ในเวลาเดียวกับที่เริ่มมีกระแสการเกษียณก่อนกำหนด (early retire) ของคนอายุ 45 ปีขึ้นไป อีกกระแสหนึ่งที่ตีคู่กันมากับความเป็นห่วงว่าคนสูงวัยจะไม่มีงานทำจนกลายเป็นกลุ่มคนไร้ค่าในสังคม ก็คือความกังวลว่า คนรุ่นใหม่ (หรือที่เรียกกันแบบเหมารวมว่า ‘เด็กเจนซี’) มักจะมีปัญหาในการทำงานหลายเรื่อง แต่เรื่องหนึ่งที่พูดกันมากก็คืออาการที่เรียกว่า Gen Z stare หรือ ‘การจ้องมอง’ แบบเด็กเจนซี ถึงขนาดที่ Washington Post เพิ่งมีบทความเรื่อง Why the Gen Z Stare has Every Generation Talking หรือ ‘ทำไมการจ้องมองแบบคนเจนซี ถึงเป็นที่กล่าวขวัญของคนทุกรุ่น’
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ แม้ดูเหมือนสังคมทำงานในปัจจุบันจะพยายาม ‘กัน’ คนอายุเกิน 45 ปีออกไป แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยต้อนรับขับสู้คนอายุน้อยๆ ที่อยู่ในวัย first Jobber สักเท่าไหร่
แล้วจะเอาใครมาทำงานล่ะทีนี้!
อย่างไรก็ตาม เรื่องประชากรศาสตร์หรือเรื่องทรัพยากรบุคคลอะไรพวกนั้น ก็ปล่อยให้เป็นภาระของนักเศรษฐศาสตร์ นักประชากรศาสตร์ หรือนักบริหารทรัพยากรบุคคลเขาคิดต่อก็แล้วกันครับ เพราะสิ่งที่ผมสนใจมากกว่า ก็คือคำว่า Gen Z stare หรืออาการ ‘จ้องมอง’ (แบบว่างเปล่า) ของเหล่าเจนซีนี่แหละ
Gen Z stare เป็นศัพท์ที่แพร่หลายมากในโซเชียลมีเดีย ใช้เพื่อบรรยายถึงอาการตอบสนองแบบ blank stare หรือการจ้องมองอย่างว่างเปล่า ของคนอายุน้อยๆ (ซึ่งก็คือเจนซี) ทั้งที่เรื่องนั้นควรจะตอบสนองด้วยการ ‘ตอบ’ ออกมาเป็นคำพูด
คนหนึ่งที่ให้นิยาม Gen Z stare เอาไว้น่าสนใจ ก็คือ นิโคล สต็อก (Nicole Stock) ซึ่งเขียนเรื่อง Yes, Gen Z Is Staring at You. The Question Is Why ลงใน New York Times บทความนี้ตั้งคำถามเอาไว้แบบเดียวกับชื่อเรื่องนั้นแหละ ว่าปรากฏการณ์ ‘เจนซีจ้อง’ (ที่ไม่ใช่การกางจ้องหรือกางร่มแบบในภาษาเหนือนะครับ) มันเกิดขึ้นจริงและแพร่หลายด้วย และผู้เขียนก็พยายามหาคำตอบว่า – ทำไมถึงเป็นแบบนั้น
อีกบทความหนึ่งใน People เขียนโดย ทาบิธา แพเรนต์ (Tabitha Parent) ถึงกับบอกว่าปรากฏการณ์ ‘เจนซีจ้อง’ นั้น คือเทรนด์ล่าสุดที่สามารถใช้ในการ ‘แบ่ง’ เจเนอเรชันของคนได้เลย (latest trend dividing generations)
เธอบอกเอาไว้ว่า โดยทั่วไป ‘เจนซีจ้อง’ มักหมายถึงเมื่อมีบทสนทนาหรือปฏิสัมพันธ์อะไรบางอย่างไป ปรากฏว่าอีกฝ่าย (ที่เป็นเจนซี) มักจะตอบกลับมาด้วยการ ‘มอง’ อย่างว่างเปล่า เหมือนไม่รู้เลยว่าควรต้องพูดหรือมีปฏิสัมพันธ์อะไรกลับมา ที่สำคัญก็คือ มักเป็นอาการจ้องแบบ ‘ไร้อารมณ์’ (emotionless look) ซึ่งเกิดขึ้นกับทั้งรุ่นพี่ในที่ทำงาน หรือแม้กระทั่งกับลูกค้าที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์ด้วย ซึ่งเรื่องนี้จะส่งผลเสียได้มากถ้าหากเป็นงานบริการ
มีผู้วิเคราะห์ว่า สีหน้าจ้องนิ่งไร้อารมณ์ของเจนซีที่ว่านี้ จริงๆ มันคือสิ่งที่มาทดแทนการพูดคุยสัพเพเหระ (small talk) ของคนรุ่นก่อน ซึ่งเราจะสังเกตเห็นว่า ถ้าเป็นคนรุ่นบูมเมอร์ (หรือเจนเอ็กซ์จำนวนหนึ่ง) จะเหมือน ‘ถูกฝึก’ มา ว่าจะปล่อยให้เกิด ‘ช่องว่าง’ หรือ ‘เดดแอร์’ ระหว่างบทสนทนาไม่ได้
การฝึกฝนที่ว่านี้ เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ เช่นในคอลัมน์ประเภท ‘สอนมารยาท’ (อย่าง Miss Manners อันเป็นคอลัมน์ที่นิยมกันในนิตยสารและหนังสือพิมพ์เมื่อหลายสิบปีก่อน) จะสอนเรื่องการหาหัวข้อชวนคุยกับคู่สนทนาว่าต้องทำอย่างไร เช่น ถ้าไม่มีอะไรจะคุย ก็ต้องคุยเรื่องลมฟ้าอากาศไปก่อน หรือถ้าเป็นเจ้าภาพจัดปาร์ตี้อะไรสักอย่าง ก็ต้องหาวัตถุหลายๆ อย่างที่มีความหมายมาตั้งวางเพื่อจะได้เป็นหัวข้อสนทนาของแขกกับเจ้าภาพได้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดดอกไม้ เครื่องเงินบนโต๊ะ ของประดับในงาน ฯลฯ
เดดแอร์จะได้ไม่เกิด!
อีกบทความหนึ่งที่น่าสนใจเป็นบทความของ Forbes คือ What Is The ‘Gen Z Stare’? The TikTok Debate, Explained บทความนี้พุ่งเป้าไปในงานประเภทบริการลูกค้า (customer service) โดยบอกว่าอาการ ‘เจนซีจ้อง’ นั้นเกิดทั้งสองทาง คือทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการ เช่น ถ้าบาร์เทนเดอร์หรือพนักงานเสิร์ฟเป็นคนเจนซี มีรายงานจำนวนมากบอกว่าคนเหล่านี้ตอบสนองกับ small talk ของลูกค้า ด้วยการจ้องมองแบบ dead-eyed gaze คือไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย หรือเวลาลูกค้าเดินเข้ามาในร้านก็ไม่ไปทักทายอย่างที่ควรจะเป็น แต่แค่จ้องมองเหมือนรับรู้เฉยๆ ว่ามีคนเข้าร้านแล้วนะ แต่ไม่สน
ในเวลาเดียวกัน บาร์เทนเดอร์หรือพนักงานเสิร์ฟที่ต้องเผชิญกับลูกค้าที่เป็นเจนซี ก็จะเจออาการเดียวกัน เพราะปกติแล้ว ในวัฒนธรรมตะวันตก บาร์เทนเดอร์มักจะทักทายลูกค้าอย่างสนิทสนม (บางทีเป็นคล้ายๆ นักจิตวิทยาประจำท้องถิ่นด้วยซ้ำ) แต่พอเจอลูกค้าเจนซี คำทักทายพวกนั้นเหมือนสูญหายไปในสายลม สิ่งที่ตอบกลับมามีแค่การ ‘จ้อง’ ด้วยสายตาว่างเปล่าเท่านั้น
บทความทำนองนี้พบได้เยอะมากในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทั้ง Fortune, The Guardian, Business Insider และอื่นๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสื่อตะวันตกเริ่มเห็นว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาขึ้นมาจริงๆ ถ้าพูดตรงไปตรงมา แทบทั้งหมดมีแก่นแกนคือการ ‘บ่น’ ร่วมกันว่าคนเจนซีมีสายตาที่นิ่ง ไม่ยิ้ม ไม่บึ้ง ไม่ตอบโต้ทันทีเมื่อถูกถามหรือเมื่อคู่สนทนาคาดหวัง ‘มารยาท’ แบบดั้งเดิม เช่น การยิ้มตอบ การคุยสั้นๆ
เท่าที่ค้นดู ยังไม่มีการศึกษาเรื่องนี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวในเชิงสังคมวิทยา ส่วนใหญ่เป็นคล้ายๆ การบ่นของสื่อมากกว่า ที่สำคัญก็คือ ไม่สามารถกล่าวอ้างอย่างเหมารวมได้ว่า นี่คือ ‘ลักษณะเฉพาะ’ ของคนเจนซี เพราะไม่ได้แปลว่าคนเจนซีทั้งหมดจะมีลักษณะแบบนี้ ดังนั้นในอีกด้านหนึ่ง เราจึงพูดได้ว่า คำว่า Gen Z stare มีลักษณะเหมารวมสูง
แต่ที่น่าสนใจก็คือ การพยายามหา ‘คำอธิบาย’ ต่อปรากฏการณ์นี้ต่างหาก ว่ามันเกิดอะไรกันแน่
เท่าที่ประมวลมาจากหลายๆ สื่อ พบคำอธิบายที่น่าสนใจประมาณนี้
อย่างแรก ‘เจนซีจ้อง’ น่าจะเป็น ‘รอยแผลทางสังคม’ ที่เกิดจากโควิด-19 เพราะคนเจนซีจำนวนมากเข้าสู่วัยรุ่น และเข้าสู่การเรียนในมหาวิทยาลัยในช่วงโควิด-19 ดังนั้น จำนวนมากจึงพลาดโอกาส (อย่างน้อยๆ ก็ 2 ปีเต็มๆ) ในการ ‘ฝึกฝนทักษะสังคม’ แบบตัวต่อตัว เพราะต้องเผชิญกับการกักตัวอยู่กับบ้าน คริสเตน ลี (Kristen Lee) นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยนอร์ธอีสเทิร์น บอกว่า โควิด-19 ได้ ‘ขโมย’ การเข้าสังคมของคนเจนซีไป ทำให้เกิดช่องว่างในสิ่งที่เรียกว่า Soft Social Skills
อย่างที่สองที่หลายคนคงเดาได้ ก็คือการวิเคราะห์ว่าคนเจนซีเติบโตมากับสมาร์ตโฟนและการแชตเสียจนไม่คุ้นเคยกับการ ‘สบตา’ พูดจากันตรงๆ ผลลัพธ์ก็คือ เมื่อเผชิญหน้ากันจริงๆ ก็เลยเลือกใช้วิธีเงียบหรือเหม่อแบบ blank stare เป็นเหมือน ‘ค่าเริ่มต้น’ (default reaction) ไว้ก่อน เพราะคิดว่าปลอดภัยดี แต่ไม่มีความสามารถจะประเมินความน่าอึดอัด (awkward) ของปฏิกิริยาแบบนี้ได้
อย่างที่สามที่น่าสนใจกว่าสองคำอธิบายแรก เป็นคำอธิบายที่มาจาก People และ Washington Post ซึ่งพยายามอธิบายว่า คนเจนซีนั้น ได้พัฒนา ‘ลักษณะทางสังคม’ แบบใหม่ขึ้นมาอย่างหนึ่ง นั่นคือการ ‘ต่อต้าน small talk’ คือถ้าถามอะไรที่ดูไร้สาระ (เช่นเรื่องลมฟ้าอากาศหรือเรื่องเล็กเรื่องน้อยอื่นๆ ที่คนเหล่านี้ไม่สนใจ) ก็สู้ไม่ตอบไปเสียเลยจะดีกว่า การทำหน้า ‘เฉยๆ’ หรือจ้องมองด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า จึงเป็นเหมือนการ ‘ปฏิเสธการมีส่วนร่วม’ ที่จะเข้าไปตอบอะไรที่มัน ‘ไร้สาระ’ พวกนี้
มีหลายโพสต์ใน Reddit บอกว่า ปราฏการณ์จ้องมองอย่างว่างเปล่านี้ แท้จริงคือการ ‘รอ’ ให้คู่สนทนา (ที่อาจจะเป็นเจนเอ็กซ์หรือบูมเมอร์) เข้าเรื่องเสียที จะมาพล่ามอารัมภบทอะไรกันมากมาย เพราะคนเจนซีไม่อยากเสียเวลาไปกับการทักทายที่ผิวเผิน และสุดท้ายก็ไม่ได้นำไปสู่อะไร หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ นี่เป็น ‘วัฒนธรรมความจริงใจ’ หรือ authenticity culture โดยมีบทความใน Glamour อธิบายว่า คนเจนซีมีแนวโน้มที่จะไม่เสแสร้ง ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่ตอบ แค่สบตาเฉยๆ ก็พอแล้ว ซึ่งก็ต้องยอมรับอยู่เหมือนกันนะครับ ว่าอาการ ‘มากมารยาท’ แบบคนรุ่นก่อนๆ นั้น บางทีมันก็เป็นแค่ ‘เปลือก’ ของการแสดงออก ไม่ใช่ความรู้สึกที่แท้จริงด้วยเหมือนกัน
อีกคำอธิบายหนึ่งที่ก็น่าสนใจเช่นเดียวกัน เป็นคำอธิบายจากเว็บไซต์ Parents ซึ่งวิเคราะห์ไปในทางจิตวิทยาว่าปรากฏการณ์นี้อาจจะสะท้อนให้เห็นถึง ‘ความวิตกกังวลทางสังคม’ (social anxiety) หรือความ ‘ไม่สบายใจ’ ที่จะต้องถูกบังคับให้เข้าสังคม ทั้งที่สถานการณ์โลกอย่างโควิด-19 ได้หล่อหลอมคนรุ่นนี้มาอีกแบบหนึ่ง
เป็นไปได้ไม่น้อย ที่ ‘เจนซีจ้อง’ อาจเป็นผลรวมของคำอธิบายหลายๆ อย่างที่ว่ามาประกอบกัน (หรืออาจมีคำอธิบายอื่นอีกก็ได้ เพราะในแต่ละกรณีอาจมีเหตุผลแตกต่างกันไป) แต่สุดท้ายแล้วมันก่อให้เกิดอาการ ‘กระเพื่อม’ ในทางสังคมระหว่างเจเนอเรชันได้เหมือนกัน เช่น ในห้องเรียน ถ้าครูถามแล้วนักเรียนไม่ตอบ (เกิดสิ่งที่เรียกว่า classroom silence) คนสอนก็อาจรู้สึกเหมือนคนเรียนไม่สนใจ หรือในบางกรณี ผู้เรียนอาจจะสนใจเรียนผ่านจอ (เช่น คลาสออนไลน์ หรือแม้กระทั่งเรียนผ่านติ๊กต็อกหรือยูทูป) มากกว่าเรียนกับคนจริงๆ (เพราะถูกหล่อหลอมมาแบบนั้น) ก็เลยทำให้เกิดอาการกระเพื่อมทางอารมณ์ของผู้สอนขึ้นมา
ยิ่งถ้าขยายไปถึงการทำงาน บทความ Gen Z freaking people out with staring habit บอกว่ามีปฏิกิริยาจากหลายองค์กรที่การจ้องมองนิ่งๆ ของคนเจนซี ทำให้คนที่พบเจอเกิดอาการถึงระดับ freak out ขึ้นมาเลย (เหมือนในชื่อบทความ) และอาจเข้าใจว่าเป็นอาการไม่สนใจหรือแม้แต่ ‘ต่อต้าน’ องค์กรขึ้นมาได้ด้วยซ้ำ หรือในบางกรณีก็อาจเห็นว่าการจ้องมองนิ่งๆ เหล่านี้เป็นปฏิกิริยาที่ ‘หยาบคาย’ ไปเลยก็มี
หลายคนอาจรู้สึกว่า Gen Z stare เป็นของใหม่ (อย่างน้อยๆ เราก็ไม่เคยมีโควิด-19 มาก่อนล่ะน่ะ!) แต่ต้องบอกคุณว่า ถ้ามองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ เราจะพบว่าอาการที่ดูประหลาดๆ (จากมุมมองของผู้รับสาร) ทำนองนี้ มีมาในทุกยุคสมัย โดยเฉพาะเมื่อมันเป็นการแสดงออกในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (interpersonal relationships) ระหว่างคนเจเนอเรชันหนึ่งกับอีกเจเนอเรชันหนึ่ง
เอาเข้าจริง พฤติกรรม ‘นิ่ง’ หรือ ‘ไม่ตอบสนอง’ ในการสื่อสาร เคยถูกมองว่าเป็น ‘นิสัยของคนรุ่นนั้นๆ’ (generational marker) มาแล้วหลายรอบ เพียงแต่เปลี่ยนชื่อเรียกเท่านั้นเอง
ย้อนกลับไปที่คนรุ่นเก๋ากึ้กดึกดำบรรพ์อย่าง Silent Generation คนรุ่นนี้มีสีหน้าที่ถือได้ว่าเป็น marker หรือตัวบ่งชี้ประจำรุ่นอยู่อย่างหนึ่ง เรียกว่า stone face ซึ่งก็แปลได้ตรงตัวว่า ‘ทำหน้านิ่งเหมือนหิน’ ซึ่งจะว่าไป ก็มีลักษณะคล้ายๆ Gen Z stare อยู่เหมือนกัน คือไร้อารมณ์ความรู้สึก เพียงแต่ลักษณะของใบหน้าอาจแตกต่างกันเท่านั้นเอง
มีคำอธิบายว่า stone face ของคนรุ่นไซเลนต์นั้น เกิดขึ้นเพราะคนเหล่านี้เติบโตมาในยุคที่ต้องรับผลพวงจากสงคราม (ทั้งสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสอง) รวมทั้งผ่านยุคเศรษฐกิจตกต่ำ และอยู่ในยุคสมัยที่โลกเน้นเรื่องระเบียบวินัยสูงมาก ความเข้าใจเรื่องการเลี้ยงเด็กให้มีอารมณ์ความรู้สึกยังต่ำมาก ดังนั้น คนรุ่นนี้จึงเติบโตมากับการบ่มเพาะความคิดว่าที่ ‘ต้องไม่แสดงความอ่อนแอ’ ดังนั้น ใบหน้าที่ ‘แข็งเป็นหิน’ และไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึก จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นเรื่องที่ดี เช่น ผู้นำประเทศจะต้องไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึก นายกรัฐมนตรีร้องไห้ไม่ได้ stone face จึงเป็นเหมือนตัวบ่งชี้คนรุ่นไซเลนต์อยู่ไม่น้อย
ส่วนคนรุ่นบูมเมอร์ ก็มีคนวิเคราะห์ว่ามีใบหน้าเฉพาะ ที่เป็นตัวบ่งชี้ของรุ่นเหมือนกันนะครับ เรียกว่าใบหน้าแบบ poker face ซึ่งก็แปลตรงตัวเลย ว่าเป็นใบหน้าแบบคนที่เล่นโป๊กเกอร์
เขาบอกว่า บูมเมอร์นั้นเติบโตมาหลังสงคราม ทำให้อยู่ในวัฒนธรรมการค้า การแข่งขันทางธุรกิจ และการเจรจาต่อรอง คือต้องทำหน้าแบบ ‘เฉยๆ’ เอาไว้ก่อน ไม่แสดงออกทางสีหน้าแววตา นั่นคือใช้ทักษะการควบคุมอารมณ์อย่างสูง ไม่เปิดไพ่ให้คู่แข่งรู้จุดอ่อนใดๆ จากเดิมที่ใช้ในวงไพ่โป๊กเกอร์จริงๆ ต่อมาก็นำมาใช้ในชีวิตประจำวันด้วย ทั้งในเรื่องธุรกิจ การเมือง การทูต การทหาร เพื่อไม่ให้คู่แข่งอ่านออก จนคำนี้กลายเป็นสำนวนภาษาอังกฤษที่ใช้กันทั่วไป แต่ที่มัน ‘ตรงเป้า’ กับบูมเมอร์มาก ก็เพราะโลกธุรกิจหลังสงครามนั้นมีการแข่งขันกันสูง การใช้สีหน้าแบบโป๊กเกอร์จึงถูกมองว่าเป็นทักษะในเชิงกลยุทธ์ ที่เอาไว้ใช้ในการเจรจาต่อรอง
ทีนี้หลายคนคงสงสัยว่า stone face ก็ไม่แสดงออกทางสีหน้า poker face ก็เหมือนกัน แล้วสองอย่างนี้มันต่างกันอย่างไรเล่า
คำตอบก็คือ แม้ไม่แสดงสีหน้าเหมือนกัน แต่ความต่างอยู่ตรง ‘เจตนา’ ในการทำสีหน้าอย่างที่ว่า เพราะ stone face นั้น เป็น ‘ปฏิกิริยาเชิงรับ’ คือสิ่งแวดล้อมมันหล่อหลอมให้เป็นแบบนั้นโดยไม่ได้เจตนาจะเป็น คือถูกสิ่งแวดล้อมฝึกให้ต้องไม่แสดงอารมณ์มาตั้งแต่ต้น เพื่อให้อดทน แข็งแกร่ง มีวินัย และมีความ ‘เงียบ’ สมกับที่เป็นไซเลนต์เจเนอเรชัน
แต่ poker face เป็น ‘กลยุทธ์เชิงรุก’ คือฝึกตัวเองให้ ‘ทำหน้าตาย’ เพื่อซ่อนความจริงบางอย่าง จึงเป็นสีหน้าที่ผ่านการควบคุมเพื่อผลประโยชน์บางอย่างของตัวเอง การซ่อนสีหน้าจะทำให้ได้เปรียบในการเจรจาต่อรอง สองอย่างนี้จึงไม่เหมือนกัน
ส่วนเจนเอ็กซ์ ก็ (เคย) ถูกบูมเมอร์มองว่ามี ‘สีหน้าที่ว่างเปล่า’ คล้ายๆ กับที่คนปัจจุบันมองเจนซีว่ามีสายตาว่างเปล่าเหมือนกัน แต่ของเจนเอ็กซ์จะมีอีกลักษณะหนึ่งที่แตกต่างออกไป นั่นคือมีผู้วิเคราะห์ว่า พวกเจนเอ็กซ์น่าจะเป็นคนรุ่นที่มีลักษณะ ‘ช่างเยาะเย้ยถากถาง’ (cynicism) มากที่สุด
สีหน้าที่ว่างเปล่าของเจนเอ็กซ์ เรียกว่า blank face ซึ่งมีหลายคนอธิบายว่า แม้ใช้คำว่า blank แต่มันไม่ได้ว่างเปล่าแบบไม่มีอะไร ทว่าเป็นใบหน้าว่างเปล่าที่แสดงความ ‘เบื่อหน่าย’ หรือ ‘ไม่อิน’ หรือลึกกว่านั้นก็คือ ‘ไม่เชื่อ’ ในคำสอน หลักการ หรือวิธีดำเนินชีวิตของพวกบูมเมอร์ แต่ก็ไม่ได้ลุกขึ้นมาต่อต้าน ทว่าทำหน้าเฉยๆ เพราะ ‘ดื้อเงียบ’ ไม่เถียงทันที (เหมือนคนเจนวาย) แต่ก็ไม่ทำตามที่ถูกบอกให้ทำ
ที่เป็นอย่างนี้ มีผู้อธิบายเอาไว้ในงานเขียนหลายชิ้น (เช่น Generations โดย William Strauss หรือ The History of America’s Future, 1584 to 2069 โดย William Strauss กับ Neil Howe) โดยบอกว่าเป็นเพราะคนเจนเอ็กซ์เติบโตมาในยุคที่เราเริ่ม ‘เชื่อ’ อะไรในโลกไม่ได้แล้ว เช่น โตมาในยุคหลังคดีวอเตอร์เกต เป็นยุคที่มีการหย่าร้างสูงขึ้น ทำให้คนรุ่นนี้มีลักษณะเป็น cynical and pragmatic generation คือไม่ค่อยเชื่อหรืออินกับสถาบันใหญ่ๆ ที่บูมเมอร์อุตส่าห์สถาปนาขึ้นมาและพยายามโปรโมทให้คนรุ่นถัดมาอย่างเอ็กซ์เชื่อ แต่ในเวลาเดียวกันก็ยังไม่กล้ามากพอที่จะเถียงสถาบันใหญ่ๆ พวกนี้ตรงๆ สิ่งที่ทำได้จึงคือการทำหน้าว่างเปล่า (ปนเบื่อหน่าย) ใส่ เพื่อเป็นการปกป้องตัวเองจากการ ‘ขายฝัน’ จอมปลอมของคนรุ่นก่อนหน้า ทำให้บูมเมอร์จำนวนมากมองว่าคนเจนเอ็กซ์เป็นกลุ่มที่ไม่ให้เกียรติผู้ใหญ่
ซึ่งอันที่จริง ก็ไม่ต่างจาก Gen Z stare สักเท่าไหร่เลย!
แต่ที่ประหลาดที่สุด และเป็นคล้ายๆ การ ‘โต้กลับ’ ของคนเจนซีต่อคนเจนวาย ก็คือสิ่งที่เรียกว่า millennial pause
คำนี้เป็นศัพท์ออนไลน์ที่ใช้เรียก ‘การเว้นจังหวะ’ ก่อนเริ่มพูดในวิดีโอออนไลน์ โดยเฉพาะบน TikTok หรือแพลตฟอร์มสั้นๆ ซึ่งคนเจนซีจำนวนหนึ่งเห็นว่าเป็น ‘ลักษณะเฉพาะ’ ของคนเจนวายหรือมิลเลนเนียล นั่นคือก่อนจะเริ่มพูดในคลิป มักมีการ ‘หยุด’ (pause) สักครึ่งวินาทีหรือหนึ่งวินาทีก่อนพูด
ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะคนรุ่นนี้เติบโตมาในช่วงที่เทคโนโลยียังพัฒนาไม่เต็มที่หรือยังไม่เสถียร ดังนั้น เวลาจะเริ่มพูดหรืออัดคลิปต่างๆ เลยยังไม่มั่นใจว่าจะอัดได้จริงหรือเปล่า เลยต้องหยุดนิดหน่อยเพื่อ ‘เช็ก’ ว่ากล้องกำลังอัดอยู่ไหม The New York Times และ NPR เคยเขียนถึงปรากฏการณ์นี้ว่าเป็น Linguistic Tic of Millennials Online และคนเจนซีจำนวนหนึ่งก็เอามาล้อว่า ถ้าเห็นคลิปของใครมีลักษณะแบบนี้ เชื่อได้เลยว่าต้องเป็นรุ่นพี่อย่างเจนวายแน่ๆ
ที่จริง คนเจนเอ็กซ์ก็มีลักษณะแบบนี้เหมือนกัน แต่ไม่ได้ถูกนำมาใช้เป็นลักษณะประจำรุ่น เพราะลักษณะแบบอื่นเด่นกว่า แต่กระนั้น millennial pause ก็ถูกมองว่าไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้คนอื่นมากนัก ไม่เหมือน Gen Z stare ที่อาจทำให้คู่สนทนาต่างรุ่นรู้สึกอึดอัดได้ทันที
จะว่าไป พฤติกรรมการสื่อสารของคนรุ่นต่างๆ ที่ว่ามานี้ ล้วนแต่มีลักษณะเฉพาะที่ถูกมองจากคนรุ่นอื่นคล้ายๆ กัน จนตีความว่าเป็น ‘ลักษณะของรุ่น’ ที่ไม่เหมือนกัน โดยเกิดขึ้นจากความต่างทางวัฒนธรรม สังคม และเทคโนโลยี หรือพูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่า เทคโนโลยีและสภาพสังคมเป็นตัว retrain หรือ rewire สมองของเราให้เกิดการตอบสนองที่แตกต่างกันออกไป
Gen Z stare อาจดูเหมือนปัญหาใหม่ประจำรุ่น แต่ถ้ามองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ จะเห็นว่ามันเป็นแค่ลักษณะเฉพาะแบบเดียวกับที่ทุกเจนเคยมีมาก่อน และที่สำคัญก็คือ ไม่ใช่ว่า ‘ทุกคน’ ในรุ่นนั้นๆ จะต้องมีลักษณะแบบเดียวกันทั้งหมด แต่มันคือ ‘ปฏิกิริยา’ ที่เกิดขึ้นตอบสนองกับ ‘สิ่งเร้า’ หรือ ‘สิ่งแวดล้อม’ ที่แตกต่างกันไปในบริบทประวัติศาสตร์เท่านั้นเอง
ไม่ว่าจะ stone face, poker face, blank face, millennial pause หรือ Gen Z stare ล้วนสะท้อนและเปิดโอกาสให้เราได้ ‘สังเกต’ เห็นตัวเองว่า – โลกภายนอกได้ rewire สมองและวิธีการสื่อสารของเราอยู่ตลอดเวลา
เมื่อสังคมเปลี่ยน ‘สีหน้า’ ของคนรุ่นใหม่ก็เปลี่ยนไปด้วย
และครั้งหนึ่ง เมื่อเรายังเป็น ‘คนรุ่นใหม่’ เราก็เคย ‘ถูกบ่น’ จากคนรุ่นก่อนกันมาแล้วทั้งสิ้น เพียงแต่เปลี่ยนชื่อเรียกไปตามกาลเวลาก็เท่านั้นเอง!