ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสติดตามมูลนิธิเมล็ดฝันไปเยี่ยมชมระบบการศึกษาญี่ปุ่นในภาพรวม ตั้งแต่ระดับปฐมวัย ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา ณ จังหวัดโอซาก้า จึงเห็นว่าน่าจะนำประสบการณ์ดังกล่าวมาเล่าสู่กันฟัง เผื่อจะเป็นตัวอย่างแก่การศึกษาไทย ไม่ว่าจะเพื่อเทียบเคียงหรือปรับปรุง หรือกระทั่งการมองญี่ปุ่นอย่างวิพากษ์ในระบบการศึกษาของพวกเขา
การศึกษาดูงานที่ญี่ปุ่นนั้น เราทำกันมาอย่างยาวนานตั้งแต่ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 หนังสือ ตามรอยอาทิตย์อุทัย[1] ของ อ.ณัฐพล ใจจริง ชี้ให้เห็นภารกิจนั้นเป็นอย่างช้า ไม่ว่าจะเรื่องกิจการอุตสาหกรรมหรือระบบการศึกษา บทความนี้ก็จะขอนำเสนอในแว่นของยุคสมัยนี้ว่าเราเห็นอะไร และคิดเห็นอย่างไรกับระบบการศึกษาญี่ปุ่น
ก่อนอื่นจะต้องเข้าใจเสียก่อนว่า ระบบการศึกษาญี่ปุ่นนั้นมิได้รวมศูนย์อยู่ที่ส่วนกลาง แม้จะมีกระทรวงการศึกษาและวิทยาศาสตร์ แต่มีการกระจายอำนาจการจัดการทรัพยากรไปอยู่กับท้องถิ่นแล้ว โดยท้องถิ่นในที่นี้แบ่งเป็น 2 ระดับ หากเทียบกับประเทศไทย นั่นคือ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และเทศบาล ระดับแรกดูแลภาพรวม เขตการศึกษาจะอยู่ภายใต้อำนาจท้องถิ่นที่จะจัดสรรทรัพยากร เช่น อัตราบรรจุบุคลากรทางการศึกษาและงบประมาณต่างๆ นอกจากนี้ อบจ.ยังมีหน้าที่รับผิดชอบโรงเรียนระดับมัธยมปลาย ขณะที่เทศบาลเป็นผู้ดูแลจะดูแลระดับปฐมวัย ประถมศึกษา และมัธยมต้น (บางแห่งอาจจะมีมัธยมปลายด้วย) วิธีเช่นนี้ จะทำให้นักเรียนได้เรียนโรงเรียนใกล้บ้านที่มีคุณภาพใกล้เคียงกัน และทำให้การเดินหรือขี่จักรยานไปโรงเรียนเป็นเรื่องที่เป็นไปได้
ทริปนี้ ผู้เขียนมีโอกาสศึกษาดูงานในเขตใหญ่ของ อบจ.โอซาก้า และเทศบาลต่างๆ ภายในจังหวัดโอซาก้า ได้แก่ เทศบาลเมืองมัตสึบาระและเทศบาลเมืองเซ็ตสึ รวมถึงเทศบาลนครโอซาก้าเอง
ซีรีส์รายงานพิเศษนี้จะแบ่งเป็น 3 ส่วน ไล่เรียงตั้งแต่การศึกษาระดับปฐมวัย การศึกษาระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา รวมไปถึงอุดมศึกษา ส่วนสุดท้ายจะกล่าวถึงโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนการเรียนรู้
บทความแรกนี้จะพาผู้อ่านไปเริ่มที่ ‘ประตูบานแรก’ ของระบบการศึกษาญี่ปุ่นเสียก่อน นั่นคือ ‘การศึกษาระดับปฐมวัย’ ผู้เขียนจะพาผู้อ่านเดินผ่านประตูต้นไม้ เข้าไปสู่พื้นที่อันแสนมหัศจรรย์ที่โอบอุ้มเด็กๆ ในวัยแรกเติบโต
การศึกษาระดับปฐมวัยในญี่ปุ่นจะแบ่งเป็น 3 แบบ นั่นคือ ศูนย์เด็ก/เนิร์สเซอรี่ (Hoiku-sho) โรงเรียนอนุบาล (Youchi-en) และ โคโดโมะเอ็น (Kodomo-en) โดยแบบแรกจะรับเด็กที่ไม่มีพ่อและแม่อยู่บ้าน คือจะเลิกเรียนประมาณ 16.00 น. เป็นเวลาที่พ่อแม่เลิกงานมารับได้ (สัมพันธ์กับแนวคิดเรื่องแรงงานจึงถูกกำกับโดยกฎหมายด้านสวัสดิการเด็กที่สัมพันธ์กับกระทรวงสังคมสงเคราะห์และแรงงาน) ส่วนโรงเรียนอนุบาล ทางครอบครัวจะส่งเด็กมาได้ต้องมีคนอยู่บ้านอย่างน้อยหนึ่งคน เพราะจะเลิกเร็ว (ประมาณ 14.00 น.) ส่วนนี้จะกำกับโดยกฎหมายการศึกษาในโรงเรียน ซึ่งสัมพันธ์กับกระทรวงศึกษาธิการและวิทยาศาสตร์ และรูปแบบสุดท้ายคือโคโดโมะเอ็น เป็นการผสมกันระหว่างทั้งสองแบบแรก
หัวใจสำคัญของการส่งเสริมการพัฒนาเด็กคือการสอนและดูแลเด็กด้วยการสร้างสภาพแวดล้อม อันได้แก่ คน ผ่านผู้ปกครอง ครู และเพื่อน, สิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น สถานที่และของเล่น และสภาพแวดล้อมภาพใหญ่อย่างธรรมชาติและสภาพสังคม โดยครูเป็นผู้ให้คำแนะนำไม่ใช่ผู้สั่งการ ซึงรับมาจากแนวคิดที่เด็กเป็นศูนย์กลางของ Frebel และปรับมาเป็นแบบญี่ปุ่นโดย Sozo Karahashi ตั้งแต่ปี 1991 การศึกษาในแถบเมืองโอซาก้าจะเน้นสิทธิเด็กและสิทธิมนุษยชน และมองว่าการเล่นคือจุดเริ่มต้นของความเป็นไปได้
เมืองโอซาก้านั้นเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่ขยายตัวมากหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงกลายเป็นย่านแรงงานที่รองรับผู้ใช้แรงงานจากทั่วประเทศ รวมถึงแรงงานข้ามชาติ โอซาก้าจึงเป็นเมืองที่มีผู้อพยพเข้ามาใช้ชีวิตอย่างมหาศาล และสิ่งที่ตามมาก็คือการสร้างครอบครัวและมีลูกหลาน เศรษฐกิจที่เติบโตกับประชากรที่มากขึ้นนำไปสู่ความมั่งคั่งของประชาชาติและปัจเจก ขณะเดียวกันครอบครัวก็ต้องดิ้นรนทำงานหนัก จนไม่มีเวลาเลี้ยงดูเด็กๆ ของพวกเขา ส่งผลต่อปัญหาคุณภาพชีวิต หรือบางครั้งชุมชนบางแห่งที่เป็นชุมชนแออัดก็ถูกดูถูกดูแคลนจากผู้คนในเมือง
อย่างไรก็ตาม ขบวนการแรงงานและสหภาพแรงงานที่แข็งขันในเมืองอุตสาหกรรมอย่างโอซาก้า ร่วมกับการทำงานของเอ็นจีโอและชุมชนได้พยายามต่อสู้เรียกร้องสิทธิและความเท่าเทียม ทำให้เรื่องราวของโรงเรียนในจังหวัดโอซาก้า มีน้ำเสียงของการต่อสู้เพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและเรียกร้องสิทธิเด็กอย่างแจ่มชัด ไม่ใช่เพียงแค่การต่อสู้ให้กับผู้ใช้แรงงานอย่างเดียว
จากที่ได้มีโอกาสไปสัมผัสการศึกษาระดับปฐมวัยในเขตเทศบาลนครโอซาก้า พบว่ามีมูลนิธิเอกชนที่ทำงานด้านสังคมสงเคราะห์ ซึ่งสนับสนุนพ่อแม่ในการเลี้ยงลูกมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเปิดศูนย์เด็กเพื่อรับรองการศึกษาดังกล่าว ผู้เขียนได้มีโอกาสไปศึกษาที่ศูนย์เด็กแห่งหนึ่งคือ Aizenbashi Hoikuen อันอยู่ภายใต้มูลนิธิ Ishii Kinen Aizen-en ซึ่งถือว่าเป็นองค์กรสังคมสงเคราะห์แรกๆ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ช่วยดูแลเด็กกำพร้าหลังสงคราม ศูนย์เด็กแห่งนี้รับเด็กตั้งแต่ 6 เดือนจนถึง 5 ขวบ แม้อาคารจะไม่ได้อยู่ในสภาพใหม่เอี่ยม (แบบที่จะพบได้ในศูนย์เด็กอื่นๆ ที่สร้างภายหลัง) แต่พบว่าได้ให้ความสำคัญกับเด็กเป็นอย่างมาก ในศูนย์เด็กจะแบ่งห้องสำหรับ 6 ช่วงอายุ คือ 0 (ไม่ถึง 1 ขวบ), 1, 2, 3, 4 และ 5 ขวบ
ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าไปสังเกตการณ์ในห้อง 5 ขวบ หัวใจของศูนย์เด็กแห่งนี้คือ การให้เด็กได้เล่นเพื่อรู้จักตัวเองและสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ โดยจัดกิจกรรมให้เล่นอย่างอิสระ ทั้งในและนอกห้อง บางชั้นครูพานักเรียนไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะใกล้ศูนย์เด็ก ที่น่าสนใจคือการให้ความสำคัญกับการเล่นถึงขนาดที่ว่า แม้รู้ว่าการเล่นสนุกของเด็กๆ นั้นมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายอยู่ และยิ่งสนุกก็จะมีอันตรายเกิดขึ้นได้ แต่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ครูและผู้ปกครองเรียนรู้ไปด้วยกัน กระบวนการนี้จึงวางอยู่บนความไว้เนื้อเชื่อใจของศูนย์เด็ก ครู เด็ก และผู้ปกครอง
การส่งเสริมพัฒนาการของเด็กยังสัมพันธ์กับการที่เด็กจะได้รู้จักตัวเอง รู้จักว่าอารมณ์อะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาด้วย บอร์ดที่ติดภาพตัวการ์ตูนที่แสดงอารมณ์ จะช่วยให้เด็กสื่อสารกับครูหรือกับเพื่อนๆ ได้ว่าพวกเขามีความรู้สึกอย่างไร หากไม่สามารถบอกออกมาเป็นคำพูดได้
สำหรับเด็กที่โตก็จะถูกสอนให้พึ่งพาตัวเอง หลังจากทานมื้อเที่ยงที่เสิร์ฟในห้องจนเกลี้ยง พวกเขาก็เอาถาดและภาชนะต่างๆ ไปคืน จัดเรียงถาด ถ้วยและช้อนที่ห้องครัวตามจุดที่วางไว้ ศูนย์เด็กจะเลิกเรียนในเวลาเย็นจนถึงราว 19.00 น. เพื่อรองรับครอบครัวที่พ่อแม่ทำงานทั้งคู่และไม่มีใครอยู่บ้าน
อีกทีมหนึ่งได้ไปสังเกตการณ์ที่ศูนย์เด็ก Wakakusa Hoikuen ซึ่งตั้งอยู่ในเขตที่เรียกกันว่า ‘สลัม’ ในชุมชนแห่งหนึ่งในเทศบาลนครโอซาก้า ศูนย์เด็กแห่งนี้ชัดเจนมากว่าเกิดมาเพื่อรองรับลูกหลานของแรงงานในสลัมมาแต่เดิม และเปิดมากว่า 50 ปีแล้ว สมัยก่อนมีเด็กอยู่ที่บ้าน ไม่มีใครดูแล เนื่องจากครอบครัวอยู่ในสภาวะยากลำบาก ไม่สามารถฝากลูกได้ นอกจากนี้พ่อแม่ที่อาจการศึกษาไม่สูงนัก ก็อาจไม่เห็นคุณค่าการส่งลูกไปศูนย์เด็ก ไม่นับว่าบางครอบครัวไม่สามารถเขียนแบบฟอร์มสมัครได้
ทางศูนย์เด็กเห็นว่า ครอบครัวที่ไม่ได้ฝากเลี้ยงไม่ใช่เพราะเขาขี้เกียจ แต่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยจึงไม่เข้าใจคุณค่า พื้นที่แห่งนี้จึงเกิดมาภายใต้ความคิดเรื่องสวัสดิการของแรงงานและการแก้ไขปัญหาสังคม ที่น่าสนใจคือ ทีมที่แยกไปสังเกตศูนย์แห่งนี้เล่าว่า ฉากที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในเมืองไทยคือภาพที่ปรากฏต่อหน้าว่ามีเด็กคนหนึ่งปีนต้นไม้สูงลิบ เมื่อเทียบกับขนาดตัวเด็ก แทนที่ครูจะห้าม ครูกลับลากเบาะมารองรับ หากเจ้าหนูน้อยคนนั้นตกลงมา
ย้อนกลับไปทำความเข้าใจของหัวใจหลักของการบริหารของศูนย์เด็กทั้งสอง จะเห็นว่ามีการให้ความสำคัญกับความรู้สึกที่เสริมความภาคภูมิใจในตัวเอง พร้อมไปกับการสร้างความสัมพันธ์กับผู้ปกครอง โดยมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่การสร้างความภาคภูมิใจให้เด็กและกระตุ้นให้เด็กแสดงความรู้สึก และรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า บทบาทของครูหรือผู้ดูแลเด็กจะมีโจทย์คือ “เปลี่ยนจากการที่(เด็ก)ไม่อยากทำ เป็น(เด็ก)อยากทำ” กิจกรรมที่ทำต่อเนื่องได้จะเป็นสิ่งที่ดี แต่หากไม่อยากทำก็ไม่เป็นไร จากนั้นก็ต้องค่อยๆ หาสาเหตุว่ามาจากอะไร เช่น ทะเลาะกับเพื่อน พ่อแม่ หรือเหงา เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาให้ถูกจุด
นอกจากนั้น ครูยังมีหน้าที่ฝึกศักยภาพของเด็กที่มีความแตกต่างกันในแต่ละคน ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังจัดความสัมพันธ์ที่ดูเป็นอุดมคติอย่าง ‘ความเท่าเทียม’ บนฐานคิดที่ว่าเด็กและผู้ใหญ่มีความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกัน ไม่ใช่ว่าใครอยู่สูงกว่าใคร อันจะนำมาซึ่งความไว้วางใจ หากมีอะไรก็กล้าจะบอกผู้ใหญ่ นอกจากนั้นการทำงานเป็นทีมถือเป็นเรื่องสำคัญ การมองจากมุมมองครูคนเดียวอาจจะสู้การทำงานร่วมกันเป็นทีมไม่ได้ ส่วนประเด็นเรื่องวินัย พวกเขาเห็นว่าไม่ได้มาจากการสร้างด้วยคำสั่ง แต่ต้องมาจากความผูกพัน ความเชื่อถือ และความรักในผู้สอน หรือสร้างจากความผูกพันระหว่างผู้ใหญ่กับเด็ก ดังนั้นทักษะของครูคือ สามารถเล่นและจริงจังได้ มีความสามารถในการเข้าใจตัวเอง และมีความยืดหยุ่นกับเด็กๆ
อย่างไรก็ดี ผู้อำนวยการศูนย์เด็ก A ได้สะท้อนว่า แม้ว่าสิทธิเด็กจะดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก แต่เสียงของเด็กยังไม่ได้รับความสนใจ และชี้ว่าสังคมญี่ปุ่นทำให้เด็กมีปัญหาจนไม่อยากไปโรงเรียน ขณะที่โรคจิตเวชและความเครียดในเด็กก็มีอยู่มาก และเป็นสิ่งที่กดดันเด็กมาตลอด ว่ากันว่าปีที่ผ่านมา มีเด็กราว 213 คนที่ฆ่าตัวตาย ร้อยละ 70 ไม่ได้ปรึกษาใคร สาเหตุมาจากการที่สังคมญี่ปุ่นแข่งขันกันจนเกิดความเครียดตั้งแต่เด็ก ครอบครัวเองก็เครียดเพราะต้องทำงานหนัก เมื่อเป็นดังนี้ โจทย์สำคัญก็คือต้องพยายามอยู่ข้างเด็ก ทำให้เด็กเปิดใจ และมองว่าจุดแข็งของศูนย์แห่งนี้ก็คือการให้อิสระกับเด็ก
อีกเคสหนึ่งคือโรงเรียนอนุบาล Y ในเมืองมัตสึบาระ อยู่ภายใต้การบริหารและดูแลของเทศบาลเมืองมัตสึบาระ อันเป็นหน่วยงานของรัฐที่กระจายอำนาจมาแล้ว (ต่างจากศูนย์เด็กที่กล่าวมาซึ่งเป็นของมูลนิธิเอกชน) โรงเรียนดังกล่าวมีสโลแกนว่า “การศึกษาไม่ใช่แค่ดูแลเด็กๆ แต่ต้องดูแลผู้ปกครองด้วย” สิ่งที่คล้ายกับศูนย์เด็กที่ผ่านมาคือความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียน ครู และผู้ปกครองที่อยู่บนความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นสำคัญ เพราะการเล่นและเรียนรู้ที่ให้อิสระกับเด็กนั้น มีความเสี่ยงที่จะเกิดการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ที่โรงเรียน
ด้านการเรียนการสอน ในโรงเรียนอนุบาลจะเน้นภาษา การคิด สุขภาพ และการช่วยเหลือตัวเองได้ของเด็กๆ กิจกรรมที่ทำในทุกๆ วัน ก็เป็นกิจกรรมที่เด็กอยากทำ เพราะบนฐานคิดที่ใช้เด็กเป็นตัวตั้ง เมื่อเป็นสิ่งที่เด็กต้องการก็เชื่อว่าจะเกิดการสื่อสารระหว่างกัน เกิดความสัมพันธ์ที่อยู่ร่วมกันและยอมรับกันได้ โดยมีหัวใจสำคัญคือ สำหรับเด็กในวัยก่อนขึ้นประถมศึกษาจะต้องทำให้เด็กรู้ว่า โรงเรียนเป็นที่ปลอดภัยภัย สามารถอยู่ร่วมกันกับเพื่อน ผู้ปกครอง และครูได้ และอีกโจทย์คือจะเกิดความสัมพันธ์ที่หลากหลายและอยู่ร่วมกันได้ด้วย ส่วนหัวใจสำคัญกับผู้ปกครอง คือทำให้พวกเขารู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียว แต่ยังมีเพื่อน เพราะมีผู้ปกครองบางคนเพิ่งจะมีลูกคนแรก อาจจะต้องการการปรับตัว เมื่อมาโรงเรียนก็จะได้เจอกับเพื่อนผู้ปกครองที่มีลูกเหมือนกัน
ดังนั้น ผู้ปกครองจะได้รับเชิญให้มาสังเกตลูกของตนในห้องเรียน เพื่อสังเกตว่าตอนที่อยู่กับเพื่อนนั้นต่างกับตอนที่อยู่ที่บ้านอย่างไร และให้มีกิจกรรมร่วมกับเด็กด้วยตนเอง ทั้งยังมีหนังสือให้ผู้ปกครองนำกลับบ้านไปเล่าให้ลูกฟังสัปดาห์ละ 2 ครั้งเพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์
นอกจากนั้นยังมีการจัดกิจกรรมให้เด็กๆ มีส่วนร่วมกับชุมชน โดยให้มีกิจกรรมกับผู้สูงอายุในศูนย์ผู้สูงอายุในชุมชน ด้วยการสอนการละเล่นโบราณ ร้องเพลง ฯลฯ และยังมีกิจกรรมสานสัมพันธ์กับอีก 2 โรงเรียน เป็นโรงเรียนรัฐบาล 1 แห่ง และเอกชนอีก 1 แห่ง ซึ่งเป็นโรงเรียนระดับประถม เนื่องจากพวกเขาจะต้องถูกส่งไปเรียนต่อไป จึงต้องสร้างความสัมพันธ์เพื่อการยอมรับร่วมกันเสียก่อน ส่วนในระนาบชั้นเดียวกัน จะมีกิจกรรมร่วมกับโรงเรียนอนุบาลและศูนย์เด็กในละแวกใกล้เคียงกันด้วย
นอกจากนั้นยังมีโอกาสเดินทางไปดูศูนย์เด็กและโรงเรียนอนุบาลอื่นๆ มีกิจกรรมหนึ่งที่ชี้ให้เห็นรูปธรรมของการให้ความสำคัญกับเด็ก คือ วันเกิดของพวกเขา ศูนย์เด็กเล็กแห่งหนึ่ง ถ้าเป็นวันเกิดก็จะมีการสวมมงกุฏเจ้าหญิงให้เจ้าของวันเกิด เพื่อให้เป็นที่สังเกตกันเลย หรือที่เห็นกันบ่อยๆ ก็คือ จะทำปฏิทินใหญ่ๆ รายเดือนแล้วเขียนชื่อของเด็กๆ ไว้ว่ามีใครเกิดในเดือนนั้นๆ บ้าง
หากจะสรุปรวบยอดของการศึกษาปฐมวัยจากที่ได้ไปสัมผัสมา ผู้เขียนอยากจะใช้สัญลักษณ์แทนด้วย 3 สิ่ง นั่นคือ “เปียโน กระดานลื่น และมุมหนังสือ” ซึ่งเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าขาดไม่ได้เลย
สำหรับเปียโน จะตั้งอยู่ในห้องเรียนเพื่อใช้ในการสร้างเสียงและความบันเทิงในห้องเรียน ในมหาวิทยาลัยที่ผลิตครูปฐมวัย มีวิชาเปียโนเป็นวิชาบังคับ นักศึกษาจะต้องเล่นเปียโนได้เพื่อใช้ในการสอนระดับปฐมวัย เปียโนจึงเป็นตัวแทนของการเรียนในห้องเรียน หากใครเคยอ่านและดูอนิเมะเรื่องโต๊ะโตะจัง ก็จะเห็นภาพนี้ชัดเจนขึ้น ส่วนกระดานลื่น เป็นของเล่นกลางแจ้งที่แทบจะเป็นองค์ประธานที่อยู่ท่ามกลางลานทราย หลายแห่งจะติดตั้งบนชั้นที่ 2 ของอาคาร แล้วทำเป็นเหมือนบันไดวน แต่ด้านข้างจะมีลูกกรงเหล็กกันไม่ให้เด็กตกจากรางกระดานลื่น ซึ่งมีการอธิบายว่าแบบนี้เป็นบันไดหนีไฟที่ใช้เป็นที่เล่นของเด็กได้ด้วย
ส่วนนี้เองน่าจะแทนความเสี่ยงของกิจกรรมซึ่งนำมาซึ่งความสนุกที่กล่าวไปแล้วด้วย กิจกรรมกลางแจ้งอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือสระว่ายน้ำ ซึ่งจะถูกใช้งานในฤดูร้อน หรือช่วงที่อากาศเหมาะสม บางแห่งแม้จะเป็นตึกแถว ก็จะมีสระว่ายน้ำซ่อนอยู่บนดาดฟ้า
สุดท้ายคือมุมหนังสือ ไม่ว่าจะศูนย์เด็กหรือโรงเรียนอนุบาล ในห้องเรียนหรือพื้นที่ส่วนกลางจะมีมุมวางหนังสือที่โชว์ปกเชื้อเชิญให้เด็กหยิบไปอ่าน ไปดู หรืออ้างอิงเวลาที่ครูมีคำถาม และอาจเชื่อมโยงกับกิจกรรมที่โรงเรียนแนะนำให้ผู้ปกครองเอาหนังสือกลับไปอ่านที่บ้านให้ลูกฟังอีกด้วย เรื่องหนังสือและห้องสมุดจะเป็นเรื่องใหญ่ที่จะกล่าวในภายหลัง
ปรัชญาการศึกษาเด็กปฐมวัย กับ การเรียนการสอนที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นจึงถือว่ามีความพยายามอย่างสูงมากที่จะให้เด็กได้เรียนรู้จากการเล่น และเปิดโอกาสให้มีกิจกรรมที่สร้างสรรค์ การได้มีประสบการณ์ในห้องเรียนในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้ผู้เขียนหวนถึงฉากต่างๆ ที่ปรากฏในอนิเมะ ‘โต๊ะโตะจัง’ เหมือนเป็นโรงเรียนโทโมเอของครูโคบายาชิที่มีอยู่ในชีวิตจริง แต่กระนั้น ด้วยข้อจำกัดเรื่องเวลาและภาษา ก็ไม่แน่นักว่าข้อมูลที่เราเข้าถึงไม่ได้อย่างปัญหาที่เขาประสบเจอ จะเป็นอย่างไร
ในอีกด้าน การไปดูงานครั้งนี้ จะพบคีย์เวิร์ดสำคัญหลายอย่างที่เหล่าครูในฐานะขบวนการแรงงานและสหภาพแรงงานให้ความสำคัญ นั่นคือ ‘สิทธิเด็ก’ ดังนั้น ประเด็นการต่อสู้และเรียกร้องของแรงงานจึงแยกไม่ออกระหว่างสวัสดิการของครู และสิทธิเด็กที่ควรได้รับความคุ้มครองไปด้วย
การศึกษาญี่ปุ่นตามประสบการณ์ที่ผู้เขียนรับรู้จากจังหวัดโอซาก้าจึงอยู่บนหลักการสำคัญ คือ การกระจายอำนาจ ขบวนการแรงงานและสิทธิเด็ก ส่วนการศึกษาระดับที่สูงขึ้นจะเป็นอย่างไรนั้น กรุณาติดตามในตอนต่อไป
ตารางเปรียบเทียบศูนย์เด็กและโรงเรียนอนุบาล
ประเด็น | ศูนย์เด็ก | อนุบาล |
อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวง | กระทรวงสังคมสงเคราะห์และแรงงาน (กฎหมายสวัสดิการเด็ก ค.ศ.1947) | กระทรวงศึกษาธิการและวิทยาศาสตร์ (กฎหมายการศึกษาในโรงเรียน ค.ศ.1947) |
จุดประสงค์ | – เพื่อส่งเสริมพัฒนาจิตใจและร่างกายด้วยการดูแล และการจัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม – เพื่อดูแลและสอนเด็ก ตอบสนองความต้องการของผู้ปกครอง | เพื่อส่งเสริมพัฒนาจิตใจและร่างกายด้วยการดูแลและการจัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม |
ช่องอายุเด็กที่รับ | 57 วัน -5 ปี | 3-5 ปี |
เวลารับดูแลเด็ก | 11 ชั่วโมง (08.00-19.00 น.) | 5-6 ชั่วโมง (08.30-14.00 น.) 400 ชม./ปี |
คุณสมบัติครู | ต้องมีใบรับรองประกอบวิชาชีพครูศูนย์เด็ก | ต้องมีใบรับรองประกอบวิชาชีพครูอนุบาล |
จำนวน (สถิติปี 2018) | 23,524 แห่ง | 10,474 แห่ง |
อัตราส่วนบุคลากรสำหรับปฐมวัย | 0 ขวบ เด็ก 3 คน/ครู 1 คน 1 และ 2 ขวบ เด็ก 6 คน/ครู 1 คน 3 ขวบ เด็ก 20 คน/ครู 1 คน 4 และ 5 ขวบ เด็ก 30 คน/ครู 1 คน | ห้องเรียน 1 ห้อง เด็ก 35 คน/ครู 1 คน |
*หมายเหตุ นอกจากศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนอนุบาลแล้ว ยังมีสถานที่สำหรับเด็กรูปแบบใหม่ คือ การนำศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนอนุบาลที่มีอยู่มารวมกันแล้วตั้งชื่อใหม่ว่า Kodomo en ซึ่งมีอยู่ประมาณ 5,554 แห่ง
[1] ณัฐพล ใจจริง, ตามรอยอาทิตย์อุทัย : แผนสร้างชาติไทยสมัยคณะราษฎร (กรุงเทพฯ : มติชน, 2563)