การเดินทางของกฎหมายล้มละลาย

การเดินทางของ ‘กฎหมายล้มละลาย’

วันที่ 17 กันยายน 2568 มี ‘ข่าวดี’ ที่อาจไม่เป็นที่สนใจในวงกว้างมากนัก แต่ส่งผลกระทบต่อคนจำนวนมากอย่างสำคัญเกิดขึ้น เมื่อสภาผู้แทนราษฎรมีมติอย่างท่วมท้น ผ่าน ‘กฎหมายล้มละลาย’ วาระที่ 2 และ 3 แม้จะยังพูดไม่ได้อย่างเต็มปากว่ากฎหมายผ่านแล้ว เพราะร่างกฎหมายยังต้องถูกส่งไปพิจารณาในชั้นสมาชิกวุฒิสภาอีก แต่เมื่อดูแนวโน้มทั้งหมดแล้วก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร

ในสถานการณ์ที่หนี้ครัวเรือนไทยสูงปรี๊ด คนตัวเล็กตัวน้อยต้องติดอยู่ในบ่วงหนี้จนแทบขยับตัวทำอะไรไม่ได้ กฎหมายนี้นับว่ามาถูกที่ถูกเวลา 

หลักคิดของกฎหมายล้มละลายสมัยใหม่อยู่บนฐานที่ว่า การที่ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ไม่ได้มีต้นเหตุจากความไร้สามารถในการบริหารเงินและการทำธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นผลมาจากเหตุการณ์และปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ด้วย เช่น เหตุฉุกเฉินในชีวิต วิกฤตเศรษฐกิจทั้งระบบ เช่น ในกรณีโควิด 19  เป็นต้น ดังนั้น เมื่อต้องเผชิญกับภาวะวิกฤต คนที่เป็นหนี้ก็ควรที่จะได้โอกาสในการฟื้นตัว โดยที่เจ้าหนี้เองก็ยังได้รับการคุ้มครองอยู่

กลไกสำคัญของกฎหมายล้มละลายคือ ‘การฟื้นฟูหนี้สิน’ (debt rehabilitation plan) โดยลูกหนี้ที่เข้าสู่กระบวนการนี้จะได้รับโอกาสในการฟื้นฟู (โดยคำสั่งของศาล) ทำให้ได้รับพักชำระหนี้ในช่วงฟื้นฟู แต่ต้องมีแผนระยะเวลาในการชำระที่ชัดเจน (ซึ่งหากลูกหนี้ยังไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามแผนฟื้นฟู ก็จะถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดได้) กลไกนี้ถูกนำมาใช้หลังวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 ซึ่งส่งผลอย่างมากต่อความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจไทย แต่กฎหมายฉบับเดิมเปิดช่องให้ใช้ได้เฉพาะลูกหนี้ที่เป็นนิติบุคคลเท่านั้น ด้วยความที่ลูกหนี้ส่วนใหญ่จากวิกฤตอยู่กลุ่มนี้

หัวใจของกฎหมายล้มละลายฉบับใหม่ที่เพิ่งผ่านสภาคือ การเปิดช่องให้บุคคลธรรมดาสามารถยื่นล้มละลายเองได้โดยสมัครใจ  และเข้าสู่กระบวนการ ‘ฟื้นฟูหนี้สิน’ ได้ จากเดิมที่ต้องรอให้เจ้าหนี้เป็นผู้ยื่นฟ้องล้มละลายเท่านั้น ซึ่งทำให้ลูกหนี้ไม่มีโอกาสที่จะยื่นแผนการจัดการหนี้เพื่อหลีกเลี่ยงสถานะล้มละลายได้ การขยายสิทธิ์มาถึง SMEs และบุคคลธรรมดาจึงสร้างความเป็นธรรมในภาคการเงินให้มากขึ้น ทั้งในแง่ของการให้สิทธิ์ที่เท่าเทียมกันโดยไม่แบ่งแยกว่าเป็น ‘บุคคล’ หรือ ‘นิติบุคคล’ (ซึ่งสอดคล้องกับหลักสากล) และการทำให้อำนาจต่อรองของลูกหนี้และเจ้าหนี้เท่าเทียมกันมากขึ้น

นอกจากโจทย์เรื่องความเป็นธรรมแล้ว กฎหมายล้มละลายยังมีส่วนช่วยในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งคอยถ่วงรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจไทยด้วย หลายท่านทราบดีอยู่แล้วว่า ในปัจจุบันผู้ประกอบการรายเล็กและคนธรรมดาที่แบกหนี้สินมีข้อจำกัดค่อนข้างมากในการปรับตัวเพื่อรับมือความท้าทายด้านเศรษฐกิจ แต่ภายใต้กฎหมายล้มละลายใหม่ ลูกหนี้ที่เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการหรือฟื้นฟูหนี้สินจะได้รับการพักชำระหนี้อัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยต่อลมหายใจให้ยังพอขยับทำอะไรได้มากขึ้น  

คาดกันว่า ลูกหนี้หลายล้านคนจะได้รับประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้

นอกจากเนื้อหาแล้ว เส้นทางของกฎหมายฉบับนี้ก็นับว่ามีความน่าสนใจไม่น้อย เท่าที่สืบค้นได้ ภาคประชาชนคือหัวหอกหลักในการขับเคลื่อนกฎหมายล้มละลายใหม่ในช่วงแรกๆ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับพอสมควรจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงยุติธรรม ธนาคารแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ฯลฯ สำหรับกระบวนการในสภาฯ พรรคก้าวไกลนับเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว โดยนำเสนอร่างกฎหมายต่อสาธารณะตั้งแต่ปี 2565
ฝ่ายบริหารก็มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนกฎหมายล้มละลายเช่นกัน โดยในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2567 กระทรวงยุติธรรม ภายใต้การนำของคุณทวี สอดส่อง ได้นำเสนอร่างกฎหมายฯ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติหลักการ และในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักการตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ

หมุดหมายสำคัญของการขับเคลื่อนกฎหมายล้มละลายคือ วันที่ 15 มกราคม 2568 เมื่อสภาผู้แทนราษฎรมีมติรับหลักการร่างกฎหมายล้มละลาย 3 ฉบับ ได้แก่ ร่างของพรรคประชาชน ร่างของพรรคเพื่อไทย และร่างของคณะรัฐมนตรี และได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายฯ ซึ่งมีคุณทวี สอดส่องเป็นประธาน โดยคณะกรรมาธิการฯ ใช้เวลาในการทำงาน 8 เดือน ประชุมกันทั้งสิ้น 23 ครั้ง ก่อนส่งร่างเข้าไปโหวตสภาวันที่ 17 กันยายน แบบแทบไม่มีคนค้าน

แม้การที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเห็นตรงกันเกือบทั้งสภาฯ ในการผ่านกฎหมายสักหนึ่งฉบับจะไม่ใช่เรื่องผิดปกติ และมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ แต่ภาพของการมีฉันทมติในสภาฯ ก็เป็นที่แปลกตา-แปลกใจอยู่ไม่น้อย ในบริบทที่ความขัดแย้งแบ่งขั้วระหว่างพรรคการเมืองรุนแรงเช่นในปัจจุบัน

ข้อเท็จจริงนี้สะท้อนว่า ต่อให้ความขัดแย้งจะสูงเพียงใด การเมืองในระบบรัฐสภายังมีพื้นที่ให้พรรคการเมืองทำงานร่วมกันได้

จะว่าไปประชาธิปไตยรัฐสภาก็ดีแบบนี้ ทะเลาะกันแค่ไหน ซัดกันยังไง สุดท้ายยังไงก็ต้องมาคุยกัน


คอลัมน์ Editor’s Talk บทบรรณาธิการ โดย สมคิด พุทธศรี บรรณาธิการอำนวยการ The101.world เผยแพร่ใน Newsletter ‘วันโอวัน’ รายสัปดาห์

  • Subscribe รับ Newsletter ‘วันโอวัน’ พร้อมอ่านผลงานใหม่ทั้งหมดในสัปดาห์ที่ผ่านมาของวันโอวันได้ ที่นี่
  • ร่วมสนับสนุน ‘วันโอวัน’ ได้ที่: https://www.the101.world/101support

MOST READ

editor's note

9 Mar 2022

‘นโยบายสาธารณะ’ ไทยในโลกใหม่: เปิดตัว ‘101 PUB’ – 101 Public Policy Think Tank

101 เปิดตัว 101 PUB ศูนย์ความรู้นโยบายสาธารณะเพื่อการเปลี่ยนแปลง ทำงานบนฐานวิชาการ การพัฒนา และประชาธิปไตย

ปกป้อง จันวิทย์

9 Mar 2022

Economy

15 Mar 2018

การท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจไทย

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ตั้งคำถาม ใครได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวบูม และเราจะบริหารจัดการผลประโยชน์และสร้างความยั่งยืนให้กับรายได้จากการท่องเที่ยวได้อย่างไร

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย

15 Mar 2018

Economy

23 Nov 2023

ไม่มี ‘วิกฤต’ ในคัมภีร์ธุรกิจของ ‘สิงห์’ : สันติ – ภูริต ภิรมย์ภักดี

หากไม่เข้าถ้ำสิงห์ ไหนเลยจะรู้จักสิงห์ 101 คุยกับ สันติ- ภูริต ภิรมย์ภักดี ถึงภูมิปัญญาการบริหารคน องค์กร และการตลาดเบื้องหลังความสำเร็จของกลุ่มธุรกิจสิงห์

กองบรรณาธิการ

23 Nov 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save