“ถ้าเรามีเงิน ลูกจะไปได้ไกลกว่านี้” ความฝันและโอกาสที่หดหาย เมื่อเด็กไทยโตมากับหนี้

ในโลกสมัยใหม่ที่เทคโนโลยีและวิทยาการอันล้ำหน้าก่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ และสร้างโอกาสมากมายรอให้ถูกไขว่คว้า ปฏิเสธไม่ได้ว่าเด็กและเยาวชนยิ่งต้องได้รับการสนับสนุนมากกว่าที่เคย เพื่อให้ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงรอบตัวและมีทักษะใหม่ๆ สอดรับกับสิ่งที่ตลาดแรงงานต้องการมากขึ้น เพราะในยุคที่การแข่งขันรุนแรงขึ้นทุกสนาม เด็กที่ขาดการสนับสนุนอย่างเพียงพออาจถูกทิ้งไว้ข้างหลังได้ทุกเมื่อ

ขณะเดียวกัน อินเทอร์เน็ตได้เปิดประตูให้เด็กมองเห็นโลกกว้างไกลเกินกว่าที่คนรุ่นก่อนเคยสัมผัส ทำให้ขอบเขตความฝันของพวกเขาขยายไกลกว่าเดิม ทว่า หนทางสู่ฝันเหล่านั้นกลับไม่ง่าย โดยเฉพาะสำหรับเด็กจากครอบครัวที่ต้องต่อสู้กับปัจจัยฉุดรั้งอย่าง ‘หนี้สิน’

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2023 ชี้ว่า เด็กและเยาวชนไทยอายุไม่เกิน 25 ปี จำนวน 6.2 ล้านคน หรือคิดเป็น 61% อาศัยอยู่ในครัวเรือนที่มีหนี้ ไม่นับว่ามูลค่าหนี้ครัวเรือนรวมทั้งประเทศของไทยพุ่งสูงถึง 16.4 ล้านล้านบาท หรือ 88.4% ของจีดีพีในไตรมาส 4 ปี 2024 ถือว่าสูงที่สุดในบรรดาประเทศรายได้ต่ำถึงปานกลางระดับบน และติดอันดับ 8 ของโลก ตามข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปี 2023 ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นวิกฤตเชิงโครงสร้างที่ปกคลุมชีวิตของเด็กและเยาวชนไทยจำนวนมาก

หากเจาะลึกลงไปที่โครงสร้างหนี้ของแต่ละครัวเรือนผ่านรายงานสถานการณ์เด็กและครอบครัว 2025 จาก คิด for คิดส์ จะพบว่า ถึงแม้อัตราการมีหนี้ของครัวเรือนเด็กและเยาวชนในทุกกลุ่มรายได้จะใกล้เคียงกัน แต่ความแตกต่างอยู่ที่ชนิดของหนี้ โดยครัวเรือนรายได้ต่ำมักแบกรับ ‘หนี้ไม่ก่อดอกผล’ และ ‘หนี้ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน’ เช่น หนี้บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และหนี้เกษตร ในสัดส่วนที่มากกว่ากลุ่มรายได้สูง ขณะที่ครัวเรือนรายได้สูงมักมี ‘หนี้ก่อดอกผล’ อย่างหนี้บ้าน หนี้ธุรกิจ หรือหนี้การศึกษา ซึ่งแม้จะเป็นหนี้ แต่ก็มีศักยภาพสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคต ความต่างนี้สะท้อนว่าครัวเรือนรายได้ต่ำมีโอกาสน้อยที่จะเปลี่ยนภาระหนี้ให้กลายเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของลูก

เบื้องหลังตัวเลขทางสถิติเหล่านี้ คือเรื่องราวของผู้คนที่ต้องใช้ชีวิตท่ามกลางข้อจำกัดทางการเงินซึ่งขวางกั้นความฝันและปิดประตูแห่งโอกาส หลายครอบครัวต้องเลือกระหว่างการจ่ายหนี้กับการซื้ออุปกรณ์การเรียนให้ลูก เด็กหลายคนต้องเลือกระหว่างทำงานพาร์ตไทม์หรือใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือ เมื่อหนี้หรือความขัดสนทางการเงินกลายเป็นศูนย์กลางของการตัดสินใจ ชีวิตก็ถูกบังคับให้วนอยู่ในวงจรที่ยากจะหลุดพ้น

วันโอวัน พูดคุยกับคุณแม่เลี้ยงเดี่ยววัย 32 ปี ที่ต้องแบกรับหนี้นอกระบบหลักแสนบาท เพื่อให้เห็นภาพว่าภาระเหล่านี้จำกัดความสามารถในการสนับสนุนลูกอย่างไรในยุคปัจจุบัน และชวนพนักงานในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง ย้อนเล่าชีวิตวัยเด็กที่แม้ไม่ได้อยู่ในครัวเรือนที่มีหนี้ก้อนใหญ่ แต่ก็เติบโตท่ามกลางข้อจำกัดทางการเงินที่ทำให้ครอบครัวไม่สามารถสนับสนุนลูกได้อย่างเต็มที่ เรื่องราวของทั้งคู่สะท้อนว่าเพราะหนี้สินไม่ใช่แค่ตัวเลขในบัญชีหรือเงินในกระเป๋า แต่เป็นเงาที่ทอดยาวตามเด็กไปจนถึงวันโต เปลี่ยนวิธีที่พวกเขาฝัน มองโลก และมองตัวเอง

ชีวิตหมุนรอบหนี้ของสองแม่ลูก

“พี่เลี้ยงลูกมาเหมือนเพื่อน เล่าให้เขาเข้าใจสถานการณ์ทางการเงินทุกอย่าง ก็เลยคุยกันว่าถ้าจบ ม.3 แล้ว ลองไปต่อ ม.ปลายที่โรงเรียนประจำไหม เพราะฟรีเกือบทุกอย่าง แล้วก็เป็นไม่กี่ทางที่เขาจะได้เรียนต่อในช่วงที่เราไม่มีรายได้แน่นอน พี่ก็จะได้อุ่นใจว่าลูกมีที่พัก มีที่เรียน มีอาหารกิน ถึงแม้ยังต้องส่งค่าใช้จ่ายบางส่วน แต่พี่คิดว่าส่งได้ แล้วพี่ก็สามารถทำงานเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลว่าลูกจะไปโรงเรียนหรือกลับบ้านอย่างไร”

หลังออกจากงานประจำมาได้ราวสองเดือน เพชร (นามสมมติ) แม่เลี้ยงเดี่ยววัย 32 ปี อยู่ในสถานะที่ไม่มีรายได้ประจำเข้ามา ปัจจุบัน เธออาศัยรายได้จากการช่วยคนรู้จักขายของออนไลน์ นับเป็นเวลาเกือบครึ่งปีแล้วที่แม่ลูกคู่นี้ย้ายจากกรุงเทพฯ มาอยู่ที่จังหวัดยโสธร ตามคำชวนของคนรู้จักที่บอกว่า มีงานบริษัทเงินเดือนหมื่นต้นๆ รออยู่และสามารถมาพักอาศัยอยู่ด้วยกันได้ เพชรยังมองว่าการย้ายมาอยู่จังหวัดเล็กๆ แม้รายได้อาจลดลง แต่ค่าครองชีพก็คงพอรับมือไหว ทำให้เธอตัดสินใจย้ายมา แม้ที่นี่จะไม่ใช่บ้านเกิดหรือภูมิภาคที่เติบโตมา

แต่งานบริษัทที่เคยคิดว่าจะเป็นเสาหลักของรายได้ให้สองแม่ลูก กลับอยู่ได้ไม่นาน เมื่อบริษัทมีนโยบายปรับลดคน แม้เพชรไม่ถูกให้ออก แต่ถูกเพิ่มหน้าที่หลายอย่างและมีเงื่อนไขให้ต้องเดินทางไปจังหวัดอื่นบ่อย สุดท้ายเธอเลือกลาออก เพราะไม่อยากห่างลูกสาววัย 14 ปีไปทำงานต่างพื้นที่

นอกจากรายได้ประจำจะหายไป เพชรยังมีหนี้นอกระบบและหนี้จากการยืมคนใกล้ชิดหลักแสนติดตัวมาด้วย แม้ช่วงที่มีรายได้เข้ามาประจำและสม่ำเสมอ เธอก็ต้องกันส่วนหนึ่งไปจ่ายหนี้ก่อนเสมอ ทำให้เหลือเงินใช้จ่ายทั่วไปอยู่ไม่มาก หนี้จึงกลายเป็นเงื่อนไขที่บีบให้ทุกการตัดสินใจของเธอต้องคำนึงถึงข้อจำกัดทางการเงินก่อนสิ่งอื่น รวมถึงเรื่องเส้นทางการศึกษาของลูก

“ถ้าถามว่าหนี้มันเริ่มยังไง ต้องบอกว่าเพราะเราท้องไม่พร้อม พอมีลูกก็มีค่าใช้จ่ายเยอะขึ้น พี่ก็เริ่มหยิบยืมคนรู้จักมาหมุนใช้ แล้วเราก็ไม่ได้มีความรู้ทางการเงิน พอเปิดร้านเป็นของตัวเองก็ไปกู้หนี้นอกระบบมา และมันก็อยู่กับเรามาตั้งแต่ตอนนั้น” เพชรเล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นของภาระหนี้สิน

เพชรตระหนักดีว่าหนี้สินไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่มีรากฐานมาจากประสบการณ์และบริบทชีวิตที่ผ่านมา เธอจึงเล่าให้ฟังว่าเธอกลายเป็นแม่ตั้งแต่อายุ 18 ปี เธออาศัยอยู่กับพ่อแม่และช่วยงานร้านเย็บผ้าของแม่ในกรุงเทพฯ แม้จะเป็นร้านเล็กๆ แต่ก็มีงานเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ ทว่าก็ยังต้องหยิบยืมคนใกล้ชิดอยู่เป็นระยะ

เมื่อเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง เพชรตัดสินใจแยกออกมาเปิดร้านเย็บผ้าเป็นของตัวเองในชุมชนแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท ใกล้โรงเรียนของลูกสาว พร้อมพาลูกออกจากอ้อมอกตายายมาอยู่ด้วยกัน กิจการดูเหมือนจะเริ่มต้นได้อย่างราบรื่น มีรายได้วันละหลายพันบาท ลูกค้าประจำเริ่มส่งงานล็อตใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนเธอต้องจ้างพนักงาน

แต่ความก้าวหน้าทางธุรกิจกลับสวนทางกับชีวิตครอบครัว สามีของเพชรติดการพนัน ไม่หางานทำ ปล่อยให้เธอเป็นผู้หาเงินเข้าบ้านเพียงคนเดียว เพชรบอกว่า เมื่อ “คนหนึ่งหา คนหนึ่งใช้” รายได้ที่เข้ามาจึงรั่วไหลออกไปไม่น้อย จนแทบไม่เพียงพอสำหรับทั้งค่าใช้จ่ายในครอบครัวและทุนหมุนเวียนของกิจการ

จากการหยิบยืมเงินคนใกล้ชิดมาหมุนใช้ในช่วงแรก ไม่นานเพชรก็ตัดสินใจกู้หนี้นอกระบบ เพื่อใช้เป็นทุนหมุนสำหรับร้านและค่าใช้จ่ายในบ้าน หนี้สินค่อยๆ เพิ่มขึ้นและกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเธอ แม้บางช่วงกิจการจะทำเงินได้มาก แต่รายได้ส่วนใหญ่ก็ต้องถูกนำไปจ่ายหนี้ จนไม่เหลือพอที่จะสร้างหลักประกันให้ชีวิตตัวเองหรืออนาคตของลูกได้อย่างเต็มที่ ความตึงเครียดทางการเงินก็ลุกลามไปสู่ปัญหาความสัมพันธ์ จนสุดท้ายเพชรตัดสินใจแยกทางกับสามี และกลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวตั้งแต่นั้น

การขาดความรู้ด้านการเงินและไม่มีเครดิตมากพอที่จะขอสินเชื่อในระบบ ทำให้เพชรต้องพึ่งพาหนี้นอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง ซึ่งไม่ใช่เรื่องไกลตัวของครัวเรือนไทย จากผลสำรวจของธนาคารแห่งประเทศไทยในปี 2022 พบว่าครัวเรือนถึง 27% เข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบ โดยส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มรายได้ต่ำที่ไม่ได้ทำงานประจำ เป็นลูกจ้าง หรือประกอบอาชีพอิสระ งานวิจัยของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ยังชี้ด้วยว่าครัวเรือนรายได้ต่ำ ขาดความรู้ และอยู่ในชนบท มีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อน้อยกว่ากลุ่มอื่นอย่างมีนัยสำคัญ

การที่เธอเป็นเจ้าของร้านและไม่มีหนี้ปรากฏในระบบยังส่งผลต่อโอกาสทางการศึกษาของลูกสาว เพชรเล่าว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา พยายามให้ลูกสมัครขอทุนการศึกษาเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย แต่ก็มักจบลงที่ไม่ได้ทุน

“เขาบอกว่าอยากให้เด็กยากจน แต่เรียนดี ให้ตามผลการเรียน แต่เด็กที่เรียนดีหลายคนก็คือเด็กที่มีเงิน มีเงินเรียนพิเศษ มีเงินซื้อหนังสือดีๆ อ่าน แต่ลูกเราเขาไม่เคยได้สิ่งนี้ ตอนจะขอทุนก็ต้องมานั่งเขียนเล่าเรื่องราว ต้องกรอกว่าหนี้ (ในระบบ) เท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ ครูเห็นเราเป็นเจ้าของร้านเย็บผ้า แต่ไม่ได้มองว่าเรามีรายจ่ายเยอะแค่ไหน เขาบอกว่าเราไม่มีหนี้ในระบบ แต่ไม่ได้มองด้วยซ้ำว่าเรากู้ได้ไหม”

เมื่อพิษเศรษฐกิจจากการระบาดของโควิด-19 สาดซัด กิจการเย็บผ้าของเพชรได้รับผลกระทบอย่างหนัก ลูกค้าที่เคยส่งงานเริ่มหายไปทีละเจ้า ขณะที่ค่าใช้จ่ายประจำ ทั้งค่าใช้จ่ายในครัวเรือน เงินให้ลูกไปโรงเรียน ค่าเช่าห้อง และค่าแรงพนักงาน ยังคงต้องจ่ายทุกเดือน เธอพยายามยื้อกิจการให้อยู่รอด ด้วยการหอบลูกสาวไปช่วยขายของตามตลาดนัดยามเย็น แต่หลังจากฝืนประคองได้ราวปีกว่า เธอก็ตัดสินใจปิดร้านลงในที่สุด

หลังปิดกิจการ เพชรพยายามตั้งหลักใหม่ด้วยการไปสมัครฝึกอบรมการดูแลเด็ก ไม่นานหลังจากนั้นเธอก็ได้งานเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ทำให้มีรายได้ที่แน่นอนเข้ามาและพอเลี้ยงตัวได้ เมื่อการงานเริ่มจะเข้าที่ เธอก็ตัดสินใจพาลูกสาวมาอยู่ด้วย ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ลูกกำลังขึ้น ม.1

ไม่นานจากนั้น มือที่หมุนจักรเย็บผ้ามาตั้งแต่อายุ 18 ปี เริ่มส่งสัญญาณความผิดปกติ เธอมีอาการชาที่มือ จับของแล้วหล่นง่าย เพชรเริ่มกังวลถึงสุขภาพของตัวเอง สุดท้ายก็ตัดสินใจลาออกจากงาน และย้ายไปจังหวัดยโสธรพร้อมลูกสาว การย้ายครั้งนี้ทำให้ลูกสาวต้องเปลี่ยนโรงเรียนกลางคัน นี่จึงเป็นภาพสะท้อนของเด็กในครัวเรือนที่ขัดสนทางการเงิน ที่ต้องปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะต้องติดตามผู้ปกครองไปในที่ที่มีงานและรายได้

“ทุกวันนี้รายได้จากการช่วยพี่ขายของออนไลน์ก็ได้แค่วันละไม่กี่ร้อย ก็ใช้ไปกับลูกเกือบหมดเลย พี่อดได้ แต่ลูกอดไม่ได้ พอมาอยู่ต่างจังหวัดก็ไม่ใช่ว่าค่าครองชีพจะถูกกว่ากรุงเทพฯ นะ แพงกว่าด้วยซ้ำ แถมการเดินทางก็ลำบาก เพราะบ้านเราอยู่ไกลโรงเรียน ไม่มีรถโดยสารทั่วถึง ก็ต้องให้ลูกเรียกแกร็บไปโรงเรียนทุกวัน กลายเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอีก”

เมื่อถามถึงความฝันของลูกสาว เพชรเล่าว่า ลูกเคยพูดว่าอยากเรียนสถาปัตย์เพราะชอบวาดรูป แม้เธอไม่รู้มากนักว่าเส้นทางนี้ต้องเรียนอะไรหรือทำงานแบบไหน แต่ก็พร้อมสนับสนุนเสมอ หากนั่นคือสิ่งที่ลูกอยากเป็น สำหรับเพชรแล้ว ความฝันของคนเป็นแม่คืออยากให้ลูกเห็นโลกกว้างกว่าเธอ อยากให้ลูกได้เรียนพิเศษ เก่งภาษาอังกฤษ และมีโอกาสท่องเที่ยวช่วงปิดเทอมเหมือนเด็กวัยเดียวกัน

และเหนือสิ่งอื่นใด เธอไม่อยากให้ลูกต้องมีหนี้สินติดตัวและถ่วงรั้งชีวิต เหมือนอย่างที่เธอกำลังเผชิญอยู่ในวันนี้

“ถ้าพี่มีเงิน พี่ว่าลูกไปได้ไกลกว่านี้ เพราะเขาเป็นเด็กตั้งใจเรียนมาก เราอยากส่งเขาเรียนภาษาอังกฤษ เพราะเราเคยสมัครงานโรงแรมแต่ไม่ได้งาน เพราะพูดอังกฤษไม่ได้ อยากให้เขาได้เรียนสูงๆ ในสายที่อยากเรียน จบมาแล้วมีงานดีๆ ทำ ไม่ต้องมีหนี้สินพันตัว และได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระกว่าที่เราเคยมี”

พ้นจากความพยายามดิ้นรนด้วยตัวเอง เพชรบอกว่าคงจะดีกว่านี้ ถ้ารัฐมีบทบาทช่วยสนับสนุนเด็กและการศึกษาให้มากขึ้น โดยเฉพาะโครงการเรียนฟรีที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายอื่นๆ ได้จริง พร้อมทั้งลดช่องว่างคุณภาพของโรงเรียน เพื่อให้เด็กจากครอบครัวยากจนที่ไม่มีโอกาสเข้าเรียนในโรงเรียนมีชื่อเสียง ได้มีโอกาสทางชีวิตไม่แพ้เด็กคนอื่น สำหรับตัวเธอเอง เพชรอยากมีความรู้เรื่องการเงินมากกว่านี้ และหวังว่าสักวันจะสามารถจัดการปัญหาหนี้สินได้อย่างยั่งยืน

ชีวิตในเงาความขัดสนของคนที่โตมากับ ‘ความไม่มี’

“ภาวะชักหน้าไม่ถึงหลัง ความขัดสนเรื่องเงินของครอบครัว มันกระทบเรามากนะ ที่มากกว่าปัญหาเรื่องปากท้องก็คือความสัมพันธ์ในบ้านที่ร้าวไปแล้ว พอเงินไม่พอใช้ ก็ไม่ยิ้มให้กันหรอก มีแต่หน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ด้วยกัน พอมันร้าวแล้ว วันหนึ่งถึงแม้เราจะมีเงิน เราก็ยังไม่แน่ใจว่าจะอุดรอยร้าวนั้นได้หรือเปล่า”

สำหรับหลายคน เมื่อพูดถึงผลกระทบจากหนี้สินหรือความขัดสนทางการเงิน ภาพที่นึกออกมักเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นปริมาณอาหารบนโต๊ะที่ลดลง ใบแจ้งเตือนค่าไฟที่ค้างชำระ หรือการที่เด็กต้องออกจากโรงเรียนมาทำงานช่วยครอบครัว แต่แท้จริงแล้วปัญหานี้ยังหยั่งลึกลงไปถึงจิตใจ สะสมและทอดยาวไปถึงวัยผู้ใหญ่ คำบอกเล่าของหญิง (นามสมมติ) พนักงานรัฐวิสาหกิจในวัยเลขสาม สะท้อนสภาวะนี้ได้ชัดเจน

หญิงเติบโตมาในครอบครัวฐานะไม่สู้ดีนัก พ่อมีอาชีพขับแท็กซี่ แม่ทำงานโรงงาน แม้ไม่มีหนี้ก้อนใหญ่ แต่รายได้ที่มีเมื่อเทียบกับภาระเลี้ยงลูกสองคนก็ถือว่าหนักหนา แม้ไม่ถึงขั้นอดอยาก แต่ก็เป็น ‘ความไม่มี’ ที่ทำให้ลูกๆ มีทางเลือกในชีวิตได้ไม่มากนัก

หญิงเรียนโรงเรียนวัดใกล้บ้าน เมื่อถึงระดับมหาวิทยาลัยก็เลือกที่ไม่ไกลจากบ้านและประเมินแล้วว่าสามารถส่งตัวเองเรียนได้ โดยเธอกู้ยืม กยศ. ควบคู่กับการทำงานพิเศษ เพราะยังต้องช่วยจุนเจือน้องสาวที่ขณะนั้นกำลังเรียนมัธยม อันที่จริง หญิงเริ่มทำงานพาร์ตไทม์หรือรับจ้างทั่วไปในช่วงปิดเทอมตั้งแต่อายุ 16 ปี

ภาพเหล่านี้เมื่อมองย้อนกลับไปหลายสิบปีก่อน แทบไม่ต่างจากสถานการณ์ของเด็กจำนวนมากในปัจจุบัน ผลสำรวจของ คิด for คิดส์ ระบุว่า เยาวชนอายุไม่เกิน 22 ปีจากครอบครัวมีหนี้ มีแนวโน้มต้องทำงานระหว่างเรียนมากกว่ากลุ่มครอบครัวไม่มีหนี้ โดยทำงานไม่เต็มเวลา (part-time) ร้อยละ 12.1 และ 11.2 ตามลำดับ และทำงานรายชิ้นอีกร้อยละ 5.4 และ 3.9 ตามลำดับ

ชีวิตที่ต้องช่วยหาเงินจุนเจือครอบครัวอยู่เสมอ ทำให้หญิงแทบไม่มีโอกาสคิดถึงเรื่องที่ไกลไปกว่าปากท้อง มองย้อนกลับไป เธอเห็นว่าความขัดสนไม่ได้เพียงจำกัดการสนับสนุนความฝัน แต่ยังตัดโอกาสตั้งแต่ต้น โอกาสที่จะได้ฝัน โอกาสที่จะรู้ว่ามีเส้นทางอาชีพแบบไหนให้เลือก หรือแม้แต่โอกาสจะลองค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบ

“ความฝันตอนเด็กเหรอ… เราไม่ค่อยแน่ใจเลยว่าเราฝันอะไร อยากทำอะไร พูดตรงๆ เราไม่มีความรู้ที่หลากหลายพอจะเลือกได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีชอยส์อะไรบ้างให้เราเลือก ถ้าเราเคยได้เรียนศิลปะ อาจจะรู้ว่าชอบวาดรูป ถ้าเคยได้เรียนดนตรี อาจจะรู้ว่าชอบเสียงเพลง แต่เราไม่ได้มีโอกาสลองอะไรแบบนั้น ก็เลยไม่รู้จริงๆ ว่าเราชอบอะไร อยากทำอะไร หรือมีทางไหนที่เราอยากเป็น และเอาเข้าจริง ต่อให้มีฝันแล้วยังไง ก็อาจจะเลือกตามฝันไม่ได้อีกหรือเปล่า”

นอกจากฐานะทางการเงินของครอบครัวจะมีส่วนในการกำหนดสิ่งที่เธอเลือกเรียน ข้อจำกัดเดิมก็ยังคงมีอิทธิพลต่อการเลือกอาชีพของหญิงด้วย

“อย่างที่บอกว่าเราไม่ได้ถูกแนะแนวหรือมีเป้าหมายชัดว่าต้องเรียนอะไร สิ่งเดียวที่เรามีในหัวคืออยากทำงานที่มั่นคง หรืองานอะไรก็ได้ที่พาเราออกจากความไม่มี และอยากได้สวัสดิการให้พ่อแม่ เพราะเรารู้ว่าครอบครัวไม่มีเงินรักษา ไม่มีเงินซื้อประกัน การทำงานราชการหรือรัฐวิสาหกิจเลยดูเป็นคำตอบที่ตอบโจทย์เรา”

จากเด็กสาวที่เติบโตมากับข้อจำกัดทางการเงินและขาดโอกาสในการเลือกเส้นทางชีวิต หญิงค่อยๆ เดินตามเส้นทางที่คิดว่าจะพาครอบครัวไปได้ไกลกว่าเดิม การได้เข้าทำงานเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจจึงเหมือนการบรรลุหนึ่งในความตั้งใจ แต่เงินเดือนเริ่มต้นเพียงหมื่นต้นๆ ก็ไม่เพียงพอครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด โดยเฉพาะเมื่อต้องช่วยส่งเสียน้องที่ยังเรียนและแบกรับค่าใช้จ่ายหลักในครัวเรือน

เมื่อเงินเดือนไม่ได้เยอะมาก แต่งานรัฐวิสาหกิจก็มาพร้อมกับสินเชื่อสวัสดิการ หญิงจึงตัดสินใจกู้เงินก้อนใหญ่เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของครอบครัว ซ่อมแซมและต่อเติมบ้าน แม้พ่อแม่จะไม่ได้ร้องขอหรือส่งต่อหนี้ข้ามรุ่น แต่การเติบโตมากับความขัดสนทำให้เธออยากช่วยเติมเต็มสิ่งที่ขาด แลกมากับการผ่อนชำระยาวนานหลักสิบปี แม้ในวันนี้เงินเดือนของหญิงจะมากขึ้นเกือบเท่าตัวจากวันนั้น แต่เงินเดือนในแต่ละเดือนก็ถูกหักเงินต้นและดอกเบี้ยไปโดยอัตโนมัติ เหลือไม่มากมายสำหรับเก็บออมหรือต่อยอดให้เงินนี้งอกเงย

“การเป็นหนี้ หรือการติดอยู่กับความขาด มันทำให้เรามองโลกเป็นสีหม่นๆ ต่อให้มีความสุขก็ไม่สุด สนุกกับชีวิตได้ไม่เต็มที่ มาคิดดูแล้ว เราว่ามันกระทบกับสุขภาพจิตเลยด้วยซ้ำ ตอนเป็นเด็ก บรรยากาศในบ้านก็ตึงเครียดเพราะเรื่องเงิน พอโตมาทำงานหาเงิน ใช้หนี้ ก็ต้องเจอความทุกข์แบบผู้ใหญ่อีก ก็ได้แต่หวังว่าสักวันมันจะดีขึ้น

“เวลาน้องเรามาปรึกษาเรื่องชีวิต เพราะน้องก็มีหนี้เหมือนกัน เราจะบอกว่าจะรออีก 10 หรือ 15 ปีให้หนี้หมดก่อนหรอ ถึงจะยิ้มได้ ถึงจะมีความสุข แต่ถึงวันนั้นคนข้างๆ จะยังอยู่หรือเปล่า เราต้องพยายามหาความสุขให้ได้ตั้งแต่วันนี้สิ”

จะเห็นได้ว่าภาระหนี้และความขาดแคลน ไม่เพียงกัดกินชีวิตในเชิงความเป็นอยู่ แต่ยังฝังรากลึกในจิตใจตั้งแต่วัยเด็กจนโต แม้เมื่อมีรายได้มากขึ้น ก็ยังรู้สึกเหมือนต้องคอยเติมช่องว่างให้เต็มอยู่เสมอ คงไม่เกินจริงนักหากจะกล่าวว่าความไม่มีในอดีตได้หล่อหลอมให้คนคนหนึ่งเลือกเส้นทางชีวิตได้อย่างจำกัด กำหนดวิธีมองโลก และทิ้งร่องรอยไว้ในทุกการตัดสินใจ

เมื่อถามถึงอนาคตว่า หากมีครอบครัว เธออยากอยากส่งต่อโลกแบบไหนให้ลูก หญิงตอบอย่างหนักแน่นว่า หากวันหนึ่งมีลูก ก็อยากให้เขาเติบโตอย่างมีภูมิคุ้มกัน สามารถยืนหยัดได้ในทุกสถานการณ์ แต่ไม่ต้องเผชิญความทุกข์แบบเดียวกับที่เธอเคยผ่านมา

“มองย้อนกลับไป เรารู้สึกว่าเด็กคนหนึ่งควรได้สนุกและมีความสุขในวัยของตัวเอง ไม่ควรต้องรับรู้หรือแบกรับเรื่องหนักเกินวัย แต่เราเจอความทุกข์ในครอบครัวมาเยอะ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เพราะเรื่องเงิน เหมือนมันค่อยๆ สะสมจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนและบุคลิกเรา พอคนคนหนึ่งรับมาเยอะแล้วตั้งแต่เด็ก มันก็มีความสุขได้ยากเหมือนกันนะถึงจะโตแล้วและอยู่ด้วยตัวเองได้แล้ว” หญิงกล่าวทิ้งท้าย


ผลงานชิ้นนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ The101.world

อ่าน ‘ถูกสาปให้พ่ายแพ้ในกระแสความเปลี่ยนแปลง: รายงานสถานการณ์เด็กและครอบครัว ประจำปี 2025’ ฉบับเต็มได้ที่นี่

MOST READ

Spotlights

14 Aug 2018

เปิดตา ‘ตีหม้อ’ – สำรวจตลาดโสเภณีคลองหลอด

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย พาไปสำรวจ ‘คลองหลอด’ แหล่งค้าประเวณีใจกลางย่านเมืองเก่า เปิดปูมหลังชีวิตหญิงค้าบริการ พร้อมตีแผ่แง่มุมเทาๆ ของอาชีพนี้ที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมาเนิ่นนาน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Aug 2018

Education

20 Jul 2023

คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ในวิกฤต (?)

ข่าวการปรับหลักสูตรของอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ชวนให้คิดถึงอนาคตของการเรียนการสอนสายมนุษยศาสตร์ เมื่อตลาดแรงงานเรียกร้องทักษะสำหรับการทำงานจริง จนมีการลดความสำคัญวิชาพื้นฐานอันเป็นการฝึกฝนการวิเคราะห์วิพากษ์เพื่อทำความเข้าใจโลกอันซับซ้อน

เสียงเล็กๆ จากประชาคมอักษร

20 Jul 2023

Spotlights

4 Nov 2020

101 Policy Forum : ประเทศไทยในฝันของคนรุ่นใหม่

101 เปิดวงสนทนาพูดคุยกับตัวแทนวัยรุ่น 4 คน ณัฐนนท์ ดวงสูงเนิน , สิรินทร์ มุ่งเจริญ, ภาณุพงศ์ สุวรรณหงษ์, อัครสร โอปิลันธน์ ว่าด้วยสังคม การเมือง เศรษฐกิจไทยในฝัน ต้นตอที่รั้งประเทศไทยจากการพัฒนา ข้อเสนอเพื่อพาประเทศสู่อนาคต และแนวทางการพัฒนาและสนับสนุนคนรุ่นใหม่

กองบรรณาธิการ

4 Nov 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save