‘Data is power.’
คงไม่เกินจริงแต่อย่างใด หากเราจะเสนอว่าสิ่งที่ทรงพลังที่สุดในโลกแห่งการเมืองสมัยใหม่และเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่ทำให้ดอกไม้แห่งประชาธิปไตยแบ่งบานมิใช่นักการเมืองหรือเงิน แต่เป็น ‘ข้อมูล’
เพราะมิใช่ข้อมูลหรอกหรือที่สามารถเปิดเปลือยให้เห็นความจริง สะท้อนเรื่องราวเบื้องหลัง และใช้แทนคำพูดได้นับร้อยนับพันคำโดยไม่ต้องเปล่งเสียงอะไรให้มากความ
นอกเหนือจากนั้นแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่ายิ่งข้อมูลเปิดเผยและแพร่กระจายมากขึ้น ยิ่งสร้างความตื่นรู้แก่คนในวงกว้าง เป็นเหมือนคำเชื้อเชิญให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการทำให้ประชาธิปไตยเติบโตและงอกงามในประเทศนั้นๆ
101 ชวนท่องไปในวงโคจรแห่งข้อมูลกับเรื่องเล่าจากตัวแทนภาคประชาสังคมและภาคเอกชนที่มีประสบการณ์ร่วมขับเคลื่อนประชาธิปไตยอย่างโชกโชน ในยุคที่ข้อมูลเปรียบเสมือนอำนาจและกลไกอันทรงพลังเพื่อสร้างสังคมแห่งประชาธิปไตยที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง
ร่วมท่องโลกแห่งข้อมูลและเขย่าการเมืองไปพร้อมกันได้ ในบรรทัดถัดจากนี้
หมายเหตุ: เก็บความบางส่วนจากงาน dataCon2024 ในหัวข้อ ‘เขย่าการเมือง ด้วยพลังข้อมูล Shaking Up Politics with Data’

แสดงจุดยืนการเมืองไทยด้วยพลังแห่งข้อมูล
– ยิ่งชีพ อัชฌานนท์
“เราไม่เคยเป็นกลางในทางการเมือง เราเลือกข้างและรู้ว่าตัวเองทำอะไรมาตลอด แต่บางครั้ง การพูดจุดยืนออกมาตรงๆ ก็อาจไม่มีประโยชน์เท่าการพูดถึงข้อมูลที่แวดล้อมเรื่องนั้น”
ข้างต้นคือคำกล่าวนำจาก ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการ iLaw พร้อมทั้งฉายภาพให้เห็นการเล่าเรื่องด้วยข้อมูลต่างๆ อาทิ การแสดงผลการเลือกตั้ง สว. ที่มีความผิดสังเกตบางอย่างระหว่างคนที่เข้ารอบกับไม่เข้ารอบ ที่ทำให้เห็นธรรมชาติของการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ได้ชัดเจนมากกว่าคำอธิบายใดๆ โดยยิ่งชีพอธิบายว่าในการเลือกตั้ง สว. ดังกล่าว ผู้ที่ตกรอบจะไม่ได้ให้คะแนนเลย ตรงกันข้ามกับผู้ที่เข้ารอบซึ่งได้คะแนนแบบถล่มทลาย และเราจะไม่สามารถเห็นความผิดปกติดังกล่าวได้ หากเราไม่ไปดูข้อมูลคะแนนจริงๆ ที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ ยิ่งชีพยังมองว่า รัฐไทยไม่ได้มีวัฒนธรรมในการเปิดเผยข้อมูลมากนัก
“ตอนเลือกตั้งปี 2566 เราชวนคนไปสังเกตการณ์กันที่หน้าหน่วยเลือกตั้ง ซึ่งทาง กกต. ก็ไม่ยอมบอกนะครับว่า หน่วยเลือกตั้งทั้งหมดจะมีกี่หน่วย และจะตั้งอยู่ที่ไหนบ้าง ทั้งๆ ที่เราขอทราบข้อมูลไปทุกทางแล้วก่อนวันเลือกตั้ง เมื่อเป็นแบบนี้ เราเลยให้คนที่จะร่วมเป็นอาสาสมัครมาหาหน่วยเลือกตั้งเองเลย ซึ่งก็มีคนที่อาสาเข้ามากว่าสองหมื่นคน
“ลองคิดดูนะว่า ถ้าเรารู้ที่ตั้งของทุกหน่วยเลือกตั้ง ผมเชื่อว่าเราจะมีอาสาสมัครสังเกตการณ์ทุกหน่วย”

สิ่งนี้นำมาสู่ข้อสรุปของยิ่งชีพที่ว่าเขายังคงมีความหวังอยู่ โดยเฉพาะในห้วงยามที่เทคโนโลยีพัฒนาและเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการแบ่งปันกัน อย่างไรก็ดี ยิ่งชีพเองก็ยอมรับว่า เขายังเชื่อเสมอว่าสิ่งที่ต้องมาก่อนคือทรัพยากรมนุษย์ ส่วนเครื่องมือต้องตามมาทีหลัง
“ผมว่าสิ่งที่ดีที่สุดและเราต้องการมากกว่านี้คือคนที่เจอข้อมูลแล้วยอมกระโดดลงน้ำ ไปขุดและจมอยู่กับมัน จนขึ้นมาได้พร้อมกับโจทย์หรือประเด็นบางอย่าง แล้วค่อยหาเครื่องมือมาเสริม แบบนี้น่าจะดีกว่า” ยิ่งชีพปิดท้าย
ถอดบทเรียนพลังแห่งข้อมูลในการเมืองสหรัฐฯ
สู่การเมืองไทยในวันนี้ – ปราบ เลาหะโรจนพันธ์
หลังจากที่แคมเปญ ‘เพื่อนชัชชาติ’ ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครรอบล่าสุด หนึ่งในคนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังอย่าง ปราบ เลาหะโรจนพันธ์ Senior Strategist, AGO ก็ได้มีโอกาสลัดฟ้าไปที่นิวยอร์ก สหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศที่กำลังจะมีการเลือกตั้งใหญ่ในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ เพื่อศึกษาภาพประเทศที่มีการเมืองใหญ่กว่าไทยในหลายระดับ
ในมุมของการเมืองสหรัฐฯ ปราบชี้ว่า หลังจากที่บารัก โอบามา ชนะการเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ หลายคนมองว่านี่เป็นความหวังประชาธิปไตยครั้งใหญ่ของโลก ผนวกกับมีความก้าวหน้าทางสังคมและประชาธิปไตยมากมายตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ทว่าจุดพลิกผันครั้งใหญ่กลับเกิดขึ้น เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งในปี 2016
“ผมมองว่า เราต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและการเคลื่อนไหวอีกครั้ง มันมีธุรกิจเงินร่วมลงทุน (venture capital) ชื่อ Higher Ground Labs ที่ตั้งขึ้นหลังทรัมป์ชนะการเลือกตั้งเลยนะครับ ทำให้เห็นว่าคนใช้เครื่องมือต่างๆ ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างไรบ้าง เราจะเห็นเลยว่า มีอุปกรณ์มากมายเป็นโครงสร้างพื้นฐานให้ภาคประชาสังคมและขบวนการเคลื่อนไหว ทั้งการระดมทุนและมวลชนสัมพันธ์มากมาย”
ทั้งหมดนี้นำมาสู่ข้อสรุปของปราบว่า “ถ้าเราจะสู้ให้ชนะและเขย่าการเมืองให้ไปได้ไกลกว่านี้ การสร้างเครื่องมือใหม่ที่จะตอบโจทย์เราได้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก”

ปราบยกตัวอย่างให้ชัดขึ้นว่า แม้ไทยกับสหรัฐฯ จะใช้โซเชียลมีเดียเหมือนกัน แต่มีมิติการใช้ที่ต่างกัน รวมถึงสหรัฐฯ จะมีเครื่องมือหลายอย่างเพิ่มขึ้นมาด้วย เช่น ในสหรัฐฯ จะมีผู้ช่วยหาเสียงไปเคาะประตูบ้านในแต่ละพื้นที่ ทำให้ได้ข้อมูลถึงขั้นว่าครัวเรือนนี้เลือกใครในการเลือกตั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมา เพราะสหรัฐฯ จะให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องลงทะเบียนก่อนทุกคน เพื่อจะได้รู้ข้อมูลของผู้ที่ลงทะเบียนไปแล้ว
เมื่อย้อนกลับมาที่เมืองไทย ปราบมองว่าหากพูดถึงความหวังหรือแนวทางใหม่ๆ ในการเมืองไทยจะมองได้ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือโจทย์ใหญ่ของชัชชาติ (สิทธิพันธ์) ตอนหาเสียง ที่เป็นผู้สมัครอิสระ ไม่มี สส. หรือ สว. ช่วยหาเสียง จึงเกิดการออกแบบระบบเพื่อนชัชชาติขึ้นมา เพื่อเป็นระบบอาสาสมัครและทำให้ได้เครือข่ายในพื้นที่
เรื่องที่สอง ปราบเท้าความถึงการทำแพลตฟอร์มเสนอกฎหมายออนไลน์ที่มีคนจำนวนมากออกมาใช้และสร้างความหวังได้อย่างมหาศาล ทำให้เขามองว่าสิ่งที่จะนำเราไปได้ไกลไม่ใช่แค่ข้อมูล แต่ต้องเป็นเครื่องมือด้วย
“หัวใจสำคัญคือ เรามีเครื่องมืออะไรที่พร้อมใช้บ้างในอีกสิบปีข้างหน้า ถ้าตอนนี้ยังไม่มีก็ต้องสร้างมันขึ้นมา” ปราบทิ้งท้าย
อ่านเรื่องราวของเมืองและชีวิตคนตัวเล็กตัวน้อยผ่านแผนที่
– มนตรี ถนัดค้า
“การเมืองสำหรับเราคือความเป็นอยู่ของผู้คนตามพื้นที่ต่างๆ ที่แตกต่างกัน ถ้าเราเรียบเรียงข้อมูลให้สามารถตอบคำถามได้ เราจะทำระบบเพื่อช่วยแก้ปัญหาให้คนตัวเล็กที่อยู่ห่างไกลได้”
ข้างต้นคือคำกล่าวนำจาก มนตรี ถนัดค้า Managing Director, Landometer และเพื่อให้เห็นภาพ มนตรียกตัวอย่างงาน citymeter ของตนเอง ซึ่งเป็นการทำพอร์ตที่ดินสำหรับเจ้าของที่และทำฐานข้อมูลต่างๆ ซึ่งสอดรับกับกระแสที่หลายๆ หน่วยงานเริ่มเปิดเผยข้อมูลมากขึ้น และที่สำคัญคือ ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการช่วยกันเติมเต็มข้อมูลเพื่อนำมาตอบโจทย์เฉพาะทางได้
“เมื่อเราลงไปดูถึงข้อมูลหรือจำนวนประชากรรายตำบล เราจะเห็นแล้วว่าคนกระจุกตัวอยู่ที่ไหน ซึ่งเราก็ต้องหาวิธีเจาะลึกลงไปอีกว่า ข้อมูลหรือจำนวนประชากรรายตำบลเป็นยังไง พื้นที่ตรงไหนหรือมุมไหนของเมืองที่น่าค้าขายกว่ากัน
“นอกจากนี้ ปริมาณคน รายได้ กิจกรรมทางเศรษฐศาสตร์ และภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บแต่ละท้องที่ ก็นำมาทำเป็นแผนที่ที่ต่างออกไปได้ด้วย หรือพอมีการเปิดเผยรายได้ของเทศบาล ก็นำมาทำ city story ให้ผู้ใช้วาดพื้นที่ได้”

สำหรับตัวอย่างการนำไปใช้ มนตรีฉายภาพว่า citymeter สามารถใช้ได้ในหลากหลายโอกาส เช่น การนับพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ไปจนถึงการประมาณการความเสียหายว่าการซ่อมแซมต้องใช้เงินเท่าไร
ไม่ผิดนัก หากจะกล่าวว่า ข้อมูลใน citymeter เป็นข้อมูลจำนวนมหาศาล โดยมนตรีบอกว่าข้อมูลที่นำมาทำงานเป็นข้อมูลที่เปิดเผยจากบรรดาหน่วยงานต่างๆ อยู่แล้วแต่แรก ทว่าหลายครั้งที่จะเห็นว่า แม้จะขึ้นชื่อว่าเปิดเผยข้อมูลก็ยังมีหลายระดับ
“หน่วยงานที่เปิดก็ดีมากๆ อยู่แล้ว แต่ถ้ายังไม่เปิด คำถามคือจะทำยังไงต่อไป และถ้าเปิดแล้ว จะทำยังไงให้นำข้อมูลมาใช้ได้ง่ายๆ”
พร้อมกันนี้ มนตรีทิ้งท้ายด้วยข้อเสนอว่า “ผมคิดว่าเราอาจจะให้การเปิดเผยข้อมูลเป็นหน้าที่แบบ default เลยนะ เพราะผมว่าถ้าเราเปิดเผยข้อมูลให้ทุกคนเห็นได้แล้ว ประชาชนทั่วไปก็พร้อมที่จะเข้ามาร่วมมือกันอยู่แล้วแหละ”