ขัดขืน ต่อต้าน และความ(ไม่)จำยอม : สำรวจหนังน่าสนใจจากเทศกาลสารคดีไต้หวัน 2024

ช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผมมีโอกาสเดินทางไปร่วมงานเทศกาลสารคดีนานาชาติไต้หวัน (Taiwan International Documentary Film Festival- TIDF)  เทศกาลสารคดีรายสองปี โดยปีนี้จัดขึ้นมาเป็นครั้งที่ 14 แล้ว

นอกจากการฉายสารคดีใหม่ๆ ที่เข้าประกวดทั้งจากในไต้หวันเองและจากทั่วโลก เทศกาลยังมีงานเสวนากับผู้กำกับและโปรแกรมพิเศษ เช่น ขุดลึกลงไปดูบรรดาสารคดีในอดีตที่ฉายทางโทรทัศน์​, โปรแกรมพิเศษของผู้กำกับสารคดีในอดีต, โปรแกรมที่ร่วมมือกับเทศกาลสารคดีอื่นๆ ซึ่งปีนี้ทางเทศกาลร่วมกันกับเทศกาลภาพยนตร์สิทธิมนุษยชนยูเครน (Ukrainian Human Rights Film Festival), โปรแกรมพิเศษที่ฉายสารคดีที่ทำขึ้นจากคลังเก็บภาพยนตร์ (Archive), การสร้างความหมายใหม่จากฟุตเตจเก่าของข่าว วีดีโอ (home video) ภาพยนตร์ ไปจนถึงบรรดาโฆษณาชวนเชื่อ และที่พิเศษสุดคือโปรแกรมสารคดีทั้งเก่าและใหม่ ทั้งก่อนและหลังการรัฐประหารในพม่า

โดยปีนี้สารคดี Damnatio Memoriae (2024) ของ ธัญสก พันสิทธิวรกุล จากประเทศไทยได้เข้าร่วมประกวดในสาย Asian Vision Competition และคว้ารางวัล special prize กลับมาด้วย ทั้งนี้ ตัวเทศกาลจัดขึ้นในโรงภาพยนตร์ที่กระจายรอบเมืองไทเป ไม่ว่าจะเป็นโรงหนังในศูนย์การค้าไปจนถึงโรงหนังอิสระที่รัฐให้การสนับสนุนส่วนหนึ่ง ตัวเทศกาลนั้นสนุกสนาน และมีชีวิตชีวา ผู้ชมเนืองแน่นแทบทุกรอบในระดับตื่นสายก็อาจจองไม่ทัน

สำหรับผมนั้น สารคดีทำให้เห็นบรรดาความเป็นไปได้ของขอบฟ้าแห่งภาพเคลื่อนไหวเหนือกว่าหนังเล่าเรื่องอยู่นิดหน่อย หนังเล่าเรื่องอาจใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกเนรมิตโลกแฟนตาซีได้สารพัด แต่สารคดีหันกลับไปใช้ภาพที่มีอยู่แล้วในการสร้างมิติใหม่ ค้นหาสิ่งที่ไม่เคยถูกมองเห็นไปจนถึงสร้างเรื่องเล่าขึ้นใหม่จากเรื่องเล่าแบบเดิม สารคดีไม่ใช่แค่ภาพของคนพูดคุยกันไปเรื่อยๆ หรืองานน่าเบื่อที่ให้ข้อมูลไร้ความคิดเห็นร่วมอย่างที่เราเข้าใจ (และแม้แต่มันจะเป็นเช่นนั้น มันก็ยังดิ้นรนจะท้าทายตัวเองได้อีกหลากหลาย) 

และนี่คือสารคดีจากเทศกาล TIDF สิบโปรแกรมที่ทำให้เราตระหนักถึงความเป็นไปได้ของโลกภาพยนตร์ และสัมผัสเรื่องเล่าจากที่ต่างๆ ของโลกซึ่งกำลังบ้าคลั่งนี้ 

1. โปรแกรมภาพยนตร์สั้นจากพม่า

Losing Ground (2023)

โปรแกรมนี้เป็นโปรแกรมภายใต้ชื่อ อุปมาของเวลา : ความจริงที่ชื่อว่าพม่า (Metaphor of the Times: The Reality Named Myanmar)[1] ซึ่งฉายสารคดีทั้งสั้นทั้งยาวของพม่าตลอดหลายปีตั้งแต่ก่อนจนถึงหลังรัฐประหาร โดยโปรแกรมนี้ประกอบด้วยหนังสั้นสี่เรื่องที่ครอบคลุมตั้งแต่ชีวิตผู้คนก่อนรัฐประหาร บรรดาประชาชนที่ลุกขึ้นมาต่อต้านการยึดอำนาจ โดยมีทั้งคนที่ติดคุกไปจนถึงคนที่เข้าไปเป็นกองกำลังในป่า ให้ภาพครอบคลุมสถานการณ์ในพม่าได้อย่างน่าทึ่ง

Journey of a Bird (2021, Anonymous, Myanmar) สารคดีที่บันทึกชีวิตวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง ตั้งแต่ครั้งที่ยังเป็นวัยรุ่นธรรมดาสนุกสนานกับชีวิตไปวันๆ ฝันอยากเป็นคนทำหนัง จนจู่ๆ เกิดการรัฐประหาร พวกเขาจึงพากันออกไปถ่ายวีดีโอเพื่อทำสารคดี และโดนพ่อแม่ไล่ออกจากบ้านซึ่งพวกเขาใช้เป็นศูนย์กลางในการตัดต่อ ต้องย้ายเมืองตามการชุมนุมไปอยู่ในช่วงเป็นตายกลางการประท้วง บางคนในกลุ่มโดนจับ บางคนหลบหนี บางคนต้องแยกย้าย หนังมีความยาวแค่ 30 นาทีแต่บันทึกชีวิตวัยเยาว์ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงไว้ครบถ้วน แม้ลีลาอาจจะตรงไปตรงมาอยู่บ้าง แต่หนังก็ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ ท้ายที่สุด หนังจบลงตรงพวกเขายังคงมึนงงต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ยังยืนยันจะทำสารคดีต่อไป

ขณะที่ Losing Ground (2023, Anonymous LG Team, Myanmar) เล่าเรื่องของนักโทษที่เพิ่งถูกปล่อยตัว เราอาจจะบอกได้ว่าหนึ่งในสุนทรียศาสตร์ของหนังสารคดีต้านรัฐประหารพม่าคือสุนทรียศาสตร์ของ ‘ต้นคอ’ และ ‘ท้ายทอย’ ทั้งใน Myanmar Diaries (2022) และหนังสั้นอีกหลายๆ เรื่อง เพราะการต่อต้านยังไม่สิ้นสุด สิ่งที่ทำได้เพื่อปกปิดตัวตนของผู้คนคือการถ่ายพวกเขาจากด้านหลัง เราไม่เห็นใบหน้า เห็นแค่รูปเงา เห็นแค่ต้นคอ (ขณะที่ในยุคหนึ่ง สารคดีฮ่องกงใช้วิธีการเบลอหน้าแทน) หนังเล่าเรื่องด้วยภาพของบรรดาผู้คนในห้องทำงานศิลปะ บางคนวาดรูป บางคนเขียนหนังสือ บางคนเล่นดนตรี ทุกคนขังตัวเองอยู่ในห้อง หันหน้าออกจากกล้องไปยังหน้าต่าง พวกเขาคือบรรดานักต่อต้านที่เคยถูกทหารจับไป และเริ่มเล่าถึงชีวิตในคุกอันแสนน่ากลัวเพราะทุกคนสามารถตายได้ทุกขณะ แต่เมื่อพวกเขาถูกปล่อยตัวออกมา กลับพบว่าโลกข้างนอกยิ่งหม่นเศร้า เพราะไม่เพียงพวกเขาจะแบกความเจ็บปวดส่วนตัวออกมาเท่านั้น หากบรรดาเพื่อนพ้องก็ต่างพลัดพรายหายสูญ Losing Ground จึงเป็นหนังที่พูดถึงความเจ็บปวดและค่าใช้จ่ายที่พวกเขาต้องแลกเพื่อการต่อต้าน 

Comradeship (rough cut) (2023, Mauk Kham Wah, Myanmar) หนังสารคดีเล่าเรื่องด้วยช็อตเดียว โดยเป็นภาพทหารฝ่ายต่อต้านเฝ้าฟังเสียงจากวิทยุสื่อสารในป่า โดยเป็นเสียงจากวิทยุที่สั่งการว่าให้ระวังกับระเบิดที่มีอยู่ทั่ว ถ้าเจอศพอย่ารีบพลิกเดี๋ยวโดนกับระเบิด ให้ระวังแผนล่อของทหารฝ่ายรัฐด้วย แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงระเบิด คนที่เหลือจึงหาทางส่งคนไปช่วย โดยต้องคอยระวังกองกำลังของรัฐไปด้วย เสียงจากวิทยุกลายเป็นเสียงที่เหมือนกับหนังสงคราม แต่มันเกิดขึ้นจริงและไม่ไกลจากจุดที่วิทยุอยู่ การฟังวิทยุจึงกลายเป็นภาพแทนของชีวิตที่แขวนบนเส้นด้ายของกองกำลังต่อต้านในป่าได้จับใจ

2.  Lost a Part Of (2022, CHAN Hau-chun, Hong Kong)

ขณะที่โปรแกรมหนังหนังสารคดีพม่าถ่ายจากด้านหลังบรรดาผู้ให้สัมภาษณ์ เนื่องจากพวกเขายังคงอยู่ในการรัฐประหารที่ยังไม่จบสิ้น และยังคงสุ่มเสี่ยงต่อการถูกตามล่าตัว สารคดีฮ่องกงก็เคยอยู่ในสุนทรียศาสตร์ของการเบลอหน้าบรรดาผู้คนที่อยู่ในการชุมนุมประท้วงเพื่อปกป้องจากการถูกติดตาม มาถึงตอนนี้ ในโปรแกรมหนังสั้นทั้งสามเรื่อง ก็ได้กลายเป็นสุนทรียศาสตร์ของร่องรอย เพราะการต่อต้านจบลงไปแล้ว ผู้คนที่พ่ายแพ้ต่างกระเสือกกระสนมีชีวิตอยู่ต่อ ร่องรอยของการต่อสู้ยังคงเหลือให้เห็นที่นั่นที่นี่กลายเป็นประวัติศาสตร์บาดแผลในที่สุด

หนังมีลักษณะคล้ายภาพยนตร์ความเรียง (essay film) ที่เขียนถึงคนรัก กล้องวูบไหวตัดต่อรวดเร็ว และเน้นการโคลสอัพจนภาพแตกละเอียดเป็นเกรน หนังพูดถึงชีวิตของศิลปินคนหนึ่งและบาดแผลต่างๆ บนร่างกายซึ่งบางแห่งเป็นแผลเป็น บางแห่งก็จางลง ขณะเดียวกันกล้องก็ซอกซอนไปตามตรงนั้นตรงนี้ของฮ่องกง เพื่อถ่ายภาพไร้ความหมายที่หากมองดีๆ ก็จะพบว่าภาพเหล่านั้นคือร่องรอยที่หลงเหลือจากการต่อต้านอันสิ้นสุด ทั้งรอยโปสเตอร์ที่ถูกฉีก กราฟิตี้เลือนๆ ตามถนน หรือเศษแตกหักของสิ่งของสาธารณะ และลมที่พัดร่มซึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านลอยไป ด้วยภาพเช่นนี้ กล้องที่วูบไหวราวกับการเหลือบมองแล้วเบือนหนีเพราะไม่อาจผเชิญหน้ากับช่วงเวลานั้นได้ ภาพเกรนแตกละเอียด ร่างกายได้กลายเป็นร่องรอยของบาดแผล กลายเป็นผู้คนและประวัติศาสตร์ที่ถูกกาลเวลาลบเลือน แต่ร่องรอยนั้นยังดำรงอยู่ต่อไป 

3. Private Footage (2022, Janaína Nagata, Brazil)

หนังว่าด้วยตัวผู้ทำหนังที่กำลังตามหาเครื่องฉายฟิล์ม 16 มิลลิเมตร ซึ่งเมื่อเธอได้มา ก็ต้องลองหาตัวฟิล์มมาเพื่อทดสอบการฉาย เธอจึงไปซื้อฟิล์มเก่ามาจากอินเทอร์เน็ตและได้ฟิล์ม 16 มม. ไม่มีเจ้าของราคาถูกๆ มา และเมื่อฉายดูก็พบว่ามันเป็นโฮมวีดีโอการเดินทางไปเที่ยวของครอบครัวคนขาวรวยๆ ครอบครัวหนึ่ง พวกเขาไปดูซาฟารี ไปดูการแสดง ไปเจอคนแอฟริกัน โดย 19 นาทีแรกของวิดีโอคนทำให้ดูฟุตทั้งหมดโดยไม่ตัดต่อ แค่เติมดนตรีเข้าไป แต่เมื่อเธอนำฟุตเตจเหล่านั้นมาดูซ้ำ เธอก็พบร่องรอยบางอย่าง และโดยไม่คาดคิด เธอคิดว่ามันได้บันทึกประวัติศาสตร์ของแอฟริกาใต้ในยุคการถือผิว (Apartheid -รูปแบบการปกครองจากแนวคิดแบ่งแยกชนชั้นจากสีผิว)[2]

อย่างไรน่ะหรือ เริ่มจากการที่เธอค้นเจอว่าภาพในหนังคือแแอฟริกาใต้ จากนั้นเธอก็ลองค้นรูปตึกสวยโอ่อ่าที่ครอบครัวนี้ไปเที่ยว, รูปชายหาดจากช็อตสั้นๆ ที่ถ่ายติดป้ายไม่ว่าจะ ‘เขตคนขาวเล่นน้ำ’ หรือ ‘เขตคนดำเล่นน้ำ’ (!!!) และเมื่อค้นลึกต่อไป เธอก็นำรูปที่แขวนบนผนังบ้านในหนังไปค้นโดยใช้เว็บไซต์ที่บริการค้นใบหน้า (face recognition) และพบว่านั่นเป็นรูปนายกฯ แอฟริกาใต้ที่ได้ชื่อว่านักออกแบบการถือผิวหรือ Architect of Apartheid เพราะเป็นผู้ออกกฎหมายแบ่งแยกสีผิวนี้ นอกจากนี้ หนังยังถ่ายการไปเยี่ยมเยียนชายผิวดำร่ำรวยคนหนึ่งด้วย เธอจึงเอาใบหน้าของเขาไปค้นต่อและพบว่าเขาคือหมอผีพันล้านที่ร่ำรวยจากนโยบายแบ่งแยกสีผิวและเป็นที่ปรึกษานายกฯ แต่หมอผีก็ไม่ได้ถูกจดจำในทางประวัติศาสตร์มากเท่าที่ถูกจำในฐานะคนที่มีเมีย 21 คน เหตุนี้ข้อมูลของหมอผีจึงค้นเจอได้จากหนังสือเพลย์บอย ซึ่งการจะเข้าถึงข้อมูลหนังสือเก่านั้น เธอก็ต้องเสียเงินเพื่อเข้าถึงผ่านอีกเว็บไซต์หนึ่ง แต่พร้อมกันนี้ ก็มีคลิปวีดีโอของหมอคนนี้ในเว็บไซต์ยูทูบด้วย เธอจึงสืบเรื่องราวของเขาต่อจากคอมเมนต์ใต้คลิป ทำให้เธอพบว่าหลายคนกลัวหมอผีคนนี้เพราะเขาขึ้นชื่อเรื่องทำคุณไสยใส่คนฝ่ายตรงข้ามจนตาย ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่แม่ของเจ้าของคอมเมนต์เอามาใช้ขู่เขาตอนเด็ก

สุดท้าย คลิปที่ไม่มีอะไรเลยแม้แต่เจ้าของนี้ จึงกลายเป็นคลิปวิดีโอที่บันทึกประวัติศาสตร์ไว้เต็มไปหมด ไม่ใช่แค่สัตว์หรือคนดำเต้น แต่มีทั้งคนดัง มีทั้งลำดับชั้นคนดำคนขาวใดๆ

ที่ดุเดือดไปกว่านั้น คือตัวหนังเป็นหนังที่ถ่ายด้วยการแค็ปเจอร์หรือกดถ่ายภาพหน้าจอคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียว ดังนั้นนอกจากจะเห็นคลิป เรายังได้เห็นวิธีที่เธอสืบค้นข้อมูลด้วย แล้วเราก็เห็นว่า จริงๆ แล้ว แม้เราจะอยู่ในยุคอินเทอร์เน็ต แต่การเข้าถึงข้อมูลในโลกปัจจุบันก็ถูกจำกัดด้วยทุน เพราะการสืบค้นของเธอนั้นไม่ง่ายเอาเสียเลย ไม่ว่าจะเป็นการเข้าเว็บไวต์เพื่อค้นหาใบหน้าคนก็ต้องจ่ายเงิน เมื่อจ่ายไปแล้วก็ต้องจ่ายอีกเพื่อดูข้อความก็ เส้นทางของการเข้าถึงความรู้ถูกเกี่ยวกระหวัดกับทุนอย่างเหลือเชื่อ

สำหรับผู้ชมที่รู้ประวัติศาสตร์แอฟริกาใต้ดีอยู่แล้ว อาจจะคิดว่าหนังไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรใหม่ แต่สิ่งสำคัญไม่ใช่ความรู้หรือการไขปริศนา แต่มันคือการอธิบายให้เห็นว่าทุกสิ่งเชื่อมโยงกันได้อย่างไรต่างหาก ทำไมฟิล์มเก่า คลิปข่าวคอมเมนท์ในยูทูบ ไปจนถึงภาพโปสการ์ดหรือหนังสือโป๊ถึงเป็นเรื่องสำคัญพอๆ กันในการบันทึกประวัติศาสตร์ หรือต่อประเด็นที่ว่าทำไมการเก็บรักษาสิ่งต่างๆ จึงสำคัญนัก หนังเรื่องนี้คือคำตอบชั้นดีต่อคำถามเหล่านี้

4. Three Strangers (2021, La MinOo, Myanmar)

สารคดีตามชีวิตของครอบครัวสามคนในหมู่บ้านเล็กๆ ในพม่า ซึ่งอันที่จริงแล้วเป็นคนแปลกหน้ากัน

มาโซ รู้ตัวแต่เด็กว่าตัวเองคือผู้ชายในร่างผู้หญิงและใช้ชีวิตเป็นชายมาตลอดโดยไม่สนใจสายตาคนอื่น เขามีกฎว่าจะคบใครไม่เกินห้าปี ถ้าไม่เวิร์คก็เลิกกัน แต่พี่ชาย พี่สะใภ้บอกว่าพวกสาวๆ มาคบเขาเพราะจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องหนุ่มๆ เท่านั้นเอง

วันหนึ่งเขาเจอ กวาโท นักร้องสาวจากต่างหมู่บ้านและเริ่มจีบเธอ กวาโทมีความหลังไม่ดีเนื่องพ่อตีแม่ จึงตอบรับรักจากมาโซเพราะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน และมาโซก็พิสูจน์ว่าเขารักเธอจริง ครั้นเมื่อเริ่มสร้างครอบครัว พ่อกวาโทก็ไม่เห็นด้วย ทั้งคู่จึงปลูกบ้านในหมู่บ้านของมาโซ วันหนึ่งมาโซไปเก็บเด็กชายคนหนึ่งมาเลี้ยงเพราะเขากับกวาโทมีลูกด้วยกันไม่ได้ กวาโทไม่พอใจมาก เธอพยายามไม่ดูแลเด็ก แต่ก็ใจอ่อน สุดท้ายเธอก็รักลูกซึ่งชื่อว่า เปียโท มากกว่าเขาเสียอีก เรื่องเหนือคาดคือลูกชายเป็นโซ่ทองคล้องใจคนทั้งสองตระกูล แล้วชีวิตสมบูรณ์พร้อมของครอบครัวของผู้หญิงสองคนกับเด็กชายหนึ่งคนก็เริ่มขึ้น

ฟังดูเป็นเรื่องพาฝันแต่มันเกิดขึ้นจริงและเป็นเครื่องยืนยัน เป็นการเฉลิมฉลองว่าครอบครัวแบบ LGBT เป็นสิ่งที่เป็นไปได้จริงๆ ทุกความรักเป็นไปได้ ไม่เกี่ยวกับเรื่องรักต่างเพศหรือรักเพศเดียวกันอีกต่อไป อย่างไรก็ดี หากมองผ่านสายตาเควียร์อีกนิด ก็อาจจะกระอักกระอ่วนขึ้น เพราะการเป็นครอบครัวสมบูรณ์แบบของมาโซคือการได้รับการยอมรับจากขนบรักต่างเพศ มันคือการต้องการจะเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันที่เคยกดขี่คนรักเพศเดียวกัน หนังจบด้วยสิ่งที่เข้ากันได้กับขนบรักต่างเพศที่สุด เมื่อเขาให้ลูกชายบวชเณร และเป็นการบวชเณรหมู่งานใหญ่ระดับหมู่บ้าน เพื่อที่เขาจะได้เกาะชายผ้าเหลืองของลูก

กระนั้นก็ตาม ไม่ใช่คนรักเพศเดียวกันทุกคนที่ต้องการจะสร้างวิถีชีวิตใหม่ เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องของใครของมัน ฉะนั้นไม่ว่าจะมองสายตาแบบไหน หนังก็สนุก คมคายและงดงามมากๆ ในฐานะมนุษย์ที่มีสิทธิ์จะรักใครก็ได้

5. Taman-taman (Park) (2024, So Yo-hen, Taiwan)

หนังเริ่มต้นอย่างเรียบง่าย ว่าด้วยแรงงานอพยพสองคนที่เคยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเดินคุยกันในสวน แลกกันอ่านบทกวีที่ตัวเองเขียนให้อีกคนฟัง พวกเขาพูดคุยเรื่อยเปื่อยสัพเพเหระ หนังทั้งหมดเกิดขึ้นในสวน เพราะสวนเป็นสถานที่ที่แรงงานเหล่านี้ใช้พบปะพูดคุย พักผ่อนหย่อนใจในวันหยุด ตัวซับเจ็กต์ทั้งสองคนแจ้งให้ทั้งตัวเอง บรรดาคนที่พวกเขาพูดคุยด้วยและแจ้งแก่ผู้ชมหลายต่อหลายครั้งว่า ว่านี่คือการถ่ายหนัง แต่ไม่รู้จะเสร็จหรือจะได้ฉายไหม พวกเขาแลกเปลี่ยนเรื่องราวกัน จากนั้นก็เปลี่ยนมันให้เป็นบทกวีของที่เล่าถึงชีวิตแรงงานอพยพ  

หากหนังกลับคลี่คลายไปจากโครงสร้างเดิมอย่างงดงาม เมื่อพวกเขาค้นพบว่าหินบางก้อนในสวนที่หน้าตาเหมือนๆ กัน แท้จริงแล้วเป็นลำโพงสำหรับประกาศข่าว พวกเขาจึงคิดกันเล่นๆ ว่า อยากให้บทสนทนาและบทกวีของพวกเขากลายเป็นรายการวิทยุที่จะออกอากาศและได้ยินเฉพาะในสวนนี้ ก่อนจะแสร้งว่าจัดรายการวิทยุโดยนั่งคุยกันในป้อมยาม แต่เรื่องราวยังไหลไปไม่หยุดหย่อน เมื่อมันค่อยๆ กลายจากการอ่านบทกวี เป็นการอ่านจดหมายจากทางบ้าน ซับเจ็กต์เดินเข้ามาในป้อมยามและลงมือเล่าด้วยเสียงของตัวเอง สวนกลายเป็นพื้นที่เหนือจริงที่แรงงานอพยพจะได้พักจากความเหนื่อยล้า ได้สนทนากับคนชาติเดียวกัน แลกเปลี่ยนเรื่องราวแต่หนหลังและความใฝ่ฝันในอนาคต สวนกลายเป็นพื้นที่ยูโทเปียชั่วคราวที่ทุกอย่างเป็นไปได้ ผู้คนทยอยเข้าคิวมาเล่าเรื่องราวในชีวิตประจำวันในสถานีวิทยุปลอมๆ สวนกลายเป็นพื้นที่ที่ไร้พื้นที่ และจากสวน บางคนสามารถเดินกลับไปบ้านที่อินโดนีเซียได้

การล่องไหลออกไปของเรื่องเล่า ทั้งในสิ่งที่เล่าและตัวหนังเอง ให้ความรู้สึกสดใหม่แบบเดียวกับที่เราเคยได้เมื่อครั้งดู ‘ดอกฟ้าในมือมาร’ (2000, อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล) ผู้กำกับไม่ได้มีหน้าที่กำหนดเรื่องเล่าหรือวิธีเล่าแบบใดแบบเดียวอีกต่อไป เพราะมันปรับเปลี่ยนไปตามผู้เล่าเสมอ เรื่องมีชีวิตขึ้นเอง ในขณะเดียวกัน เรื่องเล็กจ้อยของชีวิตคนงานก็ไม่ได้เป็นเรื่องดราม่า รันทด แต่เป็นชีวิตประจำวันของพวกเขา เป็นความคิดถึงบ้านหรือความรักอ่อนหวานของวันนี้ การซ้อนมอเตอร์ไซค์ผิดกฎหมายหรือแม้แต่เสียงฝน สุดท้ายก็คลี่คลายออกคล้ายบทกวี ที่แปรรูปชีวิตแล้วกลั่นออกมาเป็นความงาม

หนังคว้ารางวัลใหญ่สามสาขาในเทศกาลปีนี้ คือได้ Grand Prize ทั้งจากสาขา Asian Vision Competition, Taiwan Competition และ Special Jury Prize จากสาขา TIDF Visionary Award

6. The Trial (2023, Ulises de la Orden, Argentina)

หนังที่สร้างจากฟุตเตจการพิจารณาคดีสาธารณะที่กระทำต่อทหารเผด็จการซึ่งครองอำนาจในอาร์เจนติน่าหลังรัฐประหารในปี 1974 ถึงปี 1973 อันเป็นช่วงเวลาแห่ง ‘สงครามโสมม’ (The Dirty War) กองกำลังทหารของอาร์เจนติน่าได้อุ้มหาย ไล่ฆ่า จับกุมคุมขังประชาชนอย่างโหดเหี้ยม ประมาณกันว่ามีผู้ถูกฆ่าและถูกบังคับสูญหายจากช่วงเวลานี้สูงถึงสามหมื่นคน 

ถ้าใครเคยดู Argentina, 1985 (2022, ซานติอาโก มิเตร) นี่คือเรื่องเดียวกัน แต่ความแตกต่างคือหนังเรื่องนี้ถูกประกอบขึ้นจากฟุตเตจ 530 ชั่วโมงของการพิจารณาคดีในศาลล้วนๆ และถูกตัดให้เหลือสามชั่วโมง แต่มันไม่ใช่การสรุปความในคดี เพราะเป้าหมายของหนังไม่ใช่การสร้างความเร้าใจจากการตัดสินโทษเผด็จการทหารที่ชั่วร้ายที่สุดชุดหนึ่งของโลก แต่คือการพาเราเข้าไปฟังความโหดร้าย ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่ผู้คนประสบจากการมีชีวิตในระบอบเผด็จการนี้ มันจึงเป็นสามชั่วโมงที่เป็นทั้งหนังสยองขวัญและหนังชีวิตที่มืดมน ฟังแล้วทั้งโกรธและเศร้า บรรดาชีวิตที่สูญเสีย สูญหาย ถูกทำลายอย่างหนักหนาที่สุด

ผู้กำกับเล่าว่า แม้จะเป็นการว่าความที่ถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ แต่การเข้าถึงฟุตเตจกลับเป็นเรื่องยาก และเขาตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2013 ทว่า สถานีโทรทัศน์ไม่ยอมร่วมมือเพราะกลัวว่าคนพวกนี้จะกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง เขาจึงต้องไปตามหาฟุตเตจในสเปนจนไปเจอว่ามี NGO เก็บไว้ จึงเริ่มกระบวนการทำหนังขึ้น

หนังให้พวกนายพลพูดน้อยมากๆ และพวกเขาก็พูดแค่ว่าตัวเองไม่ผิด ทำไมคนที่ชนะสงคราม คนที่กู้ชาติจึงต้องมาขึ้นศาลที่ประสงค์จะจับพวกเขาไปเข้าคุกแบบไม่ต้องเสียเวลาว่าความนี้ก็ได้ พวกเขาไม่ยอมรับ เพราะไม่เชื่อว่าตัวเองผิด และพวกเขาก็ยืนยันอย่างนั้นจนจบ 

เวลาส่วนใหญ่ของหนังจึงโฟกัสไปที่เหยื่อ ซึ่งหันหลังให้กล้องและเล่าเรื่อง ทั้งการที่ลูกสาวลูกชายถูกจับหายไปจากบ้านตามตัวไม่ได้ ทั้งหายไปตลอดกาล ทั้งกลับมาเป็นศพ มีกรณีที่พ่อแม่ต้องเซ็นชื่อยินยอมไม่เอาผิดทหารเพื่อแลกกับการได้กระดูกลูกคืนไม่กี่ชิ้น บรรดาคนที่รอดชีวิตจากกถูกจับกุมคุมขัง ทุบตีทำร้าย ข่มขืน ทำเหมือนชีวิตพวกเขาเป็นของเล่น และมีผู้สูญเสียทยอยมาให้การ บางคนก็พิการตลอดชีวิต บางคนคลอดลูกในคุกแล้วลูกถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา บางคนติดคุกทั้งบ้านโดยไม่มีเหตุผล หนังให้เราฟังความแค้นเหล่านั้นอย่างละเอียดละออไม่มีตัดทอน จนต้องตั้งคำถามว่ามนุษย์สามารถทำร้ายกันได้หนักหนาแค่ไหนในนามของความมั่นคงของรัฐชาติ

7. My Stolen Planet (2024, Farahnaz Sharifi, Germany/Iran)

ภาพยนตร์ความเรียงที่ประกอบขึ้นจากฟุตเตจทุกรูปแบบที่คนทำหาได้ หนังเล่าถึงตัวคนทำเองซึ่งเกิดในขวบปีของการกระท้วงซาห์ อันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่การปฏิวัติศาสนาอิสลาม (Islamic Revolution) ในอิหร่าน เธอเกิดไม่ทันยุคที่ผู้หญิงไม่ต้องสวมฮิญาบ และพยายามกลับไปค้นหาภาพและเรื่องราวจากยุคนั้นผ่านทางฟุตเตจใดๆ ก็ตามที่หลงเหลืออยู่ ทั้งจากหนังและโฮมวิดีโอของผู้คนที่ถูกซ่อนไว้แทนที่จะถูกทำลายตามคำสั่งของรัฐบาลซึ่งพยายามลบประวัติศาสตร์ออกในชั่วข้ามคืน

ตัวเธอเกิดและเติบโตในอิหร่าน ไม่เคยพอใจที่ต้องสวมฮิญาบ และพยายามหาทางต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีมาตลอด ในฐานะคนทำหนังเธอจึงบันทึกการต่อสู้และความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าของคนอิหร่าน ทั้งการที่ผู้หญิงได้เข้าสนามฟุตบอลครั้งแรก (และครั้งเดียว) การต่อสู้ของผู้หญิงที่ลุกขึ้นมาถอดฮิญาบ (และต่อมาถูกจับ บางคนก็ถูกฆ่า) เธอรับซื้อโฮมวีดีโอที่ขายในตลาดมืดมาตัดต่อเข้าด้วยกัน และค้นหาผู้คนที่ครั้งหนึ่งเคยมีอิสระ

จนปีหนึ่ง เมื่อเธอได้รับเชิญให้เข้าโปรแกรมศิลปินพำนัก (residency) ที่เบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี แต่ไปไม่ทันไร ตำรวจก็มารื้อค้นบ้านเธอ เพื่อนเธอถูกจับและเธอกลับเข้าอิหร่านไม่ได้อีก เธอสูญเสียครอบครัวโดยทำได้แค่ดูผ่านจอวีดีโอคอล

หนังเป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่รุนแรงเจ็บปวด -ภาพของเธอเอง ชีวิตของเธอเอง- รวมกันเข้ากับฟุตเตจของอดีตที่ถูกฝังกลบ ถูกทำให้ลืม ทำให้หนังกลายเป็นการค้นหาดาวเคราะห์ของฉันที่ถูกคนพวกนั้นขโมยไป เป็นทั้งบันทึกการต่อสู้อันยาวนานของคนอิหร่านและบันทึกชีวิตส่วนตัวที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดสูญเสีย

9. We Will Not Fade Away (2023, Alisa Kovalenko, Ukraine/Poland/France)

สารคดีตามติดชีวิตวัยรุ่นหนุ่มสาวห้าคนในเขต ดอนบาส ชายแดนของยูเครนที่มีสงครามแบ่งแยกดินแดนเพื่อไปอยู่กับรัสเซีย จุดร่วมคือทั้งห้าได้รับเลือกเป็นตัวแทนไปเที่ยวหิมาลัย หนังติดตามชีวิตเรื่อยเปื่อยของพวกเขาในหมู่บ้าน คนหนึ่งซ่อมมอเตอร์ไซค์ คนหนึ่งถ่ายรูป คนหนึ่งวาดรูป คนหนึ่งซ้อมเต้น คนหนึ่งร้องเพลงแร็ป ชีวิตในหมู่บ้านเล็กๆ ไกลความเจริญ ที่มีเสียงปืน เสียงระเบิดของการสู้รบดังอยู่ไม่ไกลจากบ้าน หนังตามชีวิตของพวกเขา เรียบง่ายเชื่องช้า ความฝันเล็กๆ ถึงอนาคตที่ริบหรี่ลงทีละน้อยเพราะสงครามที่คืบเคลื่อนเข้ามา เมื่อออกไปข้างนอก ก็อาจบังเอิญเจอขบวนรถถังหรืออาวุธสงคราม แต่พวกเขาก็พยายามมีชีวิตไป การไปหิมาลัย กลายเป็นเสมือนการเปิดโลกให้พวกเขาได้สัมผัสความงดงามของโลกในดินแดนห่างไกล ให้ความสร้างสรรค์ในจิตใจพวกเขาได้ผลิบานผ่านการเดินทางและธรรมชาติ ก่อนที่ทุกอย่างจะจบสิ้นในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2022 เมื่อรัสเซียเปิดฉากบุกอย่างเป็นทางการ

We Will Not Fade Away เป็นสารคดีที่งดงามและเศร้าสร้อย หนังพูดถึงสงครามโดยไม่พูดถึงสงครามแค่พูดถึงการผลิบานของวัยเยาว์ที่ถูกสงครามบดขยี้ ท่ามกลางความเรียบง่ายของหนังที่มีแต่ชีวิตวันๆ ของวัยรุ่นผู้เรียบร้อย สารของหนังในฐานะของการพูดถึงสงครามนั้นแข็งแรงและเจ็บปวดมากๆ ฉากหนึ่งในหนังตัวละครคุยกับน้องชายว่า อีกสักห้าสิบปีหมู่บ้านเราจะหายไป คนครึ่งหมู่บ้านจะตายลง อีกครึ่งต้องหนีไป ไม่นึกว่ามันจะกลายเป็นคำทำนายที่มาเร็วกว่าที่คิดแบบไม่ทันตั้งตัว

10. Knit’s Island (2023, Ekiem Barbier, Gilhem Causse, Quentin L’Helgoualc’h, France)

สารคดีว่าด้วยการตามสัมภาษณ์บรรดาผู้คนที่หนีซอมบี้ไปในที่ต่างๆ ทั้งคนที่สนุกกับการไล่ฆ่าซอมบี้ และชุมชนที่รวบรวมโดยบาทหลวงจำเป็นเพื่อปกป้องตนเอง ทั้งหมดดำเนินไปตลอด 900 ชั่วโมงที่คนทำหนังอยู่ในนั้น แต่มันไม่ใช่พื้นที่จริงๆ หากแต่เป็นพื้นที่ดิสโทเปียจำลอง ในโลกที่ทุกคนเป็นอวาร์ตาร์ในเกม มันจึงเป็นสารคดีที่อวาตาร์สัมภาษณ์อวาตาร์

ความเฉียบคมคือมันเริ่มต้นราวกับเป็นหนังสารคดีล้อเลียน (mockumentary) ทั้งที่รูปทรงของหนังนั้นชัดแจ้งว่าเป็นเรื่องตลก เพราะมันคือโลกในเกมที่ทุกตัวละครเป็นกราฟิก แต่เมื่อลงมือสัมภาษณ์ หนังก็สัมภาษณ์ ‘บทบาท’ ที่ตัวละครเหล่านั้นเป็น ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าแก๊งไล่ฆ่าซอมบี้หรือท่านบาทหลวง จากนั้นการพูดคุยจึงลื่นไหลไปสู่ตัวตนที่แท้จริงของอวาตาร์และชีวิตจริงของพวกเขา ซึ่งไม่มีอะไรเหมือนในเกม เป็นเพียงคนธรรมดาไร้ใบหน้า ไม่มีความสำคัญในโลกจริงข้างนอก และแน่นอนว่าทุกคนอาจร่วมกันสู้ซอมบี้แต่ไม่มีใครรู้จักกัน

ดินแดนจำลองดิสโทเปียกลายเป็นยูโทเปียที่ผู้คนหลบหนีเข้าไปรับบทบาทในนั้น ชีวิตจำลองไหลซ้อนทับกับชีวิตจริง ตัวตนที่ถูกตัดแบ่งถูกสารคดีกลืนเข้าหากัน หนังพูดถึงปัญหาวิกฤตชีวิต (existential crisis) ของมนุษย์ในยุคแห่งความเป็นจริงเสมือน (virtual reality) ได้อย่างน่าสนใจ ในโลกที่แบ่งผู้คนออกจากกัน เราคงเป็นหนึ่งเดียวกัน (solidarity) ได้แค่ในเกม


[1] https://www.tidf.org.tw/en/category/shows2024/5852

[2] อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Apartheid ที่นี่ https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save