‘เด็กหัวลำโพง’ สังเวียนข้างถนนของชีวิตไร้ปลายทาง

ในวันที่สถานีรถไฟหัวลำโพงไม่ใช่ต้นสายและปลายทางหลักของการเดินทางอีกต่อไป หลังศูนย์กลางการเดินรถไฟถูกย้ายไปที่บางซื่อ ภาพสถานีหัวลำโพงเปลี่ยนจากอาคารที่มีคนใช้บริการวันละหลายหมื่นคน กลายเป็นสถานีที่มีรถไฟวิ่งเข้าออกไม่กี่ขบวน ผู้คนใช้บริการบางตา แต่ที่นี่ก็ยังคงเป็นปลายทางของนักเดินทางที่ไม่มีจุดหมาย

ยามเย็นหลังพระอาทิตย์ตก บรรยากาศในสถานีหัวลำโพงทวีความวังเวง แตกต่างจากด้านนอกสถานีที่มีคนนั่งกระจายปักหลักในที่ประจำริมสองฝั่งคลองผดุงกรุงเกษม บ้างนั่งเล่นคุยกัน บ้างเหม่อมองไร้จุดหมาย บ้างนั่งเฝ้าลูกเล็กวิ่งเล่นตามประสาอย่างไม่รับรู้ความทุกข์ของสายตาที่จ้องมอง

พวกเขาเหล่านี้คือนักเดินทางที่ไม่มีจุดหมาย บางคนออกจากบ้านด้วยความจำเป็นทางเศรษฐกิจ บางคนออกมาด้วยความจำเป็นทางจิตใจ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะเหล่านี้ไม่ได้มีเพียงผู้ใหญ่ แต่มีเด็กและวัยรุ่นที่เลือกทิ้งบ้านออกมาใช้ชีวิตกลางแจ้งอย่างไม่มีจุดหมายและกลายเป็น ‘เด็กข้างถนน’

เป็นเรื่องน่าหวาดหวั่นเมื่อคิดว่าเด็กสักคนจะหนีออกจากบ้านมาอยู่ในโลกภายนอกโดยไร้เกราะกำบัง แม้เป็นไปได้ยาก แต่ก็เป็นไปแล้วที่การนอนข้างถนนทำให้เด็กกลุ่มนี้รู้สึกสบายใจกว่าการนอนในบ้านที่มีคนในครอบครัวอยู่ด้วย

สำหรับนักเดินทางวัยแรกรุ่นเหล่านี้ การเดินทางของพวกเขาล้วนเริ่มต้นจากความจำเป็นทางจิตใจ โดยไม่ทันคิดว่านอกจากนรกในบ้านที่เขาหนีมาแล้ว ยังมีนรกอีกมากมายรอเขาอยู่ภายนอก

‘หนีนรกมาเจอนรก’ วงจรชีวิตเด็กข้างถนน

การออกมาใช้ชีวิตในที่สาธารณะ นอนตามทางเท้าหรือซอกมุมตึก ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับใครก็ตาม แต่ปัญหาเรื่องนี้ยิ่งรุนแรงเมื่อคนคนนั้นคือ ‘เด็ก’ ช่วงวัยที่ยังทำความรู้จักกับโลกไม่ดีพอและจำเป็นต้องมีคนปกป้องดูแล

แถววงเวียน 22 กรกฎาคมไม่ไกลจากสถานีรถไฟหัวลำโพงจึงเกิด ‘ศูนย์เดอะฮับสายเด็ก (The Hub Saidek)ภายใต้มูลนิธิสายเด็ก 1387 ตึกแถวหนึ่งคูหาเล็กๆ ถูกเปลี่ยนพื้นที่สามชั้นให้กลายเป็น ‘บ้าน’ ของเหล่าเด็กที่เลือกหนีออกจากบ้านมาใช้ชีวิตข้างถนน

ตลอดทั้งวันจะมีเด็กมากหน้าหลายตาหมุนเวียนเดินเข้าออกเดอะฮับ ส่วนมากเป็นเด็กวัยรุ่น ส่วนน้อยเป็นเด็กเล็ก พวกเขาต่างรู้ว่าที่นี่มีอาหารปรุงใหม่ร้อนๆ ทำเตรียมไว้ให้ทุกมื้อ มีพี่ๆ แม่ๆ หลายคนคอยดูแลตั้งแต่เรื่องพื้นฐานอย่างอาหาร ยารักษาโรค เสื้อผ้า ที่พักพิง ไปจนถึงช่วยทำเอกสารประจำตัว ย้ายสิทธิ์รักษาพยาบาล เปิดให้เรียน กศน. และช่วยฝึกทักษะจำเป็นในชีวิต

“เด็กบางคนใช้โรลออนไม่เป็น จิ้มเข้าไปตรงๆ แต่ไม่กลิ้งให้ทั่ว เพราะไม่มีใครเคยสอนเขา บางคนใส่เสื้อผ้าเหม็นทั้งที่เขาซักผ้าแล้วนะ เรามารู้ทีหลังว่าเขาซักผ้าไม่เป็น เปิดน้ำใส่แฟ้บแล้วบิดผ้าขึ้นมาเลยโดยไม่ขยี้”

กัญญภัค สุขอยู่ หรือ ครูแก้ว ผู้จัดการเดอะฮับสายเด็กเล่า หลังพาฉันเดินดูบ้านเดอะฮับและจัดแจงพื้นที่นั่งคุยกันในห้องสำนักงานชั้นสอง

การหนีออกจากบ้านมาใช้ชีวิตข้างนอกตั้งแต่เด็กทำให้พวกเขาบางคนขาดทักษะพื้นฐานในเรื่องง่ายๆ ที่คนอาจคาดไม่ถึง ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องยากๆ อย่างการปรับตัวให้เข้ากับที่ทำงาน การวางแผนชีวิต การควบคุมอารมณ์

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เด็กควรค่อยๆ เรียนรู้จากที่บ้าน แต่บ้านของเด็กหลายคนเลวร้ายเกินจะอดทนอยู่ เด็กพวกนี้จึงเป็นเหมือนว่าวที่สะบัดสายป่านให้ขาดเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระ แม้จะต้องลอยอย่างไร้ทิศทาง

ครูแก้ว – กัญญภัค สุขอยู่

การทำงานของเดอะฮับสิบกว่าปีที่ผ่านมาทำให้ครูแก้วและทีมงานสัมผัสปัญหาเด็กข้างถนนอย่างถึงแก่นและพยายามแก้ปมปัญหาเด็กแต่ละคน บางปมแก้ง่าย บางปมไม่มีทางแก้ได้ ทุกวันนี้เดอะฮับดูแลเด็กอยู่กว่าสามร้อยคนและมีเด็กหน้าใหม่เพิ่มขึ้นเดือนละ 4-5 คน

เด็กแทบทุกคนหนีออกจากบ้านด้วยสาเหตุเดียวกันคือเจอความรุนแรงในครอบครัวทั้งร่างกายและจิตใจ

“ทั้งด่าทอ ทำร้ายร่างกาย ข่มขืน ล่วงละเมิดทางเพศ พ่อแม่ละเลยไม่ให้การศึกษาแก่เด็ก ไม่เลี้ยงดูอย่างเหมาะสม ไม่มีอาหารให้ ไม่มีที่พักสะอาด ไม่มีการปกป้องคุ้มครองเขา” ครูแก้วเล่า

ฟังดูเหลือเชื่อที่มนุษย์เลือกทำสิ่งเหล่านี้กับเด็กที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขตัวเอง แต่ความเลวร้ายที่เด็กเจอไม่จบแค่นี้ เมื่อเด็กหนีออกจากบ้านมานอนข้างถนน จำนวนมากจะเจอผู้ใหญ่ล่อลวง พาไปเลี้ยงดูจนเชื่อใจแล้วกลายเป็นเหยื่อในขบวนการค้ามนุษย์ในที่สุด

“มีผู้ใหญ่ที่คอยแสวงหาผลประโยชน์จากเด็ก ช่วงแรกจะให้ที่พัก อาหาร และโทรศัพท์มือถือไว้เล่นเกม เด็กก็จะรู้สึกว่า ‘พี่คนนี้ใจดีจังเลย’ แล้วเขาก็เริ่มสอนให้ใช้ยาเสพติดจนติด แล้วก็เริ่มไม่ให้ยาฟรี ส่งเด็กไปขายบริการแล้วหักหัวคิว บางคนถูกส่งไปเดินยาหรือไปปล้น ได้เงินมาซื้อยาเสพเป็นวงจรไป”

วงจรนรกที่เกิดจากขบวนการค้ามนุษย์เป็นปัญหาใหญ่ในชีวิตเด็กที่ครูแก้วและเดอะฮับช่วยรับมือ หลายครั้งช่วยเหลือจนพาตำรวจไปทลายขบวนการได้ และอีกหลายครั้งที่ช่วยเด็กไม่ทันจนเขาถูกส่งสถานพินิจเพราะก่อเหตุปล้นหรือลักทรัพย์

อีกหนึ่งความยากคือรูปแบบปัญหาที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่เด็กมักนอนอยู่ข้างถนน ทีมงานเดอะฮับสามารถเข้าไปปลุกเพื่อชวนมากินข้าว อาบน้ำ หรือเรียนหนังสือ แต่ช่วงโควิด-19 มี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้เด็กข้างถนนแทบทั้งหมดอันตรธานไป

“ช่วงโควิดเด็กต้องไปเช่าห้องโรงแรมรายวัน ใช้เงินเพิ่มขึ้นก็ต้องทำงานมากขึ้น ทุกวันนี้แถวนี้ไม่มีเด็กนอนข้างถนนแล้ว รูปแบบการขายบริการและใช้ยาเสพติดก็เปลี่ยนไปเป็นออนไลน์ทั้งหมด เขาโหลดแอปฯ หาคู่แล้วดีลลูกค้าตรงไม่ผ่านพ่อเล้าแม่เล้า หาเงินได้เยอะแต่หมดไปกับค่าห้อง-ค่ายาเสพติด”

ครูแก้วบอกว่า ค่าห้องโรงแรมแถวนี้อยู่ที่คืนละ 250-300 บาท เป็นทั้งที่รับลูกค้าและที่พักของเด็ก เหตุที่พวกเขาไม่เช่าห้องรายเดือน เพราะคิดแค่ว่าหากวันนี้รับลูกค้าก็จะมีเงินจ่ายค่าห้องรายวัน เป็นวิธีคิดเดียวกับที่พวกเขาเติมอินเทอร์เน็ตมือถือทุกวัน เพราะคิดเพียงแค่ว่าตกวันละไม่กี่บาท ทั้งที่จริงแล้วแต่ละเดือนพวกเขามีค่าใช้จ่ายส่วนนี้สูงกว่าคนทั่วไป

“เราเคยส่งเด็กไปเรียนแต่งหน้า แล้วครูบอกว่าให้เขียนคิ้ว 45 องศา กลับมาเด็กบอกว่า ‘ไม่ไปเรียนแล้ว ครูสอนไม่รู้เรื่อง’ ผ่านมาหลายเดือนเราเพิ่งรู้ว่าเด็กไม่รู้จักว่า 45 องศาคืออะไร เขาอาย ไม่กล้าถามเพื่อน เราเลยบอกว่า ‘โอเคลูก เดี๋ยวรอบหน้าแม่ไปนั่งเรียนเป็นเพื่อนนะ’” ครูแก้วเล่าพร้อมรอยยิ้มเอ็นดู

ห้องพักรายวันในโรงแรมย่านหัวลำโพงกลายเป็นที่พักพิงใหม่ของเด็กข้างถนนหลังช่วงโควิด-19

เมื่อโลกภายนอกปลอดภัยกว่าบ้านของ ‘บีม’

“เหตุผลหนึ่งที่หนูหนีออกจากบ้าน เพราะตาเลี้ยงชอบตีหนู เอะอะอะไรก็ตี ตบหัวบ้าง ต่อยบ้าง เอาไฟฟ้าช็อตก็มี โดนมาตั้งแต่เด็กจนรู้สึกว่าครอบครัวไม่ใช่เซฟโซน”

บีม วัยรุ่นขาประจำเดอะฮับเล่าถึงสาเหตุที่ทำให้เธอในวัย 12 หนีออกจากบ้านมาเป็นเด็กข้างถนน บ้านของบีมอยู่ที่ชานเมืองกรุงเทพฯ ที่บ้านมีตาเลี้ยง แม่ พ่อเลี้ยง และน้องอีกสามคน ชีวิตวัยเด็กของบีมยิ่งกว่าคำว่า ‘ไม่ราบรื่น’ เธอแทบไม่เคยได้รับอะไรที่เด็กคนหนึ่งควรจะได้รับเลย

ปัจจุบันบีมอายุ 19 ปี เด็กสาวผิวคล้ำท่าทางคล่องแคล่วค่อยๆ เล่าเรื่องราวของเธอ แต่ละประโยคห้วนสั้น เธอพูดถึงชีวิตตัวเองอย่างนิ่งเฉย แววตาของเธอสะท้อนประสบการณ์ชีวิตหนักหนาต่างจากเด็กวัย 19 คนอื่น

บีม

“เมื่อก่อนบ้านหนูเขาติดยาทั้งบ้าน คนรอบข้างกลัวเขาเลยไม่ให้ลูกหลานมาเล่นกับหนู กลัวว่าหนูจะพาลูกเขาเสียคน เลยไม่มีใครเล่นกับหนูตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่เคยมีเพื่อน” บีมเล่าพร้อมหัวเราะแห้ง

แม่ของบีมไม่ได้ทำงาน คนที่บ้านจึงต้องอาศัยข้าววัดประทังชีวิต บีมเล่าว่าตอนประถมฯ เธอไม่ค่อยได้ไปโรงเรียนเพราะต้องช่วยแม่อุ้มน้องไปรับข้าวที่วัด ด้วยความที่มีน้องหลายคนทำให้แม่เลี้ยงคนเดียวไม่ไหว เมื่อหยุดเรียนบ่อยเข้า บีมจึงออกจากโรงเรียนในชั้น ป. 4

บีมทะเลาะกับแม่บ่อย ไม่เคยสัมผัสความรักแบบแม่ลูกอย่างครอบครัวอื่น แต่ที่หนักหนาคือเธอถูกคนในครอบครัวทำร้ายร่างกายรุนแรงจนถูกส่งตัวไปอยู่บ้านพักเด็กในวัยแปดขวบ ช่วงสองปีในบ้านพักเด็กบีมเข้ากับเด็กคนอื่นไม่ได้จึงพยายามหนีออกมาตลอดเวลาจนถูกส่งตัวกลับบ้านในที่สุด

“มันอ้างว้าง เราโหยหาความรัก ครอบครัวก็ไม่เคยให้ เพื่อนก็ไม่เคยมี คนที่คอยรับฟังเราก็ไม่มี หนูเลยกลายเป็นเด็กเก็บกด เป็นเด็กมีปัญหา ชอบหนีออกจากบ้าน จนสุดท้ายก็ออกมายาวเลย”

ตอนอายุ 12 บีมทะเลาะกับแม่จนหนีออกจากบ้านมาใช้ชีวิตข้างถนน เด็กหญิงตั้งต้นที่สะพานพุทธฯ เตร็ดเตร่แถวนั้นจนรู้จักกลุ่ม ‘เด็กดมกาว’ และมีเพื่อนให้คำแนะนำว่ามีสถานที่ที่จะให้ความช่วยเหลือเด็กข้างถนนแบบเธอ คือ ‘เดอะฮับ’ แถวหัวลำโพง

บีมลองมาที่เดอะฮับและเจอครูแก้ว ทันทีที่รู้ว่าบีมถูกครอบครัวทำร้ายร่างกายจนหนีออกมา ครูแก้วก็ถามว่าเธอต้องการไปอยู่บ้านพักเด็กไหม บีมปฏิเสธทันทีและหาจังหวะแอบหนีออกมา ประสบการณ์ที่บ้านพักเด็กในอดีตทำให้บีมยอมทนกลับไปอยู่บ้านอีกถึงครึ่งปี เพราะกลัวถูกส่งตัวไปสถานสงเคราะห์ ที่สุดแล้วเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมแบบเดิมเด็กหญิงจึงหนีออกจากบ้านอีกครั้ง เธอกลับมาที่เดอะฮับอีก ครั้งนี้ครูแก้วค่อยๆ อธิบายว่าถ้าบีมไม่อยากไปอยู่บ้านพักก็จะไม่มีใครบังคับ

นับจากนั้นบีมจึงออกมาใช้ชีวิตในโลกกว้างเต็มตัว ช่วงกลางวันเธอมักจะอาศัยกินข้าวสามมื้อและนั่งเล่นที่เดอะฮับ มีปัญหาชีวิตก็ปรึกษาพี่ๆ ที่ศูนย์ ส่วนกลางคืนเธอจะออกไปเตร็ดเตร่นั่งเล่นข้างนอกกับเพื่อน

“เวลานอนข้างนอก ช่วงแรกก็กลัวนะ แต่สบายใจกว่าอยู่บ้าน เพราะอยู่บ้านมีแต่ความกดดัน พอออกมาอยู่เองบางครั้งก็ลําบากบ้าง เรื่องยากสุดคือการหาเงิน การหางานทํา”

ที่ผ่านมาบีมเปลี่ยนงานมาหลายครั้ง เพราะเธอไม่รู้ว่าตัวเองถนัดอะไรหรือชอบทำงานแบบไหน แต่ละงานจึงจบภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ว่าจะงานเด็กเสิร์ฟหรือเด็กปั๊ม นอกจากนี้คือเธอถูกโกงค่าแรงบ่อย เพราะเป็นการจ้างงานเด็กโดยผิดกฎหมาย

‘ถ้าเขาเปิดใจมากกว่านี้’ อดีตที่ไม่อาจย้อนกลับของ ‘การ’

“เมื่อก่อนหนูก็นอนข้างถนนนะ เลือกนอนแถวที่คนอื่นเคยนอน แต่เดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่จะไปอยู่กับเพื่อนที่โรงแรม (ข้างหัวลำโพง) เขาเปิดห้องไว้ หนูก็ไปนั่งเล่น”

การ ในวัย 23 ค่อยๆ เล่าเรื่องของเธอให้ฉันฟัง แววตาของเธอดูเหน็ดเหนื่อยกว่าคนในวัยเดียวกัน แต่ดวงตาคู่นั้นผ่านประสบการณ์มากเกินกว่าที่วัยรุ่นทั่วไปจะเผชิญ หลังใช้ชีวิตนอกบ้านมา 11 ปี เป็นว่าวไร้สายป่านที่ปล่อยให้ลมพัดพาไปเรื่อยๆ

การย้อนความว่า ตอนเด็กๆ เธออยู่บ้านเช่าที่สมุทรปราการกับแม่ พ่อเลี้ยง และน้องต่างพ่อสองคน พอขึ้น ป.5 การเริ่มไม่อยากไปโรงเรียน เพราะเธอเคยขโมยเงินเพื่อนแล้วครูประจานหน้าห้อง อีกทั้งเธอไม่ชอบทำการบ้านจนถูกครูตีบ่อยครั้ง เมื่อหนีเรียนบ่อยเข้าก็มีคนไปฟ้องพ่อเลี้ยง ประจวบกับเป็นวันที่เธอถูกจับได้ว่าขโมยโทรศัพท์เจ้าของบ้านเช่า

“น้องมีโทรศัพท์ เราเห็นก็อยากมีบ้างเลยขโมยโทรศัพท์เจ้าของบ้าน พ่อเลี้ยงรู้เลยลากเราเข้าไปตีในห้องจนเนื้อแตก โดนตีน่วมจนหลับไปตอนไหนไม่รู้ พอตื่นมาเห็นว่าพ่อเลี้ยงไม่อยู่ หนูเลยหนีออกจากบ้าน”

ก่อนหน้านั้นความสัมพันธ์ของการกับพ่อเลี้ยงไม่ค่อยดีนัก เธอเกิดมาในร่างกายเด็กผู้ชาย แต่รู้ตัวตั้งแต่ประถมฯ ว่าไม่ได้ชอบผู้หญิง ขณะที่พ่อเลี้ยงก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบกะเทย เขามักตีเธอหากเห็นว่านุ่งผ้าขนหนูกระโจมอกแบบผู้หญิงหรือเผลอกรีดนิ้วตอนกินข้าว

ในวัยแค่ 12 ปี การหนีออกจากบ้านไปอยู่บ้านเพื่อน นานวันเข้าแม่เพื่อนก็เริ่มตั้งคำถาม เธอจึงย้ายไปอยู่กับเพื่อนรุ่นพี่ที่เพิ่งเจอกันไม่นาน รุ่นพี่คนนี้ทำงาน ‘จัดเด็กส่งแขก’ การจึงได้รู้จักธุรกิจนี้ในวัยเพียงสิบกว่า

วันหนึ่งมีครูอาสาขับรถเข้ามาในซอยบ้านที่การพักอยู่เพื่อตามหาเด็กไปเรียน กศน. การจึงเริ่มเรียนนอกระบบและได้พบกับเด็กจากเดอะฮับ หลังจากนั้นการตัดสินใจย้ายจากสมุทรปราการมาปักหลักที่วงเวียน 22 อาศัยกินข้าวและนั่งเล่นตอนกลางวันที่เดอะฮับ ส่วนกลางคืนก็ไปอยู่ข้างถนนกับเพื่อน

การ

การเคยถูกส่งตัวเข้าสถานพินิจชายจากการพัวพันกับการขายยาเสพติดเมื่ออายุ 18 เธอถูกแยกขังเดี่ยว เพราะเป็นกะเทยคนเดียวท่ามกลางเด็กชายหลายร้อยคน แม้เจ้าหน้าที่ทำเพื่อปกป้องเธอ แต่กลายเป็นว่าเธอเหมือนถูกลงโทษซ้ำซ้อน

“ในห้องนอนรวมจะมีลูกกรงเล็กๆ ไว้ขังเดี่ยว เขาขังหนูแยกไว้เพราะกลัวอันตราย ปรากฏว่าพวกเด็กผู้ชายสาดน้ำเข้ามา ถุยน้ำลาย เสียบอวัยวะเพศเข้ามาในช่องลูกกรง หนูไม่มีเพื่อนเลยไม่กล้าบอกผู้คุม กลัวมีปัญหา โดนแกล้งทุกวันตลอดสามเดือน”

หลังออกจากสถานพินิจไม่นาน การรู้ข่าวร้ายว่าแม่เสียชีวิต เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เธอเสียศูนย์ กลับมาใช้ยาเสพติดหนักหลังจากเลิกไปแล้ว

“หนูเคยติดต่อแม่ตอนอายุ 16 ตอนนั้นพ่อเลี้ยงเลิกกับแม่แล้วพาน้องสองคนกลับต่างจังหวัด แม่มีแฟนใหม่และเช่าห้องอยู่ด้วยกัน ทำงานหาเช้ากินค่ำ หนูจะกลับไปอยู่กับแม่ก็ไม่ได้เพราะไม่อยากไปเพิ่มภาระให้เขา

“พอรู้ว่าแม่เสีย หนูสติหลุด มีเงินที่แม่หยอดกระปุกเก็บไว้เกือบห้าพันบาท หนูเอาไปลงกับยาหมดเลย ไม่กินข้าวเป็นอาทิตย์ นั่งร้องไห้ในห้องไม่หลับไม่นอน ยาไม่ต่ำกว่าร้อยที่เข้าสู่ร่างกาย ชีวิตตอนนั้นไม่อยากทำอะไรแล้ว ไม่อยากอยู่ด้วยซ้ำ ยังดีที่มีเพื่อนคอยปลอบอยู่ข้างๆ ตั้งแต่ไม่มีแม่ก็มีเพื่อนและเดอะฮับนี่แหละที่ทำให้เรารู้สึกอยากใช้ชีวิตต่อ”

เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต การบอกว่าเธออาจจะไม่หนีออกจากบ้านก็ได้ หากในครอบครัวมีความเข้าใจกันมากกว่านี้

“ถ้าพ่อเลี้ยงเปิดใจมากกว่านี้ ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น ถามเราก่อนจะใช้กำลัง เราก็อาจอยู่บ้านได้นานขึ้น”

ทุกวันนี้การไม่ได้ทำงาน ที่ผ่านมาเธอไม่สามารถทำงานใดได้นานเลย สั้นสุดคือสองวัน ยาวสุดคือสามเดือน ไม่ว่าจะงานเด็กปั๊ม เด็กเสิร์ฟ เธอยอมรับว่าทำงานหนักไม่ไหว ไม่รู้ว่าตัวเองถนัดอะไร และไม่อยากทำงาน เพราะชีวิตที่เป็นไปแบบนี้ก็ทำให้เธอไม่ต้องการอะไรมากมาย

“เงินมันจำเป็นนะ แต่ชีวิตหนูไม่ค่อยใช้เงินเยอะ ใช้น้อยมาก เสียแค่ค่าเน็ตกับค่าบุหรี่ ข้าวก็มากินที่เดอะฮับ ขนมก็ไม่ค่อยกินอยู่แล้ว” เด็กสาวยอมรับอย่างตรงไปตรงมาถึงชีวิตที่ยังลอยลมอย่างไม่มีจุดหมาย

“ไม่เป็นไรลูก เริ่มใหม่นะ”

เรื่องเล่าบีมและการเป็นเพียงตัวอย่างจากหลายร้อยเรื่องเล่าที่บรรจุอยู่ในบ้านเดอะฮับ เรื่องยากคือปัญหานี้ไม่สามารถแก้อย่างตรงไปตรงมาได้ อย่างการหาข้าวให้กินแล้วให้เรียนหนังสือหรือหางานทำ ครูแก้วและทีมงานทำทั้งหมดนั้น แต่การเป็นเด็กที่เติบโตโดยไม่มีใครโอบประคอง ในสภาพที่มีมือมาฉุดขาให้ล้มลงทุกครั้งที่พลั้งเผลอก็ทำให้เด็กๆ เปลี่ยนแปลงชีวิตได้ยาก

“เดอะฮับเป็นศูนย์ช่วยเหลือฉุกเฉิน ด้วยพื้นที่ทำให้เราพัฒนาเด็กแทบไม่ได้เลย เราทำได้แค่ช่วยเหลือเขา เด็กไม่สบาย เราก็พาไปหาหมอ เด็กถูกผู้ใหญ่ยึดบัตรประชาชน เราก็พาไปทำใหม่ เด็กอยากเรียนหนังสือ เราก็สมัครให้ แต่เวลาเด็กบอกว่า หนูอยากเลิกยา หนูไม่ไหวแล้ว พาไปบำบัดยาเสพติดหน่อย เราบอกให้เขารอแป๊บหนึ่งเพื่อโทรติดต่อหน่วยงานให้ หันมาอีกทีเด็กหายไปแล้ว เพราะจะมีผู้ใหญ่มากวักมือเรียก” ครูแก้วบอก

ผู้ใหญ่ที่ว่าคือคนที่หาประโยชน์จากเด็ก ทั้งให้เด็กไปส่งยาหรือขายบริการทางเพศแลกกับเงินซื้อยาเสพ เวลาคนเหล่านี้หาเด็กไม่เจอหรือติดต่อเด็กไม่ได้ก็จะมาหาที่เดอะฮับ บางครั้งก็มีคนมาตะโกนด่าหน้าบ้านเดอะฮับ บางคราวก็มีคนถือมีดมาขู่ให้ส่งตัวเด็กออกมา

นั่นคือความรุนแรงที่กระทำกับเด็ก แต่ในด้านกลับ เด็กก็เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาชีวิตด้วยความรุนแรงหรือหาเงินอย่างผิดกฎหมายเช่นกัน ครูแก้วเปิดลิ้นชักที่ล็อกกุญแจไว้ให้ฉันดู ด้านในบรรจุอาวุธนานาชนิดที่ยึดมาจากเด็ก ทั้งปืนปลอม มีดสั้น มีดพับ หรือกระทั่งมีดสปาต้าใบยาวคมกริบ “เล่มนี้ก็ยึดมาจากเด็ก เขาถือเดินมาเลย บอกว่าใช้ป้องกันตัว” รอยยิ้มขันขื่นของครูแก้วทำให้ฉันรู้ว่ามีเรื่องหนักหนามากมายซ่อนอยู่

อาวุธที่ยึดมาจากเด็ก

“ตำรวจก็ค่อนข้างตีตราเด็กเรานะ บอกว่าเราเลี้ยงโจร เราเลี้ยงเด็กเร่ร่อน เราเลี้ยงเด็กเหลือขอ เวลาเด็กโดนทำร้ายร่างกายแล้วเราพาไปแจ้งความ ตำรวจก็ไม่ค่อยร่วมมือ ถามว่าไปกวนเขาก่อนหรือเปล่า หรือเด็กที่เป็นกะเทยโดนข่มขืนก็ถามว่าเธอเต็มใจหรือเปล่า บางครั้งตำรวจจับได้ว่าเด็กเสพยา แต่ไม่อยากดำเนินการ เพราะคดีเยาวชนต้องทำภายใน 24 ชั่วโมงและต้องเชิญสหวิชาชีพมาหลายคน จึงปล่อยตัวมา บอกให้เราเอาไปอบรม ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เด็กเลิกยาได้ ปัญหาจึงไม่จบสิ้น” ครูแก้วเล่า

แม้หลายคนจะคิดว่าทางออกหนึ่งคือการส่งเด็กไปยังสถานรองรับเด็กของรัฐ แต่ปัญหาที่ผ่านมาคือทางบ้านพักดูแลเด็กได้ไม่ทั่วถึงและไม่มีโปรแกรมดูแลเด็กข้างถนนเป็นการเฉพาะ เด็กข้างถนนที่เดอะฮับเคยส่งตัวไปก็มี ‘พฤติกรรมที่รับมือยาก’ ทำให้บ้านพักไม่ค่อยอยากรับดูแลอีก ด้วยกลัวจะชักจูงเด็กคนอื่นออกมา

วงจรชีวิตเด็กข้างถนนทำให้ยากที่เด็กหนึ่งคนจะหลุดออกมา แต่เดอะฮับก็พยายามทุกวิถีทาง โดยเฉพาะการชวนเด็กมาทำกิจกรรมเสริมทักษะชีวิตและสร้างคุณค่าในตัวเด็ก ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องทำกันนับร้อยครั้ง

“เราไม่ใช่แค่ศูนย์รวบรวมเด็ก แต่เราพัฒนาจิตใจเขาด้วย ทำครั้งเดียวไม่จบ ต้องทำไปเรื่อยๆ แทรกเรื่องดีๆ เข้าไปจนกว่าเขาจะหลุดจากวงจรนี้ เด็กบางคนโดนจับเข้าสถานพินิจ ออกมาเราก็บอกเขา ‘ไม่เป็นไรลูก เริ่มใหม่นะ’ เราพยายามบอกเขาว่า ‘หนูทำอย่างอื่นได้อีกนะ เรียนหนังสือได้วุฒิ ม.3 แล้วเดี๋ยวพาไปสมัครงานนะ’ เคสที่ประสบความสำเร็จก็มี ใช้เวลาเจ็ดปีจนเขาคิดว่า ‘ฉันไม่ขายบริการแล้ว ฉันไม่ดมกาวแล้ว ไปทำงานดีกว่า'”

หลายครั้งว่าวบางตัวก็ลอยไปไกลเกินกว่าจะคว้าไว้ โดยเฉพาะเด็กผู้ชายบางคนที่มีปลายทางคือการเสียชีวิตหรือถูกจับติดคุก ซึ่งสาเหตุใหญ่มาจากยาเสพติด

ครูแก้วหันกลับไปที่ตู้ใบเดิมและเปิดลิ้นชักถัดมา ในนั้นบรรจุจดหมายหลายร้อยฉบับ ทุกฉบับถูกเขียนด้วยมือส่งมาจากสถานพินิจและเรือนจำ เด็กเหล่านี้ไม่มีใครให้พวกเขาส่งจดหมายไปหา ยกเว้นครูแก้วที่บ้านเดอะฮับซึ่งพวกเขาจำที่อยู่ได้ขึ้นใจ

“ครูสบายดีไหม สงกรานต์นี้ได้เล่นน้ำกันหรือเปล่า”

“อยู่ข้างในเหงามาก ส่งจดหมายกลับมาด้วยนะครับ”

“ผมสบายดีนะครับ เพื่อนผมเป็นยังไงบ้าง ฝากบอกให้เขาเขียนจดหมายมาหาผมบ้างนะครับ”

“ออกไปผมจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้วนะครับ”

ก่อนจะเดินทางถึง ‘บ้านหลังสุดท้าย’

ช่วงโควิดที่ผ่านมานอกจากจะเปลี่ยนวิถีชีวิตเด็กข้างถนนแล้ว ยังเป็นโอกาสที่ทำให้เดอะฮับส่งเด็กกลับบ้านได้สำเร็จ เมื่อการใช้ชีวิตในที่สาธารณะทำไม่ได้ในช่วงโรคระบาด เจ้าหน้าที่เดอะฮับจึงต้องช่วยเด็กให้กลับไปปรับความเข้าใจและสานสัมพันธ์ใหม่กับครอบครัว โดยต้องประเมินว่าครอบครัวไม่มีการใช้ยาเสพติดหรือทำร้ายร่างกายเด็กอีก

“เด็กบางคนออกจากบ้านมาแล้วไม่คุยกับพ่อแม่อีกเลย แต่พอเขาเริ่มโตขึ้น วุฒิภาวะก็เพิ่มมากขึ้น เวลาคุยกับพ่อแม่ก็จะสงบลง ไม่อารมณ์เสียเหมือนเมื่อก่อน พ่อแม่ก็เริ่มจะเข้าใจลูกมากขึ้น แต่ทำอย่างไรให้ลูกอยู่กับเขาได้นาน เราก็ไปเยี่ยมเด็กบ่อยๆ ให้รู้ว่าเราไม่ทอดทิ้ง แชตคุยกันเรื่อยๆ ถ้าเด็กเริ่มหายไปแปลว่าเขามีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ถ้าเขาติดต่อกลับมาหาเรา แปลว่าเขาดิ่งแล้ว ไม่ไหวแล้ว” ครูแก้วเล่า

เด็กที่หนีออกจากบ้านมาอยู่ข้างถนนเป็นเพียงภาพปลายทางของปัญหา เพราะเด็กเหล่านี้หนีมาจากความรุนแรงในครอบครัว ต้นธารของปัญหาจึงมีหลากหลาย ทั้งความเครียด ความยากจน การติดสารเสพติดของพ่อแม่ ทางออกคือการแก้ปัญหาคุณภาพชีวิตของคนทั้งสังคม ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าที่ครูแก้วและเดอะฮับจะทำได้

“เด็กทุกคนอยากหลุดออกจากวงจรนี้ อยากมีวุฒิการศึกษา อยากทำงานประจำ อยากทำงานสุจริต แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร”

แม้ดูจะใช้ชีวิตอย่างไม่มีเป้าหมาย แต่เด็กทุกคนที่เดอะฮับโอบรับโอกาสในการเรียน กศน. อย่างเต็มใจ แม้จะใช้เวลาเรียนมากกว่าเด็กคนอื่น ด้วยรูปแบบชีวิตที่ควบคุมไม่ได้ บางคนทำงานกลางคืนจนไม่ตื่นไปสอบ บางคนยังเลิกยาเสพติดไม่ได้ หลายคนเผชิญปัญหาชีวิตเกินกว่าจะมีสมาธิเรียน

ครูแก้วบอกว่า กระทั่งเด็กที่เรียนจบ มีงานทำ จนชีวิตเริ่มมั่นคงเหมือนคนทั่วไป แต่ชีวิตที่ผ่านมาก็ฝังลึกเกินจะสลัดทิ้ง “เด็กบางคนโตแล้วก็ยังคิดว่าเขาไม่เหมือนคนอื่น เขาตกต่ำกว่าคนอื่น เพราะเขาไม่มีครอบครัว เพราะเขานอนข้างถนนมา มักจะคิดว่าเพื่อนร่วมงานมองตัวเองไม่ดี เรื่องนี้อยู่ในใจเขาตลอด บางคนอาจกลับไปเสพยาบ้างเวลาเครียด บางคนก็เลือกมาคุยกับเราว่าเจออะไรมา เขารู้ว่ามีพี่ๆ ที่นี่เป็นห่วงเขา”

แน่นอนว่าก้าวแรกที่จะทำให้เยาวชนกลุ่มนี้มีชีวิตที่มั่นคงได้คือการมีงานทำ ซึ่งต้องมาพร้อมความเข้าใจข้อจำกัดของพวกเขา

สำหรับบีมเอง เธอเห็นด้วยว่าสิ่งที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้นได้คือการมีงานทำ “ไม่ใช่ว่าหนูไม่อยากทํางานนะ หนูเคยแอบไปสมัครงานหลายที่แล้ว แต่ไม่เคยได้รับโทรศัพท์ตอบกลับมาเลย …เพราะหนูเคยมีประวัติเรื่องยาแหละ”

ทุกวันนี้บีมยังมีคดีความค้างอยู่ เป็นอีกเหตุผลว่าเธอยังไม่กล้าขยับไปทำอะไรใหม่ในชีวิต จนกว่าศาลจะตัดสินคดี

“ถ้ารอดคดี หนูว่าจะทำงานยาวๆ เลย แล้วก็อาจจะไม่อยู่แถวนี้แล้วนะ จะทํางานอย่างเดียว เก็บเงินเพื่อสร้างอนาคตให้ตัวเอง คนอื่นเอาแต่ตั้งคำถามว่าทำไมไม่หางานทำ ทำไมไม่ใช้ชีวิตให้ดีกว่านี้ เขาไม่รู้หรอกว่าเราเจออะไรมาบ้าง เราไม่มีต้นทุนเหมือนคนอื่น เราดิ้นแล้วแต่มันยังไม่ได้ ทำไงได้ล่ะ จะให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่เราหวังก็ไม่ได้” บีมพูดยิ้มๆ เล่าถึงความผิดหวังที่ผ่านมาด้วยท่าทีสบายๆ

ส่วนการเองทุกวันนี้เธอเรียน กศน. จนได้วุฒิ ม.6 แล้ว แต่ยังไม่ขยับขยายชีวิตไปในพื้นที่ที่มั่นคงกว่านี้ หญิงสาวยอมรับว่าเธอ ‘เคยชิน’ กับชีวิตแบบนี้ไปเสียแล้ว

“ยังคิดไม่ออกว่าตัวเองถนัดงานแบบไหน ถ้าให้เลือกตอนนี้ก็ยังไม่อยากทำงาน เพราะไม่มีเรื่องต้องใช้เงิน อยากใช้ชีวิตเร่ร่อนเที่ยวเล่นตอนกลางคืนไปก่อน แต่คงมีจุดหนึ่งที่หนูอยากทำงาน เพราะหนูมีแฟน ตอนนี้แฟนติดคุกอยู่ ในอนาคตหนูอยากมีห้องเป็นของตัวเอง เขาออกมาแล้วจะได้อยู่กับเรา ไม่ต้องไปเร่ร่อน ไม่ต้องไปหาเงินในทางที่ผิด แล้วถ้าทำงานมีเงิน เวลาอยากได้อะไรก็จะไม่ต้องไปยืนมองคนอื่น ไม่ต้องไปอิจฉาเขา” การบอก

ประสบการณ์ชีวิตข้างถนน 11 ปีของการทำให้เธอรู้ว่า สำหรับเด็กที่หนีมาอยู่นอกบ้าน สิ่งสำคัญที่สุดคือการมีคนยื่นมือมาให้ความช่วยเหลือพร้อมความเข้าใจแบบที่เดอะฮับทำ “ไม่ว่าเราจะมีปัญหาอะไร เขารับฟังเราหมด เราจะผิดกี่ครั้งเขาก็ให้อภัยและช่วยแก้ปัญหา ช่วยวางแผนอนาคต เป็นเรื่องดีที่ทำให้เรารู้ว่าต้องเดินทางไหน”

สิ่งสำคัญกว่านั้นสำหรับการคือความเข้าใจและโอกาสที่หยิบยื่นจากสังคม “คนอื่นคิดว่าเราอยู่ข้างถนน เราเป็นเด็กเร่ร่อน แล้วเราเป็นคนไม่ดีทั้งหมด ไม่อยากให้มองเหมารวม เด็กบางคนตอนนี้เขามีชีวิตที่ดีขึ้นแล้วแต่ก็ยังถูกมองแบบนั้นอยู่ อยากให้มองใหม่ ดูเป็นรายคนไป อยากให้เขาทำความรู้จักเด็กแต่ละคนว่าเขาเจอชีวิตแบบไหนมา ก่อนที่เขาจะตัดสินเรา”

บทสนทนาสิ้นสุดลง ฉันปิดเครื่องอัดเสียงและเดินลงมาที่ชั้นหนึ่งของเดอะฮับ ยามเย็นมีเด็กวัยรุ่นนับสิบคนนั่งเล่นอยู่ในพื้นที่แคบๆ ระหว่างรอ ‘แม่ๆ’ ทำอาหารเย็น ที่นี่ไม่ต่างจากบ้านหลังหนึ่งที่มีสมาชิกในครอบครัวมากกว่าปกติ

แม้เด็กกลุ่มนี้จะหนีออกจากบ้านหลังแรกในชีวิตมา แต่ที่สุดแล้วพวกเขามองหาและต้องการโอกาสที่จะมีบ้านหลังสุดท้ายเสมอ เพราะไม่ว่าใครก็ต้องการบ้านให้กลับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กที่เติบโตมาพร้อมการต้องรับมือความผิดพลาดตลอดเวลา

ฉันบอกลาครูแก้ว การ และบีม พริบตาเดียวเด็กสาวทั้งสองก็หายไปจากเดอะฮับ ทั้งคู่ไม่มีธุระสำคัญ เพียงแต่ย้ายไปนั่งเล่นรับลมริมคลองผดุงฯ ข้างหัวลำโพง กลืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งกับคนไร้บ้านคนอื่นบนพื้นที่อดีตศูนย์กลางการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ ณ จุดหมายของคนไม่มีจุดหมาย


ผลงานชิ้นนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ The101.world

MOST READ

Spotlights

14 Aug 2018

เปิดตา ‘ตีหม้อ’ – สำรวจตลาดโสเภณีคลองหลอด

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย พาไปสำรวจ ‘คลองหลอด’ แหล่งค้าประเวณีใจกลางย่านเมืองเก่า เปิดปูมหลังชีวิตหญิงค้าบริการ พร้อมตีแผ่แง่มุมเทาๆ ของอาชีพนี้ที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมาเนิ่นนาน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Aug 2018

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save