โอที = โอฟรี?
‘โอทีไม่มี มีแต่โอฟรี’ คือคำพูดที่ผมได้ยินครั้งแรกเมื่อ 15 ปีที่แล้ว เป็นคำที่รุ่นพี่ใช้ปลอบใจเวลาที่ต้องทำงานในวันหยุดให้ผู้บริหาร พวกเราลงแรงทำงานแบบฟรีๆ เป็นประจำ แต่ไม่ได้รับเงินค่าล่วงเวลา (OT)
คงเป็นเพราะเพิ่งเรียนจบ คงเป็นเพราะไฟในการทำงานที่ล้นเหลือ หรือความกลัวทำให้นายจ้างไม่พอใจ ผมจึงตั้งใจทำงานเต็มที่ คิดหวังว่าความขยันจะทำให้ผู้บริหารมองเห็น และช่วยผลักดันให้ชีวิตของเราประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
แต่เป็นธรรมดาของชีวิต สิ่งที่คิดมักไม่เป็นดังหวัง
การทำงานล่วงเวลาในวันหยุดโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน ไม่ได้ทำให้คนทำงานประสบความสำเร็จ ตรงกันข้าม พวกเราเสียเวลาพักผ่อนในวันหยุด ขณะที่นายจ้างได้รับกำไรจากการทำงานของเรา ความขยันขันแข็งไม่ได้ทำให้ได้เลื่อนขั้นหรือเพิ่มค่าจ้าง แถมเรายังถูกขโมยสิ่งสำคัญในชีวิตไป นั่นคือสิทธิที่ควรได้รับ
ตาม พรบ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 หากนายจ้างให้ลูกจ้างทำงานในวันหยุด ต้องจ่ายค่าทำงานในวันหยุดเพิ่มอีก 1 เท่า และหากให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันหยุด จะต้องจ่ายค่าจ้าง 3 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง
ที่สำคัญ นายจ้างที่ไม่จ่ายค่าล่วงเวลา (OT) ให้ลูกจ้าง ถือเป็นการกระทำความผิดกฎหมาย กำหนดให้โดนปรับไม่เกิน 20,000 บาท
แต่ถึงรู้กฎหมายแบบนี้ พวกเราก็ไม่กล้าทำอะไร เพราะกลัวตกงาน นี่คือเรื่องราวที่พบเห็นได้ประจำในชีวิตแรงงานที่ไร้อำนาจต่อรอง
ในปัจจุบันคำว่า ‘โอทีไม่มี มีแต่โอฟรี’ กลายเป็นเรื่องปกติสามัญในสังคมไปแล้ว แถมยังมีข่าวการเอาเปรียบแรงงานอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น การหลอกใช้นักศึกษาฝึกงานทำงานหนักให้ฟรีๆ โดยไม่จ่ายค่าจ้าง, ประกาศรับสมัครงานที่ต้องการคุณสมบัติมากมายแต่จ่ายค่าจ้างน้อยนิด, การทำร้ายร่างกายลูกจ้าง การโกงเงินค่าจ้าง ฯลฯ
ปัญหาแบบเดิมยังคงอยู่ แม้เวลาจะผ่านมาหลายสิบปี จนเกิดความสงสัยว่า ผู้บริหารที่ชอบเอาเปรียบคนทำงานแบบนี้ เขามีวิธีคิดแบบใด?
ยิ่งจนยิ่งเชื่อฟัง ยิ่งรวยยิ่งทำตามใจตน
หากต้องการรู้ว่าใครเติบโตมาแบบใด ต้องย้อนกลับไปดูวัยเด็กของพวกเขา
งานวิจัยของดารอน อาเซโมกลู (Daron Acemoglu) ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์แห่ง MIT เรื่อง ‘Obedience in the Labor Market and Social Mobility : A Socio-economic Approach’ (2021) หรือ ‘การเชื่อฟังในตลาดแรงงานและการเลื่อนชั้นทางสังคม’ สำรวจกลุ่มตัวอย่างสี่แสนกว่าคน จาก 113 ประเทศ โดยใช้ข้อมูลระหว่าง ค.ศ. 1981 ถึง 2018 เรียกได้ว่าเป็นงานวิจัยที่มีกลุ่มตัวอย่างหลากหลาย จัดใหญ่ จัดเต็ม
งานวิจัยดังกล่าว สอบถามข้อมูลเรื่องการเลี้ยงดูของครอบครัวที่มีรายได้สูงและรายได้น้อยจำนวนมาก จนพบข้อมูลที่น่าสนใจ ดังนี้
ครอบครัวที่มีรายได้น้อย จะสอนลูกให้เชื่อฟัง (Obedience) หรือไม่ขัดใจนายจ้าง เพราะโอกาสในชีวิตมีจำกัด ทางเลือกไม่กี่อย่างคือการทำงานรับเงินเดือน เพื่อให้ตนเองมีรายได้เลี้ยงชีพในอนาคต
ส่วนครอบครัวที่มีรายได้สูง จะสอนให้ลูกมีความเป็นอิสระ (Independence) เพราะโอกาสในชีวิตมีมากกว่า เช่น มีธุรกิจเป็นของตนเอง จึงมีอำนาจในการบริหารทั้งงานและคน หรือหากเป็นคนทำงาน ผู้ปกครองก็มั่นใจว่าความอิสระจะช่วยให้ลูกของตนประสบความสำเร็จได้
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะระบบเศรษฐกิจที่ทำให้การเลื่อนชั้นทางสังคม (Social Mobility) เป็นได้อย่างยากลำบาก คนรุ่นลูกหากเกิดในครอบครัวที่มีรายได้น้อย ย่อมมีโอกาสน้อยมากที่จะรวยกว่าพ่อแม่ ตรงกันข้าม หากเกิดในครอบครัวรวย โอกาสที่คุณจะรวยเหมือนพ่อแม่หรือรวยกว่าย่อมเป็นเรื่องง่าย
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ครอบครัวแรงงานจะสอนลูกให้เชื่อฟัง ตั้งใจทำงาน ไม่มีปากมีเสียง เพราะหากไม่ทำก็ไม่มีเงิน ส่วนครอบครัวคนรวยมีโอกาสและทางเลือกในชีวิตมากกว่า จึงส่งเสริมให้ลูกมีความคิดอิสระ ทำตามใจตนเองได้ เพราะมีต้นทุนทางสังคมที่สูงกว่า
ผลวิจัยเรื่องนี้จึงตรงกับชีวิตธรรมดาของแรงงานในหลายประเทศเหลือเกิน พวกเราคุ้นชินกับการเชื่อฟัง เพราะโอกาสจำกัด อีกทั้งวัฒนธรรมแบบนี้ยังเปิดโอกาสให้นายจ้างใจร้าย (บางคน) ใช้อำนาจและหาโอกาสเอาเปรียบแรงงานอยู่เสมอ
เมื่อหนังสือ ‘ฮาวทู’ สอนแค่ทำอย่างไรให้รวย
“คนที่ทำธุรกิจแล้วเอาเปรียบแรงงานมากที่สุด ก็คนที่ชอบอ่านหนังสือแนวฮาวทู สอนรวย ต้องทำงานหนัก ต้องพัฒนาตัวเอง ถ้าอยากพัฒนาตัวเองจริงๆ ทำไมไม่พัฒนาให้มันรอบด้าน ? สละเวลาอ่านสรุปกฎหมายแรงงานสัก 40 หน้าไหมจะได้ไม่ต้องไปทำนาบนหลังใคร”
สเตตัสใน Facebook ของมิตรสหายท่านหนึ่ง ตั้งข้อสงสัยถึงเบื้องหลังความคิดของผู้บริหารที่มุ่งมั่นพัฒนาตนเอง แต่ละเลยการใส่ใจเพื่อนมนุษย์
ใช่ครับ สเตตัสนี้ไม่ใช่งานวิจัยที่มีข้อมูลทางสถิติยืนยัน และเราไม่สามารถเหมารวมผู้บริหารทุกคนที่อ่านหนังสือฮาวทูได้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เนื้อหาในหนังสือเหล่านี้มีส่วนผลักดันให้ผู้อ่านโฟกัสที่ความสำเร็จเพื่อผลกำไรสูงสุด
จากการศึกษา ‘การสื่อสารกับการผลิตซ้ำเพื่อสืบทอดอุดมการณ์ผ่าน “หนังสือฮาวทู”‘ ของธิดารัตน์ มูลลา และสมสุข หินวิมาน (2556) พบว่าหนังสือฮาวทูส่วนใหญ่มีเนื้อหาสนับสนุนแนวคิดของระบบทุนนิยมในศตวรรษที่ 21 ที่เชื่อว่าการแข่งขันในตลาดเสรี จะทำให้ทุกคนประสบความสำเร็จได้ด้วยตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาโครงสร้างทางสังคมจากรัฐ
ในหนังสือจึงมีวิธีการโน้มน้าวใจให้ผู้อ่านเชื่อมั่นในอุดมการณ์ดังกล่าว เช่น การกล่าวถึงความร่ำรวยหรือความสำเร็จของผู้เขียน ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากในชีวิตจริง แต่จูงใจให้คนอ่านคิดว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน (คุณเองก็เป็นได้นะ คนรวย) ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วคนที่ร่ำรวยอาจมาจากเหตุผลอื่น ไม่ได้มาจากวิธีการตามหนังสือ เรื่องเล่าที่ว่าคนรวยคือผู้ชนะ ส่วนคนจนคือผู้แพ้ เรื่องเล่าที่ทำให้เชื่อว่าไม่ว่าคุณจะเกิดมาจนแค่ไหน คุณก็ประสบความสำเร็จได้ (แต่ต้องมาซื้อคอร์สของโค้ชด้วยนะ) เป็นต้น
กลุ่มเป้าหมายของหนังสือประเภทนี้ คือกลุ่มคนที่ใฝ่ฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตนเอง และอยากได้วิธีการบริหารที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จมากที่สุด เร็วที่สุด ได้กำไรมากที่สุด
ในโลกทุนนิยมที่ขับเคลื่อนด้วยตลาดเสรี และให้คุณค่ากับคนที่แข็งแกร่งที่สุด พวกเขาล้วนต้องการเป็นผู้ชนะ
แต่จะมีบ้างไหม คู่มือฮาวทูที่สอนผู้บริหารไม่ให้เอาเปรียบแรงงาน คำถามที่ผมถามเพื่อนๆ หลังจากแชร์สเตตัส Facebook เรื่องผู้บริหารและหนังสือฮาวทู
คำตอบที่ได้รับ คือไม่มี นึกไม่ออก
เพราะอย่างที่กล่าวมาแล้ว หนังสือฮาวทูส่วนใหญ่เน้นไปที่การเล่าเรื่องการประสบความสำเร็จในเรื่องธุรกิจ การสร้างกำไรมหาศาลจากต้นทุนที่ต่ำ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่การเข้าอกเช้าใจชีวิตแรงงาน ย่อมมีแต่แรงงานเท่านั้นที่เข้าใจกัน
แต่ถ้าจะจินตนาการสร้างหนังสือฮาวทูให้ผู้บริหารมองคนอย่างเท่าเทียม สิ่งที่ผมอยากจะบอกมีเพียงประเด็นเดียวเท่านั้น
นั่นคือ Empathy
ฮาวทูบ่มเพาะ Empathy
Empathy หรือการเห็นอกเห็นใจคนอื่น คือทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้บริหารทุกคน และเป็นรากฐานสำคัญในการกำหนดพฤติกรรมที่ผู้บริหารจะปฏิบัติต่อแรงงาน
หากผู้บริหารมี Empathy พวกเขาจะไม่เอาเปรียบแรงงานที่ทำงานให้ พวกเขาจะไม่โกงเงินค่าจ้าง พวกเขาจะไม่กดเงินค่าจ้างให้ต่ำเพื่อแลกกับกำไรที่สูง
อ่านแล้วดูเหมือนง่าย แต่ท่ามกลางสังคมที่ต้องแข่งขันกันเพื่อความอยู่รอด การเข้าอกเข้าใจผู้อื่นกลับกลายเป็นทักษะที่ถูกละเลย ไม่อย่างนั้น เราคงไม่ได้ยินข่าวแรงงานถูกเอารัดเอาเปรียบอยู่บ่อยครั้ง
หากมองภาพกว้างในระดับสังคม จะทำอย่างไรให้การเห็นอกเห็นใจคนอื่นกลายเป็นสิ่งที่ถูกปลูกฝังในพฤติกรรมผู้คน โดยเฉพาะกับคนที่ต้องทำหน้าที่บริหารองค์กร
แนวทางที่น่าสนใจ คือการพัฒนาระบบการศึกษาในสังคม ให้เป็นการศึกษาที่กล่อมเกลาจิตใจคน มากกว่าการผลิตแรงงานเพื่อเป็นเครื่องจักรในระบบทุนนิยมเท่านั้น
มาร์ทา นุสบาม ( Martha C. Nussbaum) นักปรัชญาหญิงชาวอเมริกัน เสนอแนวทางไว้ในหนังสือ ‘Not for Profit: Why Democracy Needs the Humanities’ หรือ ‘ไม่ใช่เพื่อผลกำไร : ทำไมประชาธิปไตยต้องการมนุษยศาสตร์’ ไว้ว่า การศึกษาด้านมนุษยศาสตร์และศิลปะ จะช่วยให้มนุษย์สามารถจินตนาการถึงความยากลำบากของคนอื่นด้วยความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งแนวคิดนี้จำเป็นอย่างยิ่งในสังคมประชาธิปไตย
มาร์ทายกตัวอย่างว่า วิชาศิลปะและวรรณกรรม มีส่วนสำคัญในการสร้างประสบการณ์ให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นได้ แม้จะไม่ได้สัมผัสประสบการณ์โดยตรง เช่น นาย ก. เติบโตในครอบครัวที่ร่ำรวย แม้จะไม่เคยถูกเอาเปรียบมาก่อนในชีวิต แต่ นาย ก. สามารถเห็นอกเห็นใจชีวิตคนจนที่ต้องทำงานหนักและถูกเอาเปรียบได้ ผ่านชีวิตตัวละครในวรรณกรรมหรือภาพยนตร์ต่างๆ หรือว่าการใช้นิทานปลูกฝังให้เด็กปฐมวัยเข้าอกเข้าใจเพื่อนมนุษย์ที่มีความหลากหลายตั้งแต่เยาว์วัย
แต่สิ่งที่น่ากังวล คือ วิชามนุษยศาสตร์และศิลปะกำลังถูกลดบทบาทในสังคม
เธอเล่าต่อว่า วิชามนุษยศาสตร์และศิลปะในหลายประเทศ ถูกยกเลิกหรือตัดออกจากแผนการศึกษาเพราะฝ่ายบริหารคิดว่าไม่จำเป็นต่อประเทศ และหันไปสนับสนุนวิชาที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้ดีกว่า
ไม่ใช่แค่รัฐบาล เธอเล่าถึงประสบการณ์การสอนหนังสือที่เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา และพบว่าผู้ปกครองหลายคนมีความต้องการให้ลูกๆ เรียนแต่วิชาที่สามารถทำเงินได้ในอนาคต มากกว่าวิชาที่เรียนแล้วนำไปใช้ในการทำงานไม่ได้อย่างมนุษยศาสตร์และศิลปะ
เธอไม่ได้ปฏิเสธการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่โลกใบนี้จำเป็นต้องมีมนุษยศาสตร์และศิลปะควบคู่กันเพื่อเติมเต็มศักยภาพของมนุษย์ เพื่อเรียนรู้การอยู่ร่วมกับความหลากหลายในฐานะพลเมืองโลก และระบบการศึกษาไม่ควรมุ่งตอบโจทย์ทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว
โลกต้องการผู้บริหารที่มีความเป็นมนุษย์
‘ผู้บริหารเขารู้จัก Empathy กันอยู่แล้ว’ คือสิ่งที่หลายคนคิด เมื่อเปิดหนังสือฮาวทูยุคใหม่หรือหลักสูตรอบรมผู้บริหารแล้วพบคำสอนเรื่อง Empathy เต็มไปหมด
ผมเห็นด้วย ผู้บริหารหลายคนคุ้นเคยกับคำนี้ แต่หากลองอ่านเนื้อหาในนั้นกลับทำให้ผมสงสัยว่า Empathy ในเนื้อหาเหล่านั้น คือ Empathy แบบใด
เพราะคำว่า Empathy ในตำราผู้บริหารปัจจุบัน กลับมีเรื่องเล่าแค่เพียงมิติเดียว นั่นคือมีไว้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพคนทำงานเท่านั้น
หากเปิดอ่านดูเราจะพบเรื่องเล่าคล้ายกันไปหมด เช่น ผู้บริหารที่ดีควรจะมี Empathy เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน ทำให้พนักงานรู้สึกว่าบริษัทใส่ใจและเข้าใจในตัวพวกเขา เมื่อพนักงานรู้สึกผูกพันกับองค์กรจะทำให้สร้างสรรค์งานได้ดีขึ้น หรือการมี Empathy จะช่วยสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้แข็งแรงขึ้น ให้พนักงานรักกัน เข้าใจกัน มีแรงฮึดสู้งานหนักและลาออกน้อยลง เป็นต้น
ผมพยายามอ่านหนังสือหลายเล่ม ค้นหาในอินเทอร์เน็ตอยู่หลายเว็บ ก็ยังไม่เจอเรื่องเล่าที่แนะนำให้ผู้บริหารมี Empathy เพื่อยอมสละกำไรให้น้อยลงและแบ่งปันมาให้คนทำงานบ้าง
Empathy กลายเป็นข้ออ้างในการใช้คนทำงานให้หนักขึ้น เพื่อเพิ่มผลกำไรหรือเปล่า?
Empathy กลายเป็นเครื่องมือสร้างผลประโยชน์ให้ผู้บริหารมากกว่าคุณภาพชีวิตแรงงานหรือไม่?
สิ่งที่ผมอยากแนะนำให้ผู้บริหารผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในการบริหาร คือลองใคร่ครวญและตัดสินใจดูว่าจะเลือกใช้ Empathy อย่างไรให้เหมาะสม จะใช้คำๆ นี้เป็นข้ออ้างเพื่อสร้างความสบายใจให้ตนเอง แต่ความเป็นจริงกลับเอาเปรียบผู้อื่นจริงๆ หรือ
ผมเข้าใจดีว่าประวัติศาสตร์บนโลกนี้ แรงงานมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ ล้วนมาจากการต่อสู้เรียกร้องของชนชั้นแรงงานด้วยกันเอง ไม่ได้มาจากความเมตตาของชนชั้นนายทุน ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้เพื่อค่าแรงชั้นต่ำ ชั่วโมงการทำงานที่เหมาะสม สิทธิในการพักผ่อน ฯลฯ และเรื่องราวการต่อสู้ของแรงงานทั่วโลก การรวมตัวกันเพื่อเป็นสหภาพแรงงาน สามารถหาอ่านได้มากมายในปัจจุบัน
แต่ในอีกมุมหนึ่ง โลกของเราจะน่าอยู่ขึ้น ถ้าเราสามารถเปลี่ยนความคิดของผู้บริหาร ให้เห็นถึงความสำคัญ และมองเห็นคุณค่าของชีวิตแรงงาน
จะดีไหม ถ้าในอนาคต สังคมสามารถสร้างผู้บริหารที่มีความรู้เรื่องธุรกิจและมีความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ไปพร้อมกันได้
หากครอบครัวและหลักสูตรการศึกษาสามารถสร้างให้เด็กมีความเข้าอกเข้าใจคนอื่น ในอนาคตไม่ว่าคุณจะเติบโตเป็นผู้บริหารหรือแรงงาน ทุกคนสามารถรับฟังและเข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่เอารัดเอาเปรียบและทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น
หากการอบรมหลักสูตรผู้บริหารหรือหนังสือฮาวทูต่างๆ สามารถสอดแทรกเรื่องเล่าแบบใหม่ เรื่องเล่าที่มี Empathy ที่เข้าอกเข้าใจคนอื่นอย่างแท้จริง Empathy ที่มีแล้วไม่เอาเปรียบคนอื่นเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง Empathy ที่มีแล้วเรานอนหลับได้สนิทและบอกกับตนเองได้ว่า เราเป็นผู้บริหารที่มีความเป็นมนุษย์และแบ่งปันผลประโยชน์ให้คนอื่นอย่างเป็นธรรม
ดังนั้น ฮาวทูง่ายๆ สั้นๆ ที่ผมและเพื่อนแรงงานต้องการบอกผู้บริหาร คือเพิ่มความเป็นมนุษย์ในหัวใจเพื่อเห็นอกเห็นใจผู้อื่นในสังคม และลองเปิดรับเรื่องเล่าแบบใหม่ที่ใช้ Empathy เพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมดูบ้าง
เพียงเท่านี้ คุณเองก็เป็นได้แล้วนะ ผู้บริหารที่มีความเป็นมนุษย์