ย้อนกลับไปเมื่อปี 2017 องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ ได้อนุมัติการใช้ Ozempic ปากกาฉีดยาเพื่อรักษาเบาหวานประเภทที่ 2 ซึ่งผลิตโดยบริษัทโนโว นอร์ดิสค์ (Novo Nordisk) บริษัทยายักษ์ใหญ่สัญชาติเดนมาร์กผู้ครอบครองสิทธิบัตรเซมากลูไทด์ (semaglutide) หลายชิ้น นี่คือตัวยาอัศจรรย์ที่ต่อมาบริษัทได้พัฒนาเป็นปากกาฉีดยาอีกหนึ่งแบรนด์คือ Wegovy ซึ่งได้รับการอนุมัติโดยองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ เพื่อใช้ในการลดน้ำหนักระยะยาวเมื่อปี 2021
นอกจากนี้ ยาทั้งสองตัวยังได้รับการอนุมัติให้ใช้เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจและหลอดเลือดอีกด้วย โดยปัจจุบันกำลังมีการทดสอบเพื่อใช้สำหรับรักษาโรคอัลไซเมอร์และภาวะเสพติดในผู้ป่วย
แน่นอนครับว่า ‘ยามหัศจรรย์’ ทำให้เหล่าคนน้ำหนักเกินทั่วโลกต่างตาลุกวาว ยิ่งในปัจจุบันที่จำนวนผู้ใหญ่อ้วนทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าตัว ส่วนเด็กและวัยรุ่นอ้วนมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึงสี่เท่าตัวเมื่อเทียบกับเมื่อสามทศวรรษก่อน คงเดากันได้นะครับว่าทั้งยา Ozempic และ Wegovy ต่างก็มีความต้องการมหาศาลแม้ว่าจะมีราคาสูงลิ่วราวเดือนละ 30,000 ถึง 45,000 บาทแถมยังต้องใช้ต่อเนื่อง ทำเอาบริษัทโนโว นอร์ดิสค์พุ่งทะยานเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในสหภาพยุโรป โดยในบางช่วงเวลา มูลค่าของบริษัทสูงกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของเดนมาร์กด้วยซ้ำไป
ไม่ใช่คำกล่าวเกินจริงนัก หากจะเรียกว่าเหล่ายาลดน้ำหนักของบริษัทโนโว นอร์ดิสค์ คือ ‘ตัวแบก’ ของประเทศเดนมาร์ก เพราะหากไม่นับอุตสาหกรรมยาในผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ เศรษฐกิจของเดนมาร์กจะเปลี่ยนจากเติบโตขึ้น 1.8 เปอร์เซ็นต์เป็นหดตัวลง 0.1 เปอร์เซ็นต์
คนส่วนใหญ่คงมองว่านี่คือข่าวดีที่เดนมาร์กมีบริษัทที่เสกสรรค์นวัตกรรมซึ่งคนทั่วโลกต่างยอมควักกระเป๋าจ่ายในราคาแพง แต่หากในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ผู้โด่งดังในฐานะศาสตร์ที่มองโลกในแง่ร้ายอาจเห็นต่างออกไป เพราะในอดีตต่างมีบทเรียนจำนวนหนึ่งของประเทศที่พึ่งพาความสำเร็จของผลิตภัณฑ์บางอย่างในประเทศจนเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่กลับกลายเป็นหายนะทางเศรษฐกิจที่หลายคนคาดไม่ถึง
แถมประวัติศาสตร์หน้านั้นยังเกิดขึ้นในประเทศไม่ใกล้ไม่ไกลจากเดนมาร์กอีกด้วย!
ว่าด้วยโรคดัตช์ เมื่อ ‘ส้มหล่น’ สร้างปัญหา
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1959 เนเธอร์แลนด์ค้นพบแหล่งก๊าซขนาดใหญ่ที่เมืองโกรนิงเงิน (Groningen) ชาวดัตช์จึงเร่งขุดเจาะนำก๊าซขึ้นมาเพื่อส่งออกให้ประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อเหล่าบริษัทส่งออกก๊าซ สิ่งที่ได้กลับมาคือสกุลเงินตราต่างประเทศมูลค่ามหาศาลซึ่งบริษัทย่อมต้องแปลงให้เป็น ‘กิลเดอร์’ (Guilder) สกุลเงินของประเทศเนเธอร์แลนด์ในสมัยนั้นเพื่อจ่ายเป็นค่าแรง ดอกเบี้ย และผลตอบแทนจากการลงทุน
สกุลเงินต่างประเทศที่ไหลมาเทมาทำให้สกุลเงินกิลเดอร์มีความต้องการสูงลิ่วจนแข็งค่าแบบก้าวกระโดด ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีเพราะชาวดัตช์สามารถนำเข้าสินค้าได้ในราคาถูกลง แต่ในขณะเดียวกัน ธุรกิจส่งออกอื่นๆ ของเนเธอร์แลนด์ในสมัยนั้นกลับต้องประสบปัญหาอย่างรุนแรง เนื่องจากราคาสินค้าส่งออกที่แพงขึ้นโดยเปรียบเทียบ การค้นพบแหล่งก๊าซของเนเธอร์แลนด์จึงกลับกลายเป็นทุกขลาภ เพราะภาคส่วนอื่นนอกเหนือจากอุตสาหกรรมก๊าซนั้นกลับย่ำแย่จนถึงขนาดอัตราการว่างงานภายในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 1 เปอร์เซ็นต์เป็น 5 เปอร์เซ็นต์
ความสำเร็จของโนโว นอร์ดิสค์ก็ส่งผลคล้ายๆ กัน เพราะรายได้ก้อนใหญ่ของบริษัทกลับเข้ามาในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อถูกนำมาแปลงเป็นเงินโครเนอเดนมาร์กก็ย่อมสร้างแรงกดดันให้สกุลเงินแข็งค่าขึ้นโดยเปรียบเทียบ
แต่สกุลเงินโครเนอเดนมาร์กแตกต่างจากสมัยกิลเดอร์ของเนเธอร์แลนด์อยู่พอสมควร เพราะโครเนอเดนมาร์กผูกติดมูลค่ากับสกุลเงินยูโร ธนาคารกลางเดนมาร์กจึงพยายามควบคุมสกุลเงินไม่ให้แข็งค่าเกินไปด้วยการกดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้ต่ำซึ่งปัจจุบันผลลัพธ์ก็ยังพอจะหักกลบลบกับความนิยมอย่างล้นหลามจากการส่งออกยามหัศจรรย์ ทำให้เดนมาร์กในปัจจุบันยังถือเป็นกลุ่มเสี่ยงแต่ไม่มีอาการของ ‘โรคดัตช์’ แต่อย่างใด กระนั้นธนาคารกลางก็ยังต้องติดตามผลกระทบของโนโว นอร์ดิสค์ต่อค่าเงินอย่างใกล้ชิด
ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ ปรากฎการณ์การค้นพบผลิตภัณฑ์ยอดนิยมที่ส่งผลกระทบไปถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็นับว่าเป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อยเลยทีเดียว
กับดักโนเกีย ระวังเจ็บหนักเพราะความสำเร็จไม่คงอยู่ตลอดไป
การเติบโตของบริษัทโนโว นอร์ดิสค์ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเดนมาร์กแบบก้าวกระโดด โดยเมื่อปีที่ผ่านมา ตำแหน่งงานใหม่สัดส่วนราว 1 ใน 5 เป็นการจ้างงานทางตรงกับโนโว นอร์ดิสค์ ยังไม่นับแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจทางอ้อม ทั้งเงินลงทุนมูลค่ามหาศาล ธุรกิจในห่วงโซ่อุปทาน ร้านรวงต่างๆ ที่ผุดขึ้นเพื่อมารอรับความต้องการจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มขึ้น
แต่งานเลี้ยงไม่ช้าก็เร็วย่อมมีวันเลิกรา หากไม่เตรียมการไว้ล่วงหน้า เดนมาร์กก็อาจตกหลุมติด ‘กับดักโนเกีย’ เช่นเดียวกับเพื่อนบ้านอย่างฟินแลนด์
ผู้เขียนเชื่อว่าทุกคนที่เกิดก่อนยุค 1990 คงเคยลูบๆ คลำๆ โทรศัพท์มือถือโนเกียจอขาวดำรุ่น 3310 พร้อมกับเกมงูแสนสนุกที่ใครๆ ก็ใช้กันพร้อมกับคำเลื่องลือว่าด้วยเรื่องความถึก อึด ทนจนมีคนแซวว่าปาทิ้งยังไม่พัง โนเกียกลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในธุรกิจโทรศัพท์มือถือช่วงต้นสหัสวรรษใหม่ และยังเป็นยักษ์ใหญ่ในประเทศฟินแลนด์ที่โกยรายได้มหาศาลคิดเป็นสัดส่วนการส่งออกราว 20 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ โดยมีบางช่วงที่ดันบัญชีเดินสะพัดของฟินแลนด์จนแตะระดับ 7 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี
จนกระทั่งปี 2007 ที่สตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) เปิดตัวไอโฟน (iPhone) สมาร์ตโฟนรุ่นแรกที่ทำให้โนเกียกลายเป็นเทคโนโลยีที่ล้าสมัย เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อย่างเข้าสู่ปี 2008 สหรัฐฯ ก็เผชิญวิกฤตซับไพรม์ (Subprime Crisis) ที่กระชากเศรษฐกิจทั่วโลกจนเข้าสู่ภาวะขาลง สองเหตุการณ์นี้ทำให้เศรษฐกิจฟินแลนด์ซบเซาอย่างหนักและฟื้นตัวได้ช้ากว่าเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน การศึกษาชิ้นหนึ่งโดยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจฟินแลนด์ (Research Institute of the Finnish Economy) ประมาณการว่าระหว่างปี 2008 ถึง 2014 ความร่วงโรยของบริษัทโนเกียส่งผลให้จีดีพีของฟินแลนด์ลดลงราว 1 ใน 3 ในขณะที่การจ้างงานทั้งประเทศหดตัวลงราว 1 ใน 5 ซึ่งนับว่าเป็นผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหาศาลจากปัญหาของบริษัทเพียงแห่งเดียว
แน่นอนครับว่าโนโว นอร์ดิสค์อาจไม่ได้ถูก ‘ดิสรัปต์’ รุนแรงเหมือนกับโนเกียในเร็ววันนี้ เว้นแต่ว่าจะมีนักวิทยาศาสตร์ผู้ปราดเปรื่องค้นพบยาชนิดใหม่ที่ใช้รักษาโรคชนิดเดียวกัน ผลข้างเคียงน้อยกว่า และต้นทุนต่ำกว่าได้ แต่ถึงจะไม่มีคู่แข่งหน้าใหม่ในตลาด อุตสาหกรรมยามีลักษณะพิเศษประการหนึ่งคือโนโว นอร์ดิสค์จะสามารถผูกขาดตลาดนี้ไปได้เรื่อยๆ จนกระทั่งยาหมดสิทธิบัตร โดยประมาณการว่า Ozempic ยาเรือธงของบริษัทจะสิ้นสิทธิบัตรลงภายในอีกสิบปีข้างหน้า หลังจากนั้น ตลาดยาดังกล่าวย่อมเผชิญการแข่งขันอย่างรุนแรงทำให้ราคาร่วงลงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับผลกำไรของบริษัทโนโวที่หดหายเป็นเงาตามตัว
โชคดีที่เราได้บทเรียนสำคัญจากกรณีวิกฤตบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ตั้งอยู่ในประเทศขนาดเล็ก รัฐบาลเดนมาร์กจึงค่อนข้างระวังระไวกับความสำเร็จของบริษัทโนโว นอร์ดิสค์ โดยไม่นำมาเทียบเท่ากับความสำเร็จของเศรษฐกิจทั้งประเทศ นอกจากนี้ หน่วยงานทางเศรษฐกิจของเดนมาร์กเองก็เฝ้าระวังสัญญาณปัญหาเศรษฐกิจในภาคส่วนอื่นๆ โดยเผยแพร่ตัวเลขจีดีพีที่หั่นเอาอุตสาหกรรมยาออกไปเพื่อไม่ให้ปัญหาถูกบดบังด้วยความสำเร็จของโนโว นอร์ดิสค์
เราสามารถเรียนรู้จากรัฐบาลเดนมาร์กในการคิดอย่างรอบคอบและรอบด้านในวันที่ความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ใดผลิตภัณฑ์หนึ่งนำมาซึ่งความมั่งคั่งของทั้งประเทศ น่าเสียดายที่ปัจจุบันประเทศไทยเรายังไม่มีโอกาสนั้น ส่วนการค้นพบแหล่งก๊าซในอ่าวไทยที่เคยนำพาเศรษฐกิจให้เข้าสู่ยุค ‘โชติช่วงชัชวาลย์’ ตอนนี้กลับกลายเป็นกับดักที่ทำให้ไทยไม่อาจเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ แถมประชาชนยังต้องแบกค่าไฟราคาแพงเพราะความผันผวนของราคาก๊าซในตลาดโลกอีกด้วย
เอกสารประกอบการเขียน
It’s not just obesity. Drugs like Ozempic will change the world
Ozempic’s biggest side effect: Turning Denmark into a ‘pharmastate’?
What Is the Dutch Disease? Origin of Term and Examples
With Novo Nordisk success, is there a “Nokia risk” for Denmark?