“เหมือนเราไม่มีตัวตนในจีน” LGBTQ+ จีนภายใต้การกดปราบ กับการแสวงหาชีวิตใหม่ในไทย

เควียร์

เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หลายคนอาจสังเกตเห็นได้ว่าเทศกาลไพรด์ (Pride Festival) ในไทยมีชาวต่างชาติเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก เพราะในสายตาของคนหลายประเทศ ไทยถือว่าเปิดกว้างในเรื่องเพศมากกว่าหลายๆ สังคม แม้ความเท่าเทียมทางเพศของไทยจะยังห่างไกลความสมบูรณ์แบบก็ตาม 

ในบรรดาชาว LGBTQIAN+ ต่างชาติที่มาร่วมเทศกาลไพรด์ในไทยนั้น กลุ่มหนึ่งที่โดดเด่นคือชาวจีน ซึ่งในบริบทสังคมของประเทศบ้านเกิดพวกเขา ชุมชน LGBTQIAN+ กำลังสูญเสียพื้นที่ทางสังคมและความปลอดภัยในชีวิตความเป็นอยู่ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาตั้งแต่การผงาดของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง (Xi Jinping) พวกเขาบางคนจึงตัดสินใจลาจากบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อแสวงหาพื้นที่บางแห่งซึ่งยอมรับตัวตนที่ถูกทำให้ ‘ผิดแปลก’ (queer: เควียร์) ของพวกเขา

สำหรับบทความนี้ พื้นที่แห่งนั้นคือประเทศไทย โดยผู้เขียนมีโอกาสได้สัมภาษณ์มิตรสหายเควียร์ชาวจีนสองคนซึ่งกำลังอาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ เรื่องราวต่อจากนี้คือประสบการณ์และการต่อสู้ของพวกเขาในฐานะประชาชนจีนผู้พลิกผันกลายเป็นชาวจีนโพ้นทะเลบนโทษฐานของอัตลักษณ์และเพศวิถีที่พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) ไม่เท่าเทียมพอจะยอมรับ

ชุมชนเควียร์ใต้การกดปราบ: ภูมิหลังการเมืองอำนาจนิยม

พรรคคอมมิวนิสต์จีนขึ้นชื่อเรื่องการปราบปรามการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน ข้อเท็จจริงดังกล่าวปรากฏชัดในกรณีของการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิทางเพศโดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2015 ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่สองเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น นั่นคือ การกวาดล้าง 709 (709 crackdown) และกลุ่มนักสตรีนิยมทั้งห้า (The Feminist Five) โดยเหตุการณ์แรกเป็นการปราบปรามนักกฎหมายและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนทั่วประเทศ ส่วนเหตุการณ์หลังคือการจับกุมนักสตรีนิยมชาวจีนห้าคนในปักกิ่งเมื่อวันที่ 6 มีนาคม หลังจากที่คนเหล่านี้วางแผนประท้วงต่อต้านการคุกคามทางเพศด้วยการแจกสติกเกอร์บนรถไฟฟ้าใต้ดินในวันสตรีสากล (International Women’s Day)

ต่อมาในปี 2016 จีนประกาศใช้กฎหมายจัดการองค์การนอกภาครัฐจากต่างแดน (Overseas NGO Law) เพื่อควบคุมองค์การนอกภาครัฐที่รับเงินสนับสนุนจากต่างชาติมาผลักดันประเด็นปัญหาต่างๆ รวมไปถึงสิทธิทางเพศ นอกจากนี้ ยังมีการสั่งห้ามการเผยแพร่เนื้อหาที่ ‘มีความอันตรายต่อศีลธรรมอันดี’ (morally hazardous) ทางโทรทัศน์และภาพยนตร์ แน่นอนว่าเนื้อหาดังกล่าวย่อมหมายรวมถึง ‘พฤติกรรมทางเพศแบบผิดวิสัย’ อาทิ การรักเพศเดียวกัน ซีรีส์วายอย่าง ร้ายนักรักเสพติด (Addicted) จึงถูกลบออกจากแพลตฟอร์มต่างๆ

ในช่วงปีต่อมา องค์กรที่ขับเคลื่อนเรื่องเพศถูกรัฐเพ่งเล็งมากขึ้นเรื่อยๆ ดังจะเห็นได้จากการลบบัญชีผู้ใช้ของกลุ่มนักศึกษาผู้มีความหลากหลายทางเพศจำนวนมากบนแอปพลิเคชัน WeChat ในปี 2021 การยุติบทบาทของกลุ่ม LGBT Rights Advocacy China ในปีเดียวกัน และการปิดตัวขององค์กรไม่แสวงหาผลกำไรอย่าง Beijing LGBT Center ในปี 2023 หลังจากการทำงานรณรงค์กว่า 15 ปี

การเซนเซอร์เนื้อหาเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศทำให้พื้นที่ปลอดภัยสำหรับชุมชน LGBTQIAN+ ค่อยๆ เลือนหาย “เราไม่สามารถมีชาวเควียร์ในหนังได้ เราไม่อาจพูดถึงการเป็นเควียร์ในหนังสือ” เรด (นามสมมติ) นักเคลื่อนไหวเพศสภาพนอนไบนารี (non-binary) วัย 28 ปีกล่าวกับผู้เขียน ยิ่งกว่านั้น วัฒนธรรมอนุรักษนิยมในจีนยังส่งเสริมการปกครองอำนาจนิยมของรัฐ หนึ่งในปัญหาใหญ่ที่เรดกล่าวถึงคือการบำบัดแก้เพศวิถี (conversion therapy) อันเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ปกครองชาวจีน ซึ่งในความเห็นของเรด “ร้อยละ 90 ยอมรับไม่ได้ถ้าลูกตัวเองเป็นเควียร์”

“ความห่วงใยในความเป็นอยู่ของคนอื่นคือสัญชาตญาณของฉัน”

เรดพบเจอกับความรุนแรงทางการเมืองของรัฐจีนด้วยตนเองเมื่อปี 2022 ในการประท้วงนโยบายป้องกันโควิด-19 ทั่วประเทศ เธอถูกจับกุมตัวเพราะทางตำรวจเชื่อว่าเธอเป็นแกนนำการชุมนุมสายเควียร์ทั้งที่จริงๆ แล้วเธอไม่ใช่ อย่างไรก็ดี การเคลื่อนไหวของเธอในอดีตทำให้เธอต้องพบเจ้าหน้าที่ตำรวจมาก่อน อีกทั้งเพื่อนนักข่าวของเธอยังถูกจำคุก เธอจึงถูกเพ่งเล็งโดยตำรวจมาตั้งแต่ก่อนการประท้วงโควิด-19

“เจ้าหน้าที่ตำรวจรู้ว่าฉันเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ตอนที่ฉันถูกจับ ฉันไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ ฉันอาศัยอยู่ในห้องเล็กๆ เขาเลยถามฉันว่า คุณทั้งจนและมีชีวิตส่วนตัวที่ไม่ราบรื่น ทำไมคุณถึงยังสนใจเรื่องคนอื่น? ฉันไม่รู้จะตอบยังไง เพราะสำหรับฉัน ความห่วงใยในความเป็นอยู่ของคนอื่นคือสัญชาตญาณ มันเป็นสิ่งที่ฉันหยุดไม่ได้” เรดกล่าวหลังจากเล่าว่าตำรวจทำการค้นที่พักรวมถึงซักถามเพื่อนและสมาชิกครอบครัวของเธอเกี่ยวกับการชุมนุม

เนื่องจากไม่มีหลักฐานมากเพียงพอ เรดจึงได้รับการประกันตัว ทว่าเธอถูกกดดันให้ย้ายออกจากเมืองโดยเฉพาะเมื่อแม่ของเธอพยายามเกลี้ยกล่อมให้เธอเชื่อฟังตำรวจ ทั้งยังไม่ยอมรับตัวตนเควียร์ของเธอ เรดกล่าวว่า “ฉันคิดว่าแม่ยอมรับมันไม่ได้ แต่เธอไม่อาจเปลี่ยนตัวตนฉัน เธอจึงทำเหมือนว่า [ตัวตนเควียร์ของฉัน] ไม่มีอยู่จริง”

การไม่ได้รับความสนับสนุนจากครอบครัวยังทำให้เรดประสบกับปัญหาสุขภาพจิต เธออธิบายว่าเธอเพิ่งรับรู้ถึงการมีอยู่ของความหลากหลายทางเพศในวัย 19 ทั้งที่ตัวเธอเองรู้สึกว่าตนไม่ใช่ทั้งผู้ชายและผู้หญิงมาตั้งแต่อายุประมาณ 14 ปีแล้ว “ดังนั้นมันจึงรู้สึกโดดเดี่ยวมาก เพราะฉันก็ไม่เคยเห็นคนเควียร์ในทีวี มันรู้สึกเหมือนว่าพวกเราไม่มีตัวตนอยู่เลย” เรดกล่าว

ท้ายที่สุด เรดจึงเดินทางมายังประเทศไทยพร้อมยุติการติดต่อกับแม่เนื่องด้วยความกังวลว่าตำรวจจะมาสอบถามความเป็นไปของเธอ

“ตอนที่ฉันพยายามเข้าไปในมหาวิทยาลัย เจ้าหน้าที่หยุดฉันแล้วริบธงสีรุ้งไป”

ออเรนจ์ (นามสมมติ) เป็นผู้หญิงตรงเพศ (ciswoman) อายุ 24 ปีจากปักกิ่ง 

ในวัย 14 ปี เธอเปิดเผยกับกลุ่มเพื่อนว่าตนเองชอบผู้หญิง ต่อมาเมื่อเธออายุเข้าเลข 18 เธอรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้พบปะมิตรสหายสายเควียร์และแสดงออกถึงความเป็นเลสเบียนของตัวเองในระดับมหาวิทยาลัย กระนั้น ความกระตือรือร้นของเธอทำให้ออเรนจ์ต้องมีปัญหากับผู้มีอำนาจ

ปี 2019 ท่ามกลางการประท้วงในฮ่องกงซึ่งกระตุ้นให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนบังคับใช้มาตรการอำนาจนิยมมากขึ้น ออเรนจ์นำธงสีรุ้งมาติดไว้ที่จักรยานของเธอเพื่อแสดงถึงการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน LGBTQIAN+ แต่ความผิดหวังก็บังเกิดเมื่อเธอขี่จักรยานคันนี้ไปเรียน “ตอนที่ฉันพยายามเข้าไปในมหาวิทยาลัย เจ้าหน้าที่หยุดฉันแล้วริบธงสีรุ้งไป” เธอกล่าว

ต่อมา ออเรนจ์เข้าร่วมชมรมเควียร์ชมรมหนึ่ง ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2015 ในฐานะกลุ่มใต้ดินที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับมหาวิทยาลัย ชมรมนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มนักศึกษาที่ขับเคลื่อนเรื่องเพศผ่านช่องทางออนไลน์โดยเฉพาะ WeChat โดยมักจะเผยแพร่ความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศ ตั้งแต่การดูแลคนข้ามเพศในทางการแพทย์ การแปลงานวิชาการของนักปรัชญาอย่างจูดิธ บัตเลอร์ (Judith Butler) ไปจนถึงงานเขียนทฤษฎีเควียร์ (queer theory) อื่นๆ นอกจากนี้ชมรมดังกล่าวยังจัดกิจกรรมต่างๆ ในมหาวิทยาลัยสำหรับนักศึกษาที่มีความสนใจคล้ายกัน

ทว่า มหาวิทยาลัยของออเรนจ์ไม่ยอมรับกิจกรรมเหล่านี้รวมไปถึงการมีอยู่ของชมรมอื่นๆ ที่เป็นพันธมิตร แม้กระทั่งชมรมที่ขึ้นทะเบียนกับมหาวิทยาลัยอย่างชมรมมาร์กซิสต์ (Marxist) 

ในปี 2022 ชมรมเควียร์ที่ว่านี้จัดกิจกรรมฉายภาพยนตร์ ซึ่งกระตุ้นให้ทางมหาวิทยาลัยทำการสอบสวนและซักถามนักศึกษาทุกคนที่เข้าร่วมกิจกรรมพร้อมตักเตือนไม่ให้จัดกิจกรรมลักษณะนี้ขึ้นอีก ในปัจจุบัน ชมรมดังกล่าวและกลุ่มนักศึกษาอื่นๆ จึงหันไปจัดกิจกรรมใต้ดินเป็นหลัก

อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้ออเรนจ์รู้สึกถึงการกดขี่คือการฆ่าตัวตายของเพื่อนคนข้ามเพศของเธอ “เมื่อทราบข่าว ฉันกับเพื่อนตั้งใจซื้อดอกไม้ไปไว้อาลัยเธอที่หอพัก พวกเราพูดคุยกัน [ผ่านช่องทางออนไลน์] แต่เราถูกตรวจสอบ พอเราไปถึงหอพักก็พบเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่งชุดลำลองจำนวนมาก” เธอบรรยาย

เช่นเดียวกับเรด ออเรนจ์ประสบปัญหาสุขภาพจิตโดยเฉพาะโรคซึมเศร้า ผนวกรวมกับปัญหาอื่นๆ ออเรนจ์จึงตัดสินใจย้ายมาอยู่ประเทศไทย

ทำไมต้องประเทศไทย?

ทั้งเรดและออเรนจ์เห็นว่าประเทศไทยมีความเปิดกว้างเรื่องเพศโดยเฉพาะเมื่อการเฉลิมฉลองเทศกาลไพรด์ในกรุงเทพและเชียงใหม่ต่างเป็นที่นิยมและมีสีสัน ขัดกับบรรยากาศในจีนซึ่งแทบจะไม่มีกิจกรรมสาธารณะเกี่ยวกับเพศใดๆ 

เรดกล่าวว่า “มันเป็นโอกาสที่ล้ำค่ามากๆ สำหรับเควียร์ชาวจีนที่จะได้คิดสโลแกน ทำป้าย และแสดงความเห็นทางการเมืองในขบวนพาเหรด” ส่วนออเรนจ์ก็ดีใจอย่างยิ่งที่ได้เดินขบวนไพรด์พาเหรดเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เชียงใหม่ “การร่วมเดินขบวนพาเหรดมีความหมายกับฉันมาก ฉันรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ทำป้ายไปร่วมขบวน ฉันชอบด้านที่เป็นการเมืองของขบวนพาเหรดในไทย”

เรดยังกล่าวถึงสาเหตุอื่นๆ ที่ผู้มีความหลากหลายทางเพศชาวจีนเดินทางมายังประเทศไทย ตัวอย่างเช่น มาใช้เงิน มาเที่ยวคลับเที่ยวบาร์ มาชมการแสดงแดร็ก (drag show) และอื่นๆ นอกจากนี้ ไทยยังขึ้นชื่อเรื่องซีรีส์วายและยูริซึ่งโด่งดังในระดับนานาชาติ

ปัจจุบัน เรดและออเรนจ์อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งพวกเขามองว่ามีค่าครองชีพต่ำเมื่อเทียบกับปักกิ่ง หนึ่งในเหตุผลหลักที่ออเรนจ์เลือกมาใช้ชีวิตอยู่ที่เชียงใหม่คือความปลอดภัยจากการสอดส่องของรัฐ ต่างกับในจีน “ไม่มีใครสนใจเรื่องเพศสภาพของฉันที่นี่ […] ฉันใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้อย่างนิรนาม” เธอกล่าว ส่วนเรดให้เหตุผลว่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทยดูจะปลอดภัยที่สุดในเรื่องเพศ อย่างไรก็ดี เควียร์ชาวจีนคนอื่นๆ ที่มั่งมีมักจะเลือกเดินทางไปประเทศตะวันตกมากกว่าอย่างเช่นสหรัฐอเมริกา

ป้ายของออเรนจ์ในไพรด์พาเหรดที่จังหวัดเชียงใหม่

ประสบการณ์ในไทย กับความไม่สมบูรณ์แบบที่ยังพบเจอ

เมื่อผู้เขียนขอให้เรดเปรียบเทียบระหว่างไทยกับจีน เธอตั้งข้อสังเกตว่าไทยมีพื้นที่ให้กับเกย์มากกว่าเลสเบียน อีกทั้งขบวนการเคลื่อนไหว LGBTQIAN+ ยังดูโดดเด่นกว่าขบวนการสตรีนิยม เธอมองว่าคนข้ามเพศในไทยได้รับการยอมรับมากกว่าในจีนอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้แม้ความเปิดกว้างเรื่องเพศจะทำให้ไทยเป็นประเทศที่น่าอยู่สำหรับเรด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่พบกับอุปสรรคใดๆ เธอรู้สึกว่าพื้นที่เควียร์ส่วนใหญ่มักจะเหมาะกับคนมีฐานะที่รู้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก โดยเฉพาะเมื่อพื้นที่เหล่านั้นกระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่

ตอนเรดไปเยี่ยมเยือนบาร์แซฟฟิกแห่งหนึ่ง เธอ “รู้สึกแปลก [ที่] กิจกรรมส่วนใหญ่ของบาร์ใช้ภาษาอังกฤษ อีกทั้งยังมีชาวต่างชาติในบาร์มากกว่าคนท้องถิ่นที่นั่น”

ออเรนจ์เองก็พบกับอุปสรรคในด้านของวีซ่า การขอวีซ่าระยะยาวไม่ใช่เรื่องง่าย เธอจึงต้องวิ่งข้ามชายแดน (border run) ไปลาวแล้วกลับมาไทยเมื่อวีซ่าฟรีหมดอายุอยู่เป็นระยะๆ

อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิทางเพศในไทยกับจีนล้วนมีจุดร่วม ในด้านลบ เรดกล่าวถึงผู้ชายหัวก้าวหน้าที่ยังไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องเพศ (gender blindness) ในทั้งสองประเทศ ในด้านบวกเธอเล็งเห็นว่า “นักเคลื่อนไหวเควียร์รุ่นใหม่เริ่มสนใจแนวคิดอัตลักษณ์ทับซ้อน (intersectionality) มากขึ้น […] เราสนใจทุกอย่าง เราจึงมีส่วนร่วมในทุกเรื่อง” กระนั้นเธอกล่าวว่านักสตรีนิยมบางส่วนในจีนยังสนใจแต่ปัญหาของผู้หญิงโดยละเลยประเด็นที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น สิทธิแรงงาน เควียร์ การรื้อถอนอาณานิคม (decolonisation)

การต่อสู้ข้ามชายแดน

“การสร้างเครือข่ายระหว่างนักเคลื่อนไหวชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เรดเดินทางมาอาศัยในไทย “ฉันไม่อยากจะสังสรรค์กับนักเคลื่อนไหวชาวจีนอย่างเดียว […] เพราะฉันรู้สึกว่ามันถึงเวลาต้องทบทวนเรื่องความเป็นจักรวรรดินิยมของจีนแล้ว ทุกครั้งที่เราพูดถึงจักรวรรดิ เราจะนึกถึงอเมริกาหรืออังกฤษเสมอ แต่จีนกำลังกลายเป็นจักรวรรดิในเอเชีย [เช่น] จีนส่งเงินช่วยเหลือรัฐบาลทหารในเมียนมา” เธอขยายความ

เรดเน้นย้ำความสำคัญของความสมัครสมาน (solidarity) ในระดับนานาชาติ เพราะเธอ “เชื่อว่าผู้กดขี่ต่างมีเครือข่ายที่สัมพันธ์กัน เราจึงต้องสร้างเครือข่ายระหว่างกันด้วย” ในแง่นี้ การต่อต้านระบอบปิตาธิปไตย (patriarchy) สำหรับเธอจึงหมายถึงการต่อต้านระบบทุนนิยมและการเหยียดเชื้อชาติด้วย นักเคลื่อนไหวเควียร์จึงควรให้สำคัญกับการต่อสู้อื่นๆ ในโลกอย่างการปลดแอกปาเลสไตน์ (Palestinian Liberation) เพราะในทัศนะของเรด “คำว่าเควียร์หมายถึงการเป็นชายขอบ (marginalised) ในหลายๆ ทาง”

ก่อนทิ้งท้าย เรดถามผู้เขียนว่าในฐานะคนไทย ทำไมคนไทยถึงควรสนใจการต่อสู้ของชุมชุนเควียร์ชาวจีน ผู้เขียนจึงตอบว่าท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าคุณจะเป็นคนไทยหรือคนจีน คุณก็พบกับอุปสรรคบางอย่างร่วมกันตั้งแต่การใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ระบอบปิตาธิปไตยไปจนถึงระบบทุนนิยมโลก มากกว่านั้น ในฐานะผู้สมาทานแนวคิดจิตวิเคราะห์ลากอง (Lacanian psychoanalysis) ผู้เขียนยังเชื่อว่าเราทุกคนต่างขาดพร่อง (lack) ซึ่งเป็นพื้นฐานของความเป็นสากลเชิงลบ (negative universality)[1] อันสามารถเชื่อมโยงคนทุกชาติเข้าด้วยกัน แม้เราจะไม่อาจสนใจปัญหาได้ทั้งโลก แต่เราก็สามารถตระหนักถึงความเกี่ยวข้องและความสำคัญของการต่อสู้ต่างๆ ที่ดูเหมือนว่าอยู่ไกลตัว

ทั้งเรดและออเรนจ์ไม่มีแผนเดินทางกลับเมืองจีนในอนาคตอันใกล้ 

“ฉันกับเพื่อนหวังจริงๆ ว่าสี จิ้นผิงจะตายไวๆ เผื่อว่าภูมิทัศน์ทางการเมืองจะเปลี่ยนแปลง แล้วเราอาจจะได้กลับไปจีนเพื่อเคลื่อนไหวเรื่องอะไรสักอย่าง” ออเรนจ์กล่าว

ส่วนเรดทิ้งท้ายด้วยการเล่าถึงสิ่งที่ตำรวจถามเธอตามที่กล่าวไปแล้วในตอนต้นของบทความ “ทำไมคุณถึงยังสนใจเรื่องคนอื่น? […] ความห่วงใยในความเป็นอยู่ของคนอื่นคือสัญชาตญาณของฉัน” ความหวังของเธอสำหรับอนาคตจึงคือ “การที่ทุกคนสามารถห่วงใยคนอื่นได้มากขึ้น”

เควียร์

References
1 ตรงข้ามกับความเป็นสากลเชิงบวก (positive universality) ซึ่งเน้นย้ำสิ่งที่ทุกคน ‘มีร่วมกัน’ อาทิ อัตลักษณ์ ความเป็นสากลเชิงลบวางอยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่ทุกคนต่าง ‘ไม่มี’ หรือ ‘ขาดพร่อง’ ในทางการเมือง สิ่งนี้อาจหมายถึงการปราศจากความสามารถในการเติมเต็มตนเองเนื่องจากการขูดรีดทางสังคมเศรษฐกิจ ความเป็นสากลเชิงลบจึงให้ความสำคัญกับภราดรภาพ (solidarity) อันมีรากฐานมาจากความเป็นปฏิปักษ์ทางสังคม (social antagonism) ในระดับภววิทยา ความเป็นสากลเชิงลบบ่งชี้ถึงความไม่สมบูรณ์ของอัตลักษณ์ทั้งปวงซึ่งนักทฤษฎีบางคนเรียกว่า ความขาดพร่องทางภววิทยา (ontological lack) ดูเพิ่มเติม Kapoor, I., & Zalloua, Z. (2021). Universal Politics. Oxford University Press. และ Žižek, S. (1999). The Ticklish Subject: The Absent Centre of Political Ontology. Verso.

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save