4 ประเด็นใหญ่เศรษฐกิจไทย กับ 1 ปีในตำแหน่งขุนคลังของ ‘พิชัย ชุณหวชิร’

27 เมษายน 2567 พิชัย ชุณหวชิร รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีกำกับดูแลกระทรวงด้านเศรษฐกิจ และยังควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังต่อจากเศรษฐา ทวีสิน ท่ามกลางความท้าทายด้านเศรษฐกิจและการเมืองนานาประการ และแม้จะมีการเปลี่ยนผ่านนายกรัฐมนตรีจากเศรษฐา ทวีสิน สู่แพทองธาร ชินวัตร ชื่อของ ‘พิชัย’ ก็ยังอยู่ในตำแหน่งเบอร์หนึ่ง ผู้กุมทิศทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

ตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปี พิชัยเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ เป็นจำนวนมาก โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการกระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้มากที่สุด แม้ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2567 จะออกมาแค่ 2.5% แต่ในภาพใหญ่รัฐบาลยังคิดว่า เศรษฐกิจไทยยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้มากกว่าที่หลายคนคิดในปี 2568

ช่วงสายวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 หลังจากทำงานต่อเนื่องมากว่า 10 เดือน ‘วันโอวัน’ ร่วมวงสนทนากับ ‘พิชัย ชุณหวชิร’ ว่าด้วยคำถามใหญ่ต่อเศรษฐกิจไทยในหลายประเด็น ตั้งแต่แนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจเฉพาะหน้า ปัญหาเชิงโครงสร้าง ไปจนถึงภาพใหญ่เศรษฐกิจไทยในภูมิทัศน์ใหม่เศรษฐกิจโลก

“วันนี้คุยสบายๆ ละกัน ถามได้ทุกเรื่อง และอยากเขียนอะไรก็ลองเลือกกันดู” พิชัยเกริ่นไว้ก่อนเริ่มต้นบทสนทนา

แผนดันเศรษฐกิจโต 3.5% ในปี 2568 – เป็นไปได้จริงแค่ไหน?

ปี 2567 เศรษฐกิจไทยโตแค่ 2.5% และในปี 2568 แทบทุกสำนักคาดการณ์ตรงกันว่าเศรษฐกิจไทยจะโตไม่ถึง 3% แต่ทำไมรัฐบาลจึงตั้งเป้าไว้สูงถึง 3.5%

เศรษฐกิจในปี 2567 เติบโตเพียงแค่ 2.5% ซึ่งหลายคนมองว่าค่อนข้างต่ำ แต่มีข้อสังเกตว่าในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 เป็นการขับเคลื่อนแบบไม่เต็มสูบ ไม่มีงบประมาณ ทำให้ทุกคนยังตั้งหลักตั้งตัวไม่ทัน โครงการหลายอย่างจึงยังไม่พร้อมที่จะทำ เพิ่งมาตั้งตัวได้เมื่อเข้าไตรมาสที่ 3 ปี 2567 ซึ่งมีจีดีพีอยู่ที่ 3% และไตรมาสที่ 4 จีดีพีอยู่ที่ 3.2% รวมครึ่งปีหลังจีดีพีอยู่ที่ 3.1% จะเห็นว่าเรามีฐานตรงนี้อยู่ ซึ่งเข้าใจว่าหน่วยงานหลายแห่งก็คงเห็นคล้ายกันตัวเลขที่ประเมินปี 2568 จึงอยู่ที่ประมาณ 2.8–2.9 %

ในฐานะรัฐบาล เราต้องตั้งเป้าให้สูงไว้และ 3.5% เป็นตัวเลขที่เราคิดว่าเป็นไปได้ ซึ่งคนก็จะถามว่า 0.5 ที่เพิ่มขึ้นมาเอามาจากไหน ก็ต้องกลับไปดูเครื่องยนต์พื้นฐานทางเศรษฐกิจ 4 ตัวคือการบริโภค การลงทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชน การส่งออกบวกการท่องเที่ยว ก็ต้องมาดูทีละตัวว่าเราทำอะไรได้บ้าง

การลงทุนมีเครื่องยนต์ที่มีศักยภาพมากที่สุด ถ้าการลงทุนเพิ่มขึ้น 100,000 ล้านบาท จีดีพีก็จะโตขึ้น 0.25 ดังนั้นถ้าดันตรงนี้ก็จะช่วยได้มาก ขณะที่ในส่วนของการลงทุนภาครัฐ ในทุกปีงบจะมีรูปแบบชัดเจนเลยคือ ระหว่างปีงบจะเบิกจ่ายกันช้า แล้วไปเร่งกันในช่วงสิ้นปี ทำให้เบิกงบได้ที่ราว 60-70% แต่ถ้าปีไหนฟลุกก็ได้ 80% แต่ปีนี้เราตั้งเป้าเลยว่างบลงทุนต้องเบิกให้ได้ 85% ซึ่งก็ต้องเข้าไปกำกับดูว่าตรงไหนที่จะติดขัดต้องเร่งออกให้ได้ ส่วนการลงทุนภาคเอกชนปีที่ผ่านมานับเป็นปีที่มีการขอรับบีโอไอ (การส่งเสริมการลงทุน) สูงสุดในรอบ 10 ปี มีมูลค่าโครงการรวมกว่า 1.1 ล้านล้านบาท แต่ตรงนี้เป็นแค่ยอดขอ การลงทุนจริงยังไม่เกิดต้อง เพราะรอออกบัตรส่งเสริมการลงทุนก่อน โดยที่ผ่านมาเราออกบัตรส่งเสริมการลงทุนได้ปีละ 500,000 ล้านบาท แต่ปีนี้เราตั้งเป้าไว้ให้ได้ 850,000 ล้านบาท ส่วนการลงทุนจริงปกติถ้าได้ 40% ของบัตรส่งเสริมการลงทุนก็เก่งแล้ว โดยปีนี้ตั้งเป้าไว้ให้ถึง 45% จากการทำงานร่วมกับกับบีโอไออย่างใกล้ชิดก็คาดหวังว่าจะเป็นไปได้

การส่งออกเป็นเครื่องจักรสำคัญของเศรษฐกิจไทยเพราะไทยเราพึ่งพาการส่งออกคิดเป็น 65-70% ของจีดีพี โดยในปี 2567 ส่งออกไทยโต 5.8% ซึ่งเป็นการโตจากฐานที่ยังไม่มากนัก ดังนั้นเรามีโอกาสในตรงนี้อยู่ ขณะที่ในปี 2568 รัฐบาลตั้งเป้าไว้ให้การส่งออกโต 4% ซึ่งเป็นการตั้งเป้าที่อยู่บนฐานความเป็นจริงอยู่พอสมควร เพราะใส่ข้อมูลด้านความเสี่ยงและความผันผวนจากสงครามการค้าและการเมืองระหว่างประเทศไปด้วย อย่างไรก็ตามการจะไปให้ถึงเป้านั้นก็ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด   

การท่องเที่ยวในปี 2567 ถือว่ากลับมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด-19 แล้ว โดยในปี 2567 ไทยมีนักท่องเที่ยว 35 ล้านคน ดังนั้นในปีนี้ตัวเลขคงโตไปกว่าเดิมไม่มาก โดยเราคาดหวังไว้ที่ 38.5 ล้านคน แต่สิ่งที่รัฐบาลจะทำเพิ่มคือการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น เดิมนักท่องเที่ยวที่เข้ามาไทยเคยใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 55,000 บาทต่อหัว แต่หลังโควิด-19 ลดเหลือเพียง 47,000 บาทต่อหัว ซึ่งเป็นผลมาจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ตอนนี้รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการจัดอีเวนต์เพื่อดึงดูดให้เขาอยู่ไทยนานขึ้นและใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เช่น ปลายปีนี้ไทยเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ 2025 ครั้งที่ 33 ถ้าหากเราวางแผนให้ดี ก็จะมีส่วนช่วยอย่างมาก ที่ผ่านมาการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ส่วนใหญ่จะจัดแบบเล็กๆ มีพาเหรดในงาน มีการจุดพลุแล้วก็จบ แต่ครั้งนี้ก็คิดกันอยู่ว่าจะต้องจัดให้ใหญ่ขึ้นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามา หรือล่าสุดกระทรวงการคลังเตรียมจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงอัตราภาษีสำหรับรถโบราณใหม่ พื่อสนับสนุนให้เกิดการจัดอีเวนต์โชว์รถโบราณ พร้อมทั้งช่วยสร้างงานสร้างอาชีพ อาทิ โกดังเก็บรถ ช่างซ่อมบำรุงรถหรู ซึ่งคนไทยมีความสามารถด้านนี้ ปัจจุบันตลาดรถโบราณนั้นมีขนาด 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ถ้าเรามีส่วนแบ่งตลาดสัก 10% ก็เท่ากับ 1 แสนล้านบาทแล้ว

เรื่องที่ท้าทายที่สุดคือการบริโภค ซึ่งผูกโยงกับปัญหาหนี้ครัวเรือน เพราะถ้าคนมีหนี้มาก การบริโภคก็ลดลง เป็นหลักเศรษฐกิจง่ายๆ

ดิจิทัลวอลเล็ตกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียง 0.3% ของจีดีพี (ตัวเลขจากธนาคารโลก) แต่ใช้งบประมาณมากถึง 0.8% ของจีดีพีทำไมรัฐบาลยังยืนยันทำต่อ

คนยังคงเดือดร้อนมาก ทุกวันนี้คนกรอบไปหมด ลองมองย้อนไปช่วงโควิด-19 ตอนนี้พูดเหมือนกันหมดว่ารัฐบาลแจกน้อยไป ถ้าแจกมากกว่านี้ ช่วยมากกว่านี้ ปัญหาที่เราเจอทุกวันนี้อาจจะน้อยกว่านี้ก็ได้และเศรษฐกิจอาจจะกำลังฟื้นตัว ผมอยากเน้นย้ำว่า เงินในเฟสหนึ่งและเฟสสองส่งไปยังกลุ่มเปราะบางโดยตรง ซึ่งพวกเขาลำบากกันอยู่ทุกวันนี้เป็นเพราะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แล้วไม่ฟื้นตัว ถ้าไม่มีโควิด-19 เขาก็จะไม่เจอกับสถานการณ์แบบนี้ ดังนั้นรัฐบาลควรที่จะต้องช่วย และอันที่จริงเราช่วยช้าไปแล้ว  

การลงทุนโครงสร้างดิจิทัลก็ยังคงเป็นเหตุผลสำคัญ นี่เป็นเหตุผลของการเดินหน้าเฟส 3 เพราะการบริหารเศรษฐกิจในอนาคตจำเป็นที่ต้องใช้ฐานข้อมูลในตัดสินใจ เอาง่ายๆ ทุกวันนี้เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐเท่าไหร่ จากโครงการอะไร ซ้ำซ้อนไหม นี่พูดถึงทรัพยากรที่รัฐจัดสรรให้ทั้งหมดเลยนะ ไม่ว่าจะเป็น กยศ. (กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา) เงินช่วยเหลือ และเงินสวัสดิการต่างๆ ถ้ามีข้อมูลเหล่านี้ ก็จะเห็นเลยว่ารัฐช่วยอุดหนุนใครไปมากแล้ว ใครที่ได้รับการอุดหนุนน้อย ในแง่นี้การจัดสรรทรัพยากรก็จะมีประสิทธิภาพและเป็นธรรมมากขึ้นด้วย ไหนจะบริการทางการเงินใหม่ๆ อีก สมมติว่าคลังจะขายพันธบัตรรัฐบาล ถ้าคนไทย 60 ล้านคนอยู่บนแพลตฟอร์มนี้ ก็สามารถขายพันธบัตรให้ได้โดยตรงเลย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยต้องลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและนโยบายนี้จะเป็นการเริ่มนับหนึ่ง

ปัญหาเชิงโครงสร้าง – ปัญหาที่รัฐบาลมองข้าม?

รัฐบาลมองปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างไร

การทำงานมีสองโจทย์คู่ขนานกันเสมอคือ โจทย์ที่ต้องแก้ปัญหาในตอนนี้หรือปีนี้ กับโจทย์ที่จะต้องทำเพื่อวางรากฐานสำหรับการเติบโตในอนาคต ซึ่งทั้งสองส่วนนี้ไม่ได้แยกออกจากกัน เราต้องไปดูไปโจทย์ในรายละเอียดและมองหานโยบายและวิธีปฏิบัติที่ไปได้

อุตสาหกรรมรถยนต์เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์สันดาปภายใน ซึ่งมีห่วงโซ่การผลิตที่ยาวมาก รถยนต์บางรุ่นชิ้นส่วนผลิตในไทยแทบเกือบจะทั้งหมดเลย ซึ่งกว่าจะมาเป็นแบบนี้ได้เป็นผลมาจากการลงทุนและพัฒนาต่อเนื่องมายาวนาน 40-50 ปี โดยมีบริษัทญี่ปุ่นเป็นหัวหอกหลัก แต่พอมาวันนี้กระแสรถยนต์ไฟฟ้ามา รถยนต์สันดาปขายได้น้อยลงก็มีเสียงบอกมาเลยว่าเราต้องเลิกผลิตรถยนต์สันดาปแล้วไปผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแทน แต่ถ้าไปคุยกับคนในอุตสาหกรรมจริงๆ แทบไม่มีใครกล้าฟันธงเลยว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องสำหรับประเทศไทย เพราะรถยนต์ไฟฟ้ามีความเสี่ยงหลายประการ เช่น ความก้าวหน้าของรถพลังงานไฮโดรเจนที่เป็นคู่แข่ง หรือการที่ไทยเข้าไม่ถึงแร่หายาก (rare earth) ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญของการทำแบตเตอรี่ เป็นต้น       

นอกจากนี้ เทคโนโลยีรถไฟฟ้ายังเผชิญข้อจำกัดในการสร้างรถบรรทุกและรถปิคอัพขนาดกลางและขนาดใหญ่ ปีที่แล้วรถปิคอัพมียอดขายทั่วโลกกว่า 4 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 1 ล้านคันจาก 10 ปีที่แล้ว โดยไทยเป็นผู้ผลิตรถปิคอัพราว 40% ของตลาด คำถามในเชิงนโยบายคือประเทศไทยควรดึงดูดการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพหรือลงทุนใหม่หรือไม่ เพราะอุตสาหกรรมนี้ลงทุนต่อเนื่องมา 50 ปีแล้ว ถ้ามีการลงทุนใหม่ส่วนเพิ่มก็จะน้อย

สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำคือนำคนในอุตสาหกรรมมาลงเรือลำเดียวกันและมองหาความเป็นไปได้ว่าเราจะพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยไปในทิศทางไหน เป็นไปได้ไหมที่เราจะยังยกระดับการแข่งขันรถยนต์สันดาปพร้อมกับการสร้างอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าไปพร้อมกัน คนในห่วงโซ่อุปทานของทั้งสองอุตสาหกรรมจะวิ่งข้ามกันไปกันมาได้อย่างไร เป็นต้น
ภาคเกษตรก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ดี เพราะเป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของการส่งออก เป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหาร และมีแรงงานหลายสิบล้านคน ในระยะสั้นเราสามารถวางแผนได้ รัฐบาลจะเข้าไปช่วยหาตลาดอย่างไร ทำการตลาดอย่างไร หรือเข้าไปดูความผันผวน แต่ในระยะยาวทุกคนเห็นตรงกันหมดว่าต้องปรับ เพราะผลิตภาพของภาคเกษตรไทยต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างคือต้องมาคิดใหม่ทั้งหมดว่าเราจะปลูกอะไร ปลูกแค่ไหน ปลูกอย่างไร ตลาดอยู่ที่ไหน และขายให้ใคร เช่น ถ้าอยากให้ต้นทุนต่ำผลิตภาพก็ต้องสูง ซึ่งจะทำได้ก็ต้องมีการปลูกขนาดใหญ่ใช้เครื่องจักรเข้ามาในการปลูก การปลูกแบบ 10-20 ไร่ ก็จะไม่ตอบโจทย์ ดังนั้นคนจำนวนหนึ่งก็ต้องเลิกทำเกษตร ซึ่งการไปบอกชาวบ้านว่าให้คุณเลิกปลูกเถอะเป็นเรื่องยากมากนะ เพราะนี่คือวิถีชีวิตและความคุ้นชินของเขา แต่คิดแค่นี้ยังไม่พอ เพราะต่อให้มีทุกอย่างนี้แล้ว คุณก็ต้องมีน้ำเพียงพอตลอดปี รัฐก็ต้องลงทุนในโครงการบริหารจัดการน้ำขนาดใหญ่

การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างจึงไม่ใช่งานที่ทำทีเดียวแล้วจบ ก็ต้องวางลำดับความสำคัญแล้วทำไปทีละส่วน

เศรษฐกิจไทยคงยากที่จะแข่งกับจีนหรือไม่ เพราะสินค้าจีนก็ทะลักเข้าไทยเป็นจำนวนสะท้อนจากการที่ไทยขาดดุลการค้าจีนกว่า 1.6 ล้านล้านบาทในปี 2567 เพิ่มขึ้น 3 แสนล้านบาทเมื่อเทียบปีก่อนหน้า และเราควรจะแก้ปัญหานี้อย่างไรดี

การขาดดุลการค้าไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป เพราะการนำเข้าสินค้ามีทั้งการนำเข้าเพื่อมาลงทุนและการบริโภค ถ้าหากเป็นการนำเข้าเพื่อการลงทุน เช่น การนำเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบในการผลิต ก็น่าจะเป็นการขาดดุลที่ยอมรับได้ ในอนาคตคาดว่าส่วนนี้จะยิ่งขาดดุลเพิ่มมากขึ้นอีก เพราะข้อมูลบีโอไอก็บ่งบอกอยู่ว่าการนำเข้าเครื่องจักรจากจีนน่าจะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสุดท้ายหากเป็นการผลิตเพื่อส่งออกดุลการค้ารวมก็จะเป็นบวกอยู่ดี ดังนั้นตรงส่วนนี้ไม่ค่อยน่าเป็นกังวล 

ส่วนที่ต้องกังวลคือการทะลักเข้ามาของสินค้าอุปโภค-บริโภคราคาถูก ซึ่งในเชิงนโยบายตอนนี้กำลังให้คณะทำงานติดตามในรายละเอียด ตรงนี้เราต้องย้อนไปดูเลยว่าตั้งแต่ตอนที่ทำเอฟทีเอ (ข้อตกลงเสรีการค้า) ไทย-จีน และเอฟทีเออาเซียน มีรายละเอียดเป็นอย่างไร มีข้อกำหนดเรื่องมาตรฐานสินค้าหรือประเด็นเรื่องการค้าที่เป็นธรรมหรือไม่อย่างไร ส่วนในทางปฏิบัติก็เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ศุลกากร ต้องตรวจสอบอย่างเข้มข้นไม่ให้มีสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานและผิดกฎหมายผ่านเข้ามาได้ อีกประเด็นที่กระทรวงพาณิชย์กำลังมีการคุยกันคือเรื่องการทุ่มตลาด (dumpling) ซึ่งผิดกฎหมายอยู่แล้ว ตรงนี้ต้องเข้าไปดูในรายละเอียดว่าจะสามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างไร

ตอนนี้ประเทศอื่นหันมาเข้มงวดกับมาตรฐานและพิจารณาการทุ่มตลาดกันหมด เราก็คงต้องทำแบบเดียวกัน

รัฐบาลพยายามผลักดันให้ต่างชาติเช่าที่ดินได้ 99 ปี ในขณะที่สังคมเริ่มตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ กับการรุกคืบของทุนต่างชาติ โดยเฉพาะทุนจีน เช่น ล่าสุดมีประเด็นคนจีนเข้ามาซื้อคอนโดแล้วปล่อยเช่า หรือการเกิดขึ้นของย่านจีนใหม่ในห้วยขวาง ซึ่งคนไทยได้ประโยชน์น้อย หลักคิดเรื่องนี้เป็นอย่างไร

การให้ต่างชาติเช่าที่ดินระยะยาวไม่ได้เป็นปัญหาในตัวเอง ที่ผ่านมาเราทำแบบนี้มาตลอดผ่านโครงการบีโอไอ โรงงานที่เข้ามาตั้งผ่านบีโอไอเป็นผู้เช่าในระยะยาวทั้งนั้น ซึ่งเมื่อเข้ามาแล้วก็เข้ามามีส่วนในการจ้างงาน สร้างอุตสาหกรรม เกิดเป็นอะไรต่างๆ มากมาย

ประเด็นหลักในเรื่องนี้เป็นเรื่องการกำกับดูแลและการบังคับใช้กฎหมาย ฝั่งเราก็ต้องไปดูว่ากำกับดูแลดีพอแล้วหรือยัง ถ้าเรื่องไหนผิดกฎหมายก็ต้องไปดู แต่ในอีกด้านหนึ่งเราก็ปรึกษาหารือกับทางสถานทูตจีนด้วย ซึ่งทางโน้นก็เห็นตรงกันว่ามีปัญหาและรับปากว่าจะช่วยดูแลแก้ไข เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยู่ในวิสัยที่สามารถบริหารจัดการได้

  

การบริโภค หนี้ครัวเรือน และหนี้สาธารณะ – เอาอย่างไรต่อ?

ปัญหาใหญ่ของเศรษฐกิจไทยคือหนี้ครัวเรือน ซึ่งส่งผลต่อการบริโภคและการลงทุนโดยตรง รัฐบาลจะมีส่วนในการแก้ปัญหานี้อย่างไร

หลักคิดง่ายๆ คือถ้าเงินหายไปจากระบบ ก็ต้องเติมเข้าไป ปัจจุบันยอดสินเชื่อในระบบธนาคารประมาณ 18 ล้านล้านบาท ซึ่งคนกู้ต้องจ่ายดอกเบี้ย บางคนจ่ายดอกเบี้ยแพง บางคนจ่ายถูก แต่สมมติเฉลี่ยแล้วจ่ายที่ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin) ซึ่งอยู่ที่ 3-4% นั่นหมายความว่าในแต่ละปีคนไทยจ่ายดอกเบี้ยประมาณ 5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่ออกไปจากระบบ โดยตามปกติแล้วธนาคารจะปล่อยสินเชื่อเติมเงินกลับเข้ามาในระบบ แต่ที่เป็นอยู่ตอนนี้คือธนาคารพาณิชย์ไม่กล้าปล่อยกู้เพิ่ม เพราะกลัวความเสี่ยง กลายเป็นว่าคนถือเงินไม่ยอมปล่อย คนอยากได้เงินก็ไม่ได้ ทุกวันนี้คนเลยเสียดอกเบี้ย 10-20% เพื่อให้ได้เงินกู้ แม้วงเงินน้อยๆ แต่ก็ทำให้ทำมาหากินได้

การแก้ปัญหาก็ต้องลงไปดูว่าเราจะช่วยลูกหนี้ได้อย่างไร เช่น หนี้เสียประมาณ 30% เป็นหนี้รถกระบะ ซึ่งเป็นเครื่องมือในการทำมาหากิน ตอนนี้ก็กำลังดูว่าบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จะเข้ามาช่วยได้ไหม หรือกรณีเครดิตบูโร ซึ่งมีลูกหนี้มีประวัติเสียเครดิตด้วยยอดหนี้ไม่กี่พันบาท และจำนวนมากแต่ก่อนเป็นหนี้ดีทั้งนั้น แต่พอโดนโควิด-19 ก็ลำบากกันหมด เราก็กำลังดำเนินการอยู่ว่าจะช่วยทำให้หลุดจากแบล็กลิสต์ให้เร็วขึ้นยังไงได้บ้างไหม เพื่อจะได้กลับเข้าสู่ระบบสินเชื่อได้

อย่างไรก็ตาม คนที่จะเติมเงินเข้าไปในระบบที่ดีที่สุดคือสถาบันการเงิน ในตอนนี้กำลังให้ธนาคารออมสินเตรียมปล่อยสินเชื่อวงเงินพิเศษ 10,000-20,000 บาท แก่บุคคลธรรมดาที่ทำมาค้าขายอยู่ แต่ไม่เคยขอสินเชื่อ โดยมีกลุ่มเป้าหมายราว 3 ล้านบัญชี ตรงนี้ผมเข้าไปคุยกับผู้บริหารธนาคารออมสินบอกเลยว่า ธนาคารกำไรปีละ 30,000 ล้านบาท เยอะไปไหม รับความเสี่ยงเพิ่มหน่อยได้ไหม ยอมลดกำไรเหลือ 20,000 กว่าล้านบาทเพื่อจะมาทำตรงนี้

อีกเรื่องที่กำลังคุยกับแบงก์ชาติคือ มาตรการ LTV (Loan to Value) ที่ใช้กำกับดูแลการซื้อบ้าน ซึ่งเป็นมาตรการที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือการกันไม่ให้เกิดหนี้เสียเยอะขึ้น แต่ข้อเสียคือคนบางส่วนอาจพอมีกำลังซื้อ แต่พอเจอเกณฑ์เข้มงวดไปก็เข้าไม่ถึงสินเชื่อ ก็ต้องมีการไปปรับกติกาบางอย่าง ต้องให้คนมีอิสรภาพมากขึ้น

กระทรวงการคลังมีอำนาจกำกับธนาคารของรัฐอยู่แล้ว แต่กับธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็นเอกชนและต้องรับผิดรับชอบกับผู้ถือหุ้นจะทำอย่างไร

ผมกำลังคิดอยากเชิญสมาคมธนาคารไทยเข้ามาหรือด้วย หรือยินดีไปพบถึงที่ก็ได้ สิ่งที่อยากชวนคิดคือทุกคนล้วนแต่ทำมาหากินอยู่ในระบบเศรษฐกิจไทย ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี สุดท้ายก็ได้รับผลกระทบกันหมด ก็ต้องลองคุยกันว่าเป็นไปได้ไหมที่จะรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ปล่อยสินเชื่อมากขึ้น คัดสรร (selective) มากขึ้น เพราะอาการตอนนี้เหมือนแทบไม่ปล่อยสินเชื่อกันเลย ถ้าคุยกันก็อยากให้สมาคมธนาคารไทยเป็นผู้ส่งข้อเสนอมาว่า จะปล่อยสินเชื่อเพิ่มได้เท่าไร รับความเสี่ยงได้มากขึ้นเท่าไร

ผมอยากย้ำว่า ตรงนี้เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน เพราะถ้าต้องการให้สถาบันการเงินเติบโตอย่างยั่งยืน คนในระบบเศรษฐกิจก็ต้องยั่งยืนด้วย ทุกวันนี้ธนาคารพาณิชย์กำไรปีละ 2 แสนล้านบาท บางคนบอกว่าไม่เยอะหรอก เพราะ ROE (อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น​ – Return On Equity) อยู่แค่ประมาณ 8% ถือว่าไม่สูง ซึ่งผมก็เห็นด้วยถ้าเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศ แต่เมื่อเทียบศักยภาพของเศรษฐกิจไทยขณะนี้ก็ต้องบอกว่ากำไรมากเกินไป เมื่อเศรษฐกิจไทยเป็นเช่นนี้ คุณควรดึงกำไรลงมาหน่อยหรือไม่ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยในระยะยาวไปต่อได้  

รายงานเศรษฐกิจหลายชิ้นกังวลว่าหนี้สาธารณะของไทยจะแตะระดับ 70% ของ GDP ภายใน 4 ปี เรื่องนี้ควรต้องกังวลมากน้อยแค่ไหน

เมื่อสิ้นปี 2567 หนี้สาธารณะต่อจีดีพีของไทยอยู่ที่ประมาณ 64% ซึ่งต่ำกว่าที่ผมประเมินไว้นิดหน่อย แต่ก็ยังต้องคอยจับตาดูอยู่ตลอด และคอยวางแผนว่าจะจัดการอย่างไร

หนี้สาธารณะจัดการได้สองแบบคือ การเก็บภาษีเพิ่มขึ้นเพื่อให้รายได้รัฐเพิ่มขึ้น หรือการทำให้เศรษฐกิจเติบโต เพราะถ้าเศรษฐกิจโตฐานในการคำนวนก็ลดลง ระดับหนี้สาธารณะก็ลดลงไปโดยธรรมชาติ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมรัฐบาลถึงต้องให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพราะตรงนี้เป็นหัวใจสำคัญของปัญหาหลายๆ เรื่อง 

ผมกำลังคิดหาวิธีสร้างรายได้รัฐแบบใหม่ นึกถึงความเป็นไปได้ที่จะเอาทรัพย์สิน (assets) ของรัฐมาใช้ประโยชน์เพื่อหารายได้จากตลาด เช่น เรามีศูนย์ราชการอยู่แล้วทำไมไม่ลองเอาไปให้เช่าเพื่อหารายได้ ซึ่งก็กำหนดให้ชัดเลยว่าเอามาเพื่อใช้หนี้สาธารณะ หรือเป็นไปได้ไหมที่เราจะมีกองทุนสาธารณูปโภค มาเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งในการบริหารจัดการงบประมาณของประเทศ

มีการพูดถึงการปรับเพดานหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นเป็น 65-70% แนวคิดในเรื่องนี้เป็นอย่างไร

การปรับเพดานหนี้สาธารณะขึ้นอยู่กับเหตุผลในการปรับ ถ้าปรับไปแล้วพิสูจน์และให้เหตุผลได้ว่ามีเหตุจำเป็นและการก่อหนี้จะเกิดผลดีกลับคืนมาต่อเศรษฐกิจในอนาคตก็สามารถทำได้ ซึ่งหมายความว่าความจำเป็นและเหตุผลต้องมีความเฉพาะเจาะจงพอสมควรว่า รัฐบาลจะนำเงินไปใช้ทำอะไรและคาดการณ์ผลลัพธ์ที่ได้อย่างไร หากตรงนี้ไม่ชัดเจน ก็ยังไม่ควรเพิ่ม

เรื่องหนึ่งที่อยากเน้นย้ำเวลาคุยเรื่องหนี้สาธารณะคือโครงสร้างหนี้ ซึ่งของไทยค่อนข้างปลอดภัยพอสมควร เพราะส่วนใหญ่เป็นการกู้ยืมเงินในประเทศ เพราะเรามีเงินออมในประเทศค่อนข้างมาก คล้ายกับพ่อแม่ยืมเงินไปหมุนเพื่อทำมาหากินก่อน แล้วในอนาคตถ้าสร้างเศรษฐกิจครอบครัวได้ ลูกก็เอามาใช้คืน อย่างไรก็ตามการกู้แค่ในประเทศก็ไม่ได้มีแต่ข้อดี ถึงอย่างไรก็ต้องบาลานซ์พอร์ตให้มีเงินกู้จากต่างประเทศบ้าง

ผมอยากชวนมองอีกด้านหนึ่งด้วย ในฐานะฝ่ายบริหารก่อนจะเพิ่มหนี้ต้องถามตัวเองว่าเราตัดรายจ่ายที่ไม่จําเป็นไปหมดแล้วหรือยัง ตอนนี้ผมจึงให้ความสำคัญกับการลงไปดูเรื่องประสิทธิภาพการใช้งบประมาณและการปฏิรูประบบราชการ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่และทำยาก แต่ก็จำเป็นต้องทำ ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเทรนด์ในหลายประเทศเหมือนกัน เช่น ในสหรัฐอเมริกา หรือเวียดนาม แต่เราไม่ได้เลียนแบบเขานะ เพราะทำมาก่อนอยู่แล้ว

ตำแหน่งแห่งที่ของประเทศไทยในเศรษฐกิจโลก – เราควรอยู่ตรงไหน?

ในภาพใหญ่ที่สุด ประเทศไทยอยู่ตรงไหนในภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน

การจัดวางตำแหน่ง (positions) ของประเทศได้ ต้องเข้าใจจุดแข็งและข้อจำกัดของตัวเองก่อน เช่น สิงคโปร์เลือกวางตัวเองเป็นศูนย์กลางการค้าและการเงินได้ (trading and financial hub) เพราะเขาไม่มีทรัพยากร และเขาไม่ได้เป็นแบบนี้เลยตั้งแต่แรก เขาเริ่มต้นจากการเป็นศูนย์กลางการค้าก่อน เมื่อมีธุรกรรมจำนวนมากก็เริ่มเป็นศูนย์กลางการเงิน ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ใช้เวลา 20-30 ปี  

ส่วนจุดแข็งของประเทศไทยคือทรัพยากรธรรมชาติ ความอุดมสมบูรณ์ของอาหาร และสภาพภูมิอากาศ ซึ่งแม้จะร้อนไปบ้าง แต่ก็ไม่หนาว ดังนั้นจึงมีศักยภาพหลายอย่าง ถ้าเป็นเรื่องการท่องเที่ยว อาหาร และวัฒนธรรม คนพูดกันมากแล้ว แต่ที่ผมอยากเพิ่มเข้าไปคือเราจะเติมนวัตกรรมเข้าไปในสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร เช่น เวลาพูดถึงอาหารไทย เราต้องไม่คิดแค่ว่าร้านอาหารไทยจะไปเปิดทั่วโลก แค่นั้นไม่พอ แต่ต้องทำให้คนอยากกินอาหารไทยที่บ้าน และถ้าเขาอยากจะกิน ก็ต้องนำเข้าผลิตภัณฑ์จากไทยไปเท่านั้น ถ้าคิดแบบนี้แสดงว่าเรามีตลาดขนาด 8,000 ล้านคนรออยู่  

การเข้าใจตัวเองอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องเข้าใจโลกด้วย ตอนนี้เป็นช่วงเวลาของการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ ก็ต้องมาดูว่าเราจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร ผมอยากชวนมองย้อนไปว่าในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกคือการผนวกตัวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลกและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน ตอนนี้จีนมีความพร้อมสูงมากทั้งในแง่ของเทคโนโลยีและทรัพยากร แต่สิ่งที่จีนกำลังขาดคือเส้นทางโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นความเสี่ยงใหญ่ เพราะเส้นทางโลจิกติกส์ทางเรือของจีนในปัจจุบันในอินโดแปซิฟิกล้วนแต่มีความไม่แน่นอน สิ่งที่จีนทำคือการลงทุนทำโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ขนาดใหญ่ตัดถนนและรถไฟจากจีนเข้าไปถึงยุโรป ส่วนทางใต้ก็ทำรถไฟลงมาจนถึงลาวและหวังที่จะเชื่อมต่อกับไทยมาจนถึงอีสเทิร์นซีบอร์ด (Eastern Seaboard) และอีอีซี (EEC: Eastern Economic Corridor) ซึ่งก็เป็นเหตุผลว่าทำไมการทำรถไฟของเราถึงมีความสำคัญ ในฐานะรัฐมนตรีคลัง ผมก็ต้องจัดงบไปลงทุนในส่วนนี้ ซึ่งเราลงทุนสร้างมาเป็นพันกิโลแล้วนะ และถ้าได้คุยกับเขาจะพบว่าเขาอยากทำไปให้ถึงระนองเลยทีเดียว

ถ้าไปถึงระนองก็หมายความว่า โครงการนี้จะลิงก์กับโครงการแลนด์บริดจ์ด้วยไหม

ใช่! ถ้ามองโครงการแลนด์บริดจ์แบบเดี่ยวๆ ไม่เวิร์กหรอก เรื่องพวกนี้ใครก็รู้ เพราะลำพังแลนด์บริดจ์เป้นแค่การเชื่อมสองฝั่ง ไม่ได้ช่วยเรื่องต้นทุนมาก แต่ถ้าแลนด์บริดจ์เป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมต่อในภาพใหญ่ ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่งทันที เพราะไทยจะเชื่อมจีนกับโลก จีนไม่ใช่แค่ผู้ผลิตรายใหญเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของตลาดโลกด้วย ทุกวันนี้เขาซื้อวัตถุดิบจำนวนมากในแอฟริกาอยู่แล้ว ดังนั้นสินค้าที่ผ่านมาจะมีทั้งขาเข้าและขาออก

คนที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้จะพูดว่าแลนด์บริดจ์ไม่คุ้มทุน แต่ถ้าดูจากข้อเสนอ (proposal) ที่ส่งเข้ามาจะเห็นเลยว่ามีคนสนใจลงทุนอยู่และพยายามที่จะถามรัฐบาลมาตลอด

ภายใต้ตรรกะนี้ คนที่กล้าลงทุนก็จะมีแค่ทุนจีนหรือไม่

ถ้าผมเป็นจีน ผมไม่สนใจนะว่าใครจะลงทุน ขอให้ได้ใช้ก็แล้วกัน ส่วนถ้าผมเป็นนักลงทุนประเทศอื่นแล้วเห็นโอกาส ผมก็พร้อมจะลงทุน ถ้ารู้ว่าลงทุนแล้วจีนพร้อมใช้ ต้องเข้าใจว่าเงินทุนกำลังท่วมโลก ไม่มีที่ไป ถ้ามีที่ไหนที่ผลตอบแทนดี เขาก็พร้อมพิจารณา เช่น ทุนในตะวันออกกลางตอนนี้ก็ไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เยอะมาก

การขับเคลื่อนนโยบายตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปี (รับตำแหน่งวันที่ 27 เมษายน 2567) อะไรที่คิดว่าทำได้ดี อะไรที่คิดยังไม่ได้อย่างที่ใจต้องการ

ผมเป็นคนไม่เคยพอใจในผลงานของตัวเองไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่ไหนก็ตาม เพราะงานไหนก็มีช่องว่างให้ปรับ แต่ในขณะเดียวกันผมก็จะตระหนักอยู่เสมอว่าสิ่งที่ผมทำมีข้อจำกัดอะไร ทำแล้วได้อะไร ถ้าไม่ทำจะเสียอะไร ทำดีกว่าไม่ทำไหม ถ้าพิจารณาดูแล้วเห็นว่างานที่ทำสามารถสร้างคุณค่าส่วนเพิ่ม (incremental value) ผมก็ทำเต็มที่

หมายเหตุ* นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ The101.world และเพื่อนสื่ออีกสองแห่ง ได้แก่ The Standard และมติชน

MOST READ

Economy

15 Mar 2018

การท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจไทย

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ตั้งคำถาม ใครได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวบูม และเราจะบริหารจัดการผลประโยชน์และสร้างความยั่งยืนให้กับรายได้จากการท่องเที่ยวได้อย่างไร

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย

15 Mar 2018

Economy

29 Nov 2023

ถอดบัญญัติธรรมนูญ ‘จิราธิวัฒน์’ ไม่มีวิกฤตใดที่ฝ่าไปไม่ได้ : ทศ จิราธิวัฒน์

สำรวจธรรมนูญ ‘จิราธิวัฒน์’ 76 ปีของอาณาจักรเซ็นทรัลในฐานะหลอดเลือดใหญ่ของภาคธุรกิจไทย 101 สนทนากับ ทศ จิราธิวัฒน์ ทายาทรุ่นที่สามของตระกูล ผู้มุ่งหมายอยากพาเซ็นทรัลและประเทศไทยไปเฉิดฉายบนเวทีโลก

กองบรรณาธิการ

29 Nov 2023

Economy

31 Jul 2023

เปิดเหลี่ยมมุม ‘service charge’ และ ‘ราคาบวกๆ’ เมื่อผู้บริโภคต้องจ่ายค่าบริการที่ไม่ได้บริการ(?)

ราคาบวกๆ มีผลต่อการเลือกซื้อสินค้าและบริการอย่างไร ในความเป็นจริงนั้นเรามีสิทธิไม่จ่ายค่า service charge หรือไม่ หาคำตอบได้ในบทความนี้

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

31 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save