเร แต่แม้ว่าความเสียหายได้เกิดแล้ว ญี่ปุ่นก็ยังหวังว่าผลการเจรจาในกรอบ 90 วันจะออกมาในแบบที่เป็นผลดีต่อประเด็นความมั่นคง

ในการเจรจานี้ทีมญี่ปุ่นยืนกรานว่าต้องการให้ถอนการบังคับใช้ภาษีทั้งหมดที่ออกมา แต่ในรอบล่าสุด ฝ่ายสหรัฐฯ แสดงจุดยืนว่าอยากเจรจาเฉพาะ ‘ภาษีตอบโต้คู่ค้า’ เท่านั้น นี่หมายความว่าทั้งสองยังไม่ลงรอยกันแม้ในจุดยืนขั้นต้น ข้อเรียกร้องของญี่ปุ่นซึ่งครอบคลุมไปถึงภาษีนำเข้าสินค้าเจาะจง (นอกจากรถยนต์ เหล็ก อลูมิเนียมที่ประกาศมาแล้ว ยังอาจเก็บจากทองแดง สารกึ่งตัวนำ ยา และไม้ ต่อไปด้วย) และภาษีขั้นต่ำ 10% ที่เก็บจากทุกประเทศและประเภทสินค้า สะท้อนทั้งกลยุทธ์ในการเจรจาและจุดยืนในการรักษาระเบียบและความมั่นคงที่กระทบผลประโยชน์ใหญ่ของญี่ปุ่น

อาจมองการวางเป้าที่สูงและมากเข้าไว้ของญี่ปุ่นเป็นยุทธวิธีเผื่อไว้สำหรับต่อรอง เมื่อข้อเรียกร้องสุดโต่งของตนชนกับของสหรัฐฯ คาดว่าผลการเจรจาจะทำให้ญี่ปุ่นเสียน้อยกว่าที่สหรัฐฯ กดดัน แต่วิธีนี้ก็สุ่มเสี่ยงให้ประชาชนเข้าใจไปว่าการบรรลุผลต่ำกว่าเป้าถือเป็นความล้มเหลวในการเจรจาของรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งคงกระทบฐานเสียงและความนิยมของนายกฯ อิชิบะ ที่นำรัฐบาลเสียงข้างน้อยในรัฐสภาอยู่ขณะนี้ และยังมีปัญหาเสียงสนับสนุนจากสาธารณชนตกต่ำ แต่นั่นก็เป็นวิธีรักษาผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุดเมื่อมองว่าการส่งออกของญี่ปุ่นต้องพึ่งพิงสหรัฐฯ มากแค่ไหน โดยเฉพาะด้านยานยนต์

ดังนั้นญี่ปุ่นจึงมีความพร้อมอยู่แล้วที่จะประนีประนอมดังข้อเสนอที่เอ่ยมา อาทิ ภาคเกษตรและยานยนต์ที่อาจขยายการนำเข้า รวมทั้งเพิ่มการลงทุนและผลิตในสหรัฐฯ ซึ่งก็จะได้ประโยชน์แบบ ‘win-win’ ทั้งคู่ หากสหรัฐฯ รับข้อเสนอที่ไม่ทำให้ญี่ปุ่นเจ็บปวดมากนักแลกกับการยกเลิกภาษีทั้งหมด ย่อมส่งผลดีต่อญี่ปุ่นทั้งในแง่เศรษฐกิจและผลงานของรัฐบาล แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะฝ่ายสหรัฐฯ เองก็ต้องการข้อตกลงแบบฉับไวและได้เปรียบ ทั้งเพื่อใช้อวดอ้างเป็นผลงาน เพื่อตอกย้ำความถูกต้องของนโยบาย และเป็นตัวแบบข้อตกลงกับคู่ค้ารายอื่นๆ

การเน้นจุดยืนสุดโต่งของญี่ปุ่นยังเป็นไพ่ ‘ยื้อเวลา’ โดยหวังว่าระหว่างนี้ ภาษีต่างๆ ที่เริ่มบังคับใช้จะค่อยๆ ส่งผลลบกับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ตามที่ผู้รู้และนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ทักท้วงทรัมป์มาตั้งแต่ต้นว่าอย่าริอาจ ‘เล่นกับระบบ’ ซึ่งก็คือกลไกตลาดที่มีกฎการทำงานเหนืออำนาจบงการของผู้นำและรัฐใดๆ ภาวะเศรษฐกิจที่แย่ลงอาจช่วยลดแรงกดดันจากสหรัฐฯ และอาจหมายถึงการต้องยอมถอนนโยบายภาษีนี้โดยที่ไม่เรียกร้องจากญี่ปุ่นและชาติอื่นๆ มากนัก จุดยืนให้สหรัฐฯ เลิกตั้งกำแพงภาษีทั้งหลายยังมีนัยของการคำนึงถึงระเบียบและความมั่นคงอีกด้วย

ฝ่ายญี่ปุ่นให้เหตุผลด้วยว่าข้อตกลงกับสหรัฐฯ ที่ออกมาจะกลายเป็นแบบอย่างแก่คู่ค้าชาติพันธมิตรใหญ่อื่นๆ นั่นคือญี่ปุ่นเห็นเป็นความรับผิดชอบในฐานะคู่เจรจาชาติแรกๆ ที่จะไม่ยอมเสียมากเกินไปหรืออ่อนข้อให้สหรัฐฯ ได้ใจ ซึ่งจะเป็นเงื่อนไขกระทบชาติอื่นตามไปด้วย แม้ตนจะใช้วิธีรอมชอมเพราะตีตัวออกห่างจากสหรัฐฯ ไม่ได้ แต่ก็ยืนกรานไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมอันเบี่ยงเบนจากหลักคุณค่าและบรรทัดฐานการค้าเสรีที่สหรัฐฯ เองเป็นตัวตั้งตัวตีผลักดันให้เกิดขึ้นและกลายเป็นฐานความเจริญของชาติต่างๆ

การเจรจาภาษีที่มีนัยต่อระเบียบและความมั่นคง

นอกจากอยากให้สหรัฐฯ ลดหย่อนผ่อนปรนแก่ญี่ปุ่นแล้ว การธำรงระเบียบการค้าเสรีและเศรษฐกิจโลกแบบเปิดเอาไว้ก็ถือเป็นเป้าหมายที่ญี่ปุ่นให้ความสำคัญ ซึ่งเชื่อมโยงกับมุมมองต่อตัวตนและผลประโยชน์แห่งชาติในภาพใหญ่ จากแนวคิดที่ยึดถือมาเนิ่นนานว่าญี่ปุ่นเป็นชาติที่ต้องพึ่งพิงโลกภายนอกและประเทศอื่นๆ อย่างขาดไม่ได้ เนื่องจากข้อด้อยทางภูมิศาสตร์ที่ ‘เป็นเกาะมีทรัพยากรจำกัด’ การส่งเสริมการค้าเสรีจึงเป็นวิธีได้มาซึ่งอาหาร วัตถุดิบ ปัจจัยการผลิต พลังงาน รวมไปถึงตลาดส่งออกที่ไม่เพียงหล่อเลี้ยงความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ แต่จำเป็นต่อความอยู่รอดและการยังชีพของผู้คนในประเทศด้วย

เพื่อให้ได้ทรัพยากรจากภายนอกมาเลี้ยงปากท้องของคนในชาติอย่างเพียงพอและไม่ขัดสน ญี่ปุ่นยังต้องคำนึงถึงเส้นทางเดินเรือขนส่ง โดยมองเป็น ‘เส้นทางหล่อเลี้ยงชีพ’ (lifeline) แนวคิดเรื่องเสรีภาพในการเดินเรือ ไปจนถึงความสงบสันติของภูมิภาคจึงเป็นสิ่งที่ญี่ปุ่นมองเป็นผลประโยชน์แห่งชาติ ในแบบที่ขยายจากพรมแดนและน่านน้ำอาณาเขตของตน โดยมองเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการอยู่รอด หลักคิดที่มีมาแต่เดิมนี้แสดงออกในยุคใหม่ในรูปยุทธศาสตร์ซึ่งริเริ่มมาตั้งแต่สมัยอาเบะ-ทรัมป์ นั่นคือ ‘อินโด-แปซิฟิกอันเสรีและเปิดกว้าง’ (Free & Open Indo-Pacific: FOIP)

ท่าทีของสหรัฐฯ เป็นตัวกระตุ้นทำให้ญี่ปุ่นหันมาจริงจังกับ FOIP ในช่วงที่รัฐบาลทรัมป์ 1.0 ขยายความสนใจทางภูมิศาสตร์จากเอเชียแปซิฟิกไปสู่มหาสมุทรอินเดีย และประกาศยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิกเพื่อสอดส่องและถ่วงดุลจีน ญี่ปุ่นที่มีหลักยึดเชิงผลประโยชน์ในแนวนี้มาอยู่แล้วจากการคำนึงถึงเสถียรภาพและความมั่นคงของเส้นทางขนส่งพลังงานจากตะวันออกกลางมาสู่แปซิฟิก จึงผนวกยุทธศาสตร์ใหม่นี้เข้าไปในนโยบาย ‘เชิงรุก’ (pro-active) ซึ่งริเริ่มมาตั้งแต่ต้นสมัยอาเบะ (2012) ผู้ที่ให้ความสำคัญกับการกระชับพันธมิตรเพื่อส่งเสริมกลไกป้องปราม

FOIP จึงสะท้อนการเน้นย้ำถึงเอกภาพและการดำเนินยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกับสหรัฐฯ ซึ่งนอกจากจะพ้องกับข้อคำนึงดั้งเดิมของญี่ปุ่น ยังสอดรับกับสภาวการณ์ใหม่ที่ระเบียบและความสงบของภูมิภาคกำลังถูกสั่นคลอน อีกทั้งเสรีภาพในการเดินเรือก็กำลังเสี่ยงจะถูกปิดกั้นจากการขยายอิทธิพลทางทะเลและการอ้างกรรมสิทธิ์ของจีนในน่านน้ำต่างๆ อาจมอง FOIP ด้วยว่าสะท้อนการประสานบทบาทของพันธมิตรโดยมีญี่ปุ่นรับหน้าที่เพิ่มเติมตามคำมั่นจะยกสถานะเป็น ‘หุ้นส่วนระดับโลก’ ด้านยุทธศาสตร์กับสหรัฐฯ ดังที่อดีตนายกฯ ฟุมิโอะ คิชิดะ ประกาศกับไบเดนเมื่อปีที่แล้ว

เมื่อมองนัยการวางจุดยืนและข้อเรียกร้องของญี่ปุ่นในการเจรจาซึ่งกว้างกว่าแค่การลดผลกระทบเฉพาะหน้า แต่ครอบคลุมถึงการธำรงระเบียบและรักษาภาพความเป็นปึกแผ่นของพันธมิตรเพื่อความมั่นคง เราจึงเห็นว่าเหตุใดญี่ปุ่นจึงยืนยันที่จะไม่ให้เรื่องภาระด้านกลาโหมระหว่างพันธมิตรเป็นหัวข้อรวมอยู่ในการเจรจาภาษี ทั้งที่ทรัมป์พยายามจับโยงปัญหาดุลการค้าเข้ากับสมดุลการรับภาระทางทหารระหว่างพันธมิตร

การเจรจาภาษีทรัมป์กับผลกระทบด้านความมั่นคงต่อญี่ปุ่นและภูมิภาค

เพราะคำนึงถึงความละเอียดอ่อนของประเด็นความมั่นคง อีกทั้งความอ่อนไหวของยุทธศาสตร์ป้องปรามในยามที่ภัยคุกคามขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตลอดจนความ ‘เหลวไหล’ ในวาทะและโวหารของทรัมป์ที่ดูไม่มีขีดจำกัด จึงดีกว่าถ้าทั้งคู่ไม่เถียงกันเรื่องการแบ่งภาระหน้าที่ทางทหาร ที่จริงการตั้งข้อกังขาของทรัมป์มาอย่างต่อเนื่องว่าญี่ปุ่นจ่ายน้อยกว่า รับภาระและบทบาทน้อยกว่าในด้านความมั่นคง มีผลกร่อนเซาะไม่น้อยต่อปราการป้องปรามซึ่งตั้งอยู่บนภาพลักษณ์ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมถึงปณิธานของสหรัฐฯ ที่จะปกป้องญี่ปุ่น รัฐบาลอิชิบะไม่ต้องการทำให้รูโหว่ในแนวป้องปรามขยายใหญ่ขึ้นไปอีก

นั่นเพราะการเจรจาว่าด้วยภาระด้านความมั่นคงและการทหารตามสนธิสัญญาพันธมิตรไม่ใช่เรื่องที่จะต่อรองแลกเปลี่ยนกันง่ายๆ และไม่อาจยืดหยุ่นได้อย่างการแลกผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ยิ่งเห็นได้จากวาทะที่ผ่านมาของทรัมป์ว่าเขาไม่ได้รู้เรื่องหรือตระหนักถึงเงื่อนไขข้อจำกัดของญี่ปุ่นด้านการทหารอันเป็นผลจากประวัติศาสตร์และค่านิยมในสังคมสักเท่าไหร่ ทำให้เป็นไปได้สูงว่าทรัมป์อาจเรียกร้องในสิ่งที่ยากเกินกว่าญี่ปุ่นจะตอบสนองได้ โดยเฉพาะที่อาจกระทบหลักกฎหมายและอุดมการณ์ต่อต้านสงครามของผู้คนในประเทศ

การต้องรับมือแรงกดดันเรื่องนี้ หากสหรัฐฯ นำมาเป็นไพ่ต่อรองเพื่อบรรลุผลประโยชน์สูงสุด นอกจากจะกระตุ้นให้เกิดการโต้แย้งขึ้นในสังคมและการตั้งคำถามต่อสมรรถนะของรัฐบาลแล้ว ยังเป็นการเปิดแผลให้เห็นว่าสหรัฐฯ ไม่ได้แยแสพันธมิตรและกำลังละเลยบทบาทผู้นำที่เคยค้ำจุนระเบียบ ความไม่ลงรอยเรื่องการประสานจุดยืนด้านภาระหน้าที่ทางทหารยังบั่นทอนเอกภาพที่รัฐบาลญี่ปุ่นพยายามรักษาและสื่อสารให้ประชาคมโลกได้เห็น เพื่อประโยชน์ในการยับยั้งพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของรัฐคู่อริ

ด้วยเหตุนี้ญี่ปุ่นจึงไม่ต้องการให้เรื่องภาระทางทหารถูกยกขึ้นมาปะปนในการเจรจาภาษี ทั้งนี้เพื่อกำบังประเด็นความมั่นคงที่ญี่ปุ่นมองว่าสำคัญยิ่งยวดกว่าจากการถูกนำมาเป็นไพ่ต่อรองการค้า และกลายเป็นปัญหาในเชิงยุทธศาสตร์ ทางที่ดีญี่ปุ่นอยากอำพรางข้อเท็จจริงที่ว่าสหรัฐฯ กำลังมีทีท่าไม่ร่วมหัวจมท้ายในตรรกะการเสริมสร้างกลไกป้องปรามกับชาติเสรีใหญ่ๆ ในเอเชีย ญี่ปุ่นยังคงหวังว่าการเจรจาภาษีจะไม่กระทบเรื่องนี้และส่งสัญญาณที่ดีต่อประเด็นความมั่นคงให้ได้มากที่สุด

นอกจากย้ำว่าภาษีทรัมป์กำลังกระทบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ รวมไปถึงศักยภาพของบริษัทญี่ปุ่นที่ตั้งใจจะขยายการลงทุนในสหรัฐฯ ให้มากขึ้นแล้ว ญี่ปุ่นยังเตือนสติเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ว่าท่าทีของสหรัฐฯ กำลังทำลายความน่าเชื่อถือและทำให้ชาติที่ทั้งสองมุ่งหมายจะสกัดกั้นอย่างจีนดูมีแรงดึงดูดมากขึ้นในเกมจิตวิทยาเพื่อรักษาและแสวงหาพันธมิตร นี่คล้ายคลึงกับทฤษฎีโดมิโนที่เคยเป็นตรรกะผลักดันให้สหรัฐฯ ตั้งมั่นแสดงบทบาทพี่ใหญ่คุ้มกันรัฐที่ด้อยกว่าในยุคสงครามเย็น โดยเกรงว่าเมื่อใดรัฐเล็กๆ เกิดข้อกังขาว่าจะพึ่งพาสหรัฐฯ ได้หรือไม่ ก็อาจพากันย้ายไปสนับสนุนฝ่ายตรงข้ามเพื่อความปลอดภัยและผลประโยชน์

ในงานสัมมนาที่จัดโดย Hudson Institute ณ กรุงวอชิงตัน ปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา อิทสึโนริ โอโนเดระ ประธานด้านนโยบายของพรรค LDP แกนนำรัฐบาลญี่ปุ่น ได้กล่าวแสดงความกังวลถึงความเสียหายและเสียเปรียบจากท่าทีเอาแต่ใจของสหรัฐฯ ซึ่งนอกจากจะทำให้ชาติต่างๆ มองสหรัฐฯ ว่าพึ่งไม่ได้แล้ว อาจมองเป็นชาติที่กดขี่ขูดรีดรัฐเล็กๆ อีกด้วย นี่รังแต่จะผลักให้ชาติต่างๆ ออกห่างสหรัฐฯ ไปซบอกพี่จีนมากขึ้น ซึ่งสำหรับญี่ปุ่นย่อมไม่ใช่เรื่องดีในเชิงยุทธศาสตร์และการรักษาดุลอำนาจเพื่อสอดส่องพฤติกรรมของจีน

ชาติต่างๆ อาจพากันย้ายข้างเข้าหาจีนเพื่อตอบโต้นโยบายของทรัมป์ เสมือนโดมิโนที่ล้มตามๆ กันซึ่งเคยเป็นภาพฝันร้ายที่สหรัฐฯ หวาดหวั่นในยุคสงครามเย็น ตรรกะนี้ยังคงทำงานต่อมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ ‘สงครามเย็นกับจีน’ ไม่ได้เป็นแค่คำเปรียบเปรยอย่างแต่ก่อน แต่สหรัฐฯ นำโดยทรัมป์ดูจะสลัดทิ้งหลักคิดเหล่านั้นซึ่งรัฐบาลที่ผ่านมามองเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ขนานใหญ่ (grand strategy) อันเป็นผลประโยชน์สำคัญที่จะต้องรักษาความน่าเชื่อถือ ศรัทธา และความชอบธรรมในสายตาพันธมิตรเล็กใหญ่เพื่อความได้เปรียบระดับโลก

พัฒนาการใหม่ในนโยบายความมั่นคงของญี่ปุ่นที่กำลังรวนเร

ญี่ปุ่นเองก็เริ่มกลัวถูกสหรัฐฯ ‘ผิดสัญญา’ (defect) ซึ่งหมายความว่าสิ่งที่ญี่ปุ่นทุ่มเทปฏิรูปเพื่อเข้าหาสหรัฐฯ อาจสูญเปล่า แม้การลงทุนลงแรงปรับแปลงด้านกลาโหมในช่วง 10 กว่าปีมานี้ ช่วยให้ญี่ปุ่นแข็งแกร่งขึ้น ป้องปรามและป้องกันตนเองได้มากขึ้น แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าพัฒนาการเหล่านี้มีเป้าประสงค์หลักเพื่อเสริมความเข้มแข็งและความร่วมมือกับพันธมิตรสหรัฐฯ เพราะญี่ปุ่นนอกจากจะมีข้อจำกัดดั้งเดิมทั้งในเชิงกฎเกณฑ์และค่านิยมแล้ว ปัญหาที่ญี่ปุ่นเผชิญเวลานี้ก็ใหญ่เกินกว่าจะรับมือได้คนเดียว ไม่ว่าในแง่แสนยานุภาพของจีน หรือการมุ่งดูแลระเบียบของแถบอินโดแปซิฟิกโดยรวม

ญี่ปุ่นวางแผนไว้หลายปีที่จะยกระดับการบังคับบัญชากองกำลังป้องกันตนเอง (Self-Defense Force: SDF) ทั้งสามเหล่าทัพให้บูรณาการเข้าหากันเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการแบบ ‘หลากมิติหรือข้ามมิติ’ (multi/ cross-domain operations) ทั้งทางบก ทะเล อากาศ และอวกาศ ซึ่งจำเป็นมากขึ้น ดังนั้น เมื่อปลายเดือนมีนาคมนี้ ญี่ปุ่นได้ตั้ง ‘กองบัญชาการปฏิบัติการร่วม’ (Japan Joint Operation Command: JJOC) ขึ้นเพื่อการนี้ โดยหวังที่จะประสานกับกองกำลังสหรัฐฯ ซึ่งสัญญาไว้ท้ายสมัยไบเดนว่าจะเพิ่มบทบาทและอำนาจตัดสินใจแก่ผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐฯ ในญี่ปุ่น

แต่ขณะที่ JJOC เริ่มทำงานตามแผน กระแสข่าวที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กำลังหาทางตัดลดค่าใช้จ่ายลงอย่างมากตามนโยบายสร้างประสิทธิภาพของทรัมป์ก็ทำให้เกิดความกังวลในญี่ปุ่นว่าหน่วยงานใหม่จะตั้งขึ้นมาเก้อหรือไม่ เพราะมีรายงานว่าสหรัฐฯ อาจตัดลดงบลงได้กว่าพันล้านเหรียญฯ หากระงับโครงการยกระดับกองบัญชาการในญี่ปุ่น อย่างไรก็ดีญี่ปุ่นยังพอโล่งใจจากสัญญาณที่ว่าสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าในแนวทางที่สัญญาไว้ โดยจะใช้วิธีอัพเกรดความร่วมมือทางทหารกับญี่ปุ่นแบบค่อยเป็นค่อยไปนับจากนี้

ความยุ่งเหยิงของสหรัฐฯ ในแง่การปฏิบัติต่อพันธมิตรยังทำให้การขยับไปสู่ท่าทีเชิงรุกของญี่ปุ่นทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคีต้องชะลอลงไปด้วย โดยไม่กี่ปีมานี้ ความกังวลต่อวิกฤตช่องแคบไต้หวันได้กลายเป็นภัยให้ญี่ปุ่นต้องเฝ้าระวัง (hypothetical threat) และกระตุ้นให้ต้องเร่งส่งสัญญาณว่าการใช้กำลังในยุทธบริเวณดังกล่าวกระทบความมั่นคงและความอยู่รอดของตนแบบไม่อาจนิ่งเฉยได้ ท่าทีจริงจังนี้อาจถือเป็นการขีด ‘เส้นแดง’ บางๆ ให้คู่กรณีรับรู้ว่าเรื่องใดที่ญี่ปุ่นไม่ยอมให้ละเมิด อันเป็นองค์ประกอบสำคัญในการป้องปรามความเคลื่อนไหวที่ไม่พึงประสงค์

ท่าทีของสหรัฐฯ และผลกระทบต่อยุทธศาสตร์ป้องปรามในเอเชียตะวันออก

แนวทางมุ่งขยายการป้องปรามให้ครอบคลุมดินแดนหรือชนชาติอื่นอย่างกรณีไต้หวันถือเป็นพัฒนาการสำคัญของญี่ปุ่น จากเดิมที่เคยได้แต่พึ่งสหรัฐฯ ให้ช่วยแผ่ร่มเงาอิทธิพลอำนาจมาป้องปรามภัยให้กับตน (extended deterrence) บัดนี้ญี่ปุ่นขยายบทบาทความมั่นคงไปช่วยคุ้มภัยให้ไต้หวัน ด้วยการแสดงความมุ่งมั่นเอาจริงและยังส่งสัญญาณว่าจะไม่ยอมให้ระเบียบกฎเกณฑ์ของภูมิภาคถูกสั่นคลอนโดยชาติใดที่ใช้กำลัง แต่การป้องปรามที่มีเป้าหมายใหญ่หลวงเช่นนี้ ญี่ปุ่นตระหนักดีว่าคงขาดมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ไม่ได้ ตลอดจนความร่วมมือจากรัฐระดับรองอื่นๆ

การกระชับความร่วมมือของเหล่ารัฐที่มีค่านิยมตรงกันและหวั่นเกรงรัฐที่ท้าทายระเบียบอย่างรัสเซีย จีน และเกาหลีเหนือ แม้ส่วนหนึ่งเกิดจากความคลางแคลงใจในความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ แต่ก็เป็นความตั้งใจผสานแนวร่วมแบบหลายฝ่ายที่จะช่วยให้ส่งสัญญาณเชิงป้องปรามได้หนักแน่นขึ้น ในแบบ ‘การป้องปรามร่วม’ (collective deterrence) ให้เห็นว่าหลายชาติพร้อมจะจับมือกันตอบโต้พฤติกรรมละเมิด แต่ก็น่าเสียดายที่การยกระดับกลไกป้องปรามตามแนวทางนี้ถูกเร่งให้เกิดขึ้นในยามที่สหรัฐฯ กำลังผลัดผู้นำ และอย่างที่ทุกคนเกรงและเก็งกันไว้ การกลับมาของทรัมป์ก็ทำให้ความเป็นกลุ่มก้อนเพื่อ ‘ป้องปรามร่วม’ เสื่อมถอยลง

ขณะที่ง่วนกับการรับมือภาษีทรัมป์ ญี่ปุ่นก็ส่งสารสำคัญว่าด้วยสถานการณ์ความมั่นคงเมื่อปลายเดือนมีนาคม ด้วยการเผยแพร่แผนรับมือภาวะฉุกเฉินในแถบนันเซ (南西 / ตะวันตกเฉียงใต้) ที่อยู่ใกล้เกาะไต้หวัน โดยตั้งเป้าจะอพยพประชากรพื้นถิ่นและนักท่องเที่ยวราว 120,000 คน ออกจากพื้นที่เสี่ยงปลายสุดของประเทศที่เรียกว่า ‘หมู่เกาะสะคิชิมะ’ หากการรบพุ่งปะทุขึ้น แผนอพยพผู้คนขึ้นไปยังเกาะหลักให้แล้วเสร็จใน 6 วันนี้ ซึ่งค่อนข้างลงรายละเอียด สะท้อนหลายประเด็นให้เราเห็น

ที่ชัดเจนอย่างหนึ่งคือการสื่อว่าการสู้รบในช่องแคบกระทบความมั่นคงของญี่ปุ่นอย่างไม่ต้องสงสัย และยังเป็นหมือนการประกาศเตือนว่าปัญหาไต้หวันเข้าขั้นวิกฤตแค่ไหนในแง่ที่จีนอาจเผด็จศึกด้วยการใช้กำลังได้ทุกเมื่อ ญี่ปุ่นเตรียมการเช่นนี้เพื่อย้ำด้วยว่าปัญหาไต้หวันเป็นภัยโดยตรงต่อตน ซึ่งเกี่ยวโยงกับเกณฑ์การพิจารณาที่จะใช้ ‘สิทธิป้องกันตนเองร่วม’ (collective self-defense) อันมีเงื่อนไขว่าในกรณีที่ชาติซึ่งญี่ปุ่นมีสัมพันธ์ชิดใกล้ถูกโจมตีและสถานการณ์นั้นกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงของญี่ปุ่น รัฐบาลอาจส่ง SDF ไปช่วยป้องกันชาตินั้นได้

แม้ฟันธงไม่ได้ว่าญี่ปุ่นพร้อมจะใช้สิทธินี้ในสถานการณ์จริงแค่ไหน แต่ในขั้นนี้ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถูกทำให้ ‘ดูจริงจัง’ เพื่อหวังผลยับยั้งป้องปรามจีนไม่ให้คิดกระทำบุ่มบ่าม อาจมองได้ด้วยว่าแผนฉุกเฉินที่ออกมาสะท้อนช่วงเวลาท้าทายจากการเปลี่ยนท่าทีของสหรัฐฯ ดังที่รู้กันว่าเสาหลักคุ้มกันไต้หวันนั้นคือสหรัฐฯ นี่ทำให้อิชิบะย้ำในวาระครบรอบ 3 ปีสงครามยูเครนว่า หากสงครามจะยุติก็ควรเป็นไปแบบที่ไม่ทิ้งข้อคิดผิดๆ ไว้ นั่นคือต้องย้ำชัดว่าการคิดใช้กำลังสร้างเขตอิทธิพลย่อมไม่สัมฤทธิ์ผลดังหวัง เพื่อไม่ให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบฝั่งเอเชีย ซึ่งญี่ปุ่นเพ่งเล็งไปที่กรณีไต้หวัน

แต่ภาพที่สหรัฐฯ กดดันผู้นำยูเครนอย่างหนักให้ยุติสงครามโดยยอมสละดินแดนที่รัสเซียยึดครอง ขณะที่ไม่มีความชัดเจนเรื่องแนวทางรับประกันความปลอดภัยระยะยาว ดูเหมือนจะตรงกับสิ่งที่อิชิบะกลัว ท่าทีเช่นนี้ไม่เพียงทำให้การป้องปรามทางฝั่งเอเชียถดถอยลง แต่ยังอาจเป็นตัวเร่งให้เกิดความเคลื่อนไหวอันไม่พึงประสงค์ของฝ่ายที่จ้องท้าทายระเบียบ จากการที่เห็นว่าสหรัฐฯ ไม่มีความคงเส้นคงวา ไม่แน่วแน่ในการปกป้องพันธมิตร ไม่มียุทธศาสตร์ที่น่าเชื่อถือและน่าเกรงขามพอ หรือไม่เข้าใจผลประโยชน์ระดับโลกของตัวเองและพร้อมใช้พันธมิตรเป็นไพ่ต่อรอง

ยุทธวิธีเผื่อทางหนีทีไล่ท่ามกลางความท้าทายทั้งจากจีนและสหรัฐฯ

เมื่อไม่อาจมั่นใจในเส้นทางที่ยึดมั่นมาอย่างการขยายท่าทีเชิงรุกไปกระชับพันธมิตรเพื่อการถ่วงดุลและป้องปรามภัยโดยอาศัยสหรัฐฯ เป็นแกนกลาง ญี่ปุ่นจึงผันความพยายามไปอีกฝั่งของยุทธศาสตร์ นั่นคือ ‘การเผื่อทางหนีทีไล่’ ให้มากขึ้น ซึ่งวิธีหนึ่งก็คือการผูกมิตรเข้าหาจีน โดยใช้ผลกระทบที่เผชิญร่วมกันจากนโยบายของสหรัฐฯ เป็นสิ่งเชื่อมสัมพันธ์ ซึ่งก็สอดคล้องกับทฤษฎีที่ว่าเมื่อพี่ใหญ่ฝั่งหนึ่งไม่จริงใจและจริงจังในการคุ้มภัยและให้ประโยชน์แก่บริวาร ชาติที่อาศัยพึ่งพิงอาจคิดย้ายข้างไปฝั่งที่มั่นใจได้กว่า

ระหว่างที่การเจรจากับสหรัฐฯ ยังไม่มีความคืบหน้า ญี่ปุ่นส่งตัวแทนระดับสูงเท่าที่มีช่องทางวางเอื้อไว้ไปติดต่อสัมพันธ์กับจีน อย่างเช่นที่เห็นผ่านการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศและการค้า 3 ฝ่าย ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ ที่ผ่านมา ซึ่งได้ย้ำความสัมพันธ์และผลประโยชน์ร่วมกันทางเศรษฐกิจ รวมถึงจุดยืนที่จะส่งเสริมการค้าเสรีท่ามกลางความท้าทายจากสหรัฐฯ อีกทั้งหัวหน้าพรรคโคเม พรรคร่วมรัฐบาลคู่กับ LDP เดินทางเยือนจีนเมื่อเดือนเมษายน โดยย้ำผลประโยชน์จากการพึ่งพากันและผูกสัมพันธ์ให้ดีขึ้น ต่อด้วยเลขาธิการพรรค LDP ฮิโรชิ โมริยามา ซึ่งเยือนจีนในฐานะประธานกลุ่มสมาชิกรัฐสภาที่ส่งเสริมมิตรภาพญี่ปุ่น-จีน

การสานสัมพันธ์เข้าหาจีนในเวลานี้อาจมองเป็นไพ่ต่อรองกับสหรัฐฯ โดยส่งสัญญาณว่าหากญี่ปุ่นถูกปฏิบัติอย่างไม่ใยดี ตนก็มีทางเลือกและกลยุทธ์อีกด้าน คือการสานสัมพันธ์เข้าหาจีน อันเป็นแหล่งผลประโยชน์หลักทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอยู่แล้ว (ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่นได้ลดการพึ่งพิงจีนลงจนทำให้มูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ พุ่งสูงแซงจีนเป็นอันดับหนึ่งในปี 2023) หลายฝ่ายในญี่ปุ่นย้ำชัดว่าไม่ควรโอนอ่อนต่อข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ที่ให้เลี่ยงหรือเลิกคบค้าสมาคมกับจีนเพื่อเข้าร่วมสงครามการค้าเต็มตัวกับสหรัฐฯ

การผูกมิตรเข้าหาจีนยังเป็นผลจากการเห็นพ้องกันที่จะต้องสร้างแนวร่วมทัดทานสหรัฐฯ ผู้กำลังทำให้เศรษฐกิจโลกปั่นป่วน อีกทั้งยังถือเป็นแนวทางที่สมเหตุสมผล หากลองคิดว่าเมื่อพลังกดดันและถ่วงดุลกับจีนลดน้อยถอยลงอย่างช่วยไม่ได้เพราะท่าทีที่เบี่ยงเบนจากหลักการป้องปรามของสหรัฐฯ การผูกมิตรเข้าหาเพื่อลดความเป็นศัตรูก็เป็นอีกวิธีที่ญี่ปุ่นจะรับมือกับจีน ซึ่งก็ผลักดันด้วยเป้าหมายเดิมคือการสกัดกั้นไม่ให้มีการใช้กำลังสั่นคลอนเสถียรภาพของภูมิภาค รวมไปถึงกรณีไต้หวัน ในเมื่อการยับยั้งด้วยวิธีข่มขู่กดดันทำไม่ได้ก็ต้องใช้วิธีการทูตสร้างบรรยากาศฉันท์มิตรเพื่อลดความตึงเครียดกันแทน

ญี่ปุ่นกำลังหาสมดุลที่เหมาะสมในยุทธศาสตร์ ‘เผื่อทางหนีทีไล่’ นี้ เพราะในอีกด้านก็คงไม่อาจไว้วางใจจีนที่ยังคงแนวโน้มแผ่อิทธิพลอำนาจได้ ต้องยอมรับว่าการใช้วิธีผูกมิตรเข้าหาเสี่ยงทำให้จีนเข้าใจไปว่าญี่ปุ่นอ่อนแอ หรือเอกภาพในหมู่พันธมิตรโลกเสรีกำลังเสื่อมลง ญี่ปุ่นคงไม่อยากส่งสัญญาณว่าตนหมดหนทางและต้องพึ่งจีนแบบที่ไม่อาจมีปากเสียง ดังนั้นความหวังที่จะเห็นสหรัฐฯ เดินกลับเข้าร่องเข้ารอยและหวนคืนสู่บทบาทผู้พิทักษ์ระเบียบเสรีจึงมีอยู่ไม่เสื่อมคลาย

ที่สำคัญ ญี่ปุ่นคงไม่อยากให้เหล่ารัฐผู้ท้าทายเห็นว่าสหรัฐฯ ไม่อาจทำหน้าที่เป็นเสาหลักพิทักษ์ระเบียบได้อีกต่อไป ซึ่งจะทำให้แก่นแกนยุทธศาสตร์ของญี่ปุ่นและความมั่นคงในเอเชียเสื่อมลงด้วย แต่แนวโน้มที่รัฐบาลทรัมป์เผยออกมาในตอนต้นสมัยเวลานี้กลับไม่ค่อยสู้ดีนัก ด้วยการส่งสัญญาณให้เห็นความยุ่งเหยิงในนโยบาย ความไม่แน่นอนกลับไปกลับมาของวิธีการ ความสับสนในยุทธศาสตร์ ความกล้าๆ กลัวๆ โดยเฉพาะกับฝั่งศัตรูคู่อริถึงขนาดที่เอื้อหรืออ่อนข้อให้ได้ แต่กลับเลือกคู่ต่อสู้เป็นฝ่ายพันธมิตรด้วยกันเอง

ล่าสุดที่สหรัฐฯ สามารถลดความตึงเครียดเรื่องภาษีกับจีนได้โดยการเจรจาเพียงครั้งเดียว ก็สะท้อนและตอกย้ำท่าทีข้างต้นเช่นกัน ซึ่งคงทำให้ญี่ปุ่นรู้สึกทั้งยินดีและยินร้ายไปในเวลาเดียวกัน เพราะขณะที่อาจคลายความกังวลว่าสงครามการค้าคงไม่บานปลายจนก่อความเสียหายกับทั้งโลก แต่เมื่อเทียบกับความคืบหน้าในการเจรจากับพันธมิตรด้วยกันแล้ว นี่อาจไม่ได้ส่งสัญญาณที่ดีในแง่การรับประกันความมั่นคงสักเท่าไหร่

การที่ทรัมป์โพล่งความกังขาต่อบทบาทของชาติตนบนเวทีโลก ทั้งยังฟาดพันธมิตรด้วยมาตรการภาษีโดยไม่สนความร่วมมือระหว่างกันที่มีมาร่วมศตวรรษ ทำให้การยกระดับยุทธศาสตร์ป้องปรามกับญี่ปุ่นต้องชะงักงันและเสื่อมทรามลงระดับหนึ่ง ญี่ปุ่นไม่อยากให้การเจรจาต่อรองการค้าและภาษีทรัมป์เป็นเวทีที่ยิ่งเผยให้เห็นความเอาแต่ใจของสหรัฐฯ ความไม่ลงรอยและกระทบกระทั่งระหว่างพันธมิตร ตลอดจนการที่ตนต้องยอมจำนนให้สหรัฐฯ ฝ่ายเดียว ไปจนถึงความถอยร่นของกลไกป้องปรามภัยคุกคามในอินโดแปซิฟิก

แหล่งอ้างอิง

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save