หากความเป็นไทยมีอยู่จริง ผมก็ไม่ได้เป็นคนไทยโดยสายเลือดและภูมิหลังแต่อย่างใด
อากงและอาม่า (ปู่ ย่า ตา ยาย) ของผมเป็นชาวจีนมาจากเมืองซัวเถา (ในภาษาแต้จิ๋ว) พ่อและแม่ของผมสืบเชื้อสายมาจากผู้อพยพ เท่าที่จำความได้จากการพูดคุยกับอาม่า (ทางฝ่ายแม่) สาเหตุสำคัญในการเดินทางมาจากเมืองซัวเถาก็สืบเนื่องมาจากความแห้งแล้งที่แพร่กระจายอย่างกว้างขวางในพื้นที่ เรื่องเล่าผ่านปากคำที่สะท้อนถึงความยากลำบากของผู้คนในยามนั้นก็คือ ครอบครัวไหนมีลูกแล้วไม่มีปัญญาจะเลี้ยงดูก็จะเอาไปไว้วางทิ้งไว้หน้าบ้านของผู้มีอันจะกิน ด้วยความหวังว่าอาจมีคนใจบุญรับเอาเด็กคนดังกล่าวไปเลี้ยง ผมได้ฟังเรื่องเล่านี้หลายรอบจากญาติผู้ใหญ่หลายคนเล่าในยามเด็กเมื่อรำลึกถึงการเดินทางพลัดถิ่นฐานบ้านเกิดมา
วิธีการเดินทางมาเมืองไทยก็ด้วยการแอบซ่อนอยู่ในเรือสินค้าที่เดินทางระหว่างไทยกับจีน มาหลบหลีกขึ้นฝั่งเมื่อเรือมาจอดที่เมืองไทย ช่วงระยะเวลาในการเดินทางมาเมืองไทยน่าจะไม่ได้ย้อนกลับไปนานมากนัก เพราะอากงอาม่ายังไม่สามารถใช้ภาษาไทยได้มาก (รวมถึงแม่ผมก็ยังพูดภาษาไทยได้เป็นคำๆ มากกว่า) คาดว่าคงจะอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เนื่องจากแม่เคยเล่าถึงช่วงเวลาที่ต้องหลบระเบิดในช่วงดังกล่าว
แม้จะเป็นผู้อพยพรวมถึงถูกมองว่าเป็น ‘ยิวแห่งบูรพาทิศ’ ในสายตาของชนชั้นนำไทย แต่ด้วยความขาดแคลนแรงงาน ทำให้ชาวจีนจำนวนมากสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมไทยได้ จำนวนหนึ่งอาจจะมีชีวิตอยู่โดยใช้วิถีทางแบบใต้ดิน แต่จำนวนไม่น้อยจะอยู่ในสถานะของ ‘ผู้มีถิ่นที่อยู่’ อันเป็นการอนุญาตของกฎหมายคนเข้าเมืองที่ให้ผู้อพยพสามารถทำงานและใช้ชีวิตอยู่ในสังคมไทยได้โดยไม่ต้องถูกส่งกลับไปยังประเทศต้นทาง หากไม่ได้กระทำความผิดอย่างรุนแรง
การยอมรับให้เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ไม่ใช่การยอมรับให้มีสถานะเป็น ‘คนสัญชาติไทย’ หากเป็นแค่ยอมรับการดำรงอยู่ของ ‘คนต่างด้าว’ เพื่อให้ทำหน้าที่เป็นแรงงานตอบสนองต่อความจำเป็นในทางเศรษฐกิจการค้าของสังคมไทย แน่นอนว่าการยอมรับสถานะดังกล่าวอาจหมายรวมไปถึงการควบคุมกลุ่มคนเหล่านี้ให้อยู่ภายใต้อำนาจของรัฐอย่างใกล้ชิดด้วยเช่นกัน
แม้จะเป็นผู้อาศัยอยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่สถานะดังกล่าวก็มีข้อจำกัดถึงสิทธิในทางการเมือง ที่ชัดเจนคือไม่สามารถมีสิทธิเลือกตั้งหรือสิทธิในการลงรับสมัครเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งในระดับใด
ทั้งนี้ การดำรงอยู่ในสถานะของผู้มีถิ่นที่อยู่จะถูกจำกัดเอาไว้เฉพาะคนรุ่นที่ทำการอพยพมาเท่านั้น สถานะดังกล่าวไม่ได้ถูกถ่ายทอดไปยังลูกหลานแต่อย่างใด
ลูกหลานของผู้อพยพที่ถือกำเนิดขึ้นในเมืองไทย แม้อากงอาม่าจะไม่ได้มีสัญชาติไทยแต่ก็สามารถได้สัญชาติไทยในฐานะที่ถือกำเนิดใน ‘ราชอาณาจักรไทย’ การได้สัญชาติไทยภายใต้เงื่อนไขดังกล่าวนี้คือการเปิดโอกาสให้พวกเขาสามารถเขาถึงการศึกษาของรัฐในทุกระดับ สามารถเข้าทำงานได้อย่างกว้างขวาง นำมาซึ่งการมีชีวิตที่มั่นคงรวมถึงการแสวงหาความก้าวหน้าได้เฉกเช่นคนอื่นๆ ที่ดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมไทย (ประเด็นนี้คือความแตกต่างอย่างสำคัญในทางกฎหมายที่ทำให้ลูกหลานแรงงานต่างด้าวในห้วงเวลาปัจจุบัน แม้จะถือกำเนิดในไทย เรียนโรงเรียนประถมของไทย ฟังเพลงไทย ดูหนังไทย ก็ยังไม่สามารถได้สัญชาติไทย)
ในอดีต สำหรับคนรุ่นอากงอาม่าหรือคนรุ่นพ่อแม่ในบางครอบครัวอาจยังมีความฝันว่าจะกลับไปสู่ดินแดนบ้านเกิด แต่เมื่อตกทอดมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลานเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดการปฏิวัติโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน ค.ศ. 1949 ความฝันในการหวนกลับสู่ดินแดนบ้านเกิดก็เบาบางลงกระทั่งกลายเป็นเพียงเรื่องเล่าถึงบรรพบุรุษ ‘ลอดลายมังกร’ เพียงอย่างเดียว
ผมถือกำเนิดในทศวรรษ 1960 อันเป็นช่วงเวลาที่ผู้อพยพและลูกหลานต่างตระหนักรู้กันเต็มอกว่าสังคมไทยนี่แหละที่จะเป็นที่พำนักอาศัยและมีชีวิตสืบไป ในฐานะของลูกหลานของผู้มีถิ่นที่อยู่ ผมก็ได้สัญชาติไทยสืบเนื่องมาจากการยอมรับหลักการดังกล่าวนี้ นามสกุลของตระกูลเราก็เปลี่ยนมาจากแซ่ หากนับถึงผมก็คือรุ่นที่สองเท่านั้นของนามสกุลนี้
ในชีวิตทางการศึกษา ผมจึงสามารถเข้าศึกษาในโรงเรียนของรัฐมาตลอดตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวะ กระทั่งมหาวิทยาลัย สถานะของคนจีนเสื่อผืนหมอนใบที่ไม่สามารถยกระดับทางชีวิตให้พ้นจากเส้นความยากจนได้มาก ทำให้ช่องทางทางการศึกษาต้องพึ่งพาสถาบันการศึกษาของรัฐเป็นสำคัญ ทั้งหมดได้กลายเป็นเงื่อนไขพื้นฐานของชีวิตที่ทำให้พอจะลืมตาอ้าปาก มีชีวิตแบบชนชั้นกลางๆ ได้ในห้วงเวลาปัจจุบัน
หากมองจากสายตาของลูกหลานผู้อพยพ การยอมรับให้คนต่างบ้านต่างเมืองพอจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นปกติสุข คือความใจกว้างทางสังคมแบบหนึ่ง
หากพิจารณาจากแง่มุมทางกฎหมายเกี่ยวกับสถานะของบุคคล ข้อกำหนดทางกฎหมายเช่นนี้คือการยอมรับให้กลุ่มคนผู้อพยพสามารถมีชีวิตและสร้างความมั่นคงให้เกิดขึ้นได้ภายใต้แนวทางการผสมกลมกลืน (assimilation) อันหมายถึงการสร้างกฎเกณฑ์ให้ผู้คนที่มาจากต่างสังคมสามารถเข้าถึงสิทธิและทรัพยากรได้ ด้วยการใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วอายุคนโดยเฉพาะจากพ่อแม่มาสู่รุ่นลูก
ในหลายประเทศที่ต้องเผชิญกับผู้อพยพ เฉพาะอย่างยิ่งผู้อพยพแบบไม่หวนกลับในลักษณะเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ แนวทางหนึ่งที่ถูกนำมาปรับใช้ก็คือ การให้สถานะ ‘กึ่งพลเมือง’ (quasi-citizen) สถานะดังกล่าวจะเป็นการให้สิทธิพลเมือง สิทธิทางเศรษฐกิจ สิทธิทางสังคม แก่บรรดาผู้อพยพ อันหมายถึงพวกเขาจะสามารถทำงาน เข้าศึกษา ใช้บริการโรงพยาบาลของรัฐได้เฉกเช่นประชาชนทั่วไป ข้อจำกัดสำคัญก็คือสิทธิทางการเมืองเพียงอย่างเดียว
รวมถึงพวกเขาก็มีหน้าที่ต่างๆ เหมือนกับคนอื่น ไม่ว่าจะการปฏิบัติตามกฎหมาย การจ่ายค่าไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ การเสียภาษี vat ในร้านสะดวกซื้อ จ่ายค่าใบอนุญาตทำงาน เป็นต้น พวกเขาจึงไม่ได้เข้ามาทำมาหากินหรือ ‘อยู่ฟรีกินฟรี’ ด้วยเงินภาษีของคนไทยแบบที่มักเข้าใจกันทั่วไป คนจำนวนไม่น้อยกลายเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาสังคมนั้นๆ ให้เจริญก้าวหน้าขึ้น
ลองนึกถึงชนชั้นนำทางการเมือง เจ้าสัวทางเศรษฐกิจ สื่อมวลชน นักวิชาการ ฯลฯ ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจำนวนมาก หากสืบสาแหรกดูก็จะพบว่าสืบเชื้อสายหรือสัมพันธ์กับผู้อพยพอยู่ไม่น้อย
แนวทางการรับมือกับผู้อพยพเช่นนี้ วางอยู่บนความเข้าใจว่าการอพยพเพื่อย้ายถิ่นฐานของผู้คนบนโลกใบนี้เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นและยังเกิดอยู่ รวมทั้งมีแนวโน้มที่จะสามารถเกิดได้ต่อไปในอนาคต การอพยพเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนที่เป็นสามัญชนอาจเป็นผลมาจากแรงผลักดันหรือความจำเป็นที่ยากจะหลีกเลี่ยง ไม่ว่าจะเป็นสงครามระหว่างรัฐ สงครามกลางเมืองภายใน ความอดอยากยากแค้น การถูกกดขี่จากอำนาจรัฐแบบไม่เป็นธรรมอย่างแสนสาหัส ล้วนทำให้สามัญชนต้องกัดฟันมุ่งหน้าไปสู่ดินแดนและสังคมอื่นที่ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอน
จะชั่วจะดียังไง สังคมไทยก็เป็นพื้นที่ที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยจากประเทศเพื่อนบ้านได้อพยพเข้ามาและได้ใช้ชีวิตอยู่เป็นระยะเวลานาน กระทั่งลูกหลานของพวกเขาอาจจะรู้จักสังคมไทยมากกว่าสังคมที่พ่อแม่จากมาเสียด้วยซ้ำ คำถามสำคัญก็คือว่าเราจะสร้างความเข้าใจและนโยบายแบบใดในการรับมือกับผู้อพยพต่างหาก
จะเปิดโอกาสให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นคงปลอดภัยและสามารถแสวงหาความก้าวหน้าในชีวิตต่อไป หรือจะกดขี่เอารัดเอาเปรียบในฐานะแรงงานราคาถูกที่ไม่สามารถต่อรองขัดขืนได้ แม้จะต้องถูกกระทำย่ำยีเพียงใดก็ตาม
ผมเข้าใจว่าผู้คนจำนวนไม่น้อยในสังคมไทยก็ล้วนแล้วแต่มีบรรพบุรุษ/บรรพสตรีที่ไม่ใช่เป็น ‘คนไทย’ หากแต่เป็นผู้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานตั้งรกรากในดินแดนแห่งนี้ รวมถึงได้สามารถปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นพลเมืองไทยอย่างเต็มรูปแบบ และทำให้ลูกหลานในภายหลังได้มีชีวิตอย่างสุขสบายในทุกวันนี้ การตระหนักถึงความเป็นจริงเช่นนี้แหละ จะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้การมองผู้อพยพไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใดก็ตามจะเกิดขึ้นจากสายตาที่มองเห็นพวกเขาเป็นมนุษย์ที่มีเลือด มีเนื้อ มีหัวใจ และมีความใฝ่ฝัน
ท่าทีและนโยบายจากสายตาของมนุษย์เยี่ยงนี้จึงจะสามารถสร้างนโยบายต่อผู้อพยพที่มีความเป็นมนุษย์ขึ้นได้