1
ทุกวันนี้ เราพูดถึงจีดีพี (gross domestic product: GDP) กันตลอดเวลา และใช้มันเป็นเหมือนเครื่องวัด ว่าถ้าจีดีพีเติบโตดี ก็ดู ‘เสมือน’ ว่าประชาชนจะมีความสุข คล้ายกับว่าจีดีพีคือ ‘นิพพาน’ ของสังคมเศรษฐกิจกระนั้น
เมื่อหลายสิบปีก่อน สมัยที่จีดีพีของไทยเติบโตดีๆ แต่ละปีกวัดแกว่งขึ้นไปราว 10% (อย่างปี 1988 เคยโตถึง 13.3% และปี 1989 เคยโตถึง 12.2%) จำได้ว่าประเทศเหมือนอยู่ในภาวะเฉลิมฉลอง สมัยนั้นไทยกลายเป็นเหมือน ‘เสือตัวที่ห้าของเศรษฐกิจเอเชีย’ และสภาวะนั้นก็คล้ายเป็น good old days ของทั้งนักการเมืองและนักเศรษฐศาสตร์ จนแม้ทุกวันนี้ก็ยังถวิลหาสิ่งนั้น และยัง ‘ปักหลัก’ นิพพานทางสังคมเศรษฐกิจของเราเอาไว้ที่ตัวเลขจีดีพีอยู่เสมอ
ไม่ว่าตัวเลขนั้นจะล้มลุกคลุกคลานน่าเวทนามากสักเท่าไหร่ก็ตาม!
แต่ในสภาวะที่เราฝากฝังนิพพานทางสังคมเศรษฐกิจเอาไว้กับจีดีพี คุณรู้ไหมว่าในอีกมุมหนึ่ง มี ‘คนรุ่นใหม่’ จำนวนไม่น้อยที่เริ่มตั้งคำถามกับสังคมประเภทนี้
พวกเขาเริ่มสงสัยว่า เรากำลัง ‘วิ่งไล่’ อะไรกันแน่ และถ้าได้มันมาแล้ว เราจะทำอย่างไรกับมัน แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ มันคือสิ่งที่ worth หรือ ‘ทรงคุณค่า’ กับชีวิตของเราจริงๆ หรือ?
2
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์ทางสังคมอย่างหนึ่งที่ฮือฮามากในจีน คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า dazi culture ซึ่งในที่นี้ขอเรียกแบบคนไม่รู้ภาษาจีนว่า ‘ตาจึเหวินฮว่า’ (搭子文化: dāzi wénhuà) หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘ตาจึ’ (ออกเสียงผิดไปต้องขออภัยนะครับ)
เว็บไซต์ chinadaily.com ตีพิมพ์บทความเรื่อง The Rise of Dazi Culture: The Lightness and Boundaries of Modern Social Interaction หรือ ‘การผงาดขึ้นของวัฒนธรรมตาจึ: ความเบาหวิวและขอบเขตของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมยุคใหม่’
มันคืออะไรกันแน่?
เวลาพูดถึงจีน โดยเฉพาะจีนแบบกำลังภายในสมัยโบราณ เรามักนึกถึง ‘คุณธรรมน้ำมิตร’ ประเภทกรีดเลือดสาบานจะเป็นพี่เป็นน้องเป็นเพื่อนกันไปชั่วชีวิตอะไรแบบนั้น แต่ ‘ตาจึ’ คือการ ‘กลับข้าง’ ความสัมพันธ์อย่างที่ว่า คืออย่าเรียกว่ามิตรภาพเลย ความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นนี้คือการ ‘เจอกัน’ โดยไม่ได้ ‘คบ’ ด้วยซ้ำ
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ตาจึคือ ‘ความสัมพันธ์ที่ไม่จำเป็นต้องเติบโต’ ซึ่งไม่ได้หมายถึงความสัมพันธ์แบบคู่รักด้วยนะครับ แต่หมายถึงความสัมพันธ์ทั้งหลายทั้งปวงในชีวิตนี่แหละ
ในบทความของ China Daily บอกไว้ว่าคำว่า ‘ตาจึ’ (搭子: dāzi) หมายถึง partner หรือ buddy ซึ่งคือ ‘เพื่อนร่วมทำกิจกรรม’ แต่ก็มีบางคนบอกว่า มีอีกคำหนึ่งที่ออกเสียงคล้ายๆ กัน คือคำว่า ‘ต่าจื้อ’ (打字: dǎzì) คำนี้หมายถึงการ ‘พิมพ์ตัวอักษร’ (type) ก็เลยมีการตีความหรือเล่นคำโดยเอาสองความหมายนี้มาผสมๆ ผูกโยงเข้าด้วยกัน
‘วัฒนธรรมตาจึ’ หมายถึงการนัดพูดคุยหรือทำความรู้จักกันผ่านทางออนไลน์ ซึ่งต้องใช้วิธีพิมพ์ผ่านแชต จากนั้นก็ชวนกันไปเป็นเพื่อนร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ตามที่ต้องการ เช่น ไปกินข้าว (meal dazi) ออกกำลังกาย (fitness dazi) ดูหนัง (movie dazi) อ่านหนังสือ (study dazi) เที่ยวด้วยกัน (travel dazi) ฯลฯ – แล้วจากนั้นก็แยกย้ายโดยไม่ผูกพันกันในระยะยาว
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทั้งสองฝ่ายรู้ (โดยอาจไม่ต้องบอกด้วยซ้ำ!) ว่าความเป็นเพื่อนแบบตาจึนี้ – คือการเป็นเพื่อนร่วมทำกิจกรรมแบบ ‘ใช้แล้วทิ้ง’ นั่นเอง!
บทความนี้บอกว่า แก่นของวัฒนธรรมตาจึคือ ‘ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม’ รูปแบบใหม่ที่น้ำหนักเบา (หรือจริงๆ คือ ‘เบาหวิว’) ยืดหยุ่น และมีลักษณะเฉพาะตรงตามความต้องการ เหมือนเพื่อนที่ว่า คือเสื้อผ้า tailor-made ที่มีช่างมาตัดเย็บให้เหมาะสมกับรูปร่าง (หรือความต้องการ) อย่างเฉพาะเจาะจงเลย
ที่บอกว่า ‘เบาหวิว’ นั้น ความหมายก็คือการเป็นเพื่อนประเภทนี้ไม่ต้อง ‘รับผิดชอบ’ อะไรกันนักกันหนา ไม่เหมือนเพื่อนแบบจีนโบราณประเภทที่ต้องมีคุณธรรมน้ำมิตร รักษามิตรภาพไปชั่วชีวิต ซึ่งต้องบอกว่ามัน ‘หนัก’ มากนะครับ ไม่เชื่อไปอ่านนิยายจีนกำลังภายในดูก็ได้ พระเอกบางคนแทบจะแลกชีวิตแทนเพื่อนของตัวเอง ไปล้างแค้นแทนมิตรสหายอะไรทำนองนั้น
ซึ่งลักษณะแบบนี้ คนรุ่นใหม่ในวัฒนธรรมตาจึคงยักไหล่แล้วบอกว่า – จะทำไปทำไม (วะ)
แต่แก่นแกนของเพื่อนแบบตาจึ อยู่ตรงการ ‘ตัดเย็บ’ ให้ตรงตามความต้องการ หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งก็ได้ว่าเป็น ‘เพื่อนมุ่งเป้า’ เหมือนยารักษาโรคแบบมุ่งเป้า ที่ไปรักษาอาการใดอาการหนึ่งโดยเฉพาะ ไม่ได้รักษาครอบจักรวาลเหมือนยาผีบอกสมัยโบราณ (ซึ่งเป็นสมัยที่มี ‘คุณธรรมน้ำมิตร’ หรือมีเพื่อนเอาไว้ทำกิจกรรมครอบจักรวาลทุกเรื่องเช่นเดียวกัน) ‘เพื่อนมุ่งเป้า’ หรือ precise companionship ที่ว่านี้ จะเกิดขึ้นจากกิจกรรมหรือความสนใจเฉพาะเจาะจงบางอย่างเท่านั้น
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ก็ฉันอยากดูหนัง และอยากมีเพื่อนดูหนัง ดูแล้วอาจจะคุยกันเรื่องหนังสักชั่วโมงนึง แต่ไอ้เพื่อนดูหนังที่ว่านี้ มันไม่เหมาะจะเอาไปทำอย่างอื่นอีกเลย เช่น เป็นเพื่อนฟังเพลงก็ไม่ได้ ไปเที่ยวก็ไม่ได้เหมือนกัน แต่มี ‘กิจกรรมเฉพาะ’ เพียงอย่างเดียวคือดูหนังที่ทำร่วมกันได้ เพราะฉะนั้นก็ทำอย่างเดียวไปก็แล้วกัน
หลายคนอาจบอกว่า มันฟังดูคล้ายๆ friend with benefit หรือ ‘เพื่อนร่วมเพศ’ ที่มีเอาไว้มีเซ็กซ์กัน แต่ที่ต่างออกไปก็คือ เพื่อนร่วมเพศแบบเดิมนั้น อย่างน้อยก็ยังเรียกว่าเป็น friend หรือเป็นเพื่อนกัน คือมักจะเป็นคนเดิมที่มีเอาไว้มีเซ็กซ์ต่อไปเรื่อยๆ แต่ในวัฒนธรรมตาจึที่ทุกอย่าง ‘เร็ว’ มาก ‘ความเป็นเพื่อน’ จึงไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ เช่น นัดดูหนังกับไอ้หมอนี่แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็พอ เรื่องอื่นเหมาะกับคนอื่นก็ไปดูกับคนอื่นได้ เพราะสามารถหาคนที่ ‘แมตช์’ กับความต้องการของตัวเองในแบบเฉพาะเจาะจงได้ง่าย เนื่องจากใช้เทคโนโลยีการสื่อสารในโลกยุคใหม่ ทำให้พบเจอคนได้เป็นหมื่นเป็นล้านคนในเวลาอันสั้น
แล้วจะต้องมาจมจ่อมอยู่กับเพื่อนไม่กี่คนไปทำไมกันเล่า!
มีผู้วิเคราะห์ว่าเสน่ห์ของตาจึคือความเรียบง่าย คนรุ่นใหม่เชื่อมโยงกับคนที่มีความต้องการหรือความสนใจเดียวกันได้ทันที โดยไม่ต้องกดดันว่าจะต้อง ‘บ่มเพาะ’ กันและกันให้กลายเป็นมิตรสหายชั่วชีวิต การหาแค่ ‘พาร์ทเนอร์ร่วมกิจกรรม’ เป็นเรื่องง่ายกว่ามาก ชุมชนตาจึ จึงเป็นชุมชนที่ ‘ไม่ผูกพัน’ กันอย่างแน่นหนา แถมยังไม่ต้อง ‘ลงทุนทางอารมณ์’ เพื่อรักษามิตรภาพอะไรให้มากมาย ไม่ต้องแบกรับพันธะระยะยาวด้วย วัฒนธรรมตาจึจึงดึงดูดใจคนรุ่นใหม่ที่ให้คุณค่ากับ ‘ประสิทธิภาพ’ ในการหาเพื่อนรับ input ที่ยืดหยุ่น เหนือกว่าความเป็นเพื่อนแบบ friendship ใดๆ
เบาหวิวไหมล่ะครับ!
3
ในเวลาเดียวกันกับที่จีนเกิดวัฒนธรรมตาจึ ในโลกตะวันตกก็กำลังเกิดปรากฏการณ์ ‘ต้านการเติบโต’ หรือที่เรียกว่า degrowth มีคนเริ่มพูดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในด้านวิชาการและขบวนการทางสังคม โดยเฉพาะคนที่ทำงานเกี่ยวกับ ‘พัฒนาการ’ ของทั้งเศรษฐกิจและมนุษย์ (คือไม่ใช่สนใจแค่เรื่องเศรษฐกิจอย่างเดียวโดยไม่สนใจมนุษย์)
degrowth คือแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ สังคม และการเมือง ซึ่งเกิดขึ้น ‘ต้าน’ กับแนวคิดที่ว่ามาตั้งแต่ต้นบทความ นั่นคือการอยาก ‘เติบโต’ โดยเฉพาะเติบโตทางจีดีพีกันไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เรื่องใหญ่ที่ degrowth นำเสนอ ก็คือ ‘ระบบเศรษฐกิจ’ แบบที่ ‘ตั้งใจชะลอ’ ไม่ใช่เพราะระบบเศรษฐกิจล้มเหลวหรือควบคุมไม่ได้ ซึ่งมักเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจประเภทที่เหยียบคันเร่งอยากจะโตๆๆ โดยไม่รู้หนเหนือหนใต้ อยากแต่จะรวยโดยไม่รู้ว่าจะรวยไปทำไม โดย degrowth เลือกที่จะให้เรื่องของทรัพยากร เวลา และสุขภาพจิตของประชาชน เป็นเรื่องที่สำคัญเหนือกว่าจีดีพี
โดยนัยนี้ degrowth จึงไม่ใช่การหันไปหาเรื่องของ ‘ความสุข’ หรือ gross national happiness (GNH) อย่างที่ฮิตพูดถึงกันเมื่อสักห้าหรือสิบปีก่อน แต่ degrowth คือ ‘ด้านกลับ’ ของการเติบโตในระบบเศรษฐกิจอย่างที่เป็นอยู่นี่แหละ โดยต้องสามารถ ‘ควบคุม’ การเติบโตได้อย่างมีสติ ไม่ ‘บ้าคลั่ง’ ไปกับตัวเลขจีดีพี จนมองไม่เห็นมิติอื่นของความเป็นมนุษย์
degrowth จึงคือการหันหลังให้กับ ‘นิพพานแห่งการเติบโต’ แบบจีดีพี ซึ่งเราเห็นแล้วว่า มันคือการที่มนุษย์ต้องแลกมาด้วยชั่วโมงทำงานที่ยาวนานขึ้น แข่งขันสูงขึ้น เครียดมากขึ้น เมืองแออัดยัดเยียดมากขึ้น สิ่งแวดล้อมเลวร้ายย่ำแย่ลง และผู้คนก็ไม่มีความสุข
degrowth คือการ ‘ลด’ อย่างมีแผน (planned reduction) ไม่ใช่นึกอยากจะเป็นชาวนาก็หันหลังให้เมืองออกไปทำไร่ไถนาโดยไม่วางแผนอะไรเลย แต่ degrowth พาระบบเศรษฐกิจกลับไปสู่ ‘สมดุล’ ระหว่างชีวิตและเงินอย่าง ‘เป็นระบบ’ จึงลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มความเป็นอยู่ที่ดี (well-being) ให้กับมนุษย์
พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นระบบเศรษฐกิจที่เน้นการเติบโตของคุณภาพชีวิตมากกว่าการเติบโตของการผลิตและการบริโภค!
degrowth ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีคนพูดกันมาเป็นร้อยปีแล้ว เช่น วิลเลียม เจวอนส์ (William Jevons) ซึ่งพูดถึง Jevons Paradox หรือปฏิทรรศน์เจวอนส์ ที่อธิบายได้ง่ายๆ ว่า ยิ่งเราทำให้การใช้ทรัพยากรมีประสิทธิภาพมากขึ้น แทนที่คนจะใช้ทรัพยากรเท่าเดิมหรือลดลง คนกลับจะใช้ทรัพยากรมากขึ้น พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อเทคโนโลยีทำให้ต้นทุนถูกลง ก็จะไปจูงใจให้ใช้มากขึ้น ก่อให้เกิดการบริโภคและการผลิตที่ ‘เกินจำเป็น’ มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเจวอนส์เห็นว่าเป็นปัญหา เขาจึงเสนอว่า การหวังพึ่งแค่พัฒนา ‘ประสิทธิภาพ’ ของเทคโนโลยีอย่างเดียวนั้นไม่พอ เพราะถ้าไม่ได้ทำให้มนุษย์รู้จัก ‘พอ’ ในความต้องการของตัวเองไปพร้อมกันด้วย เราก็จะ ‘ผลาญ’ ทรัพยากรมากขึ้น ซึ่งเป็นวิธีคิดที่สอดคล้องกับ degrowth
แต่แนวคิดเรื่อง degrowth เป็นที่พูดถึงอย่างจริงจังมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โลกที่ ‘เจริญแล้ว’ หลายแห่ง โดยเฉพาะในยุโรป จึงรวมตัวกันเพื่อทำให้ degrowth เป็นขบวนการทางวิชาการและทางสังคมระดับโลก โดยเกิดการประชุม International Conference on Degrowth for Ecological Sustainability and Social Equity ที่ปารีส ในปี 2008 และมีนักวิชาการหลายคนที่ทำงานด้าน Ecological Economics ที่ผลักดันประเด็นเรื่องนี้อย่างจริงจัง ทำให้สหภาพยุโรปจัดเวทีพูดคุยเรื่อง Post-Growth Economy หรือระบบเศรษฐกิจยุค ‘หลังการเติบโต’ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ระบบเศรษฐกิจในอนาคต จะต้องไปพ้นจากอาการ ‘คลั่ง’ การเติบโตได้แล้ว และเกิดการทดลองแนวคิดเรื่องนี้ในหลายสังคมหลายประเทศ เช่น ในอัมสเตอร์ดัมของเนเธอร์แลนด์ ในนิวซีแลนด์ หรือในฝรั่งเศส
4
แล้ว degrowth กับ ‘ตาจึ’ เกี่ยวกันอย่างไร – หลายคนอาจสงสัย
ก่อนจะตอบคำถามนี้ ขอย้อนกลับไปที่วัฒนธรรม ‘ตาจึ’ อีกนิด เพราะถ้าเราลองพิจารณาตาจึกันให้ดี เราจะพบว่าตาจึคือวัฒนธรรมที่มีมิติของความเป็นปัจเจกสูงมากอยู่ในตัว แต่มันไม่ใช่ปัจเจกประเภทที่อยาก ‘แยกขาด’ ออกจากสังคมจนอาจเกิดปัญหาสุขภาพจิตแบบฮิคิโคโมริ หรือพวก anti-social ที่ไม่เอาสังคมเลย
ถ้าจะเปรียบกับเกมจำลองชีวิตคนอย่าง The Sims เราจะพบว่าในเกม The Sims นั้น ตัวละครแต่ละตัวต้องคอยเติมเต็ม ‘มิเตอร์’ ของตัวเองในด้านต่างๆ เช่น ความหิว การนอนหลับ ความสนุก ฯลฯ โดยมีมิเตอร์สำคัญอันหนึ่ง คือ relationship หรือความสัมพันธ์ ซึ่งได้แก่การไปพูดคุยกับเพื่อน การเล่นเกม การทำกิจกรรมร่วมกันกับเพื่อน
เห็นได้ชัดเลยว่า วัฒนธรรมตาจึ คือการ ‘เติมเต็ม’ มิเตอร์ความสัมพันธ์ให้กับตัวเอง มันจึงเป็นเสมือน ‘วิธีเอาตัวรอด’ จากความโดดเดี่ยวเพราะปัจเจกนิยม (individualism) ที่แหลมคมมาก
ถ้าเราดูคนที่เป็นฮิคิโคโมริ เราจะเห็นว่าคนเหล่านี้ถอนตัวจากโลกทั้งทางกายและจิต แยกตัวอยู่ในพื้นที่ปิดยาวนานจนกระทบชีวิตประจำวัน แต่ตาจึไม่ได้ทำอย่างนั้น พวกเขาเพียงแต่ ‘ชั่งน้ำหนัก’ ให้ดี ว่าต้องการแค่พาร์ทเนอร์ทำกิจกรรม เพื่อเติมมิเตอร์ความสัมพันธ์ให้เต็ม แต่ไม่ได้ต้องการ ‘น้ำหนักความสัมพันธ์’ พวกนั้นด้วย จึงเกิดเป็นโมเดลความสัมพันธ์ แบบ low investment และ low risk คือลงทุนน้อย เสี่ยงก็ต่ำ โดยความสัมพันธ์ที่ว่ามีลักษณะที่เป็น mutual คือรับรู้กันทั้งสองฝ่าย และ consent กันโดยอัตโนมัติทั้งสองฝ่ายด้วย จึงอยู่ตรงกลางของการ ‘ตัดขาด’ ไปเลย (คือโดดเดี่ยวสันโดษเป็นฤาษี) กับการ ‘เข้าสังคม’ แบบเต็มรูปแบบ (คือต้องแบกน้ำหนักของคุณธรรมน้ำมิตรไปชั่วชีวิต) จึงมีคนวิเคราะห์ว่า นี่อาจเป็น social hack อีกแบบหนึ่ง ที่ช่วย ‘รักษาสมดุล’ ให้กับคนรุ่นใหม่ และพวกเขาก็ลุกขึ้นมา ‘ทำได้เลย’ โดยไม่ต้องรอใคร
ในเวลาเดียวกัน degrowth ก็มีลักษณะคล้ายกับตาจึ ตรงการพยายามหา ‘สมดุล’ ของระบบเศรษฐกิจ ด้วยการคิดมุมกลับ คือแทนที่จะต้องทำให้จีดีพีโตไปเรื่อยๆ ก็กลับเสนอแนวคิด ‘ชะลอ’ การโตพวกนั้นดู
เราจึงพอพูดได้ว่า ตาจึกับ degrowth ซึ่งเป็นปรากฏการณ์และขบวนความคิดของคนรุ่นใหม่ทั้งคู่นั้น – มี ‘จุดร่วม’ อยู่ตรง ‘ท่าทีต่อระบบ’ ทั้งคู่ แม้ดูเผินๆ จะเป็นคนละมิติกัน เช่น ตาจึดูเป็นเรื่องปัจเจกและความสัมพันธ์ทางสังคม ส่วน degrowth เป็นเรื่องระดับเศรษฐกิจและนโยบาย แต่ลึกๆ แล้ว สองเรื่องนี้สัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง เพราะเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า นโยบายทางเศรษฐกิจและสังคมที่บีบคั้นผู้คนให้ต้องถวายตัวบำเรอจีดีพีนี่แหละ คือตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิด ‘ตาจึ’ ขึ้น ในขณะเดียวกัน แม้ degrowth จะดูเหมือนพูดเรื่องใหญ่ แต่โดยเนื้อแท้แล้วมันกำลังพูดถึง ‘มนุษย์’ และความเป็นอยู่ของมนุษย์แต่ละคนโดยแท้
ทั้งตาจึและ degrowth จึงกำลังชวนเรา ‘ตั้งคำถาม’ กับ mindset ที่ก่อให้เกิดโครงสร้างของเศรษฐกิจและสังคมในแบบที่เป็นอยู่ ในแบบที่กระแสหลักมองเห็นว่ามีคุณค่าและเป็นเหมือนนิพพานของการมีชีวิตอยู่
แต่ตาจึบอกเราว่า ไม่ใช่ทุกความสัมพันธ์หรอก ที่เราต้องไป ‘ลงทุน’ กับมันขนาดนั้น เพราะเราต้องการแค่ ‘พาร์ทเนอร์’ ในบางสถานการณ์เท่านั้นเอง อยากดื่มนม ก็ไม่จำเป็นต้องไปซื้อแม่วัวมาเลี้ยงไม่ใช่หรือ เพราะโลกสมัยใหม่ทำให้เราเข้าถึงนมได้โดยไม่ต้องตื่นเช้ามารีดนมวัวเองเสมอไป เราจึงไม่จำเป็นต้อง ‘อัปเกรด’ ความสัมพันธ์กับนมให้กลายเป็นความสัมพันธ์กับแม่วัวที่ตัวหนักเป็นตัน!
ส่วน degrowth ก็คล้ายกันตรงที่มันตั้งคำถามกับเราว่า เศรษฐกิจไม่เห็นจำเป็นจะต้อง ‘โต’ ขึ้นทุกปีเลย เพราะการโตของจีดีพี โดยเนื้อแท้ก็คือสังคมที่ ‘ผลิต’ และ ‘บริโภค’ มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้า ‘นม’ คือความต้องการขั้นสุดท้ายของเรา และเรารู้ว่าโลกมีนมมากเพียงพออยู่แล้ว เราจำเป็นต้องขยายฟาร์ม สร้างโรงงานรีดนม เพิ่มจำนวนแม่วัวไม่รู้จบ เพราะหวังจะ ‘ขาย’ นมให้ได้มากขึ้นผ่านกระบวนการทางการตลาดไม่รู้จบไปทำไม (แถมแม่วัวยัง ‘ตด’ ออกมาเป็นก๊าซมีเทนที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกอีก!)
ทั้งตาจึและ degrowth สะท้อนถึง ‘ความล้า’ (social fatigue) ของผู้คน ที่มีต่อ ‘ระบบโลก’ ในปัจจุบัน อย่างหนึ่งเป็นความล้าในระดับปัจเจก อีกอย่างหนึ่งเป็นความล้าในระดับโครงสร้าง แต่ทั้งสองอย่างสัมพันธ์กัน และคือการ ‘ล้า’ ของการ ‘วิ่งไล่จับเงา’ ทั้งคู่
เงาไม่มีน้ำหนัก แต่เราเอาน้ำหนักของมิตรภาพและน้ำหนักของจีดีพีมาแบกใส่บ่าประหนึ่งว่ามันยิ่งใหญ่เหลือแสน จนเมื่อระบบโลกและสังคมเปลี่ยนไป เราก็อาจไม่สามารถแบกรับน้ำหนักของสิ่งเหล่านี้ไว้ได้อีก
ทั้งตาจึและ degrowth จึงเหมือนการ ‘เตือนสติ’ ว่าคล้ายเรากำลัง ‘วิ่งไล่เงา’ หรือไขว่คว้าสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่จริงกันอยู่อย่างขะมักเขม้น
และไม่ตั้งคำถามกับอะไรเลย!