ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาทุกคนต่างก็ได้เห็นปรากฏการณ์ช็อกโลกที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ในชั่วชีวิตนี้ ซึ่งนั่นก็คือการปรับท่าทีของสหรัฐอเมริกาที่นุ่มนวลและเอนเอียงไปทางรัสเซียที่ (เคย) เป็นศัตรูคู่อาฆาต และตัวร้ายในนิทานก่อนนอนของเด็กอเมริกันทุกครัวเรือน แต่ในเวลาเดียวกัน สหรัฐฯ กลับวางท่าอวดเบ่งแข็งกร้าวต่อพันธมิตรที่เคยเคียงบ่าเคียงไหล่ฝ่าฟันวิกฤตการณ์ต่างๆ ร่วมกับสหรัฐฯ
โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และพรรคพวกพยายามเบี่ยงเบนประเด็นการรุกรานยูเครนของรัสเซียให้เป็นเรื่องของภาษีประชาชนอเมริกันที่ถูกล้างผลาญไปอย่างสิ้นเปลือง อีกทั้งสงครามนี้ยังเป็นสิ่งที่ชาติยุโรปแกว่งเท้าหาเสี้ยนผ่านความพยายามในการเอายูเครนเข้านาโต (NATO) จนรัสเซียต้องใช้กำลังโต้ตอบ แต่ขณะเดียวกัน ทรัมป์ก็คุยโวว่าตนใกล้ชิดสนิทสนมกับวลาดิมีร์ ปูติน (Vladimir Putin) ประธานาธิบดีรัสเซีย พร้อมทั้งระบุว่าการคุยกับรัสเซียนั้นง่ายกว่าการคุยกับยูเครน เพราะยูเครนกระหายสงครามและไม่ต้องการสันติภาพ ต่างจากรัสเซียที่พร้อมเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อสร้างสันติภาพในยูเครน อย่างไรก็ตาม การกระทำของรัสเซียในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่การยึดครองคาบสมุทรไครเมียในปี 2014 ไปจนถึงการเปิดฉากรุกรานยูเครนในปี 2022 ทำให้หลายฝ่ายพ้องต้องกันว่ารัสเซียจะไม่หยุดอยู่แค่ดินแดนที่ยึดมาได้ในปัจจุบัน แต่จะขยายการรุกรานออกไปยังดินแดนอื่นๆ ในภูมิภาคยุโรปต่อไปเรื่อยๆ
ปูตินฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้โดยการแสดงท่าทีที่สอดคล้องกับทรัมป์ อาทิ การเสนอตัวจัดการเจรจาสันติภาพ และการเชิญชวนสหรัฐฯ ร่วมลงทุนในรัสเซีย เพื่อซ่อนเร้นเจตนาที่แท้จริงของตน ซึ่งหากปูตินทำสิ่งเหล่านี้สำเร็จ เศรษฐกิจของรัสเซียที่กำลังบาดเจ็บเจียนตายจากสงครามที่ยืดเยื้อก็จะได้รับการเยียวยาและฟื้นฟู แต่ทว่าอาชญากรรมสงครามที่รัสเซียกระทำต่อประชาชนชาวยูเครนจะถูกกลบเกลื่อนด้วยประเด็นสันติภาพจอมปลอมที่ทรัมป์และกลุ่มผู้สนับสนุนพยายามผลักดัน ซึ่งแน่นอนว่ารัสเซียจะได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้ไปเต็มๆ
เป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างยิ่งที่ชะตากรรมอันเลวร้ายในลักษณะคล้ายกันนี้เคยเกิดขึ้นกับยูเครนมาแล้วในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อ ‘คนโง่ที่มีประโยชน์’ (useful idiot) ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือทรราชให้บรรลุเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการช่วยกำกับทิศทางข่าวสารที่เป็นคุณต่อทรราชเพื่อบดบังความเลวร้ายที่ทรราชกระทำต่อผู้อื่น หรือการช่วยปกป้องระบอบเผด็จการจากบรรดาผู้ที่เคลือบแคลงสงสัย โดยที่คนโง่ที่มีประโยชน์ไม่อาจเข้าใจถึงผลร้ายที่เกิดจากการกระทำของตนเอง และที่สำคัญคือไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนกำลังถูกทรราชหลอกใช้
ชะตากรรมอันเลวร้าย: วิกฤตการณ์อาหารขาดแคลนในยูเครน
ในปี 1929 สหภาพโซเวียตริเริ่มนโยบายนารวมโดยการออกคำสั่งยึดที่ดินทำกินของประชาชนมาเป็นของรัฐ และบังคับให้ชาวไร่ชาวนามาทำเกษตรกรรมรวมกันบนผืนดินของรัฐ หลังจากนั้น ผลผลิตทางการเกษตรทั้งหมดก็จะถูกเก็บรวบรวมไว้ที่ส่วนกลางและจะถูกนำมาแบ่งสรรปันส่วนกลับคืนไปยังชาวนาอย่างเท่าเทียม
ถ้าหากมองดูเผินๆ นโยบายนารวมก็อาจฟังดูเข้าท่า เพราะดูเหมือนจะช่วยขจัดความเหลื่อมล้ำและทำให้เกิดการกระจายทรัพยากรไปถึงมือทุกคนอย่างเท่าเทียม แต่ทว่าในความเป็นจริง นโยบายนารวมที่สหภาพโซเวียตนำมาปรับใช้กลับทำให้ปริมาณผลผลิตทางการเกษตรดิ่งลงเหวจากการบริหารจัดการที่ล้มเหลวจนนำไปสู่วิกฤตการณ์อาหารขาดแคลนครั้งใหญ่ที่ทำให้ราษฎรผู้เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าลุกขึ้นมาจับอาวุธ ก่อการจลาจลต่อต้านรัฐบาลเผด็จการในหลายแว่นแคว้น โดยเฉพาะในพื้นที่ยูเครน
โจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin) ผู้นำสูงสุดของสหภาพโซเวียตที่ไม่ไว้ใจชาวยูเครนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงยิ่งหวาดระแวงว่าชาวยูเครนทั่วทั้งแผ่นดินอาจลุกขึ้นมาก่อการกบฏล้มล้างรัฐบาลเผด็จการคอมมิวนิสต์ สตาลินจึงมีคำสั่งในปี 1932 ให้ระงับการแจกจ่ายอาหารในหลายพื้นที่ของยูเครน ซึ่งซ้ำเติมวิกฤตการณ์อาหารขาดแคลนที่ย่ำแย่อยู่แล้วให้เลวร้ายลงไปกว่าเดิมเพื่อไม่ให้ชาวยูเครนมีพละกำลังเพียงพอที่จะลุกขึ้นมาต่อกรกับสหภาพโซเวียต ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าหน้าที่ผู้จงรักภักดีต่อสตาลินยังไล่ปล้นสะดมทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถนำมาทำเป็นอาหารได้ไปจากชาวบ้าน จนทำให้ผู้คนชาวยูเครนทยอยล้มหายตายจากไปเพราะความหิวโหย ชาวยูเครนในยุคหลังเรียกเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ดังกล่าวนี้ว่า ‘ฮอโลโดมอร์’ (Holodomor) โดยมีการคาดการณ์ว่าอาจมีชาวยูเครนเสียชีวิตในระหว่างปี 1931-1934 สูงถึงกว่า 3.9 ล้านคน จากผู้เสียชีวิตทั่วทั้งสหภาพโซเวียต 5 ล้านคน
‘คนโง่ที่มีประโยชน์’ ช่วยบิดเบือนความจริงอย่างไร?
ข่าวเกี่ยวกับวิกฤตการณ์อาหารขาดแคลนในยูเครนเริ่มเล็ดลอดออกไปถึงหูคนภายนอกสหภาพโซเวียต สตาลินผู้ต้องการรักษาภาพลักษณ์ของตนจึงทาบทามคนโง่ที่มีประโยชน์อย่างวอลเตอร์ ดูแรนตี (Walter Duranty) ผู้สื่อข่าวสำนักข่าว The New York Times ประจำกรุงมอสโกให้ช่วยกอบกู้วิกฤตศรัทธา ซึ่งดูแรนตีก็ได้ทำหน้าที่นี้เป็นอย่างดีผ่านการนำเสนอข่าว เช่นว่า “โลกตะวันตกไม่ควรนำมาตรฐานของตนไปใช้ตัดสินรัสเซีย” หรือ “ถ้าจะทำไข่เจียว ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ตอกไข่” เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่การใช้กำลังของสตาลินสำหรับการบรรลุเป้าหมายการยกระดับสังคมที่ยิ่งใหญ่
ดูแรนตีตอบโต้ข่าวที่กล่าวหาว่ามีวิกฤตการณ์อาหารขาดแคลนครั้งใหญ่ในยูเครนอย่างแข็งขัน ดูแรนตีกล่าวอ้างว่าจริงๆ แล้วยูเครนกำลังเก็บเกี่ยวผลผลิตครั้งใหญ่อยู่ต่างหาก และข่าวที่กล่าวหารัสเซียก็เป็นข่าวที่พูดเกินจริงไปมากแถมยังแฝงไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย เพราะรัสเซียแค่ ‘หิว’ ไม่ได้ ‘อดอยาก’ ดูแรนตียังกล่าวต่อไปอีกว่าพลเมืองโซเวียตบางส่วนแค่เสียชีวิตจากการขาดแคลน ‘สารอาหาร’ ไม่ใช่ ‘อาหาร’ ซึ่งเกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติเพียงเล็กน้อย ทั้งนี้ หากพิจารณาจากบริบทในช่วงทศวรรษ 1930 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ผู้คนบางส่วนเลือกที่จะมองสหภาพโซเวียตในฐานะความหวังและทางเลือกจากระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่ล้มเหลว ข่าวความสำเร็จของสหภาพโซเวียตที่ดูแรนตีรายงานจึงกลายเป็นภาพในอุดมคติที่ผู้คนใฝ่ฝันหา ท้ายที่สุด ดูแรนตีได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ (Pulitzer) ซึ่งเป็นรางวัลเชิดชูเกียรติสำหรับนักข่าวดีเด่นประจำปี 1932 จากการรายงานสถานการณ์ในสหภาพโซเวียตเชิงลึกที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก
นอกจากนี้ ยังมีหนังสือพิมพ์ฝ่ายซ้ายในสหรัฐฯ อย่าง Daily Worker ที่ส่งผู้สื่อข่าวลงพื้นที่เมืองคาร์คิฟ (Kharkiv) ยูเครน รายงานข่าวว่านโยบายนารวมสร้างผลผลิตให้แก่ยูเครนปริมาณสูงสุดในรอบ 30 ปี และตอบโต้สำนักข่าวที่พยายามเปิดโปงการขาดแคลนอาหารในยูเครนว่าเป็นพวกปล่อยข่าวปลอม รวมทั้งแปะป้ายคนที่วิจารณ์นโยบายของสหภาพโซเวียตว่าเป็นพวกฟาสซิสต์ นักข่าวน้ำดีที่รายงานสถานการณ์ในยูเครนอย่างตรงไปตรงมา อาทิ แฮรี แลง (Harry Lang) และกาเร็ท โจนส์ (Gareth Jones) จึงถูกนักข่าวฉ้อฉลเหล่านี้เล่นงานอยู่บ่อยครั้ง และถูกกลบกระแสด้วยข่าวความสำเร็จจอมปลอมของสหภาพโซเวียต
สุดท้ายแล้ว กว่าความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ในยูเครนจะถูกเปิดเผยต่อสายตาชาวโลก เวลาก็ล่วงเลยไปอีกหลายทศวรรษ เมื่อสหภาพโซเวียตใกล้ล่มสลายและเริ่มมีเอกสารลับหลุดออกมาสู่สาธารณะที่เผยให้เห็นถึงอาชญากรรมที่ทางการโซเวียตตั้งใจกระทำให้ชาวยูเครนล้มตายจากความหิวโหย ฮอโลโดมอร์เป็นประวัติศาสตร์บาดแผลที่ทิ้งรอยไว้กับชาวยูเครน และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ยูเครนไม่ลงรอยและจะไม่มีวันญาติดีกับรัสเซีย ตราบใดที่รัสเซียยังไม่ออกมาแก้ไขความผิดพลาดในอดีตรวมถึงปัจจุบันที่ได้กระทำต่อชาวยูเครน
ในปัจจุบัน ยูเครนพยายามเรียกร้องให้ผู้คนตระหนักถึงประเด็นฮอโลโดมอร์มากขึ้น ทั้งการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์รำลึกในกรุงเคียฟ ยูเครน การประดิษฐานรูปปั้นเด็กหญิงรำลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าวในกรุงเคียฟ การสร้างอนุสรณ์สถานในกรุงวอชิงตัน สหรัฐฯ รวมถึงการเรียกร้องให้ถอดรางวัลพูลิตเซอร์ที่ดูแรนตีเคยได้รับ และย้ำเตือนให้ผู้คนรู้เท่าทันพิษภัยของ ‘คนโง่ที่มีประโยชน์’ ที่ยื่นมือจากภายนอกเข้ามาช่วยเหลือเผด็จการจนนำไปสู่โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่
ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย?
ครั้งหนึ่งยูเครนเคยต้องประสบเคราะห์จากคนโง่ที่มีประโยชน์ผู้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือรัสเซียปกปิดข่าวการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยูเครน โชคไม่ดีนักที่ยูเครนอาจกำลังเผชิญกับกลุ่มคนโง่ที่มีประโยชน์อีกครั้ง โดยในครั้งนี้กลุ่มคนดังกล่าวไม่ได้เป็นแค่นักข่าวธรรมดาเท่านั้น แต่เป็นถึงกลุ่มคนระดับผู้นำในทำเนียบขาวและลิ่วล้อที่ยื่นมือเข้าไปช่วยปูตินสร้างวาทกรรมเบี่ยงเบนประเด็นและลดทอนอาชญากรรมสงครามที่เกิดขึ้นในยูเครน อาทิ “เป็นเรื่องปกติที่มีคนตายในสงคราม” “รัสเซียไม่เคยทำอะไรพวกเรา” “ทะเลที่สวยงามขวางกั้นพวกเราจากความขัดแย้งในยุโรป” หรือแม้กระทั่งเชื่อทฤษฎีสมคบคิดที่ว่ายูเครนเป็นฝ่ายที่เริ่มบุกโจมตีรัสเซียก่อน ยูเครนไม่ต้องการสันติภาพ และกำลังผลาญเงินภาษีประชาชนสหรัฐฯ ไปกับสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุด โดยกลุ่มคนโง่ที่มีประโยชน์พวกนี้หารู้ไม่ว่าการกระทำของพวกตนกำลังส่งเสริมการละเมิดอำนาจอธิปไตย กฎหมายระหว่างประเทศ และระเบียบของโลกที่ไม่อนุญาตให้รัฐใดๆ ใช้กำลังยึดครองดินแดนของรัฐอื่นตามอำเภอใจ
กลุ่มคนโง่ที่มีประโยชน์จะนำยูเครนไปพบกับโศกนาฏกรรมผ่านการบีบให้ยูเครนยอมสละดินแดนที่รัสเซียกำลังยึดครองอยู่ โดยที่กลุ่มคนเหล่านี้ไม่ตระหนักเลยว่าหากสหรัฐฯ ในฐานะมหาอำนาจที่ประกันความมั่นคงและระเบียบโลกให้แก่ชาติต่างๆ ตระบัดสัตย์ละทิ้งพันธมิตรที่เก่าแก่ของตนจะทำให้เกิดผลร้ายตามมา ได้แก่ ความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ที่จะหมดไป ความโกลาหลที่เกิดจากการที่แต่ละชาติพยายามดิ้นรนเอาตัวรอด ชาติพันธมิตรในยุโรปอาจถูกสถานการณ์บีบคั้นให้ต้องพึ่งพิงคู่แข่งของสหรัฐฯ อย่างจีนมากขึ้น เพื่อถ่วงดุลกับรัสเซียแทนสหรัฐฯ ที่ลาจากไป การฉวยโอกาสจากภาวะสุญญากาศทางอำนาจเข้าควบคุมเขตอิทธิพลเก่าของสหรัฐฯ ซึ่งเราอาจจะได้เห็นการรุกรานประเทศอื่นตามใจชอบของรัสเซียที่อาจขยายต่อเป็นวงกว้างในยุโรป และท้ายที่สุด ผลร้ายจะกลับมายังสหรัฐฯ เอง โดยเฉพาะเมื่อคำนึงว่าสหรัฐฯ มีความเกี่ยวพันทางเศรษฐกิจและสายสัมพันธ์ทางสังคมที่เหนียวแน่นกับยุโรปที่ไม่อาจตัดขาดจากยุโรปได้ ดังที่มาร์โก รูบิโอ (Marco Rubio) วุฒิสมาชิก ในปี 2014 เตือนสติมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในปี 2025 ว่า
“การที่รัฐหนึ่งใช้กำลังทหารรุกรานรัฐอื่นเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ในศตวรรษที่ 21… ถ้าสหรัฐฯ ละทิ้งพันธมิตร ไม่ปกป้องประเทศอื่นๆ จากการรุกราน รัฐเผด็จการจะยิ่งเหิมเกริมทำตัวอันธพาลกว่าเดิม เสถียรภาพของโลกจะถูกสั่นคลอน ความมั่นคงของสหรัฐฯ จะถูกบั่นทอน อเมริกาจะอ่อนแอลง สุดท้ายผลที่ตามมาก็จะตกแก่ลูกหลานของเรา”
แต่ ‘คนโง่ที่มีประโยชน์’ จะเข้าใจผลร้ายที่จะเกิดขึ้นกับผู้อื่นและตนเองจากการกระทำของตนหรือไม่…
อ้างอิง
- Claire Crawford and Louis Jacobson, “Fact-check: Did Ukraine start its war with Russia, as Trump claims?,” Aljazeera, February 20, 2025, https://www.aljazeera.com/news/2025/2/20/fact-check-did-ukraine-start-its-war-with-russia-as-trump-claims.
- Ian Aikman and Tom Bateman, “Trump says Ukraine ‘more difficult’ to deal with than Russia,” BBC, March 8, 2025, https://www.bbc.com/news/articles/crknjxj3n4zo.
- James Rodgers, “Ukraine peace talks: Trump is bringing Russia back in from the cold and ticking off items on Putin’s wish list,” The Conversation,February 18, 2025, https://theconversation.com/ukraine-peace-talks-trump-is-bringing-russia-back-in-from-the-cold-and-ticking-off-items-on-putins-wish-list-249982.
- Anne Applebaum, “Holodomor,” Britannica, February 5, 2025, https://www.britannica.com/event/Holodomor.
- David Folkenflik, “‘The New York Times’ can’t shake the cloud over a 90-year-old Pulitzer Prize,” NPR, May 22, 2022, https://www.npr.org/2022/05/08/1097097620/new-york-times-pulitzer-ukraine-walter-duranty.
- Nicole Loroff, Jordan Vincent and Valentina Kuryliw, “Holodomor – Denial and Silences,” HREC Education, accessed by March 13, 2025, https://education.holodomor.ca/teaching-materials/holodomor-denial-silences/.
- Henry H. Prown, “Hiding the Truth: “Victorious Socialism” Holodomor Propaganda Hid the Great Famine in Ukraine,” Holodomor90, May 30, 2023, https://holodomor90.com/holodomor-propaganda-victorious-socialism/.
- James Mace, “A Tale of Two Journalists: Walter Duranty and Gareth Jones,” Holodomor Museum, March 29, 2022, https://holodomormuseum.org.ua/en/news/a-tale-of-two-journalists-walter-duranty-and-gareth-jones/.