ถนนนี้กลับบ้าน Cold Mountain

บทความชิ้นนี้จะเขียนเล่าเชิญชวนดูหนังเรื่อง Cold Mountain ซึ่งมีให้ดูใน Max นะครับ แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น ผมขออนุญาตเดินทางอ้อมโลกสักหลายๆ บรรทัด

The Odyssey เป็นหนังเรื่องใหม่ของคริสโตเฟอร์ โนแลน ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างถ่ายทำ และมีกำหนดจะเข้าฉายในปีหน้า (2026) สิ่งที่น่าสนใจคือเป็นการดัดแปลงจากมหากาพย์ชื่อเดียวกันของโฮเมอร์ และน่าสนใจกว่านั้นคือจะถ่ายทอดออกมาในรูปโฉมเช่นไร?

มหากาพย์ The Odyssey เป็นหนึ่งในวรรณกรรมเก่าแก่และยิ่งใหญ่ของโลก เป็นต้นธารขนาดมหึมาที่มีอิทธิพลและส่งมอบแรงบันดาลใจต่องานศิลปะรุ่นหลังถัดมาทุกแขนง รวมแล้วเป็นจำนวนเหลือคณานับ

ต่อให้ขีดวงเจาะจงให้แคบลงเฉพาะแค่นิยายและหนัง วงศ์วานว่านเครืออันสืบเนื่องจาก The Odyssey ก็ยังคงมีปริมาณเยอะอยู่ดี ยิ่งกว่านั้นยังคับคั่งไปด้วยความหลากหลายในการนำเสนอ มีตั้งแต่เล่าเรื่องเจริญรอยตามอย่างซื่อตรงเคร่งครัด, การเล่าแบบตีความใหม่, หยิบยกนำเอาพล็อต โครงสร้างการดำเนินเรื่อง และสาระสำคัญทั้งหมดมาใช้โดยครบถ้วน โดยเปลี่ยนฉากหลังสถานที่และช่วงเวลายุคสมัยให้ผิดแผกแตกต่าง

และที่ค่อนข้างนิยามยากอยู่สักหน่อย คือการแปลงกายเปลี่ยนโฉมไปไกลสุดกู่ จนดูเหลือเชื่อว่าเป็นงานที่เกาะโยงกับเค้าความคิดเดิมจาก The Odyssey

แรงบันดาลใจในลักษณะประการหลังสุดนั้น ไม่น่าจะมีเรื่องใดอีกแล้วที่จะลือลั่นสนั่นโลกและสร้างแรงสั่นสะเทือนได้มากเทียบเท่ากับนิยายมหัศจรรย์พันลึกปี 1922 เรื่อง Ulysses ของเจมส์ จอยซ์

(สำหรับท่านที่สนใจเกี่ยวกับนิยายเรื่อง Ulysses ของเจมส์ จอยซ์ ขอเชิญชวนให้อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากบทความเรื่อง “Bloomsday  เทศกาลที่ฉลองให้กับวรรณกรรม Ulysses และตัวละคร” โดยสุนันทา วรรณสินธ์ เบล ใน The101. World)

อย่างไรก็ตาม มีงานอีกกลุ่มก้อนใหญ่จำนวนมากที่ได้รับอิทธิพลแรงบันดาลใจจากแหล่งอื่น ทว่าเนื้องานที่ปรากฏก็มีหลายสิ่งพ้องพาน จนสามารถจับสังเกตเห็นอิทธิพลของ The Odyssey แผ่ปกคลุมเด่นชัดแรงกล้า แทบว่าเป็นการเล่าซ้ำอีกครั้ง ในสิ่งที่โฮเมอร์เคยพรรณนาไว้ก่อนแล้วร่วมๆ สองพันกว่าปี

ตัวอย่างทำนองนี้ที่ผมนึกออกก็คือ ปี 1971 พีท แฮมิล (Pete Hamill) เขียนคอลัมน์ชิ้นหนึ่งลงตีพิมพ์ใน New York Post ชื่อเรื่องว่า Going Home บอกเล่าเรื่องราวของนักโทษที่ได้รับการปล่อยตัว ขึ้นรถโดยสารรอนแรมกลับบ้าน (ข้อมูลนี้ค่อนข้างคลุมเครือ ไม่ทราบชัดว่า Going Home เป็นเรื่องเล่าจากเหตุการณ์จริงหรือเรื่องแต่ง)

ข้อเขียนดังกล่าวสร้างแรงบันดาลใจ จนเกิดบทเพลงฮิตประจำปี 1973 ชื่อ Tie a Yellow Ribbon Round the Ole Oak Tree


YouTube video


เพลงดังกล่าวดลใจโยจิ ยามาดะ นำมาต่อยอดขยายความ กลายเป็นหนังเรื่อง The Yellow Handkerchief เมื่อปี 1977

4 ปีให้หลัง หนังญี่ปุ่นดังกล่าว ก็ได้รับการหยิบนำมาเล่าใหม่อีกครั้งเป็นหนังไทย โดยหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล  ในชื่อ ถ้าเธอยังมีรัก

แถมพกด้วยฉบับรีเมคส่งท้ายเป็นหนังฮอลลีวูดปี 2008 ใช้ชื่อเหมือนเดิมคือ The Yellow Handkerchief

ผลงานทุกรายนามที่กล่าวมา ตั้งแต่งานเขียน บทเพลง และภาพยนตร์ มีองค์ประกอบหลักที่พ้องพานเหมือนกับ The Odyssey นั่นคือเป็นเรื่องคู่รักที่พลัดพรากจากกันเป็นเวลาเนิ่นนาน, การรอนแรมเดินทางไกลเพื่อกลับบ้าน และหญิงสาวที่เฝ้ารอคอยคนรักของเธอ

ผมเคยอ่าน ‘โอดิสซี’ ฉบับแปลไทยเมื่อนานมาแล้ว จนเลือนและลืมเนื้อเรื่องและรายละเอียดปลีกย่อยไปเกือบหมด ทว่าสิ่งที่ยังจับอกจับใจมาจนถึงทุกวันนี้ นอกเหนือจากสำนวนแปลอันวิจิตรบรรจงของสุริยฉัตร ชัยมงคลแล้ว ก็คือองค์ประกอบของความเป็นเรื่องรักตราตรึงซึ้งใจในย่อหน้าข้างต้นนี่แหละครับ

พูดได้ว่า นับจากอ่าน ‘โอดิสซี’ เป็นต้นมา มีบ่อยครั้งที่ดูหนังรักหรืออ่านนิยายโรแมนติคแล้ว ผมพบอิทธิพลของ The Odyssey แฝงซ่อนอยู่ในนั้นถนัดชัดแจ้ง

เรื่อง Cold Mountain นี้ก็เช่นกัน มีเงามหึมาของ The Odyssey ทาบซ้อนอยู่เต็มๆ

Cold Mountain ดัดแปลงจากนิยายอิงประวัติศาสตร์ชื่อเดียวกันของชาร์ลส์ เฟรเซอร์ ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1997 ส่วนฉบับภาพยนตร์เขียนบทและกำกับโดยแอนโธนี มิงเกล่า คนทำหนังชาวอังกฤษ ผู้เคยโด่งดังและประสบความสำเร็จจาก Truly, Madly, Deeply (1990), The English Patient (1996), The English Patient is a 1996 และ The Talented Mr. Ripley (1999)

ตลอดชีวิตแอนโธนี มิงเกล่ากำกับหนังไม่ถึง 10 เรื่อง จึงยากที่จะจับสังเกตค้นหาลักษณะเด่นหรือเอกลักษณ์เฉพาะตัวในงานของเขา

อย่างไรก็ตาม หากตัด Truly, Madly, Deeply ออกไป งานเด่นอื่นๆ ที่เหลือ ก็พอจะมีจุดร่วมตรงกันอยู่บ้างเหมือนกัน นั่นคือทั้งหมดล้วนเป็นหนังพีเรียดย้อนยุค และมีความโดดเด่นในส่วนของงานสร้าง อย่างเช่นการกำกับภาพ กำกับศิลป์ ออกแบบเครื่องแต่งกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขับเน้นทิวทัศน์ของธรรมชาติฉากหลัง อย่างเช่น ทะเลทราย ป่าเขา หิมะ พายุ (ใน The English Patient และ Cold Mountain) จนส่งผลกระทบและมีอิทธิพลครอบงำต่อพฤติกรรมของตัวละครนั้น ชวนให้นึกระลึกไปถึงงานของปรมาจารย์ผู้ล่วงลับอย่างเดวิด ลีน ซึ่งเก่งฉกาจฉกรรจ์ในท่วงทำนองนี้

Cold Mountain อาจไม่ประสบความสำเร็จสวยหรูเหมือนเมื่อครั้ง The English Patient แต่ก็อยู่ในเกณฑ์น่าพึงพอใจ เป็นหนังฟอร์มใหญ่ทุนสูงที่ไม่บาดเจ็บ คำวิจารณ์อยู่ในเกณฑ์ดี ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 6 สาขา จำนวน 7 รางวัล ประกอบไปด้วย นักแสดงนำชาย, นักแสดงสมทบหญิง, กำกับภาพ, ตัดต่อลำดับภาพ, ดนตรีประกอบ และเพลงประกอบ (เข้าชิง 2 เพลง)

ทั้งหมดนี้ มีเพียงเรเน เซลเวเกอร์ ในสาขานักแสดงสมทบฝ่ายหญิงที่สมหวัง (ปีนั้นเธอได้รางวัลจากสถาบันสำคัญๆ ครบถ้วนแบบ ‘เหมาหมด’ ทั้งออสการ์, ลูกโลกทองคำ, Screen Actors Guild Awards, Critics’ Choice Awards และ BAFTA Awards)

Cold Mountain ละม้ายเหมือนกับมหากาพย์ The Odyssey จนสามารถประทับตรา ‘สำเนาถูกต้อง’ ได้สบายๆ ตั้งแต่เนื้อเรื่องเหตุการณ์เค้าโครงหลัก วิบากกรรมของตัวละคร เส้นทางการดำเนินเรื่อง ไปจนถึงสาระสำคัญ จะผิดแผกแตกต่างอยู่บ้างตรงที่รายละเอียดปลีกย่อยทั้งหมดเป็นการแต่งขึ้นใหม่

หนังจับความเหตุการณ์ช่วงสงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกา ‘คู่รักหนุ่มสาว’ ดับเบิลยูพี อินแมน กับเอดา มอนโร เพิ่งรู้จักเจอะเจอกันได้ไม่นาน เกิดเป็นรักแรกพบในเวลากระชั้นสั้น ก็ให้มีอันต้องพลัดพราก เมื่อฝ่ายชายถูกเกณฑ์ไปรบ

ก่อนจาก ทั้งสองให้คำมั่นสัญญาต่อกัน คนหนึ่งจะกลับมา อีกคนจะรอคอย

3 ปีต่อมา สงครามใกล้สิ้นสุด ฝ่ายใต้หรือกองทัพสมาพันธรัฐ ซึ่งอินแมนสังกัดอยู่ เพลี่ยงพล้ำจวนพ่ายแพ้ ชายหนุ่มได้รับบาดเจ็บอาการสาหัส ระหว่างเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจนอาการค่อยๆ กระเตื้องดีขึ้น พลันได้รับจดหมายจากเอดา เรียกร้องวิงวอนให้เขากลับมาหาเธอ

อินแมนตัดสินใจกลับบ้าน ผจญกับอุปสรรคมากมายตลอดรายทาง ทั้งถูกไล่ล่าในโทษฐานทหารหนีทัพ, เผชิญกับอริฝ่ายตรงข้าม, ความอดอยากหิวโหย สภาพอากาศโหดร้ายทารุณ รวมกระทั่งเภทภัยในรูปแบบของสิ่งเย้ายวนใจ ซึ่งสามารถลวงล่อให้เขาติดบ่วงลุ่มหลง จนเปลี่ยนใจเป็นอื่นไปจากหญิงที่ตนรัก

และที่หนักหนาสาหัสสุด คือการเข้าร่วมสู้รบในศึกสงคราม ทำให้ชายหนุ่มเผชิญกับความรุนแรง เหี้ยมโหดของการเข่นฆ่า ทั้งในฐานะผู้รู้เห็นเป็นพยาน และทั้งในส่วนของการลงมือสังหารด้วยตนเอง จนเปรียบได้ว่าความดีที่เคยมีอยู่ในจิตใจของเขาค่อยๆ ถูกทำลายลงไปทีละน้อย

นอกจากความรู้สึกหวั่นเกรงว่าจะเดินทางไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ความกลัวสูงสุดยิ่งกว่านั้นก็คือการกลับไปถึงบ้าน ในสภาพ ‘คนอื่น’ ไม่ใช่ชายคนเดิมที่เคยเป็นอีกต่อไป

ข้างฝ่ายเอดาก็ทุกข์ยากลำบากใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ทั้งการเฝ้ารอคอยคนรักวันแล้ววันเล่า โดยไม่ทราบชะตากรรมว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ต้องโศกเศร้าจากการเสียชีวิตกะทันหันของพ่อผู้เป็นนักบวช หนักกว่านั้นคือเอดาผู้เติบโตและได้รับการเลี้ยงดูปลูกฝังให้เป็นกุลสตรี กลายเป็น ‘คุณหนู’ ผู้ทำอะไรไม่เป็น เอาตัวไม่รอดในวิถีชนบท ไร้ญาติขาดมิตร สิ้นเนื้อประดาตัว เนื่องจากทรัพย์สินที่พ่อทิ้งไว้ให้ คือพันธบัตรจำนวนหนึ่ง กลายเป็นสิ่งที่ปราศจากราคาค่างวด เพราะผลของสงคราม

ความยากแค้นแสนเข็ญที่ถาโถมเข้ามาทุกทิศทาง ผลักไสให้เอดาเหลือทางเลือกอันเป็นทางรอดจำกัด นั่นคืออพยพโยกย้ายผละจากโคลด์ เมาต์เทน ไปสู่ถิ่นอื่น

เรื่องราวแทรกเข้ามาระหว่างการรอคอยแบบจวนใกล้จะสิ้นหวังของเอดา คือการต่อสู้ให้มีโอกาสได้อยู่ต่อ เพื่อรอคอยตามคำมั่นสัญญาไปจนถึงที่สุด รวมทั้งการเรียนรู้ที่นำพาความเปลี่ยนแปลงจากสาวชาวเมืองผู้อ่อนแอ มาเป็นสาวชนบทผู้เข้มแข็ง

แง่มุมอย่างหลังนี้ มีตัวละครสำคัญคือ รูบี หญิงสาวนิสัยโผงผาง เอะอะโวยวาย ทำหน้าที่ในบทบาท ‘นางฟ้ามาโปรด’ และกลายเป็นตัวละครที่ยกระดับสร้างความประทับใจให้ตัวหนังได้อย่างมีเสน่ห์ร้ายเหลือ

นี่ยังไม่นับรวมการเผชิญบททดสอบและการท้าทายครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งพิสูจน์ถึงความมั่นคงและความภักดีที่เอดามีต่อชายคนรัก

คู่ตัวละครที่เจอบททดสอบ อุปสรรคขวากหนามหลากประการให้ต้องฝ่าฟันเพื่อพิสูจน์รักแท้ การผจญภัยระหกระเหินขณะเดินทางกลับบ้านอย่างยากลำบากยากเข็ญ ความทุกข์ทรมานของการรอคอย ทั้งหมดนี้เป็นพล็อตและแก่นเรื่องตรงกันกับ The Odyssey

อย่างไรก็ตาม มี 3 จุดสำคัญ ที่เป็นความเปลี่ยนแปลงและแตกต่าง

อย่างแรกนั้นชัดและเห็นง่ายสุด นั่นคือเปลี่ยนจากยุคสมัยในปกรณัมกรีก มาเป็นสงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกา ตรงนี้ไม่มีอะไรต้องตื่นเต้นฮือฮา เข้าลักษณะ ‘เหล้าเก่าในขวดใหม่’ ทั่วๆ ไป

สองอย่างถัดมานั่นแหละ จึงนับเป็นจุดเด่นแท้จริงของนิยายและหนังเรื่อง Cold Mountain

แรกสุดคือการดำเนินเรื่องโดยใช้วิธีเล่าสลับไปมาระหว่างตัวเอกฝ่ายชายและฝ่ายหญิงอยู่ตลอดเวลา (ใน The Odyssey เหตุการณ์เกินกว่าครึ่งเล่าถึงวีรกรรมและวิบากกรรมของโอดิซุส ขณะที่ฝ่ายหญิงคือเพโนโลปี มีบทบาทเพียงแค่ในช่วงท้าย ๆ)

Cold Mountain เริ่มต้นด้วยการเล่าสลับระหว่างปัจจุบันกับอดีต ช่วงปัจจุบันคือเหตุการณ์บั้นปลายในสมรภูมิ ส่วนอดีตนั้นย้อนถอยไปยังวาระที่เอดาเดินทางมาถึงโคลด์ เมาต์เทน และพบกับอินแมนเป็นครั้งแรก

อดีตปัจจุบันนั้นเล่าสลับไปมาจนถึงจุดที่ทั้งสองสารภาพรักต่อกัน และให้มีอันต้องพรากจาก

ถัดจากนั้นซึ่งกินความส่วนใหญ่ในหนัง เป็นเหตุการณ์ปัจจุบันล้วนๆ แต่เล่าสลับไปมาระหว่างการเดินทางของอินแมน และการต่อสู้ของเอดาเพื่อที่จะสามารถยืนหยัดปักหลักรอคอยอยู่ที่โคลด์ เมาต์เทน

เทคนิคการเล่าสลับไปมาระหว่าง 2 เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ของแปลกใหม่ แต่ที่น่าสนใจคือ Cold Mountain บอกเล่าด้วยจังหวะค่อนข้างถี่และกระชั้นสั้นในการข้ามย้ายไปมา จนเหมือน 2 เหตุการณ์นั้นโต้ตอบรับส่งไปมาอยู่ตลอดเวลา และส่งผลบวกหลายประการ

อย่างแรกคือทำให้บทบาทของคู่พระนางเกิดความสมดุล มีน้ำหนักเท่าเทียม

ถัดมาคือ การเล่าเช่นนี้ ผู้ชมอยู่ในสถานะรู้มากกว่า ครบถ้วนกว่าตัวละคร จนนำไปสู่การเร่งเร้าให้เกิดอารมณ์ลุ้นระทึกเอาใจช่วยตัวละคร

นอกจากจะโดดเด่นด้วยการเลือกช่วงตัดสลับได้อย่างสอดคล้องเหมาะเจาะแล้ว ประโยชน์สำคัญอีกอย่าง ก็คือทำให้เรื่องราวที่ไม่ต่อเนื่อง เต็มไปด้วยเหตุการณ์สั้นๆ เป็นท่อนๆ หรือชิ้นส่วนยิบย่อยมากมาย ร้อยเรียงเชื่อมโยงเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างสละสลวย และทำให้หนังความยาวร่วมๆ 2 ชั่วโมงครึ่ง รุดหน้าอย่างกระชับฉับไว สนุกเข้มข้นชวนติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ

จุดเด่นและจุดแตกต่างจาก The Odyssey อย่างต่อมา คือการเปลี่ยนย้ายฉากหลังมาเป็นเหตุการณ์สงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้งานชิ้นนี้มีแก่นสารสำคัญเฉพาะตัวเพิ่มขึ้นและต่างออกไป นั่นคือการสะท้อนถึงความโหดร้ายของสงคราม

Cold Mountain ไม่ได้เสนอภาพของสงครามกลางเมืองสหรัฐในแบบมุ่งให้ข้อมูลกับคนดู หนังข้ามเว้นไม่อธิบายถึงความขัดแย้งที่เป็นต้นตอสาเหตุ แต่จับบทเริ่มต้นไปยังการสู้รบทันที และเน้นให้เห็นถึงความเสียหายอันเกิดจากสงคราม ทั้งการคร่าชีวิตคนหนุ่มจำนวนมากอย่างสยดสยองนองเลือดระหว่างการสู้รบ สภาพบ้านเมืองระส่ำระสายไม่มีขื่อไม่มีแป อาชญากรรมชุกชุมไปทั่วทุกหัวระแหง ผู้คนดิ้นรนทำทุกอย่างเพื่อประทังเอาชีวิตรอด โดยละทิ้งความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ศีลธรรมเสื่อมโทรม เกิดแม่ม่ายใหม่หมาดเป็นจำนวนมาก แรงงานขาดแคลน เชื่อมโยงไปสู่เศรษฐกิจที่ล่มสลายพังทลาย

ประเด็นในการวาดภาพด้านลบที่สงครามเปลี่ยนทุกสรรพสิ่งจนกลายเป็นนรกในหนังเรื่อง Cold Mountain ไม่ใช่ของแปลกใหม่หรือมีแง่มุมอันใดแหลมคมเป็นพิเศษหรอกนะครับ แต่สิ่งที่ยอดเยี่ยมก็คือ แอนโธนี มิงเกล่าใช้วิธีการทางภาพยนตร์ทั้งงานสร้างและการเขียนบท ปรุงแต่งฉากเหตุการณ์ต่างๆ ออกมาได้อย่างอยู่มือ และเห็นเป็นจริงเป็นจังจนน่าสะพรึงกลัว กระทั่งผู้ชมตระหนักชัดได้ถึงความบ้าคลั่งไร้สาระของสงคราม

ที่สำคัญคือ ในความเป็นเรื่องรักโรแมนติกที่เปี่ยมด้วยบรรยากาศกลิ่นอาย ‘พาฝัน’ อยู่เต็มเปี่ยม แง่มุมต่อต้านสงครามก็ช่วยหนุนเสริม เป็นอุปสรรคสำคัญหรือผู้ร้ายตัวฉกาจที่ทำให้หนังเรื่อง Cold Mountain ดำเนินไปตามครรลองของความเป็นมหากาพย์ได้อย่างดียิ่ง

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save