หากใครมีประสบการณ์ในการเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นระดับมัธยมศึกษาหรือระดับอุดมศึกษา บทเรียนแรกมักเป็นการเกริ่นถึงระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยกลไกตลาด อันประกอบด้วย อุปสงค์ (ความต้องการซื้อ) และอุปทาน (ความต้องการขาย) โดยระบบเศรษฐกิจข้างต้นมักวางอยู่บนสมมติฐานว่าตลาดมีลักษณะของการแข่งขันสมบูรณ์ (perfectly competitive) ที่ไม่มีผู้ซื้อและผู้ขายรายใดมีอำนาจควบคุมราคาหรือปริมาณของสินค้า โดยผู้ซื้อและผู้ขายเหล่านี้สามารถเข้าและออกจากตลาดได้อย่างไม่มีอุปสรรคขวางกั้น (barrier to entry) และการแลกเปลี่ยนข่าวสารในตลาดเป็นไปอย่างสมบูรณ์ สมมติฐานเหล่านี้ชี้ให้ผู้อ่านเห็นราวกับว่า ระบบตลาดสามารถขับเคลื่อนได้ด้วยตนเองผ่านความเคลื่อนไหวของกลไกตลาดหรือกลไกราคา และไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงพลังจากสถาบันทางการเมืองและวัฒนธรรม
แต่สำหรับผู้เขียนที่ทางต้นสังกัดได้มอบหมายให้บรรยายในสองวิชาประกอบด้วย เศรษฐกิจและสังคม (economy and society) ซึ่งเป็นวิชาศึกษาทั่วไป และเศรษฐศาสตร์สถาบัน (institutional economics) ซึ่งเป็นวิชาเฉพาะของหมวดวิชาเศรษฐศาสตร์การเมืองและประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ ผู้เขียนมักเริ่มต้นการบรรยายรายวิชาด้วยคำถามว่า “ระบบตลาดขับเคลื่อนด้วยกลไกตลาดเพียงอย่างเดียวหรือไม่?” โดยผู้เขียนมักฉายภาพของระบบเศรษฐกิจในฐานะของจุดบรรจบทางสถาบันทางวัฒนธรรม รัฐ และตลาด ผู้เขียนจึงขอชวนอ่านบทแรกของหนังสือ The Making of Economic Society (2012) ของ Robert L. Heilbroner และ William Milberg [1] และบทความ The New Institutional Economics: Taking Stock, Looking Ahead (2000) ของ Oliver E. Williamson เพราะงานวิชาการทั้งสองชิ้นนี้ช่วยให้ผู้อ่านเห็นระบบเศรษฐกิจจากอีกมุมหนึ่ง
หนังสือของ Heilbroner และ Milberg อธิบายว่า หน้าที่หลักของระบบเศรษฐกิจคือ การจัดสรรทรัพยากร (allocation) เพื่อให้สังคมสามารถผลิตสิ่งของจำเป็นและบริการให้แก่ผู้คนได้อย่างเพียงพอ อีกทั้งสร้างความพร้อมสำหรับการผลิตในอนาคต รวมไปถึงการแบ่งสรร (distribution) ให้แก่ผู้คนแต่ละกลุ่มในสังคม ซึ่งกลุ่มต่างๆ อาจได้รับส่วนแบ่งของผลผลิตอย่างเท่าเทียมกันหรือไม่เท่าเทียมกันก็ได้ ดังนั้น ระบบเศรษฐกิจแทบทุกแห่งในโลกมักเผชิญกับคำถามหลักสามประการนี้ ได้แก่
(1) ระบบเศรษฐกิจควรผลิตสินค้าชนิดไหนและจัดสรรบริการอะไร (what to produce)
(2) ระบบเศรษฐกิจควรมีกระบวนการผลิตสินค้าแบบใดและจัดสรรสำหรับบริการประเภทใด (how to produce) และ
(3) ระบบเศรษฐกิจกระจายและแบ่งสรรสินค้าและบริการให้แก่ผู้คนกลุ่มใด (produce for whom)
แนวทางการตอบปัญหาทั้งสามประการของระบบเศรษฐกิจแทบทุกแห่งสามารถแบ่งได้เป็นสามประเภท ประกอบด้วย
แนวทางแรก คือ ‘การใช้ประเพณี’ (tradition) ที่มีนัยถึงกิจกรรมที่กระทำซ้ำกันมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน การใช้ประเพณีในการตอบคำถามเศรษฐกิจมักวางอยู่บนจุดประสงค์ของการสร้างหลักประกันว่า สังคมสามารถผลิตสินค้าและบริการบางประการที่จำเป็นต่อสังคมได้ต่อไป เช่น ระบบวรรณะ (caste) ที่ใช้หลักความเชื่อและจารีตกำหนดให้ผู้คนจากบางครอบครัวหรือสมาชิกของกลุ่มสังคมบางกลุ่มในการประกอบอาชีพบางประเภทที่มีค่าตอบแทนต่ำและสภาพการทำงานที่อันตรายและยากลำบาก แนวทางจัดการเศรษฐกิจโดยใช้ประเพณีจึงมักถูกใช้ในการสร้างความต่อเนื่องทางสังคม (social continuity) ที่ต้องการให้สังคมคงลักษณะบางประการให้ได้นานที่สุดเท่าที่กระทำได้
แนวทางต่อมาคือ ‘การสั่งการ’ (command) โดยรัฐหรือผู้มีอำนาจสามารถใช้อำนาจทางการเมืองผ่านการขู่เข็ญ (coercion) และการบังคับใช้กฎหมาย (law enforcement) สำหรับเพื่อจัดสรรและแบ่งสรรทรัพยากรหรือบริการให้บรรลุวัตถุประสงค์บางประการได้ เช่น การเกณฑ์แรงงาน การรวบรวมอาหารและวัตถุดิบสำหรับการก่อสร้างขนาดใหญ่ อย่างกำแพงป้องกันอาณาเขตขนาดใหญ่ในจักรวรรดิยุคโบราณ หรือการยึดครองที่ดินของเอกชนเพื่อดำเนินโครงการนารวมที่บริหารโดยหน่วยงานของรัฐในระดับชุมชน (collectivization) ที่เกิดขึ้นในสหภาพโซเวียตและจีนในช่วงของการปรับใช้ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม ในหลายวาระผู้มีอำนาจจึงมักใช้การสั่งการเพื่อบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจโดยใช้ระยะเวลาที่ไม่ยาวนานนัก
แนวทางสุดท้ายคือ ‘การตอบปัญหาทางเศรษฐกิจผ่านตลาด’ (market) ที่วางอยู่บนกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเพื่อแสวงหาความพึงพอใจสูงสุดหรือผลกำไรสูงสุดของทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิต ทั้งนี้ชุดความรู้ทางเศรษฐศาสตร์เชื่อว่า ระบบตลาดสร้างแรงจูงใจให้ผู้คนเข้าร่วมแลกเปลี่ยนทรัพยากรหรือเสนอสินค้าและบริการให้แก่สังคมด้วยการส่งสัญญาณผ่านราคาหรือค่าตอบแทน อีกทั้งไม่ต้องอาศัยการสั่งการของผู้ครอบครองอำนาจการปกครองหรือการใช้พันธะทางวัฒนธรรมที่ยึดโยงกับประเพณี เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้คนมองเห็นประโยชน์ที่สมเหตุสมผลจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ส่งผลให้ผู้คนจะเข้าไปมีส่วนร่วมหรือจัดการกิจกรรมเหล่านั้นเสมอ ในวิธีคิดของการแก้ปัญหาโดยใช้ระบบตลาด การขาดหายไปของสินค้าและบริการบางอย่างจึงไม่ได้เป็นผลลัพธ์ของความผิดพลาดจากประเพณีหรือความไร้ประสิทธิภาพของการสั่งการ แต่เป็นผลมาจากความผิดพลาดของกลไกตลาดที่ไม่สามารถส่งสัญญาณได้อย่างชัดเจน
แม้ว่าระบบเศรษฐกิจทุกแห่งล้วนใช้แนวทางทั้งสามประการ แต่ระบบเศรษฐกิจแต่ละแห่งล้วนใช้สัดส่วนของแนวทางข้างต้นต่างกันออกไป เช่น สังคมเกษตรกรรมในยุคก่อนระบบทุนนิยม (pre-capitalist agrarian society) ใช้ประเพณีเป็นกลไกหลักสำหรับจัดสรรและแบ่งสรรทรัพยากร แต่ก็ยังเลี่ยงไม่พ้นจากการสั่งการของเจ้าที่ดินหรือผู้ปกครองที่มีอำนาจในการรวบรวมอาหาร วัตถุดิบ และแรงงาน เพื่อไปใช้ในการป้องกันอาณาเขตหรือก่อสงครามขยายดินแดนหรือรวบรวมทรัพยากร และผู้ผลิต ในสังคมเหล่านี้ยังเข้าไปมีส่วนร่วมในการค้าขายผ่านพื้นที่ตลาด เช่น การนำผลผลิตทางการเกษตรไปแลกเปลี่ยนกับสินค้าหายากนอกพื้นที่ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเกลือ หรือ เครื่องนุ่งห่มที่ถักทอจากวัสดุบางประเภท โดยผู้ผลิตอาจนำสินค้าของตนเองไปขายเพื่อได้เงินที่ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนก็ได้
แม้กระทั่งสังคมที่พัฒนาระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมไปถึงขั้นสุด เช่น เกาหลีใต้ก็ไม่ได้พึ่งพากลไกตลาดเป็นแนวทางในการตอบปัญหาทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว เนื่องจากสังคมเกาหลีใต้ยังใช้ประเพณีเพื่อแสวงหาบริการการผลิตซ้ำทางสังคม (social reproduction) เช่น การทำความสะอาด หรือการดูแลเยาวชน เป็นต้น ซึ่งมักกระทำโดยแรงงานที่ไม่ได้รับค่าจ้าง (unpaid workers) ในครัวเรือนผ่านการแบ่งงานกระทำระหว่างเพศที่อิงอยู่กับความเชื่อดั้งเดิม หรือการสั่งการให้ชายหนุ่มทุกคนในประเทศต้องเข้ารับการเกณฑ์ไปใช้แรงงาน (ยกเว้นนักกีฬาที่ได้รางวัลในการแข่งขันระดับนานาชาติ เพราะถือว่าทำชื่อเสียงให้แก่ประเทศ) จากกรณีข้างต้นจึงเห็นได้ว่าการพิจารณาระบบเศรษฐกิจของสังคมใดไม่ควรจำกัดแค่การจัดประเภทผ่านคู่ตรงข้ามรัฐและตลาดเท่านั้น แต่เราควรวิเคราะห์ผ่านคำถามที่ว่า “วัฒนธรรมและการสั่งการโดยรัฐกับผู้มีอำนาจ และตลาดมีบทบาทในการจัดสรรและแบ่งสรรทรัพยากรในแต่ละปริมณฑลอย่างไร?”
หลังจากที่อธิบายมาถึงจุดนี้แล้ว ผู้อ่านหลายท่านอาจตั้งคำถามว่า แนวทางการตอบคำถามทั้งสามประการนี้แตกต่างกันในมิติของปฏิบัติการอย่างไร คำตอบโดยอ้อมสามารถแสวงหาได้จากบทความของ Williamson ที่ได้แบ่งประเภทของการวิเคราะห์ระบบเศรษฐกิจออกเป็นสี่ระดับ ประกอบด้วย
(1) การวิเคราะห์ที่มุ่งเน้นลักษณะของความฝังแน่นทางสังคม (embeddedness) ซึ่งอิงอยู่กับสถาบันอย่างไม่เป็นทางการ (informal) เช่น จารีต ประเพณี ความเชื่อ และปทัสถาน
(2) การวิเคราะห์ที่ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมเชิงสถาบัน (institutional environment) ที่เกี่ยวเนื่องกับสถาบันอย่างเป็นทางการ (formal) เช่น ระบบกรรมสิทธิ์หรือระบบกฎหมายของรัฐ ที่เปรียบเสมือนกฎกติกาในการเล่นเกม
(3) การวิเคราะห์รูปแบบการกำกับ (governance) ผ่านสถาบันที่เข้าใจก่อรูปพฤติกรรมของตัวละครทางเศรษฐกิจโดยตรง เช่น สัญญาประเภทต่างๆ และ
(4) การวิเคราะห์รูปแบบของการจัดสรรและใช้ประโยชน์ทรัพยากร (resource allocation and employment) ที่ให้ความสำคัญกับพลวัตของราคาและปริมาณสินค้ากับบริการ
การจำแนกประเภทของการวิเคราะห์ในงานของ Williamson ช่วยให้เข้าใจถึงความแตกต่างของการกำหนดลักษณะทางเศรษฐกิจจากบทบาทของสถาบัน ทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เพราะแนวทางการตอบคำถามทางเศรษฐกิจทั้งสามประการล้วนวางอยู่บนชุดของสถาบันที่ต่างกัน เช่น แนวทางที่อิงกับวิถีทางประเพณีซึ่งเป็นสถาบันที่เกี่ยวเนื่องกับความฝังแน่นทางสังคมเป็นหลัก หรือหากเป็นแนวทางการจัดการแบบการสั่งการมักเป็นแนวทางที่ให้ความสำคัญแก่กลไกตลาด และอิงกับสถาบันอันเกี่ยวข้องกับการสร้างสภาพแวดล้อมและการกำกับพฤติกรรมของผู้คน ทั้งนี้สถาบันเหล่านี้อาจมีลักษณะซ้อนทับก็ได้ เช่น สถาบันอย่างไม่เป็นทางการ อย่างจารีตทางศาสนา อาจถูกผู้คนในสังคมปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นสถาบันอย่างเป็นทางการ อย่างกฎหมายที่ใช้ในการจำกัดการซื้อขายสินค้าและบริการเฉพาะอย่างก็เป็นได้
ยิ่งไปกว่านั้น Williamson ยังอธิบายประเภทของการวิเคราะห์ระบบเศรษฐกิจในแต่ละระดับกระทำโดยสาขาวิชาที่มีแตกต่างกัน กล่าวคือการวิเคราะห์ในระดับของลักษณะการฝังแน่นทางสังคมมักกระทำโดยสาขาวิชาสังคมวิทยาเศรษฐกิจ (economic sociology) ในขณะที่การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมเชิงสถาบันมักเป็นประเด็นหลักของสาขาวิชาที่ให้ความสนใจจากทฤษฎีการเมืองเชิงภาวะวิสัย (positive political theory) อย่างรัฐศาสตร์หรือเศรษฐศาสตร์สถาบัน และการวิเคราะห์ที่มุ่งเน้นรูปแบบการกำกับพฤติกรรมของผู้คนมักปรากฏในงานสายเศรษฐศาสตร์ต้นทุนธุรกรรม (transaction cost economics) ส่วนการวิเคราะห์รูปแบบการจัดสรรและใช้ประโยชน์เป็นประเด็นหลักของเศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิก ดังนั้นการทำความเข้าใจระบบเศรษฐกิจอย่างครบถ้วนจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพินิจถึงรากฐานเชิงสถาบันของแนวทางการตอบคำถามทางเศรษฐกิจของแต่ละสังคม ซึ่งต้องอาศัยความรู้จากหลากหลายสาขาวิชาประกอบกัน
ท้ายที่สุดแล้ว ตำราทฤษฎีสังคมศาสตร์บางเล่ม เช่น How To Map Arguments in Political Science (2007) ของ Craig Parsons อธิบายว่าสถาบันทุกประเภทล้วนเป็น ‘โครงสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้น’ (man-made structures) คำอธิบายข้างต้นมีนัยว่า ผู้คนสามารถสรรสร้างสถาบันขึ้นมาใหม่ เปลี่ยนแปลงสถาบันที่กำลังทำงานอยู่ หรือทำลายสถาบันที่ไม่ตอบโจทย์ของสังคมต่อไปแล้ว ถ้าแนวทางการตอบคำถามทางเศรษฐกิจล้วนเกี่ยวพันกับการดำรงอยู่และการปฏิบัติของสถาบันอย่างแนบแน่น ผู้คนสามารถปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจหรือรูปแบบการจัดสรรและแบ่งสรรทรัพยากรผ่านการปรับเปลี่ยนสถาบันได้ แต่ในท้ายที่สุดการออกแบบหรือปรับเปลี่ยนเชิงสถาบันจำเป็นต้องผสานองค์ความรู้หลายสาขาวิชาเข้าด้วยกัน เนื่องจากลักษณะของระบบเศรษฐกิจเป็นผลลัพธ์จากปฏิบัติการร่วมกันระหว่างการกระทำตามประเพณี การสั่งการจากรัฐหรือผู้ครอบครองอำนาจในการปกครอง และตลาด ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนวางอยู่บนเงื่อนไขเชิงสถาบันที่ต่างกันออกไป
เอกสารอ่านเพิ่มเติม
Heilbroner Robert L. and William Milberg. (2012). The Making of Economic Society Thirteenth Edition. New York, N.Y.: Pearson.
Parsons, Craig (2007). How to Map Arguments in Political Science. Oxford: Oxford University Press.
Williamson, Oliver E. (2000). “The New Institutional Economics: Taking Stock, Looking Ahead.” Journal of Economic Literature 38 (3), 595-613.
[1] หนังสือชิ้นนี้มีฉบับแปลภาษาไทยโดย ลีลี่ โกศัยยานนท์ โดยรายละเอียดทางบรรณานุกรมมีดังนี้
โรเบิร์ต แอล. ไฮล์บรินเนอร์. (2531). การสร้างสังคมเศรษฐกิจ. แปลโดย ลิลลี่ โกศัยยานนท์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ ดวงกมล.