หากพิจารณาจากมุมมองทางเศรษฐศาสตร์กระแสหลักและเศรษฐศาสตร์แบบเสรีนิยมใหม่ การประกาศใช้นโยบายมาตรการภาษีแบบตอบโต้ (reciprocal tariff) โดยโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันปลดแอก (Liberation Day) เพื่อนำสหรัฐฯ ออกจากระบบการค้าที่ทรัมป์มองว่าไม่เป็นธรรม ดูเหมือนจะไม่มีความเป็นเหตุเป็นผลทางเศรษฐศาสตร์เอาเสียเลย อีกทั้งถูกมองว่าเป็นความบ้าคลั่งในการดำเนินนโยบาย ทำให้นโยบายภาษีแบบตอบโต้ของทรัมป์กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการดำเนินนโยบายที่จะย้อนกลับมาทำร้ายสหรัฐฯ เสียเอง
ในเมื่อเราไม่สามารถอธิบายความเป็นเหตุเป็นผลในการดำเนินนโยบายภาษีของทรัมป์ได้ด้วยแนวคิดเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก บทความนี้ชวนผู้อ่านมองนโยบายภาษีของทรัมป์ผ่านเลนส์ใหม่ที่เรียกว่า ‘ภูมิเศรษฐศาสตร์’
ภูมิเศรษฐศาสตร์ (Geoeconomic) คือศาสตร์แขนงย่อยของเศรษฐศาสตร์ ที่มุ่งวิเคราะห์การใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจเพื่อเป้าหมายทางอำนาจและความมั่นคงระหว่างประเทศ สถานการณ์ที่ระเบียบการค้าโลกกำลังถูกเขย่าด้วยนโยบายภาษีแบบตอบโต้ของทรัมป์ สะท้อนว่าการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเพื่อวัตถุประสงค์ทางอำนาจและความมั่นคงระหว่างประเทศได้กลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง
ภูมิเศรษฐศาสตร์คืออะไร?
ภูมิเศรษฐศาสตร์เป็นการศึกษาเกี่ยวกับวิธีที่รัฐบาลใช้ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจหรืออำนาจทางเศรษฐกิจของประเทศตนเพื่อสร้างอิทธิพลต่อประเทศอื่นๆ ตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง นักเศรษฐศาสตร์ไม่ได้ให้ความสนใจศึกษาเกี่ยวกับภูมิเศรษฐศาสตร์ แต่แล้วความสนใจในเรื่องภูมิเศรษฐศาสตร์ก็กลับมาอีกครั้งในยุคที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรกและต่อเนื่องมายังสมัยที่สอง ตัวอย่างของเครื่องมือในการดำเนินนโยบายทางภูมิเศรษฐศาสตร์ เช่น การขึ้นภาษีนำเข้า การอายัดทรัพย์สิน การควบคุมหรือจำกัดการลงทุนข้ามชาติ และการดำเนินนโยบายอุตสาหกรรมโดยการอุดหนุนภายในประเทศ ภูมิเศรษฐศาสตร์จึงกำถูกนำมาใช้ในการทำความเข้าใจนโยบายภาษีของทรัมป์อีกครั้ง
ภายใต้กรอบแนวคิดของเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก พอล ซามูเอลสัน (Paul Samuelson) นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน เสนอแนวคิดสำคัญเรื่อง ‘ปืนกับเนย’ (guns versus butter) เพื่ออธิบายการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด โดยปืนใช้แทนสินค้าในด้านความมั่นคง ส่วนเนยแทนสินค้าในชีวิตประจำวัน แนวคิดของซามูเอลสันมองการตัดสินใจทางเศรษฐกิจเป็นเรื่องของประสิทธิภาพและคำนึงถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ไม่ได้พิจารณาปัจจัยทางอำนาจ การเมืองหรือยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ คำถามสำคัญของซามูเอลสันคือจัดสรรทรัพยากรอย่างไรให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
ในทางกลับกัน อัลเบิร์ต เฮิร์ชแมน (Albert Hirschman) นักเศรษฐศาสตร์เชื้อสายยิวผู้เขียนหนังสือ National Power and the Structure of Foreign Trade ตีพิมพ์เมื่อปี 1945 มองว่าการตัดสินใจทางเศรษฐกิจในการจัดสรรทรัพยากรเป็นเครื่องมือเชิงอำนาจ การที่รัฐบาลหันมาเลือกผลิตปืนอาจไม่ได้ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดแต่ต้องการอำนาจในการต่อรองเชิงยุทธศาสตร์เพื่อสร้างอิทธิพล อย่างไรก็ตามแนวคิดของเฮิร์ชแมนถูกละเลยและขาดการสานต่อจากนักเศรษฐศาสตร์ รวมถึงนักเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ แนวคิดของเฮิร์ชแมนกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งในยุคทรัมป์เพราะในมุมของภูมิเศรษฐศาสตร์นั้นสามารถอธิบายนโยบายทรัมป์ได้จากการที่เขามองว่าการผลิตสินค้าไม่ใช่แค่การจัดสรรทรัพยากร แต่เป็นการตัดสินใจทางยุทธศาสตร์ที่รัฐให้ความสำคัญกับอำนาจ
เฮิร์ชแมนยังมองว่าการค้าระหว่างประเทศสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อแสวงหาอำนาจ โดยประเทศหนึ่งอาจยอมสูญเสียผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการไม่เข้าร่วมระบบการค้าพหุภาคี แลกกับการควบคุมประเทศอื่นที่อ่อนแอกว่าทางเศรษฐกิจซึ่งต้องพึ่งพาการค้ากับประเทศตนเอง นั่นหมายความว่ารัฐบาลอาจยอมเสียสละความมั่งคั่งบางส่วนเพื่อแลกกับอำนาจและอิทธิพลทางการเมือง ซึ่งสอดรับกับคำพูดของทรัมป์ที่ว่านโยบายภาษีของเขาอาจสร้างความเจ็บปวดในระยะสั้น แต่เขาเชื่อมั่นว่าผลลัพธ์ในระยะยาวจะคุ้มค่า โดยทรัมป์ยังระบุว่า “อาจมีปัญหาในช่วงเปลี่ยนผ่าน แต่ภาษีเหล่านี้จะกลายเป็นสิ่งที่สวยงามในที่สุด”
นอกจากนี้เฮิร์ชแมนยังมองว่าหากระบบการค้าล้มเหลวเพราะความไม่ร่วมมือ ทุกประเทศอาจเสียผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแต่บางประเทศอาจทนได้มากกว่าเพราะมีตลาดภายในใหญ่และมีแหล่งทรัพยากรของตัวเอง ประเทศเหล่านี้จะกลายเป็นผู้ได้เปรียบในเชิงยุทธศาสตร์แม้ในภาวะที่ดูเหมือนว่าไม่มีใครชนะ งานเขียนของเฮิร์ชแมนทำให้เราเข้าใจว่านโยบายการค้าของทรัมป์ที่ดูจะขาดความเป็นเหตุเป็นผลทางเศรษฐศาสตร์นั้นมีเหตุผลทางภูมิเศรษฐศาสตร์ซ่อนอยู่
อำนาจทางเศรษฐกิจ (Geoeconomic Power) ไม่ได้มีแค่การผูกขาด
เมื่อพูดถึงอำนาจทางเศรษฐกิจในทางเศรษฐศาสตร์มักจะถูกกำหนดกรอบให้นึกถึงอำนาจที่มาจากการผูกขาด (Monopoly power) หรือความสามารถในการขายสินค้าด้วยราคาที่สูงกว่าต้นทุน ซึ่งเป็นเพียงการตีความอำนาจทางเศรษฐกิจเพียงรูปแบบหนึ่งจากหลายรูปแบบของอำนาจทางเศรษฐกิจที่มีอยู่ เมื่อเรากล่าวถึงอำนาจของรัฐบาลว่าเป็นผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจ เราไม่ได้หมายถึงแค่อำนาจจากการผูกขาดแต่เราหมายถึงอำนาจที่มีความหมายกว้างกว่ามาก
โจเซฟ ไนย์ (Joseph Nye, 2004) แยกอำนาจออกเป็น ‘hard power’ ที่มาในรูปแบบคำสั่ง ข่มขู่ หรือบีบบังคับ และ ‘soft power’ ที่มาในรูปการชักนำ โดยอำนาจคือความสามารถในการชักจูงพฤติกรรมของผู้อื่นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เราต้องการ ซึ่งสามารถทำได้โดยการข่มขู่หรือบีบบังคับ (coercion) การล่อด้วยผลประโยชน์ (inducement) และการดึงดูดให้อยากได้ในสิ่งเดียวกับที่เราต้องการ (attraction) แนวคิดนี้ทำให้เรามอง ‘อำนาจทางเศรษฐกิจ’ (geoeconomic power) ไม่ใช่แค่เรื่องของตลาดหรือราคา แต่เป็นอำนาจที่ทำให้ผู้อื่นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เป็นไปตามที่เราต้องการ เหมือนที่ทรัมป์ประกาศภาษีตอบโต้เพื่อต้องการให้ประเทศต่างๆ เข้ามาเจรจาและนำเสนอการค้าที่เป็นธรรมให้กับสหรัฐฯ รวมทั้งการส่งสัญญาณให้ประเทศที่เป็นตัวกลางในการส่งผ่านสินค้าของจีนส่งออกมายังสหรัฐฯ ให้คิดใหม่และทำตามเงื่อนไขของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการใช้อำนาจทางเศรษฐกิจในการข่มขู่ทางเศรษฐกิจ
การคุมคามทางเศรษฐกิจจะได้ผลหรือไม่ขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือ
การคุกคามทางเศรษฐกิจ (economic threat) หมายถึง การระบุผลลัพธ์หรือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากฝ่ายที่ถูกคุกคามทางเศรษฐกิจปฏิเสธไม่ทำตามข้อเรียกร้อง การคุกคามทางเศรษฐกิจในลักษณะนี้ระบุชัดถึง ‘ทางเลือกง ที่ฝ่ายถูกคุกคามสามารถเลือกทำเพื่อรับผลประโยชน์ ในโลกแห่งความเป็นจริง ประเทศมหาอำนาจไม่ได้คุกคามทางเศรษฐกิจแค่ฝ่ายเดียวในคราวเดียว แต่มักจะคุกคามทางเศรษฐกิจกับหลายประเทศต่อเนื่องในระยะยาว ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ การคุกคามทางเศรษฐกิจมีความน่าเชื่อถือเพียงใด หากวันนี้ประเทศมหาอำนาจไม่ทำตามคำขู่ ฝ่ายอื่นๆ ที่สังเกตการณ์อยู่ อาจคิดว่าในอนาคตตนก็จะถูก ‘ยกเว้น’ เช่นกัน
ความสามารถในการยอมรับต้นทุนในปัจจุบัน สามารถเป็นสัญญาณแสดงความจริงจังในการปฏิบัติตามคำขู่ในอนาคต เช่น การดำเนินนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงปี 2018-2020 ที่ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน ทรัมป์ยังคงดำเนินมาตรการเหล่านี้ต่อเนื่อง และยกระดับขึ้นเรื่อยๆ เพื่อส่งสัญญาณว่า ‘เขาพร้อมจะเจ็บเพื่อให้คู่แข่งเจ็บกว่า’ การขึ้นภาษีนี้ไม่เพียงแต่กระทบจีน แต่ยังสร้างต้นทุนต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เอง เช่น ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคสูงขึ้น ผู้ผลิตต้องปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน และความไม่แน่นอนก็ส่งผลต่อการลงทุนด้วย อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ไม่ได้ถอยเพราะผลกระทบเหล่านี้ ซึ่งในแง่หนึ่งทำให้คำขู่ของเขากลายเป็นอาวุธที่ ‘ใช้งานได้จริง’
นโยบายภาษีแบบตอบโต้ของทรัมป์ในปัจจุบัน กลายเป็นเครื่องมือการคุกคามทางเศรษฐกิจที่ทรงพลังเนื่องจากพลังของมันอยู่ที่ความน่าเชื่อถือที่ทรัมป์แสดงให้เห็นว่าเขาพร้อมจะลงมือจริง ความพร้อมของทรัมป์ที่จะรับต้นทุนทางการเมืองและเศรษฐกิจในครั้งนี้จะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้คำขู่ของเขามีน้ำหนักมากขึ้น อย่างน้อยในปัจจุบันก็ทำให้หลายๆ ประเทศต้องรีบมาเจรจาเพื่อขอลดภาษีและนำเสนอข้อเสนอต่างๆ ให้สหรัฐฯ ด้วยความกลัวว่าคำขู่ดังกล่าวจะถูกใช้จริง เกมภาษีของทรัมป์จึงต้องเป็นเกมที่สร้างความน่าเชื่อถือผ่านการยืนยันพฤติกรรม ไม่ใช่แค่ขู่ว่าจะทำ แต่ต้องแสดงให้เห็นว่าพร้อมเสียบางอย่างในวันนี้เพื่อให้คำขู่ในอนาคตมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
บทสรุป
ภูมิเศรษฐศาสตร์กำลังกลับมาอยู่ในจุดสนใจของทั้งนักเศรษฐศาสตร์และนักรัฐศาสตร์ในยุคที่เศรษฐกิจกลายเป็นสนามแข่งขันของอำนาจระหว่างประเทศ ภูมิเศรษฐศาสตร์มองเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือของอำนาจที่รัฐสามารถใช้ในการข่มขู่ บีบบังคับ หรือจูงใจประเทศอื่นผ่านมาตรการทางการค้า การเงิน และนโยบายอุตสาหกรรม แนวคิดนี้มีรากฐานจากงานของอัลเบิร์ต เฮิร์ชแมน ที่มองว่าความสัมพันธ์ทางการค้าไม่ใช่แค่ความร่วมมือ แต่ยังเป็นสนามแห่งการควบคุมและความไม่สมดุลของอำนาจ
กรณีการใช้นโยบายภาษีตอบโต้ของโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นตัวอย่างสำคัญของการใช้นโยบายเศรษฐกิจเป็นอาวุธทรงอันทรงพลัง แม้จะถูกวิจารณ์ในทางเศรษฐศาสตร์กระแสหลักว่าเป็นการทำร้ายตนเอง แต่ในมุมของภูมิเศรษฐศาสตร์ ทรัมป์ประสบความสำเร็จในการทำให้คำขู่ของตน ‘น่าเชื่อถือ’ และส่งผลต่อพฤติกรรมของประเทศคู่ค้า ทั้งในแง่การเจรจาใหม่และการยอมจำนนทางยุทธศาสตร์
อย่างไรก็ตามคำขู่นั้นมีต้นทุน หากทรัมป์แสดงให้เห็นว่าเขายินดีจะ ‘เจ็บจริง’ นโยบายของเขาจะยิ่งกลายเป็นอาวุธทางภูมิเศรษฐศาสตร์ที่ทรงพลังอย่างแท้จริง ซึ่งเรายังมีระยะเวลาที่จะสังเกตการณ์ปรากฏการณ์นโยบายภาษีทรัมป์อีก 90 วันก่อนมีผลบังคับใช้ การดำเนินการหลังจากนี้นับว่าสำคัญ ถึงแม้ในปัจจุบันนโยบายภาษีของเขาได้สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก แต่ยังต้องติดตามว่าการคุกคามทางเศรษฐกิจของทรัมป์ในครั้งนี้มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ นโยบายมาตรการภาษีแบบตอบโต้จะสร้างรายได้จากภาษีได้จริงหรือไม่ และจะทำให้การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ลดลงได้จริงหรือไม่ มิเช่นนั้นอาจจะเกิดความวุ่นวายทางการเมืองในสหรัฐฯ และความปั่นป่วนในการค้าโลกซึ่งอาจจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและนำพาเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะที่หลายฝ่ายกำลังวิตกกังวลว่าจะเป็นภาวะที่หนักกว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอย (recession)
อ้างอิง
Clayton, C., Maggiori, M., & Schreger, J. (2025, April). Putting economics back into geoeconomics.
Hirschman, A. O. (1945). National power and the structure of foreign trade. Berkeley: University of California Press.
Nye, J. S. (2004). Soft power: The means to success in world politics. New York: PublicAffairs.