หมดยุค ‘แพง-ยาก-ไม่อร่อย’ เสิร์ฟอย่างไรให้ความยุติธรรมจานใหม่ ‘กินได้จริง’

ความยุติธรรมคือหนึ่งในสารอาหารสำคัญที่หล่อเลี้ยงการอยู่ร่วมกันในสังคม คือหลักอัน ‘ยุติ’ ความบาดหมาง ขัดแย้ง และไม่ลงรอย ตั้งแต่การกระทบกระทั่งเล็กน้อยจนถึงข้อพิพาทใหญ่โต สังคมที่ขาดสารอาหารสำคัญย่อมป่วยไข้ แต่จะทำอย่างไรได้เมื่อความยุติธรรมในไทยทั้งมีราคาสูง จับต้องได้ยากเย็น และบางครั้งยังไม่สะอาด เฝื่อนฝาดจนแทบกลืนไม่ลง

จะปรับสูตร ยกเครื่องร้านอาหาร หรือพัฒนาฝีมือพ่อครัวอย่างไร เพื่อเสิร์ฟความยุติธรรมจานใหม่ที่สะอาด อร่อย กินได้ถ้วนหน้า เป็นคำถามที่ผู้ร่วมเวทีเสวนา หัวข้อ ‘เสิร์ฟประชาชนอย่างไร ให้ยุติธรรมกินได้’ ร่วมกันหาคำตอบผ่านงานวิจัยหลากหลาย ประสบการณ์ในกระบวนการยุติธรรม และองค์ความรู้เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม ทั้งพระเมธีวัชรบัณฑิต ผู้อำนวยการหลักสูตรพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาสตินวัตกรรมและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, พงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม และธานี ชัยวัฒน์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีสืบสกุล เข็มทอง ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กร บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ชวนเสวนา ในการประชุมทางวิชาการระดับชาติว่าด้วยงานยุติธรรม ครั้งที่ 22 วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤษภาคม 2568 ณ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ)

ตีโจทย์กระบวนการยุติธรรมไทยที่บางคนกินได้ บางคนกลืนไม่ลง

สืบสกุลตั้งต้นด้วยคำถามสำคัญว่า ประชาชนจะกินความยุติธรรมที่เป็นนามธรรมอย่างยิ่งได้อย่างไร

พงษ์สวาท นีละโยธิน อธิบายว่าต้องทำให้ความยุติธรรมเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้นเสียก่อน กล่าวคือจับต้องได้ สัมผัสได้ และพึ่งพิงได้ ทั้งหมดนี้มีที่มาจากต้นธารเดียวกัน คือประชาชนต้องเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้จริง

“คำสำคัญคือการเข้าถึง เพราะระบบยุติธรรมไทยจากในอดีต จนถึงหลักนิติรัฐและนิติธรรมในปัจจุบัน รวมถึงทางเลือกอย่างความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (restorative justice) จะไม่เป็นที่สัมผัสหรือพึ่งพิงได้เลย ถ้าประชาชนเข้าถึงไม่ได้แต่แรก ดังนั้นก่อนจะทำให้ความยุติธรรมกินได้ ต้องทำให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมก่อน”

พงษ์สวาทซึ่งเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรมระบุว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 กำหนดให้รัฐมีหน้าที่จัดการให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม เข้าใจสาระของกฎหมายโดยสะดวกและรวดเร็ว กระนั้นหลายครั้งที่เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์และสถานพินิจพูดคุยกับผู้ต้องขัง กลับพบว่าผู้ต้องขังจำนวนมากไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนกระทำนั้นผิดกฎหมาย ซึ่งพงษ์สวาทเชื่อว่าหากประชาชนมีความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายที่แม่นยำและเพียงพอ จำนวนคดีความจะลดลง

“เราเรียนรู้กันตั้งแต่ระดับปริญญาตรีว่าการไม่รู้กฎหมายไม่ใช่ข้อแก้ต่างเพื่อไม่รับผิด และหลักการนี้ต้องมีอยู่เพื่อให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเราไม่ยึดหลักการนี้ คนรับผิดก็จะมีแต่คนรู้กฎหมาย ทำให้เกิดผลประหลาดในการบังคับใช้กฎหมาย การทำให้ประชาชนมีความรอบรู้ด้านกฎหมายจึงเป็นหน้าที่หนึ่งของกระทรวง”

นอกจากปัญหาด้านความรู้แล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกหนึ่งอุปสรรคในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมคือปราการค่าใช้จ่ายสูงลิ่วที่จะยิ่งสูงจนเกินเอื้อมเมื่อคดีความยืดเยื้อ ซึ่งเธอยืนยันว่าราคาความยุติธรรมจานหนึ่งต้องจับต้องได้ ไม่ใช่ “อาหารร้านมิชลินสตาร์หรืออาหารที่ต้องจ่ายถึงหลักหมื่นเพื่อให้กินแล้วอิ่มท้อง”

ความเหลื่อมล้ำนี้นำไปสู่การออกแบบกลไกเพื่อนำความยุติธรรมไปสู่ประชาชนในพื้นที่ต่างๆ เช่น ศูนย์ยุติธรรมชุมชน สำนักงานยุติธรรมจังหวัด ฯลฯ ตลอดจนความพยายามปรับปรุงการดำเนินงานของกรมกองในสังกัดกระทรวงยุติธรรมเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นร่างพระราชบัญญัติชะลอการฟ้องที่สำนักงานกิจการยุติธรรมได้เสนอ เพื่อให้ผู้ต้องหามีโอกาสแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนและรับฟังผู้เสียหาย การจัดตั้งกองทุนยุติธรรมเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่ายในกระบวนการยุติธรรมแก่ประชาชน หรือกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพเพื่อบรรเทาปัญหาการละเมิดสิทธิและเสรีภาพ ตลอดจนส่งเสริมความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพ

พงษ์สวาทยังระบุว่าอีกโจทย์ที่กระทรวงยุติธรรมต้องตีให้แตกคือโครงสร้างหน่วยงานในกระทรวงที่ขาดการบูรณาการ

“หลายหน่วยงานทำงานซ้ำซ้อนหรือเป็นไซโลของใครของมัน เราติดกับดักคำว่าอิสระ มักพูดว่ากระบวนการนี้หน่วยงานนี้ต้องเป็นอิสระ แต่คำว่าอิสระเป็นข้อจำกัดในการเชื่อมต่อระหว่างแต่ละหน่วยงาน คำนี้ควรสื่อถึงกระบวนการทำคำวินิจฉัย คือปลายทางควรเป็นอิสระ แต่ระหว่างทำงานร่วมกันควรมีการแบ่งปันและเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อพูดคุยกัน ถ้าเราแก้ไขปัญหาสามอย่างที่ว่ามานี้ได้ ความยุติธรรมจานนี้ก็น่าจะเสิร์ฟถึงมือประชาชน”

พระเมธีวัชรบัณฑิตรับไม้ต่อจากปลัดกระทรวงยุติธรรมเพื่ออธิบายการดำเนินงานของศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน อีกหนึ่งกลไกเสิร์ฟความยุติธรรมที่คลี่คลายความขัดแย้งในชุมชนต่างๆ โดยไม่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลให้เปลืองเวลา ค่าใช้จ่าย และสายสัมพันธ์

“อาตมาจะพูดกับทีมงานบ่อยๆ ว่าเรากำลังส่งเสริมระบบยุติธรรมและสันติภาพในชุมชน ถ้าหมู่บ้านต่างๆ จำนวนแปดหมื่นกว่าหมู่บ้านทั่วประเทศเข้าถึงศูนย์เหล่านี้ได้ เท่ากับเราได้ส่งมอบคุณค่ากลางคือความยุติธรรมที่รัฐเป็นผู้กำกับดูแลให้ประชาชน ทำให้กระบวนการยุติธรรมเป็นทางรอด ไม่ใช่ทางเลือก เพราะทุกคนเข้าถึงได้โดยตรง”

ศูนย์ดังกล่าวมีที่มาจากพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พุทธศักราช 2562 โดยมุ่งพัฒนานักไกล่เกลี่ยพุทธสันติวิธีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเพื่อระงับข้อพิพาทในชุมชนต่างๆ ผ่านความร่วมมือของมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ผู้ออกแบบหลักสูตรสตินวัตกรรมและสันติศึกษาโดยประยุกต์ใช้หลักพุทธศาสนา กับสำนักงานศาลยุติธรรม สถาบันพระปกเกล้า กระทรวงยุติธรรม กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ รวมถึงสำนักงานกิจการยุติธรรม

การดำเนินงานโดยอาศัยหลักการ ‘บวร’ ซึ่งมุ่งเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างบ้าน วัด และโรงเรียนในชุมชน ยังทำให้ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนมีเครือข่ายพันธมิตรหลากหลายทั้งในภาครัฐและเอกชน โดยนอกจากการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแล้ว ศูนย์ดังกล่าวยังรับเรื่องร้องทุกข์และให้คำปรึกษาทางกฎหมาย ตลอดจนจัดการอบรมเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงสิทธิเสรีภาพ เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างเป็นธรรมและรวดเร็ว อันเป็นหัวใจของความสมานฉันท์ในชุมชน

“เป็นครั้งแรกที่รัฐมอบอำนาจในการไกล่เกลี่ยให้ประชาชน แต่ก่อนเรามีระบบ ‘แก่เหมือง แก่ฝาย’ และ ‘เจ้าโคตร’ แต่ไม่มีสภาพบังคับทำให้ผลการไกล่เกลี่ยบิดเบี้ยวไป ไม่เหมือนการดำเนินงานของศูนย์ไกล่เกลี่ยในปัจจุบัน” พระเมธีวัชรบัณฑิตอธิบาย

นอกจากนี้ ความร่วมมือกับมหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติยังส่งผลให้มหาเถรสมาคมมีมติให้วัดที่มีความพร้อมจัดตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน ซึ่งจะยิ่งอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของประชาชนในอนาคต

หนึ่งในผลงานการไกล่เกลี่ยที่พระเมธีวัชรบัณฑิตภาคภูมิใจคือการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างชุมชนกับโครงการออริจิ้น เพลย์ บางขุนนนท์ ซึ่งเป็นอาคารชุดพักอาศัยสูง 30 ชั้น โดยอาศัยการพูดคุยที่วัดใหม่ (ยายแป้น) 2-3 ครั้งในระยะเวลาราวหนึ่งปีจึงสำเร็จ ทั้งนี้ ศูนย์ไกล่เกลี่ยยังเป็นพื้นที่หลักในการหารือเพื่อยุติปัญหาการขาดการชำระสินเชื่อกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยอีกด้วย

“ทุนทรัพย์ที่ไม่ต้องสูญเสียอันเป็นผลจากการไกล่เกลี่ยสำเร็จของศูนย์ คิดเป็นมูลค่าถึง 56,138,000 ล้านบาท คือไม่ต้องเสียเงินเสียทองก็พูดคุยกันได้ ตกลงกันเรียบร้อยได้” พระเมธีวัชรบัณฑิตระบุ

อย่างไรก็ตาม พระเมธีวัชรบัณฑิตยังเห็นว่าการยกระดับศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนเป็นกรม จะทำให้การดำเนินงานของศูนย์มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

“เรามีองค์การไกล่เกลี่ยระดับโลก (World Mediation Organization) ที่เยอรมนี การไกล่เกลี่ยนั้นปฏิบัติกันทั่วโลกและสำคัญ จึงควรแยกจากกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพเป็นกรมกองเฉพาะ และควรยกระดับศูนย์ไกล่เกลี่ยด้วย ตอนนี้อยู่กันตามยถากรรมน่าสงสาร มีแต่อาสาสมัครทั้งนั้นเลย ควรพัฒนานักไกล่เกลี่ยเป็นวิชาชีพ มีสภาวิชาชีพดูแลเป็นการเฉพาะ ให้มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และสุขใจ”

ทั้งนี้ ยังมีปัญหาการขาดการบูรณาการระหว่างหน่วยงานในชุมชน เช่น ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน ศูนย์ยุติธรรมชุมชน ฯลฯ ไม่ต่างจากกรมกองอื่นๆ ในกระทรวงยุติธรรม ซึ่งต้องร่วมกันแก้ไขต่อไป

ธานี ชัยวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม เริ่มต้นด้วยการตีโจทย์ความยุติธรรมผ่านกรอบความคิดมื้ออาหารเพื่อหาคำตอบที่ ‘กินได้ ย่อยง่าย’ ว่าเหตุใดความยุติธรรมไทยจึงไม่ใช่อาหารที่ประชาชนเข้าถึง

“ความหิวคือความต้องการความยุติธรรม คนที่หิวมากคือผู้ถูกกระทำ เป็นคนชั้นล่างสุดของสังคม ยิ่งหิวมากเท่าไรยิ่งต้องการความยุติธรรมมากเท่านั้น”

ธานีชวนเปรียบเทียบกระทรวงยุติธรรมเป็นกรมอนามัยผู้กำกับคุณภาพอาหาร โดยให้หน่วยงานในกระทรวงเป็นร้านอาหาร บุคลากรในกระทรวงเป็นผู้ประกอบอาหาร เมนูเป็นสิทธิ ซึ่งท้ายที่สุดประชาชนหรือลูกค้าต้องเลือกใช้สิทธิที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของตน

“คำถามคือร้านอาหารที่กระทรวงบริหารหน้าตาเป็นอย่างไร ถ้าอยากรู้ต้องฟังเสียงชาวบ้าน ชาวบ้านอาจบอกว่า ‘หิว แต่ไม่กล้าเข้าร้านเลย แพง’ เพราะพวกเขาไม่มีความรอบรู้และไม่กล้าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ขณะที่ ‘ร้านไกลจัง’ อาจเป็นได้ทั้งความไกลทางกายภาพและความรู้สึก บางคนอาจบอกว่า ‘เมนูก็ยาก อ่านไม่ออก พนักงานบางคนพูดจาไม่ชวนรับประทานเลย ไหนจะคนที่เคยกินบอกว่ากินแล้วท้องเสียอีก’ แปลว่าร้านอาหารที่ส่งมอบกระบวนการยุติธรรมเหล่านี้ไม่ทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น”

เขายังอาศัยหลักการเดินทางของผู้บริโภค (customer journey) เพื่อเสนอแนวทางปรับปรุงและประชาสัมพันธ์ร้านความยุติธรรม กล่าวคือการตระหนักถึงความหิว (need) หรือความต้องการความช่วยเหลือด้านกฎหมายของประชาชน การคำนึงถึงความยากง่ายใน ‘การมองหา’ ร้าน (access) ในพื้นที่ที่ตนอาศัยอยู่ และการเข้าถึงบริการในร้าน (availability) ที่อาจไม่สะดวกสบาย มีขั้นตอนซับซ้อน และใช้เอกสารมาก จากนั้นจึงวิเคราะห์ประสบการณ์ในร้านความยุติธรรม ตั้งแต่สัมผัสแรก (engagement) อย่างการกรอกแบบฟอร์มและการติดต่อหน่วยงานต่างๆ จนถึงประสบการณ์ถัดมา (experience) อย่างการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคลากรและกระบวนการยุติธรรม ที่อาจสร้างความสับสนและความรู้สึกเชิงลบขณะใช้บริการ ท้ายที่สุดคือพิจารณาความพึงพอใจของผู้บริโภค (satisfaction) ที่เกิดจากการได้รับความยุติธรรมซึ่งมีคุณภาพสมราคา อันจะพัฒนาเป็นความเชื่อมั่นในระบบต่อไป ตลอดจนผลลัพธ์ในระยะยาว (sustainable outcome) หรือความ ‘อยู่ท้อง’ ของความยุติธรรมจานหนึ่ง กล่าวคือการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นหลังผ่านกระบวนการดังกล่าว

“วัฒนธรรมการกินเป็นเครื่องมือสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความยุติธรรมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง (people-centered justice) ที่ดีที่สุดเครื่องมือหนึ่ง เมื่อเราเห็นภาพแล้วว่าร้านความยุติธรรมควรมีหน้าตาแบบไหน ก็จะกำหนดเป้าหมายร่วมกันได้”

เขายังสะท้อนปัญหาในกระบวนการยุติธรรมไทยด้วยงานวิจัยของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทยและสำนักงานการวิจัยแห่งชาติที่วิเคราะห์ข้อมูลจากกว่า 4,000 ครัวเรือนทั่วประเทศซึ่งสะท้อนคุณลักษณะประชากรของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ายิ่งประชากรมีรายได้สูงมากเท่าไรยิ่งมีแนวโน้มเป็นผู้ฟ้องมากเท่านั้น โดยที่ผู้มีรายได้น้อยมีแนวโน้มเป็นผู้ถูกฟ้อง อันยืนยันว่าค่าใช้จ่ายในกระบวนการยุติธรรมนั้นสูงยิ่ง

นอกจากปัจจัยรายได้แล้ว ระดับการศึกษาและอาชีพของประชาชนยังส่งผลต่อการเข้าถึงและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่างกันไป โดยธานีชี้ว่าผู้มีระดับการศึกษาสูงมีแนวโน้มเป็นผู้ฟ้องมากกว่าผู้มีระดับการศึกษาต่ำกว่า “แนวโน้มนี้แปลว่ากระบวนการยุติธรรมนั้นยุ่งยาก เพราะเมื่อมีการศึกษาน้อยก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในฐานะผู้ฟ้องไม่ได้ ทั้งที่กรณีที่ดีที่สุดคือไม่ว่าจะมีการศึกษาน้อยหรือมาก มีรายได้สูงหรือต่ำ ก็ต้องเป็นผู้ฟ้องหรือผู้ถูกฟ้องได้เท่าๆ กัน เพราะไม่มีใครดีหรือเลวกว่ากัน แต่เรากลับเห็นช่องว่างที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างระดับการศึกษา” ธานีระบุ

สำหรับปัจจัยอาชีพนั้น การเป็นพนักงานราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนการมีสมาชิกครอบครัวหรือบุคคลใกล้ชิดเป็นพนักงานราชการและรัฐวิสาหกิจ ทำให้แนวโน้มการเป็นผู้ฟ้องสูงขึ้นมาก โดยหากพิจารณาจากสถิติที่ธานีนำเสนอ แม้ผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัวและเจ้าของกิจการจะมีแนวโน้มเป็นผู้ฟ้องสูงเช่นกัน แต่ช่องว่างระหว่างการเป็นผู้ฟ้องกับผู้ถูกฟ้องของพนักงานราชการและรัฐวิสาหกิจถ่างกว้างกว่ามาก กล่าวคือมีแนวโน้มเป็นผู้ฟ้องถึงร้อยละ 52.08 และมีแนวโน้มเป็นผู้ถูกฟ้องเพียงร้อยละ 14.58 เท่านั้น

ข้อมูลดังกล่าวยิ่งสำทับความยุ่งยากของกระบวนการยุติธรรมไทย ซึ่งทำให้ความเข้าใจระเบียบและเอกสารที่ซับซ้อน ตลอดจนความสามารถในการติดต่อหน่วยงานที่หลากหลายและการมีเครือข่ายผู้ให้ความช่วยเหลือ กลายเป็นข้อได้เปรียบในการบริโภคความยุติธรรม  

“ด้วยระบบและกระบวนการนี้ เราแทบไม่ต้องพุ่งเป้าไปที่คุณธรรมส่วนบุคคลเลย ยังไม่ต้องพูดถึงสินบนหรือการคอร์รัปชัน จัดการระบบก่อน ต้องร่วมกันคิดว่าถ้าเรามีร้านอาหาร เราไม่อยากให้ลูกค้าพูดถึงร้านของเราว่าอย่างไร เราอยากให้ประชาชนพูดว่า ‘อย่าจ้างทนายเลย ลำบาก’ ‘อย่าฟ้องเลย มันยุ่ง’ หรือ ‘ดีนะ ฟ้องสิ’ กันแน่”  

เขายังทิ้งทวนโค้งแรกของการเสวนาด้วยอีกสถิติน่าสนใจ คือทั้งประชากรกลุ่มที่มีประสบการณ์ตรงในกระบวนการยุติธรรม กลุ่มที่มีบุคคลใกล้ชิดมีประสบการณ์ตรง และกลุ่มที่ไม่มีประสบการณ์เลย มีความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมไทยและกระบวนการยุติธรรมอื่นๆ ที่มนุษย์เป็นผู้ออกแบบเท่าๆ กัน ทว่า ‘ร้านคู่แข่ง’ ที่ได้คะแนนสูงกว่าทั้งคู่อย่างเห็นได้ชัด กลับเป็นร้าน ‘กฎแห่งกรรม’

“ประชาชนเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรมมาก เมื่อไม่ได้รับความยุติธรรมและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมไม่ได้ พวกเขาเชื่อในกฎแห่งกรรม พวกเขาเชื่อและรอ แล้วเราจะแข่งขันกับร้านนี้อย่างไรดี”

ยกเครื่องเสิร์ฟความยุติธรรมใหม่ เริ่มจากตรงไหนดี

ธานีอธิบายต่อไปว่าตามหลักเศรษฐศาสตร์นั้น ความยุติธรรมนับเป็นโครงสร้างพื้นฐานหนึ่งของสังคม และเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สัมพันธ์กับการความตีความของแต่ละบุคคล จึงอาจไม่มีความยุติธรรมแท้จริงรูปแบบเดียว ถึงอย่างนั้น เขายังเชื่อว่าระบบที่มีประสิทธิภาพคือทางออกหลักของปัญหาความยุติธรรมกินไม่ได้ ไม่ใช่การมุ่งพัฒนาบุคคลเท่านั้น

“เวลาเราพูดถึงความยุติธรรมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง เราหมายถึงคนที่อยู่ใต้ธรรมาภิบาล (good governance) ที่ตอบสนองต่อผู้มีส่วนได้เสีย (responsive) อย่างเท่าเทียม มีความโปร่งใสและเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วม ถ้ามีธรรมาภิบาลที่ว่านี้ ก็ไปถึงความยุติธรรมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางได้”

ธานียังชี้ว่าธรรมาภิบาล หรือปัจจัยที่สำนักงานกิจการยุติธรรมเปรียบเป็นน้ำที่หล่อเลี้ยงร่างกายนั้น ผกผันตามระบบที่กำกับดูแลมากกว่าคุณธรรมส่วนบุคคลเช่นกัน โดยใช้ระบบเรียกรถออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันเพื่ออธิบายให้เห็นภาพ

“แต่ก่อนเราจะขึ้นแท็กซี่ โบกแล้วไม่ไปบ้าง ขอเหมาจ่าย หรือพูดจาไม่ดี โวยวาย ขับรถสวิงสวาย เราทำอะไรไม่ได้เลย ไม่มีกระบวนการยุติธรรมใดๆ ทำอะไรได้เลย แต่ทุกวันนี้มีบริการจากแกร็บ ไลน์แมน และอูเบอร์ ที่ เราให้ดาวคนขับต่างกันไปได้ ต่ำกว่าสองดาวมีพนักงานโทรศัพท์หาด้วย เรารู้ว่าใครเป็นคนขับ โดยที่การกดดาวคือการมีส่วนร่วมในระบบ (participation) และหน้าตาของคนขับคือความโปร่งใส (transparency) นอกจากนี้ระบบยังตอบสนองต่อเราอย่างรวดเร็ว คนขับมีภาระรับผิดชอบ (accountability) ใต้หลักนิติธรรม (rule of law) ที่มีกติกาชัดเจน”

“คนขับไม่ได้ต่างไปจากที่เคยมีเลย” ธานีย้ำ “เขาอาจรุนแรงหยาบคายเมื่ออยู่ที่บ้าน แต่เมื่อทำหน้าที่เพื่อสาธารณะ เขามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกติกา เขารู้ว่าขับรถสวิงสวายไม่ได้ ด่าผู้โดยสารไม่ได้ เพราะมีธรรมาภิบาลกำกับอยู่”

ด้วยเหตุนี้ ผู้ใช้บริการจึงรู้สึกว่ามีกระบวนการกำกับดูแลอย่างแท้จริง ตนได้รับความคุ้มครอง ตลอดจนมีส่วนร่วมในการดูแลระบบ เป็นความยุติธรรมกินได้ที่ชัดเจนยิ่งรูปแบบหนึ่ง

ทั้งนี้ การมีส่วนร่วมในระบบยุติธรรมนั้นอาศัยการเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับของประชาชน ซึ่งธานีชี้ว่าจากงานวิจัยของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติซึ่งวิเคราะห์ตัวอย่างกว่าหนึ่งล้านตัวอย่างนั้น ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรม (rule of law index) ของไทยมากที่สุด และเป็นอุปสรรคสำคัญของการมีส่วนร่วมในระบบยุติธรรมอย่างแข็งขันของประชาชน กลับเป็นปัญหาเล็กน้อยอย่างการไม่ปฏิบัติตามกฎจราจรของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ สัญญาที่ไม่เป็นธรรมในชีวิตประจำวัน การต้มตุ๋นทางโทรศัพท์ เป็นต้น ไม่ใช่ปัญหาที่ใหญ่กว่าและซับซ้อนในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาอย่างที่หลายคนจินตนาการ  

“เราอาจต้องเริ่มจากเรื่องเล็กๆ เหล่านี้ แล้วทำให้น้ำหรือธรรมาภิบาลที่เรามีสะอาดขึ้น ใสขึ้น และสร้างสุขภาพได้ดีขึ้น” ธานีทิ้งทวน

แต่เพียงระบบที่มีประสิทธิภาพในกระทรวงยุติธรรมลำพังนั้นเห็นจะไม่เพียงพอ พงษ์สวาทเสริมว่าท้ายที่สุดแล้ว ถนนที่มุ่งไปสู่ความยุติธรรมกินได้ต้องอาศัยความร่วมมือเป็นวงกว้างกว่านั้น

“คงตัดตอนทำท่อนใดท่อนหนึ่ง ต้นน้ำ กลางน้ำ หรือปลายน้ำอย่างเดียวไม่ได้ คือทำเพียงกระทรวงยุติธรรมหน่วยเดียวไม่ได้ หลายคนพูดว่ากระทรวงยุติธรรมคือปลายน้ำ ทั้งกรมพินิจฯ กรมคุมประพฤติ กรมบังคับคดี และกรมราชทัณฑ์ กระบวนการที่อยู่ปลายน้ำนี้คือการพัฒนาพฤตินิสัย ซึ่งเป็นคำเก่า หมายถึงมาตรการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงผู้กระทำผิด ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่เราต้องเสิร์ฟให้ประชาชนรับประทาน และเป็นกระบวนการที่เราควบคุมได้ทุกอย่าง เพราะอยู่ในพื้นที่จำกัด ไม่มีใครหนีไปไหนได้ แต่เมื่อผู้กระทำผิดกลับออกไปแล้ว เราพบว่าแนวโน้มที่คนเหล่านี้จะกลับมาเป็นลูกค้าเรานั้นสูงมาก”

ปลัดกระทรวงยุติธรรมย้ำว่าทุกหน่วยในทุกระดับของสังคม ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานราชการอื่นๆ หรือชุมชนต้องร่วมกันเป็นหูเป็นตา ตลอดจนให้โอกาสผู้เคยเดินทางถึงปลายน้ำของระบบยุติธรรมได้เริ่มต้นใหม่ โดยไม่ผลักไสคนเหล่านี้กลับสู่วังวนกระบวนการยุติธรรมอีก ภารกิจปรุงความยุติธรรมกินได้จึงจะลุล่วงตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

“ปัจจุบันเราจะได้ยินวลี ‘คนล้นคุก’ คนเหล่านี้บางครั้งแค่ขับรถผิดกฎจราจร ไม่ใช่อาชญากร และไม่ได้ตั้งใจกระทำความผิด สัมพันธ์กับอีกประโยคที่ได้ยินบ่อยคือ ‘สู้ติดแน่ แพ้ติดนาน ถ้าจะสารภาพ ให้บอกพอประมาณ’ ซึ่งกลายเป็นชุดความคิดที่ทำให้อัยการส่วนใหญ่สั่งฟ้องเพียงเพราะมองว่าเข้าไปก่อนแล้วขอลดหย่อนผ่อนโทษอีกทีก็ได้ ทั้งที่จริงๆ เรากำลังผลักคนไปสู่กระบวนการที่ไม่จำเป็น”

ด้วยเหตุนี้ การเผยแพร่ความรู้และให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จึงยังเป็นภารกิจสำคัญที่กระทรวงยุติธรรมต้องขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างเต็มที่ เพื่อให้จานความยุติธรรมนั้นได้สัดส่วน สอดคล้องกับความต้องการที่หลากหลายของแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง

ตัวต่อชิ้นสุดท้ายในการยกเครื่องร้านความยุติธรรม จึงเป็นกลไกมอบความเป็นธรรมชนิด ‘บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น’ ตั้งแต่ต้นน้ำ อย่างศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนและผู้ทำงานใกล้ชิดชุมชนอย่างพระเมธีวัชรบัณฑิต ซึ่งให้ความสำคัญกับการหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์อันดีในหน่วยย่อยของสังคมอย่างชุมชนและหมู่บ้าน ตลอดจนเห็นว่าการมุ่งปะทะคะคานหรือฟ้องร้องเมื่อเกิดความขัดแย้งนั้น ส่งผลเสียต่อการสร้างความร่วมมือที่แท้จริงแล้วเป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งมอบความยุติธรรมระยะแรกเริ่ม

“เมื่อมีการฟ้องร้องกัน ความสัมพันธ์ในชุมชนจะแตกสลาย ขณะที่การไกล่เกลี่ยหาทางออกร่วมกันจะนำไปสู่การเสริมสร้างสายสัมพันธ์ เปิดโอกาสให้แต่ละฝ่ายได้พูดคุยกันมากขึ้น”

โดยแนวทางที่พระเมธีวัชรบัณฑิตสนใจศึกษาเพื่อพัฒนาการทำงานของศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนต่อไป คือการสร้าง ‘เมืองแห่งสติ’ (mindfulness city) ที่เกเลพู ประเทศภูฏาน ซึ่งอาศัยการพัฒนาสติเพื่อยกระดับเมือง ผ่านการสร้างพลเมืองมีความตื่นรู้ (awakened citizen) ซึ่งพระเมธีวัชรบัณฑิตมีเป้าหมายนำรูปแบบเมืองแห่งสติมาปรับใช้ในการสร้างสรรค์ศูนย์พัฒนาสติและดูแลสุขภาพอย่างเป็นองค์รวม (mindfulness and wellness complex) ระดับชุมชน ทำให้สมาชิกชุมชนและหมู่บ้านมีโอกาสดูแลความเป็นอยู่และสุขภาพของกันและกัน อันจะยกระดับความสมานฉันท์เพื่อเติมเต็มระบบยุติธรรมต่อไป

“อาตมาเชื่อว่าทำแบบนี้แล้วองคาพยพของหมู่บ้านจะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข พึ่งพาอาศัยกันได้ ซึ่งต้องขอบคุณกระทรวงยุติธรรมที่ใส่ใจและผลักดันหลายนโยบายให้เราได้ทำงานในพื้นที่”

เมื่อรากฐานของสังคมเหนียวแน่นและแข็งแรง รวมถึงมีระบบกำกับดูแลความเป็นธรรมที่มีประสิทธิภาพ ความหวังที่ความยุติธรรมจานใหม่จะกินได้จริงและกินได้ง่าย ก็ดูจะอยู่ไม่ไกลเกินไป


ผลงานชิ้นนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) (TIJ) และ The101.world

MOST READ

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save