ในการปฏิรูปกองทัพอินโดนีเซียที่เริ่มดำเนินการกันอย่างจริงจังหลังจากระบอบซูฮาร์โตล่มสลายในปี 1998 นั้นมีเป้าหมายสำคัญอยู่ 3 ด้านด้วยกัน คือ (1) แยกทหารออกจากการเมือง (2) ดึงภารกิจการรักษาความสงบภายในออกจากกองทัพ (แยกตำรวจออกจากการควบคุมของกองทัพ) และ (3) ให้กองทัพเลิกทำธุรกิจ
โดยภาพรวมอาจจะกล่าวได้ว่าตลอดระยะเวลากว่า 25 ปีแห่งการปฏิรูป อินโดนีเซียประสบความสำเร็จระดับหนึ่งในการนำทหารออกจากการเมือง ยกเลิกหลักนิยมทวิหน้าที่ (dwifungsi) ให้กองทัพมีภารกิจในการป้องกันประเทศเพียงอย่างเดียว แยกการบังคับบัญชาตำรวจออกจากกองทัพ ทำให้กองทัพอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งและทำให้รัฐสภามีอำนาจเหนือกองทัพ
แต่เป้าหมายด้านที่สามซึ่งห้ามกองทัพยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจนั้นเรียกได้ว่าล้มเหลวเกือบจะสิ้นเชิง เพราะไม่สามารถเลิกล้มจารีตประเพณีที่มีมาแต่อดีตที่อนุญาตให้กองทัพทำมาหากินเลี้ยงตัวเอง ประกอบกับระเบียบกฎหมายที่คลุมเครือไม่ชัดเจน ระบบปฏิบัติการในกองทัพที่ไม่โปร่งใสเป็นทุนเดิม อนุญาตให้นายทหารผู้นำเหล่าทัพแสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเข้าพกเข้าห่อของตนเองแหละหมู่คณะได้ เหล่านี้เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการต่อต้านและบิดพลิ้วแนวทางในการปฏิรูปมาโดยตลอด
กองทัพอินโดนีเซียเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจมาตั้งแต่เริ่มแรก เพราะพัฒนามาจากกองทัพประชาชนที่ต้องต่อสู้กับเจ้าอาณานิคมเพื่อปลดปล่อยประเทศ ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องหารายได้มาหล่อเลี้ยงกองทัพและทำสงคราม ต่อมาเมื่อปลดปล่อยประเทศได้แล้ว แต่กองทัพยังได้รับอนุญาตให้เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่อไปเพราะงบประมาณจากรัฐบาลไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงกำลังพลและสนับสนุนการปฏิบัติการทางทหาร
แต่การดำเนินธุรกิจเกิดขึ้นอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ถึงขนาดที่ถือว่ากองทัพเป็นหน่วยทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศเกิดขึ้นในยุคที่ทหารครองเมืองคือในช่วง 30 ปีของระบอบซูฮาร์โต (1968-1988) ซึ่งหน่วยในกองทัพและนายทหารระดับสูงเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการทำธุรกิจหลายอย่างที่ทำรายได้ให้กับประเทศ ตั้งแต่ป่าไม้ เหมืองแร่ ไปจนถึงอุตสาหกรรมน้ำมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงทศวรรษ 1970 รายได้จากวิสาหกิจน้ำมันทั้งหลาย เช่น เปอร์ตามีนา (Pertamina) ดูเหมือนจะเป็นแหล่งรายได้สำคัญของกองทัพอินโดนีเซีย
ด้วยอำนาจและอภิสิทธิทางการเมืองของระบอบซูฮาร์โต เอื้ออำนวยให้กองทัพและกำลังพลในระดับนำได้รับสิทธิพิเศษในการทำธุรกิจและในหลายกรณีผูกขาด หรือใช้อำนาจและเส้นสายเอื้ออำนวยผลประโยชน์ทางธุรกิจให้กับบริวารและพวกพ้องที่อยู่ในภาคเอกชนให้สามารถเข้ามาเกาะกินทรัพยากรของชาติได้โดยปราศจากการตรวจสอบหรือความรับผิดชอบใดๆ
นี่ไม่นับว่าหน่วยทหาร นายทหารและกำลังพลหลายระดับชั้นเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจผิดกฎหมายตั้งแต่การลักลอบตัดไม้ทำลายป่า ค้าของเถื่อน คุมซ่องโสเภณี บ่อนการพนัน รับจ้างรักษาความปลอดภัยให้กับบรรดามาเฟียทั้งหลายไปจนถึงเรียกค่าคุ้มครองราวกับนักเลงโตแทนที่จะเป็นรั้วของชาติ
การทุจริต การแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนของบุคลากรในกองทัพ ไปจนถึงความเหลวแหลกในระบบทำให้อินโดนีเซียมองเห็นความจำเป็นที่จะต้องดึงธุรกิจออกมาจากกองทัพเพื่อให้กองทัพสามารถระดมสรรพกำลังและทรัพยากรเพื่อหน้าที่หลักของตนคือ ‘การป้องกันประเทศ’ เป็นสำคัญ ถ้าปล่อยให้กองทัพทำธุรกิจ พวกทหารคงเพลินกับการทำมาหากินเกินกว่าจะสนใจป้องกันประเทศ
นอกไปจากนี้ การศึกษาวิจัยจำนวนมากชี้ให้เห็นว่า ยิ่งกองทัพมีโอกาสหารายได้นอกเหนือจากการพึ่งพิงงบประมาณจากรัฐมากเท่าใด ก็ยิ่งเท่ากับเป็นการบ่อนทำลายอำนาจรัฐบาลพลเรือนและรัฐสภามากขึ้นเท่านั้น กล่าวในเชิงทฤษฎี การปล่อยให้กองทัพทำธุรกิจคือการบ่อนทำลายหลักการพลเรือนเป็นใหญ่ (civilian supremacy) เพราะกองทัพที่เลี้ยงตัวเองได้ย่อมไม่ฟังคำสั่งใครทั้งสิ้น
บทความนี้ต้องการสำรวจเพื่อเก็บรับบทเรียนว่า ทำไมประเทศที่เคยมีความตั้งใจอย่างแรงกล้าในการปฏิรูปกองทัพอย่างอินโดนีเซีย จึงประสบกับความล้มเหลวในการดึงธุรกิจและกิจกรรมทางเศรษฐกิจออกจากการควบคุมของกองทัพ ส่วนหนึ่งก็เพื่อว่าอาจจะมีบางแง่มุมที่เป็นประโยชน์ต่อความพยายามในการโอนย้ายธุรกิจออกจากกองทัพไทยที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
ธุรกิจทหาร และ ทหารทำธุรกิจ
เท่าที่ตรวจสอบได้จากแหล่งข้อมูลที่เปิดเผย เช่น รายงานของ Human Rights Watch ซึ่งออกมาเมื่อปี 2006[1] และ 2010[2] พบว่ากองทัพอินโดนีเซียให้ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจในความควบคุมและดำเนินการของตัวเองไม่ชัดเจนและไม่คงเส้นคงวา กล่าวคือ กองทัพแจ้งกระทรวงกลาโหม เมื่อเดือนกันยายน 2005 ตอนที่เริ่มทำการสำรวจเพื่อเตรียมการโอนย้ายตามนโยบายรัฐบาลในสมัยนั้น ว่าทุกเหล่าทัพมีการดำเนินธุรกิจในรูปของกองทุนมูลนิธิ (Foundation) สหกรณ์ (Cooperative) และบริษัทที่มีมูลนิธิเป็นเจ้าของทั้งสิ้นเพียง 219 แห่ง แต่ปรากฏว่าในเดือนมีนาคม 2006 กองทัพให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับกระทรวงกลาโหมว่า มีหน่วยธุรกิจที่อยู่ในความครอบครองของทุกเหล่าทัพทั้งสิ้น 1,520 แห่ง แต่หลังจากนั้นในปี 2007 กองทัพอินโดนีเซียแจ้งต่อสาธารณะว่า ได้ดำเนินธุรกิจในรูปแบบกองทุนมูลนิธิ 23 แห่ง สหกรณ์อีกมากกว่า 1,000 แห่ง และบริษัทที่ถือหุ้นโดยมูลนิธิและสหกรณ์ 55 แห่ง กองบัญชาการของกองทัพอินโดนีเซียและทุกเหล่าทัพจะมีกองทุนมูลนิธิอย่างน้อย 1 กองทุน เฉพาะกองทัพบกมีกองทุนมูลนิธิแบบเดียวกันนี้ 16 กองทุน กองทุนมูลนิธิแต่ละกองทุนก็จะเข้าไปถือหุ้นในบริษัทอีกหลายบริษัท
กองทัพอินโดนีเซียมักจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับหน่วยงานหรือองค์กรภายนอก ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล รัฐสภา หรือสื่อมวลชน ในการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมทางธุรกิจของกองทัพ หน่วยทหาร หรือนายทหารระดับสูง ในหลายกรณีหุ้นในกิจกรรมต่างๆ ที่หน่วยหรือนายทหารถืออยู่ในบริษัทอาจจะเป็น ‘หุ้นลม’ ที่มีนักลงทุนตัวจริงเอามาให้ถือไว้เพื่อเป็นของกำนัลแลกเปลี่ยนกับการได้อาศัยอภิสิทธิของทหารในการทำธุรกิจ
นอกจากนี้บรรดานายทหารทั้งระดับสูงและระดับกลางก็มักจะมีธุรกิจส่วนตัวกันทั้งสิ้น (ทั้งๆ ที่มีระเบียบห้ามตั้งแต่สมัยซูฮาร์โตมาแล้ว) ในบางกรณีพบว่าหน่วยทหารมอบหมายนายทหารนอกราชการไปเป็นผู้ถือหุ้นหรือเป็นผู้ดำเนินธุรกิจ หรือบางกรณีนายทหารเหล่านั้นได้สร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งตั้งแต่ยังรับราชการอยู่ พอเกษียณออกไปแล้วก็ดำเนินการต่อเป็นแหล่งรายได้เพิ่มเติมจากเงินบำเหน็จบำนาญที่ได้จากรัฐ
อย่างไรก็ตามเท่าที่รวบรวมข้อมูลได้ สามารถจัดประเภทของกิจกรรมทางเศรษฐกิจหรือธุรกิจของกองทัพอินโดนีเซียออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ด้วยกันดังต่อไปนี้
ประเภทแรก คือ กองทุนมูลนิธิ (Foundation ในภาษาอังกฤษ หรือ Yayasan ในภาษาบาฮาซ่าอินโดนีเซีย) กองทัพอินโดนีเซียเริ่มตั้งกองทุนทำธุรกิจมาตั้งแต่ทศวรรษ 1960s โดยยุคแรกๆ นั้นรัฐบาลจะจัดเงินงบประมาณก้อนหนึ่งมาจัดตั้งเป็นกองทุนทำธุรกิจเพื่อหารายได้มาเป็นสวัสดิการให้กำลังพล และเหตุที่ทำเป็นรูปแบบของมูลนิธิเพราะจะได้รับการยกเว้นภาษี แต่เอาเข้าจริงธุรกิจสำคัญๆ ที่แสวงหากำไรเหมือนธุรกิจเอกชนทั่วไปที่กองทัพดำเนินการนั้น ก็ทำในรูปแบบของกองทุนมูลนิธิทั้งสิ้น กองทุนหลายแห่งที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่สมัยซูฮาร์โตจะเติบโตรวดเร็วมากเพราะเข้าไปประกอบธุรกิจผูกขาดในหลายภาคส่วน แต่หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 1997-1998 ที่ทำให้ระบอบซูฮาร์โตล่มสลาย ก็ส่งผลให้กองทุนมูลนิธิที่ทำธุรกิจแบบผูกขาดภายใต้ร่มธงของระบอบเผด็จการพลอยประสบปัญหาไปด้วย หลายแห่งขาดทุนหรือถึงขั้นล้มละลายไปก็มาก
ธุรกิจของมูลนิธิภายใต้การควบคุมของกองทัพประสบกับความเปลี่ยนแปลงจนต้องปรับตัวกันครั้งใหญ่ในปี 2001 เมื่อมีการออกกฎหมายว่าด้วยกองทุนมูลนิธิฉบับใหม่ ที่จำกัดไม่ให้กองทุนเหล่านี้ไปทำธุรกิจแสวงหากำไรจากกิจการที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับวัตถุประสงค์หลักซึ่งเน้นเรื่องมนุษยธรรม สังคม หรือศาสนา ดังนั้น กองทัพจึงปรับบทบาทของกองทุนมูลนิธิเหล่านี้ให้มีลักษณะเป็น Holding หรือไปถือหุ้นข้างมากในบริษัท Holding และจำกัดการลงทุนในบริษัทหรือกิจการต่างๆเพื่อแสวงหากำไรให้ไม่เกิน 25 เปอร์เซ็นต์ของสินทรัพย์ที่มีอยู่ของกองทุนเหล่านั้นตามที่กฎหมายกำหนด
แม้จะมีกฎหมายเช่นว่านั้นแล้ว แต่สถานะทางกฎหมายของกองทุนมูลนิธิเหล่านี้ก็ยังคลุมเครืออยู่ เพราะส่วนหนึ่งยังใช้ทรัพยากรของรัฐ และบริหารจัดการโดยนายทหารในราชการของกองทัพ ทางการอินโดนีเซียถือว่า กองทุนมูลนิธิของกองทัพนี้เป็นหน่วยงานกึ่งราชการ แม้ว่าบางกรณีผู้บริหารของกองทุนเหล่านี้อาจจะเกษียณหรือลาออกจากราชการแล้ว แต่กิจกรรมและกิจการทั้งหลายของมูลนิธิเหล่านี้ก็ยังเกี่ยวข้องกับโครงสร้างการปฏิบัติการของกองทัพอยู่เช่นเดิม ทว่ากองทัพมักจะปฏิเสธอยู่เนืองๆ ว่า มูลนิธิเหล่านี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับกองทัพแล้ว แม้ในความเป็นจริง กองบัญชาการของเหล่าทัพเป็นผู้ก่อตั้งกองทุนนี้และก็มีความรู้สึกว่าเป็นเจ้าของมันอยู่ก็ตาม
อย่างไรก็ตามมีหลายกรณีที่บริษัทหรือกิจการเหล่านั้นเปิดเผยว่าเกี่ยวข้องกับมูลนิธิของกองทัพโดยตรง เช่น บริษัท Admiral Lines ซึ่งเป็นบริษัทขนส่งทางเรือ เว็บไซต์ของบริษัทระบุเอาไว้ชัดเจนว่า ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1966 โดยมีกองทุนมูลนิธิกองทัพเรืออินโดนีเซียเป็นเจ้าของ และผู้อำนวยการใหญ่ของบริษัทคือ พลเรือตรี บูดีฮาร์จา ราเดน (Budiharja Raden) นายทหารเรือนอกราชการ เป็นต้น
ประเภทที่สอง คือ สหกรณ์ น่าจะเป็นรูปแบบในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เก่าแก่ที่สุดของกองทัพอินโดนีเซีย คือเริ่มมีมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1950 สหกรณ์แห่งแรกเป็นของกองทัพบก ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 7 มกราคม ปี 1954 ภายใต้ชื่อสหกรณ์เครดิต แรกๆ ก็เหมือนกับมูลนิธิ คือตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นสวัสดิการให้กับกำลังพล แต่ต่อมาเมื่อปี 1965 ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจอย่างอื่นได้อีกหลายอย่าง สหกรณ์จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งในการดำเนินธุรกิจของกองทัพมาจนถึงปัจจุบัน
การทำธุรกิจในรูปสหกรณ์ได้รับความนิยมในกองทัพอินโดนีเซียเพราะมักจะถูกตรวจสอบน้อยกว่ากองทุนมูลนิธิ ด้วยความเข้าใจที่ผิดๆ ที่ว่า สหกรณ์พวกนี้มักจะเป็นร้านค้าสวัสดิการเล็กๆ ในหน่วยทหารที่มีไว้สำหรับขายสินค้าราคาถูกให้กำลังพลและครอบครัว ไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้อะไรมากมายนัก แต่ในความเป็นจริง สหกรณ์ของกองทัพไม่ได้ทำแค่นั้นหรือมีรายได้จากสมาชิกเท่านั้น หากแต่หลายแห่งมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากหุ้นในธุรกิจขนาดกลางหรือขนาดใหญ่เช่น โรงแรม หรือบริษัทคลังสินค้า เป็นต้น
ประเภทที่สาม คือ หน่วยทหารหรือนายทหารเข้าไปทำธุรกิจโดยตรง หรือเป็นหุ้นส่วนร่วมทุนกับบริษัทเอกชน แต่ข้อมูลส่วนนี้มักจะหาได้ยาก และเกิดความสับสนได้ง่ายๆ รายงานของ Human Rights Watch ที่เผยแพร่ในปี 2010 พบว่า กองบัญชาการกองทัพอินโดนีเซีย กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ มีกิจการเป็นของตัวเองตั้งแต่โรงงานทำไม้อัด ไปจนถึงสายการบิน มีสินทรัพย์รวมกันหลายล้านดอลล่าร์สหรัฐ
แต่จากการตรวจสอบในระยะหลังพบว่า กิจการหลายอย่างที่กองทัพถือหรือดำเนินการอยู่ไม่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจและมีอันต้องเลิกล้มไปก็มี เช่น บริษัท PT. Manunggal Air Service ของกองบัญชาการกองทัพอินโดนีเซีย ประกอบธุรกิจสายการบิน มาตั้งแต่ปี 1997 เคยมีรายงานอุบัติเหตุในปี 2008 และเลิกล้มกิจการไปเมื่อปี 2015
สถานะของบางบริษัทแตกต่างไปจากรายงานของ Human Rights Watch ปี 2010 เช่นกรณีของ PT. Sumber Mas Indah Plywood ในรายงานบอกว่าเป็นบริษัทไม้อัดของกองทัพบกอินโดนีเซีย แต่เว็บไซต์ของบริษัทที่เข้าถึงล่าสุดในเดือนมีนาคมบ่งชี้ว่า บริษัทนี้เป็นธุรกิจครอบครัวของเอกชนที่ตั้งมาตั้งแต่ปี 1976 ไม่มีอะไรที่บ่งบอกว่าเกี่ยวข้องกับกองทัพ
มีบางกิจการที่แม้ว่าไม่เปิดเผยโดยตรง แต่ก็ยังทิ้งร่องรอยให้รู้ว่ามีประวัติที่เกี่ยวข้องกับทหารหรือกองทัพอยู่ เช่นกรณีของ Klub Persada Halim ซึ่งมีรายงานว่าเป็นคลับเฮาส์ของกองทัพอากาศ ริเริ่มโดยอดีตนายทหารอากาศเพื่อสานฝันของเขาที่ต้องการจะมีสโมสรเอาไว้ให้เพื่อนฝูงมาพบปะกันในยามเกษียณ จึงได้จัดตั้งบริษัทขึ้นในปี 1988 ด้วยความสนับสนุนและอำนวยความสะดวกของเพื่อนทหารที่เป็นนายพลของกองทัพบกหลายคน บริษัทแห่งนี้ให้บริการเช่าห้องพัก ร้านอาหาร สถานที่แต่งงาน และอุปกรณ์กีฬานานาชนิด เท่าที่เห็นโฆษณาในเว็บไซต์ดูเป็นสถานที่หรูหราพอสมควร รายงานของ Human Rights Watch เมื่อปี 2010 ยังระบุมีสินทรัพย์มากกว่า 1 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
เหตุแห่งความล้มเหลว
อินโดนีเซียตระหนักถึงผลเสียของการทำธุรกิจของทหารมานานแล้ว ดังจะเห็นได้ว่าในสมัยซูฮาร์โตมีการออกระเบียบในปี 1974 (ระเบียบ 6/1974) ห้ามกำลังพลของกองทัพเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมทางธุรกิจของเอกชน เว้นแต่ในสถานการณ์พิเศษ (ซึ่งไม่ได้กำหนดไว้แน่ชัดนักว่าคืออะไร) ในระเบียบนั้นมุ่งควบคุมทหารในระดับปัจเจก แต่ไม่ได้ห้ามระดับสถาบัน กล่าวคือ ห้ามเฉพาะนายทหารที่มียศตั้งแต่ร้อยโทขึ้นไป (เรือโท สำหรับกองทัพเรือ และเรืออากาศโทสำหรับกองทัพอากาศ) เข้าไปถือหุ้นในธุรกิจเอกชน หรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการบริหารบริษัทธุรกิจเอกชน เป็นที่ปรึกษาหรือทำการใดอันเกี่ยวข้องกับการแสวงหากำไร ไม่ว่าจะทำเป็นงานประจำหรือไม่ประจำก็ตาม
แต่ก็อีกนั่นแหละ ระเบียบนี้เป็นเรื่องปากว่าตาขยิบ เพราะในสมัยซูฮาร์โต กองทัพทำธุรกิจและนายทหารใหญ่ทั้งหลายก็ไปนั่งเป็นประธาน เป็นกรรมการในกิจการเหล่านั้น ยังไม่นับว่านายทหารใหญ่ก็ฝ่าฝืนระเบียบนั้นเสียเองด้วยการใช้อำนาจของตนเอื้ออำนวยให้กับธุรกิจเอกชนในเครือข่ายพวกพ้องและบริวาร
แต่การเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้เกิดขึ้นในยุคปฏิรูปกองทัพหลังระบอบซูฮาร์โต กล่าวคือในช่วงปลายสมัยประธานาธิบดี เมกะวาตี ซูการ์โน บุตรี รัฐสภาได้ผ่านกฎหมายว่าด้วยกองทัพอินโดนีเซียฉบับใหม่ (Law No.34/2004 on TNI) ในเดือนกันยายน 2004 ซึ่งตัวบทมาตรา 76 บัญญัติเอาไว้ใน (1) ว่า “ภายใน 5 ปีนับแต่วันประกาศใช้กฎหมายนี้ รัฐบาลจะต้องเข้าควบคุมกิจการที่กองทัพเป็นเจ้าของหรือจัดการอยู่ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม” และใน (2) “กำหนดให้การใช้บังคับกฎหมายนี้อยู่ในอำนาจประธานาธิบดี”
ประธานาธิบดีที่มีอำนาจเต็มในการใช้บังคับกฎหมายนี้คือ อดีตนายทหารหัวปฏิรูป ซูซิโร บัมบัง ยุดโดโยโน ประธานาธิบดีจากระบบเลือกตั้งโดยตรงคนแรกของอินโดนีเซีย แต่ปรากฎว่าเขาแทบจะไม่สามารถทำให้กฎหมายฉบับนี้มีผลใช้บังคับได้เลย แม้ว่าประธานาธิบดีจะตั้งพลเรือนเป็นรัฐมนตรีกลาโหม แต่ซูดาร์โซโน (Sudarsono) ผู้ที่เคยวิพากษ์วิจารณ์ระบบหารายได้พึ่งตนเองของกองทัพมาอย่างต่อเนื่อง กลับเอาแต่คอยแก้ต่างให้ท้ายกองทัพในการรักษาธุรกิจเอาไว้ต่อไป ด้วยเหตุผลที่ว่ารัฐบาลไม่สามารถจัดหางบประมาณในการปฏิบัติการให้กับกองทัพได้อย่างเพียงพอ และถ้าหากรัฐบาลจำเป็นจะต้องทำตามกฎหมายก็จะเลือกเอาแต่กิจการขนาดใหญ่เท่านั้น ส่วนกิจการขนาดเล็กก็จะเก็บไว้ให้เป็นสวัสดิการแก่กำลังพล โดยเฉพาะชั้นผู้น้อยต่อไป
แม้ว่าประธานาธิบดียุดโดโยโน จะได้ชื่อว่าเป็นนายทหารหัวปฏิรูป และมีประสบการณ์ในการบริหารงานของรัฐบาลมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลอับดุลเราะห์มาน วาฮิด เรียกได้ว่ารู้เห็นและเข้าอกเข้าใจเรื่องการปฏิรูปกองทัพดีกว่าใครทั้งหมด แต่ปรากฎว่าเขากลับปล่อยให้เวลาในการถ่ายโอนธุรกิจกองทัพหมดไปเปล่าๆ เพิ่งจะมาขยับตัวเอาในเดือนตุลาคม ปี 2009 ซึ่งเหลืออีกไม่กี่วันจะถึงกำหนดเส้นตาย 5 ปี ตามกฎหมาย จึงได้ออกกฤษฎีกา No.43/2009 เพื่อถ่ายโอนธุรกิจกองทัพไปอยู่ในความควบคุมของรัฐบาล โดยกฤษฎีกาดังกล่าว ได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมระหว่างกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อดูแลการถ่ายโอนกิจการของกองทัพ จากนั้นกระทรวงกลาโหมจึงได้ออกระเบียบ No. 22/2009 ว่าด้วยการถ่ายโอนกิจการเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายปี 2004
ความจริงเนื้อหาของกฤษฎีกาคำสั่งประธานาธิบดียุดโดโยโน ไม่ได้มีอะไรใหม่ไปกว่าล้อข้อความในมาตรา 76 ของกฎหมายกองทัพที่ออกมาในปี 2004 แต่อย่างใด แถมยังจะด้อยศักดิ์กว่าเพราะเป็นคำสั่งฝ่ายบริหาร และที่แย่ไปกว่านั้นคือ ไม่ได้กำหนดระยะเวลาในการดำเนินการเอาไว้เหมือนในตัวกฎหมาย จะมีพิเศษอยู่บ้างก็ตรงที่ระเบียบกระทรวงกลาโหมที่ออกตามมานั้นได้พูดถึงทรัพย์สินของรัฐที่กองทัพครอบครองและใช้ประโยชน์อยู่
รายงานของ Human Rights Watch ที่ออกมาในปี 2010 ซึ่งเป็นเวลาที่ผ่านเส้นตายไปแล้วหลายเดือนยังชี้ให้เห็นสาเหตุแห่งความล่าช้า หรืออาจจะเรียกว่าล้มเหลวในการใช้บังคับกฎหมายเพื่อโอนย้ายธุรกิจกองทัพไปอยู่ในความควบคุมและการบริหารงานของรัฐบาลอยู่หลายประการ ได้แก่
ประการแรก กฎหมายและระเบียบดังกล่าวเปิดช่องให้มีการตีความและโต้แย้งถึงเจตนารมณ์และนิยามประเภทกิจการหรือธุรกิจที่กองทัพ ‘เป็นเจ้าของ’ (own) หรือ ‘จัดการ’ (manage) ‘โดยตรง’ (direct) หรือ ‘โดยอ้อม’ (indirect) ได้อย่างกว้างขวาง มีการตีความกฎหมายกิจการที่รัฐบาลจะเข้าเทกโอเวอร์ได้ว่าจะต้องเป็นธุรกิจที่หน่วยทหารทำเองโดยตรงเท่านั้น ส่วนกิจการที่กองทัพดูแลโดยอ้อมนั้นสมควรจะทำแค่การปรับโครงสร้างก็เพียงพอ
ฝ่ายกองทัพมักจะโต้แย้งว่า ธุรกิจส่วนใหญ่นั้นไม่น่าจะอยู่ในขอบเขตของระเบียบกฎหมายว่าด้วยการโอนย้ายกิจการที่จะให้อำนาจรัฐบาลเข้าเทกโอเวอร์ได้ เพราะผู้ที่เป็นเจ้าของตัวจริงคือ กองทุนมูลนิธิหรือสหกรณ์ เป็นนิติบุคคลที่เป็นเอกเทศจากกองทัพ และการบริหารจัดการมักจะทำโดยสมาชิก ไม่ใช่เหล่าทัพหรือกองบัญชาการต่างๆ แต่อย่างใด
แม้กองทัพจะยอมจำนนด้วยถ้อยคำในกฎหมายว่าเป็นเจ้าของหรือบริหารจัดการโดยอ้อม ด้วยว่ากองทุนมูลนิธินั้นจัดตั้งโดยเงินจากกองทัพ ผู้บริหารจัดการและสมาชิกก็เป็นกำลังพลของกองทัพทั้งในและนอกราชการ แต่ก็ยังสามารถยื้อได้อีกด้วยการอ้างว่าระเบียบกระทรวงกลาโหมกำหนดว่าจะต้องมีการปรับโครงสร้างกิจการเหล่านั้น ไม่ได้อนุญาตให้รัฐบาลเข้าเทกโอเวอร์
นอกจากนี้ยังจะต้องคำนึงถึงกฎหมายว่าด้วยกองทุนมูลนิธิและสหกรณ์ที่กำหนดว่าไม่ให้ลงทุนแสวงหากำไรเกิน 25 เปอร์เซ็นต์ของทรัพย์สินที่มีอยู่ นั่นหมายความว่าภารกิจส่วนใหญ่ของบรรดากองทุนและสหกรณ์พวกนี้ทำเพื่อสังคมไม่ใช่เพื่อแสวงหาผลกำไรเชิงธุรกิจ
แต่หลังจากโต้แย้งกันไปมาอยู่ตลอดระยะเวลา 5 ปีจนกระทั่งเลยเส้นตาย ก็ได้ข้อสรุปว่า รัฐบาลไม่สามารถเข้าเทกโอเวอร์กิจการหรือธุรกิจที่กองทุนมูลนิธิหรือสหกรณ์เป็นเจ้าของหรือบริหารจัดการอยู่
ประการที่สอง คณะกรรมาธิการหรือคณะทำงานที่ตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลการถ่ายโอนธุรกิจ ไม่มีอำนาจและขาดความเป็นอิสระอย่างแท้จริง เพราะตั้งขึ้นภายใต้การกำกับของกระทรวงกลาโหม ซึ่งไม่เพียงแต่ถูกครอบงำโดยทหารเท่านั้น หากแต่รัฐมนตรีที่มากำกับดูแลกระทรวงนี้ก็ไม่มีความกล้าหาญมากพอที่จะขัดแย้งกับผู้นำเหล่าทัพได้ แม้ว่าคณะทำงานนี้จะมีองค์ประกอบของผู้แทนกระทรวงและหน่วยงานอื่นๆ ถึง 9 คนด้วยกัน แต่ในจำนวนนั้นเกินครึ่งเป็นทหาร กล่าวคือ 1 คนมาจากกองบัญชาการกองทัพอินโดนีเซีย 3 คนคือผู้แทนเหล่าทัพบก เรือ อากาศ และอีก 1 คนจากกระทรวงกลาโหมซึ่งก็แน่นอนว่าเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่และทำหน้าที่เป็นประธาน เรื่องจึงกลายเป็นว่า คณะทำงานดูจะเป็นคณะผู้แทนที่มาปกป้องผลประโยชน์ในกองทัพมากกว่าจะมาดำเนินการโอนย้ายธุรกิจเหล่านั้นให้ไปอยู่ในมือรัฐบาล
ประการที่สาม ซึ่งสำคัญอย่างมาก รัฐบาล รัฐสภา และสาธารณะชนทั่วไป จะได้ข้อมูลหยาบๆ เกี่ยวกับกิจการของกองทัพ แต่จะไม่มีทางล่วงรู้รายละเอียดได้เลยว่า กองทัพมีธุรกิจหรือกิจการอยู่ในมือทั้งหมดเท่าไหร่ กองทุนหรือสหกรณ์แต่ละที่เข้าไปถือหุ้นหรือเป็นเจ้าของกิจการอะไรบ้าง ทำธุรกิจประเภทไหนบ้าง สถานที่ประกอบการตั้งอยู่ที่ไหน ดังนั้นตัวเลขจำนวนกิจการและธุรกิจที่ปรากฏออกมาแต่ละครั้ง (ดังที่กล่าวข้างต้น) จะไม่เคยตรงกันเลย ยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่า รัฐบาลหรือบุคคลภายจะสามารถเข้าถึงข้อมูลทางบัญชีเพื่อให้ทราบถึงผลการประกอบการ รายรับ รายจ่าย อีกทั้งระบบการสอบบัญชี (auditing) หรือ การตรวจเงินแผ่นดินของอินโดนีเซียก็ไม่สู้จะเข้มแข็งอีกด้วย การสอบบัญชีของธุรกิจกองทัพเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในประเทศนี้
ประการที่สี่ การดำเนินการถ่ายโอนธุรกิจกองทัพขาดความโปร่งใสและขาดการมีส่วนร่วมของภาคส่วนอื่นๆ ในวงกว้าง ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากระบบการทำงานของกองทัพที่ไม่ชัดเจนตั้งแต่ต้น การปกปิดข้อมูลด้วยเจตนาที่ไม่ต้องการให้รัฐสภา สื่อมวลชน หรือภาคประชาชนได้ตรวจสอบ เพื่อซ่อนเร้นความไม่ชอบมาพากลทั้งหลายหรือแม้แต่ปกป้องนายทหารที่ทุจริตก็เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เกิดความล้มเหลว
ปริศนาวาทกรรมของธุรกิจกองทัพ
กองทัพอินโดนีเซียก็เหมือนกับกองทัพในประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายในโลกนี้ ที่สร้างวาทกรรมต่างๆ นานาเพื่อรักษาธุรกิจและผลประโยชน์ในกองทัพเอาไว้ใช้สอยกันในหมู่ทหาร ป้องกันไม่ให้รัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐอื่นใดมายึดเอาไป หรือเข้ามาตรวจสอบกันได้ง่ายๆ วาทกรรมต่างๆ เหล่านั้นพอจะประมวลได้ดังต่อไปนี้
แรกสุดเลยทีเดียว กองทัพอินโดนีเซียจำต้องทำธุรกิจหารายได้เพื่อหล่อเลี้ยงกองทัพและกำลังพล ตลอดถึงเพื่อการปฏิบัติภารกิจต่างๆ ในการป้องกันประเทศและรักษาความสงบภายใน เพราะงบประมาณด้านกลาโหมที่รัฐบาลจัดสรรให้ไม่เพียงพอกับความต้องการ เรื่องนี้อาจจะจริงในระยะเริ่มแรก แต่เป็นข้ออ้างที่ไม่มีมูลเลยในระยะหลังเพราะกองทัพมักจะอ้างความต้องการจิปาถะแบบลอยๆ โดยไม่มีแผนงานที่ชัดเจนว่าความต้องการในการใช้งบประมาณไปใช้จ่ายมาจากเรื่องอะไรบ้าง
ธนาคารโลกรายงานว่า แม้งบประมาณทางทหารของอินโดนีเซียจะลดลงมากเมื่อเปรียบเทียบกับทศวรรษ 1970 ในยุคที่ทหารเป็นใหญ่ คือลดลงในอยู่ในระดับที่น้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศมาตลอด นับแต่ปี 1998 เป็นต้นมา จนมาอยู่ในระดับ 0.7 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศในปี 2022 แต่รัฐบาลอินโดนีเซียก็จัดงบประมาณให้กองทัพมากถึง 4 เปอร์เซ็นต์ของการใช้จ่ายของรัฐบาลทั้งหมด
รายงานของ Human Rights Watch ระบุว่า ระหว่างปี 2002-2005 คือก่อนที่จะมีการออกกฎหมายห้ามกองทัพทำธุรกิจ รัฐบาลอินโดนีเซียอนุมัติงบประมาณให้เกินกว่าการใช้จ่ายจริงทุกปี ยิ่งไปกว่านั้นกองทัพยังสามารถเบิกงบประมาณสำหรับการปฏิบัติการในสถานการณ์ฉุกเฉินนอกเหนือไปจากงบประมาณประจำปีได้อีก นั่นหมายความว่าถ้าใช้กันให้เกิดประสิทธิภาพก็น่าจะเพียงพอกับการปฏิบัติภารกิจ
การศึกษาทางวิชาการ เช่นงานของ Deni Angela และ Meidi Kosandi[3] จากมหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย ยกตัวอย่างให้เห็นว่า ในปี 2007 สินทรัพย์ของกองทุนมูลนิธิและสหกรณ์ของกองทัพมีมูลค่ารวมกันประมาณ 350 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ และธุรกิจของกองทัพเท่าที่ตรวจสอบได้ น่าจะทำกำไร 28.5 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ในขณะที่รัฐบาลอินโดนีเซียจัดสรรงบประมาณให้กองทัพในปีเดียวกันนั้น 3.2 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ กำไรจากการประกอบธุรกิจเมื่อเปรียบเทียบกับงบประมาณที่รัฐจัดสรรให้กองทัพแล้วไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ ไม่น่าจะเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงกองทัพได้อย่างมีนัยสำคัญ
ประการต่อมา มีการอ้างกันเสมอว่า รายได้จากธุรกิจนั้นนำไปเพิ่มสวัสดิการกำลังพล โดยเฉพาะชั้นผู้น้อย แต่กองทัพไม่สามารถพิสูจน์หรือแสดงให้เห็นเป็นประจักษ์เลยว่า รายได้หรือผลกำไรจากการประกอบธุรกิจนั้นเอาไปจ่ายเป็นสวัสดิการให้กับกำลังพลชั้นผู้น้อยอย่างไร หรือในรูปแบบไหน การศึกษาของ Chia Choon Hoong จาก Marine Corps University พบว่า ประมาณ 65 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ของธุรกิจกองทัพจะถูกยักย้ายถ่ายโอนไปเข้าบัญชีส่วนตัวของนายทหาร[4] รายงานของ Human Rights Watch ฉบับปี 2006 ซึ่งสัมภาษณ์นายทหารในกองทัพอินโดนีเซียให้ข้อมูลว่า ธุรกิจของกองทัพเป็นวัวนม (cash cow) ให้กับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ในกองทัพได้สูบกิน มากกว่าจะนำมาใช้เพื่อเป็นสวัสดิการให้กับกำลังพลชั้นผู้น้อย แน่นอนอาจจะมีการแบ่งปันผลกำไรมาจัดสวัสดิการเล็กๆ น้อยๆ ให้กับกำลังพลอยู่บ้าง แต่ในเมื่อไม่มีใครสามารถตรวจสอบระบบบัญชีของธุรกิจเหล่านี้ได้ เรื่องเหล่านี้ก็จะยังคงเป็นปริศนาอยู่ต่อไป กองทัพก็จะอ้างแบบนี้ต่อไปทั้งๆ ที่อาจจะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีใครเชื่อแล้วก็ได้
บทเรียนและหนทางที่ยาวไกล
ถ้าจะสรุปว่า ผู้นำอินโดนีเซียตั้งแต่สมัยยุดโดโยโนเป็นต้นมาไม่มีเจตจำนงค์ทางการเมืองที่แรงกล้าอย่างเพียงพอที่จะดึงธุรกิจออกจากกองทัพ ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงสักเท่าใด เพราะในระยะ 20 ปีที่ผ่านมา อินโดนีเซียมีประธานาธิบดีเพียงแค่ 2 คน นั่นหมายความว่าแต่ละคนมีเวลาอยู่ในตำแหน่งยาวนานพอที่จะทำงานต่อเนื่องได้ ซึ่งถ้าเอาจริงเอาจังน่าจะปฏิรูปกองทัพในส่วนนี้ให้สำเร็จได้ โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีของยุดโดโยโน ซึ่งเป็นนายทหาร มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับกองทัพเป็นอย่างดี อีกทั้งเขาเองก็มีส่วนร่วมในการปฏิรูปกองทัพมาตั้งแต่ยุคเริ่มแรก
แต่ความล้มเหลวส่วนหนึ่งนั้นน่าจะมาจากแผนการดำเนินงานไม่ชัดเจนและประเมินแรงต้านจากกองทัพต่ำไป รัฐบาลในสมัยยุดโดโยโน มีกฎหมายอยู่ในมือตั้งแต่เริ่มแรก แต่แทนที่จะจัดทำแผนปฏิบัติการให้ชัดเจน แล้วลงมือขุดคุ้ยตรวจสอบธุรกิจในกองทัพอย่างจริงจังเสียก่อนตั้งแต่ต้น กลับเสียเวลาไปกับการตีความกฎหมาย โต้เถียงกันและปล่อยให้กองทัพอาศัยเหตุแห่งความคลุมเครือมาต่อล้อต่อเถียงด้วยเจตนาที่จะเหนี่ยวรั้งกระบวนการถ่ายโอนกิจการต่างๆ จนกระทั่งหมดเวลา
ถ้ารัฐบาลแสดงเจตนาให้ชัดเจนเสียตั้งแต่ต้นว่า ธุรกิจของกองทัพหมายถึงธุรกิจที่เป็นเจ้าของ ดำเนินการ บริหารและจัดการโดยกองทุนมูลนิธิและสหกรณ์ ตลอดถึงหน่วยทหารและนายทหารทั้งหมด ก็อาจจะทำให้เข้าไปจัดการได้ตรงจุด
สิ่งที่น่าจะเรียกว่าเป็นจุดผิดพลาดที่สุด คือ คณะกรรมาธิการหรือคณะทำงานในการถ่ายโอนธุรกิจกองทัพที่เตรียมการให้รัฐบาลเข้าเทกโอเวอร์ ไม่มีอำนาจในการสอบบัญชีธุรกิจของกองทุนหรือสหกรณ์เหล่านั้นเลย ถ้าหากมีความสามารถในการตรวจบัญชี (หรือหากมีอำนาจในการจัดจ้างผู้สอบบัญชีอิสระหรือจากต่างประเทศได้) อาจจะทำให้รัฐบาลได้คำตอบเร็วขึ้นว่า อาจจะมีกิจการไม่กี่แห่งที่จะต้องเข้าเทกโอเวอร์ ส่วนที่เหลืออาจจะอยู่ในภาวะที่ล้มละลายและต้องทำการชำระบัญชีไปเลยก็ได้
ผู้นำคนต่อมาของอินโดนีเซียคือ โจโค วิโดโด ซึ่งรับตำแหน่งต่อในช่วงปี 2014-2024 ดูเหมือนจะไม่ได้ดำเนินการอะไรเกี่ยวกับธุรกิจกองทัพเลย สาเหตุส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเขาต้องการแรงสนับสนุนจากกองทัพเพื่อค้ำจุนให้เขาอยู่ในตำแหน่งได้อย่างมั่นคง
ไม่เพียงเท่านั้น เขายังปล่อยให้ทหารขยายอำนาจเพิ่มขึ้นและโจโควีได้ผูกสัมพันธ์กับอดีตนายพลหลายคน รวมทั้งผู้เคยมีประวัติฉาวโฉ่ในสมัยซูฮาร์โตเข้ามาเป็นพันธมิตรทางการเมืองและร่วมงานในคณะรัฐมนตรี โจโควีใช้กองทัพทำโครงการหลายอย่างเพื่อช่วยยกฐานะรัฐบาล และในเวลาเดียวกันก็เป็นการส่งเสริมบทบาททหารไปด้วยในตัว การสำรวจความคิดเห็นประชาชนในช่วงรัฐบาลโจโควีพบว่า คะแนนนิยมของกองทัพอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น แม้ว่าบางโครงการ เช่น ให้ทหารช่วยทำนาปลูกข้าว จะไม่ได้ช่วยการยกระดับผลผลิตทางการเกษตรแต่อย่างใดเลยก็ตาม
การที่เขาให้บทบาททหารเข้ามานั่งในคณะรัฐมนตรีนั้นไม่เพียงทำให้กองทัพขยายบทบาท หากแต่พวกนายพลเหล่านี้ยังถือโอกาสปรับโครงสร้างขยายตัวและรุกกลับเข้าไปในพื้นที่ซึ่งเคยสูญเสียไปช่วงการปฏิรูปกองทัพ เช่น เข้าปฏิบัติการรักษาความมั่นคงภายในแทนตำรวจในหลายพื้นที่ เพิ่มจำนวนหน่วยทหารและตำแหน่งให้กับนายทหารอีกจำนวนมาก[5]
เป็นที่คาดหมายว่า บราโบโว ซูเบียนโต อดีตนายพลในระบอบซูฮาร์โต ผู้ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของอินโดนีเซียเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา น่าจะสืบต่อภารกิจในการสร้างเสริมบทบาทกองทัพในสังคมการเมืองอินโดนีเซียให้มากขึ้น แทนที่จะทำการปฏิรูปเพื่อลดบทบาทกองทัพเหมือนก่อน มีความเป็นไปได้ว่า ร่างแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยกองทัพอินโดนีเซียที่เตรียมการกันเอาไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วน่าจะได้รับการสานต่อให้เป็นจริงเพื่อเปิดช่องให้นายทหารในราชการเข้าไปดำรงตำแหน่งในหน่วยงานของพลเรือนได้
มาถึงตรงนี้คงจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่า แนวคิดที่จะดึงธุรกิจออกจากกองทัพอินโดนีเซียน่าจะตายสนิทไปแล้ว
เหล่าทัพ | กองทุนมูลนิธิ |
กองบัญชาการกองทัพอินโดนีเซีย | Yayasan Markas Besar ABRI (Yamabri) |
กองทัพบก | Yayasan Kartika Eka Paksi (YKEP) |
กองบัญชาการยุทธศาสตร์กำลังสำรอง (Kostrad) | Yayasan Kesejahteraan Sosial Dharma Putra (YKSDP Kostrad) (ก่อนหน้านี้รู้จักกันในชื่อ Yayasan Darma Putra Kostrad (YDPK) |
กองบัญชาการรบพิเศษ (Kopassus) | Yayasan Kesejahteraan Korps Baret Merah (Yakobame) |
กองทัพเรือ | Yayasan Bhumyamca (Yasbhum) |
กองทัพอากาศ | Yayasan Adi Upaya (Yasau) |
[1] Human Rights Watch. “Too High a Price: The Human Rights Cost of the Indonesia Military’s Economic Activities” Vol.18 No.5 (C) June 2006 (https://www.hrw.org/reports/2006/indonesia0606/indonesia0606webwcover.pdf)
[2] Human Rights Watch. “Unkept Promise: Failure to End Military Business Activity in Indonesia” January 11, 2010 (https://www.hrw.org/report/2010/01/12/unkept-promise/failure-end-military-business-activity-indonesia)
[3] Deni Angela and Meidi Kosandi “Military Business in Indonesia: Army Cooperative after Acquisition Policy 2009 and its Impact on Civil-Military Relations” International Journal of Social Science and Economic Research Vol. 1 Issue 10 October 2019
[4] Chia Choon Hoong, Major. The Business of Indonesia Armed Forces. Thesis of Master of Military Studies Marine Corps University, Virginia 2002
[5] Institute for Policy Analysis of Conflict. Civil-Military Relations in Indonesia After Jokowi Report No.87 July 17,2023