สมองวอกแวก เด็กหลุกหลิก คนเลิ่กลั่ก – ไขปริศนาสมาธิสั้นเพราะโลกโซเชียล(?) กับ ดร.นพ.ชัยภัทร ชุณหรัศมิ์

ชัยภัทร ชุณหรัศมิ์

นั่งนิ่งไม่ได้ จดจ่อไม่นาน แม้แต่จะอ่านหนังสือสักเล่มก็ยังไม่จบ

อาการข้างต้นน่าจะเกิดกับใครหลายคน จนกลายเป็นความรู้สึกร่วมกันของยุคสมัยว่าเราน่าจะประสบปัญหา ‘สมาธิสั้น’ มากกว่าแต่ก่อน (ใช่ไหม?) เพราะไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ตาม เดี๋ยวก็หยิบโทรศัพท์มาไถเล่นบ้าง เดี๋ยวก็สลับหน้าจอจากการทำงานไปอ่านโพสต์ใครสักคนในโซเชียลมีเดียบ้าง เผลอๆ บางครั้งตั้งใจแค่จะดูคลิปสั้นพักสมองแค่ไม่กี่นาที เงยหน้ามองนาฬิกาอีกที เวลาดันหายไปร่วมชั่วโมงเสียอย่างนั้น

ความวอกแวกเล็กๆ น้อยๆ ของเราสามารถกลายร่างเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตประจำวัน สำหรับคนเป็นผู้ใหญ่ นั่นอาจหมายถึงการทำงานไม่สำเร็จตามเป้าหมาย ทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ หรือหลงลืมบางอย่างจากการให้ความสนใจหลายสิ่งพร้อมกัน และสำหรับเด็ก เรื่อง ‘สมาธิสั้น’ ดูเป็นภาวะที่น่าห่วงกังวลยิ่งกว่า เพราะไม่เพียงแต่สร้างผลกระทบทางการเรียนรู้ พัฒนาการทางอารมณ์ การควบคุมตัวเองในสถานการณ์ต่างๆ ปัจจุบัน จำนวนเด็กสมาธิสั้นยังมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับในอดีต

แน่นอน ตัวการสำคัญที่ (น่าจะ) บั่นทอนสมาธิเราและเด็กๆ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากเทคโนโลยีสมาร์ตโฟน แท็บเล็ต โลกโซเชียล และคอนเทนต์ประเภทคลิปสั้นที่เราเสพติดกันทุกวันนี้

พวกมันทำอะไรกับเรา? ทำไมเราหยุดสนใจมือถือไม่ได้? ทำไมเราเสพติดคลิปสั้น คลิปติ๊กตอก บีบสิว ตัดเล็บม้า ปั้นก้อนสไลม์ (และอีกมากมาย) ได้อย่างง่ายดาย?

วันโอวันพกคำถามเหล่านี้ไปชวนคุยกับ ดร.นพ.ชัยภัทร ชุณหรัศมิ์ หรือ หมอกิ๊ก แพทย์ด้านประสาทวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ว่าด้วยเรื่องสมาธิ และการทำงานของสมองที่ “ไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น” (เพราะมันไม่รู้หรอกว่าเราไม่ควรจะไถมือถือทุกชั่วโมงแบบนี้!) และ “พร้อมจะเสพติดอะไรง่ายๆ อยู่แล้ว” (เพราะคลิปบางอย่างไม่เห็นมีสาระ แต่เรากลับชอบดูสุดๆ!)



ก่อนพูดถึงเรื่องสมาธิสั้น อยากให้คุณหมอเริ่มต้นจากการอธิบายให้ฟังหน่อยว่า ‘สมาธิ’ จริงๆ คืออะไรกันแน่

สมาธิเป็นการทํางานพื้นฐานของสมอง โดยคนชอบเปรียบเทียบสมาธิเหมือนเป็นสปอตไลต์ เพราะในโลกนี้มีของหลายอย่าง ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง เยอะมาก สมองเราไม่มีความสามารถในการประมวลผลของทุกอย่างพร้อมๆ กัน แต่สิ่งที่สมองทําได้ คือเราจะรวมศูนย์ความสนใจไปที่จุดใดจุดหนึ่ง ในที่นี้อาจจะเป็นตําแหน่ง อาจจะเป็นเรื่องราว หรืออาจเป็นสิ่งที่เราสนใจเป็นพิเศษ เช่น ถ้าเรากำลังมองหารถแท็กซี่ เราอาจจะเพ่งความสนใจไปยังรูปลักษณ์ที่เหมือนเป็นรถ หรือว่าอะไรที่มีสีเขียวเหลืองโดยเฉพาะ

มีงานศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องสมาธิอยู่ชิ้นหนึ่ง ชื่อ Invisible Gorilla เป็นการศึกษาที่ให้คนมานั่งดูวิดีโอ ซึ่งมีผู้เล่นใส่ชุดสีขาวกับสีดํา กำลังส่งลูกบาสเก็ตบอลให้กันขณะที่ยืนสลับกันมั่วซั่วไปหมด โจทย์ของคนเข้าร่วมคือให้เพ่งความสนใจว่าทีมชุดขาวส่งบอลจำนวนกี่ครั้ง พอดูจบ คนส่วนใหญ่ก็รายงานถูกต้องว่าคนชุดขาวส่งบอลจำนวน 13 ครั้ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างคลิป คือขณะที่คนชุดขาวกับชุดดํากําลังส่งบอลกันอยู่ ก็มีคนสวมชุดกอริลลาเดินตัดหน้ามาอยู่ตรงกลางซีนเลย มายืนทุบอก แล้วก็เดินออกไป แต่ปรากฏว่าคนจำนวนไม่น้อยไม่ทันสังเกตเห็นกอริลลา ทั้งๆ ที่พอย้อนให้ดูอีกครั้ง ทุกคนตกใจ เพราะมันไม่ได้มาแอบอยู่ตรงมุม หรือจงใจทำให้ไม่ทันเห็น มันเดินออกมากันโต้งๆ เลย แถมยืนค้างทุบอกอยู่แป๊บนึงด้วย คนกลับมองไม่เห็น นี่ก็เป็นการทดลองฮาๆ ที่คนชอบพูดถึงกัน

มันแสดงให้เห็นว่าเวลาที่เราเพ่งความสนใจไปที่จุดใดจุดหนึ่งแล้ว เราสามารถประมวลผลสิ่งนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องแลกกับข้อมูลอีกหลายๆ อย่างที่เข้ามาไม่ถึง ทีนี้ ถ้าปริมาณข้อมูลที่เราต้องรับมีเพิ่มขึ้น แต่ศักยภาพของสมาธิของเรามีเท่าเดิม นั่นทำให้เราอาจเกิดปัญหาว่าสมาธิของเราตอนนี้ดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพลดลง เพราะจะสนใจอะไรก่อนดี มีสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเราเยอะเหลือเกิน

กลไกการดึงดูดความสนใจสามารถแบ่งง่ายๆ ได้เป็นสองแบบ แบบที่หนึ่ง คือเป้าหมายที่เราพยายามสนใจ เรียกว่า top-down attention หรือ voluntary attention เช่น เราอยากมองหาอะไร เราก็จะไปเพ่งสิ่งนั้น เพราะต้องการจะสนใจสิ่งนี้ แค่สิ่งนี้เท่านั้น สิ่งรบกวนอื่นรอบข้างก็อาจจะถูกกรองออกไป

แบบที่สอง เรียกว่า bottom-up attention หรือ involuntary attention คือสิ่งที่ดึงดูดความสนใจเราได้ง่าย เช่น เรากำลังนั่งคุยกันอยู่ จู่ๆ มีเสียงประทัดดังขึ้นมา เราก็จะหันไปสนใจเสียงประทัดทันที หรือถ้ามีของวิ่งตรงเข้ามาหาเรา เราก็จะหันไปสนใจทันที เพราะสิ่งนี้มีความสําคัญ หากเรามีแต่ความสนใจที่เราเป็นผู้มอบให้เท่านั้น เมื่อเกิดเหตุหรือมีสิ่งที่จำเป็นต้องได้รับความสนใจบัดเดี๋ยวนี้ เราก็อาจจะพลาดไป เพราะงั้นในกลไกทางธรรมชาติ สมองของเราจึงมีกระบวนการให้ความสนใจสองอย่างนี้ที่แยกกัน แล้วก็มีความสำคัญทั้งคู่

ทีนี้ มันมีความสนใจอีกประเภทที่เกิดจากการเรียนรู้ของเรา เราไม่ได้เกิดมาพร้อมสิ่งนี้ตามธรรมชาติ แต่เราเรียนรู้ที่จะเพ่งความสนใจต่ออะไรสักอย่างที่มีความหมายกับเรา หรือสิ่งที่เราให้ความสำคัญ จนกลายเป็นอัตโนมัติมากขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น ชื่อของเรา สมมติเราอยู่ในปาร์ตี้กับเพื่อน กำลังสนทนากับเพื่อน แล้วก็มีคนพูดอะไรเยอะแยะแวดล้อมเต็มไปหมด เสียงอื้ออึงไปหมด เรากำลังเพ่งความสนใจไปที่เพื่อน ไม่ได้ประมวลผลเสียงรอบข้าง แต่ในขณะที่กำลังตั้งใจประมวลเฉพาะสิ่งที่เราสนใจ ปรากฏว่าเรากลับได้ยินเสียงใครเรียกชื่อเราขึ้นมา เราก็เอ้า! อะไร เมื่อกี้ใครเรียกฉัน?!

ความสนใจตรงนี้เกิดขึ้นได้ไง? มันน่าสนใจมากเพราะถ้าเราคิดว่าเราตัดสิ่งรอบข้างออกไปแล้ว ทำไมเราถึงไวต่อชื่อของเรา และทำไมต้องเป็นแค่ชื่อเราเท่านั้น? มันเป็นสิ่งที่เราเรียนรู้มาว่าเมื่อไหร่ที่เราได้ยินเสียงที่มีลักษณะแบบนี้ มันมักจะมีความหมายที่เราจําเป็นต้องให้ความสนใจ ซึ่งชื่อของเราก็คงไม่เหมือนเสียงประทัดหรือของที่พุ่งเข้ามาหาเราใช่ไหมครับ แต่มันกลับทะลุทะลวงเข้ามาได้ ดังนั้นสิ่งไหนที่เราให้ความสนใจมากๆ ก็จะถูกแคปเจอร์ได้มากขึ้น


ตอนนี้หลายคนรู้สึกร่วมกันว่าการใช้ชีวิตในโลกที่มีโซเชียลมีเดีย และเสพสารพัดคอนเทนต์ ทำให้เราเกิดอาการสมาธิสั้นลง จดจ่อกับอะไรได้ยากมากขึ้น คุณหมอพอเห็นปรากฏการณ์เหล่านี้บ้างไหม

ตอนนี้ของที่แย่งความสนใจของเรามีอยู่เยอะ เราอาจจะกล่าวได้ว่าความสนใจของเราถูกแย่งชิงไปให้อะไรหลายๆ อย่าง คือตัวความสนใจเองอาจไม่ได้ลดลง เหมือนเรามีทรัพยากรอยู่เท่าเดิม แต่มีสิ่งที่พยายามแย่งความสนใจของเราไปมากขึ้น คำถามคือเราจะกระจายทรัพยากรของเราอย่างไร

ยกตัวอย่างงานวิจัยหนึ่งน่าสนใจเกี่ยวกับโทรศัพท์และสมาธิ คือตอนนี้มีสิ่งที่น่าสนใจอยู่ในโทรศัพท์เยอะมาก และเราอาจเรียนรู้ที่จะให้คุณค่ามัน เพราะมันเคยให้ความหมายที่ดี เคยให้ความรู้สึกที่ดีกับเรามาก่อน การที่มีโทรศัพท์อยู่กับตัวจึงเป็นสิ่งที่คอยดึงความสนใจของเราไปตลอดเวลา ทีนี้ มีการทดสอบเทียบกันระหว่างคนสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งนั่งทำการทดสอบเฉยๆ ส่วนอีกกลุ่มนั่งทำการทดสอบโดยมีโทรศัพท์คว่ำอยู่ข้างๆ ไม่ได้เปิดนะครับ แค่คว่ำอยู่ข้างๆ เฉยๆ พบว่าคนกลุ่มที่สองทำแบบทดสอบสมาธิได้แย่กว่า

ต่อเนื่องจากประเด็นเมื่อกี้ที่ผมบอกว่าเราได้ให้คุณค่ากับของบางอย่างมาก จนกระทั่งตัวมันเองดึงดูดความสนใจในระดับที่เราไม่สามารถห้ามได้ เหมือนกับการได้ยินชื่อของเราทะลุทะลวงขึ้นมา ไม่ใช่แค่เรารู้ว่า เออ โทรศัพท์อยู่ตรงนี้นะ เราจะดับมันแล้วไม่สนใจมันได้ ของบางอย่างเมื่อเราเกิดการเรียนรู้ที่จะให้ความหมายไปแล้ว มันอาจจะมีความหมายต่อเราในระดับที่เราไม่สามารถควบคุมได้ และทำให้เราสนใจมันอัตโนมัติ


ด้านหนึ่ง ฟังดูเหมือนบางครั้งกระบวนการให้ความหมายก็เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจทำ เหมือนเราแค่ชอบนอนไถมือถือไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งเกิดให้คุณค่ามันมากกว่าที่เราคิดซะอย่างนั้น สิ่งเหล่านี้อธิบายในเชิงการทำงานของสมองได้อย่างไร

มันเกี่ยวข้องกับระบบสมองที่ชื่อว่า ‘ระบบคุณค่า’ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า reward system ซึ่ง reward system มีไว้เพื่อสอนให้สิ่งมีชีวิตเรียนรู้ว่าพฤติกรรมแบบไหนเหมาะสมและควรทําซ้ำ พฤติกรรมแบบไหนไม่เหมาะสมและไม่ควรทําซ้ำ แต่ระบบคุณค่าของสมองในที่นี้ มันไม่ได้ฉลาดถึงขนาดรู้ว่านิยามของสิ่งที่ควรทําซ้ำหรือไม่ควรทําซ้ำนี่ อะไรคือความจริง อะไรคือความดี คือสิ่งที่ควรทําต่อมนุษยชาติ มันแค่ทำอะไรก็ตามที่ทําให้เรารู้สึกดี และจดจำว่าสิ่งนั้นคือสิ่งที่ควรทําซ้ำ

ถ้าเรามีกระบวนการทําให้ reward system ได้ทํางานมาก ก็จะเสริมแรง (reinforce) ให้เรามีพฤติกรรมแบบนั้นซ้ำๆ อะไรก็ตามที่เราเสพติด ก็มักจะเกี่ยวข้องกับ reward system เช่น การพนัน การที่เราถูกรางวัล มันให้ความรู้สึกที่ดี ดังนั้นจะมีโอกาสที่อยากทําซ้ำเพิ่ม มันจะเสริมแรงให้เราอยากเกิดพฤติกรรมนั้น

คนนำกระบวนการเล่นกับ reward system นี้มาใช้ประโยชน์กันเยอะ ในแง่การเรียนรู้จะเรียกว่า reinforcement learning หรือการเรียนรู้แบบเสริมกําลัง คือการให้รางวัลเพื่อให้พฤติกรรมนั้นมีมากขึ้น หรือลงโทษเพื่อให้ทำสิ่งนั้นน้อยลง มันเป็นการเล่นกับระบบการทํางานของสมองที่ค่อนข้างอยู่ในระดับ primitive คือเป็นไปตามหลักวิวัฒนาการและมีมาตั้งแต่ยุคแรกๆ เลย ระบบแบบนี้มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตอย่างสัตว์ต่างๆ ทำให้เราสามารถใช้การให้รางวัลหรือการลงโทษ เพื่อสอนสัตว์ต่างๆ ให้มีพฤติกรรมที่เราอยากให้เป็นมากขึ้นหรือน้อยลง

ทีนี้ การที่เราเล่นสื่อโซเชียลก็เกี่ยวข้องกับ reward system เช่นกัน เวลาเราเจอสิ่งที่เรารู้สึกว่าเฮ้ย! ดีอะ รางวัลนี้ก็จะทําให้เราอยากกลับไปทําเรื่องเดิม เพราะเราคาดหวังจะได้สิ่งนี้ แต่ระบบการทำงานของสมองก็มีความสนใจอีกว่า การที่เราพยากรณ์ว่าทำสิ่งไหนแล้วได้ความรู้สึกดีร้อยเปอร์เซ็นต์เลยเนี่ย มันจะกระตุ้นระบบ reward system น้อย แต่ถ้านานๆ ที มีเซอร์ไพรส์ เฮ้ย ไม่คิดว่าจะได้แล้วได้ ไม่คิดว่าจะเจอก็เจอ โอ๊ย! พุ่งปรี๊ดเลย ระบบ reward system จะทำงานเยอะมาก เพราะงั้น ‘ความไม่แน่นอนเล็กน้อย’ ตรงนี้ก็ทำให้เราติดอะไรบางอย่างง่ายขึ้น

ผมเคยได้ยินมาว่าการที่เราไถโซเชียลเน็ตเวิร์ก แล้วเราพบเจอคอนเทนต์ต่างๆ มีที่รู้สึกไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ แล้วจู่ๆ ก็เจอสิ่งที่รู้สึก ‘ใช่!’ ขึ้นมาเนี่ย มันมีความคล้ายสล็อตแมชชีน คือนานๆ ที มันเกิดได้เลยขึ้นมา ทำให้เรายิ่งเสพติดมากขึ้น ซึ่งก็เมกเซนส์ในมุมมองของคนที่สร้างระบบที่อยากจะให้คนกลับมาใช้นะ คือเป็นการให้ความหมาย ทำให้ยิ่งมีคุณค่า และดึงดูดความสนใจง่ายขึ้น ทุกอย่างสัมพันธ์กันหมด มาพร้อมกันเป็นแพ็กเกจ



ถ้าเราไถโซเชียลฯ ไปเรื่อยๆ จนสมองเราสามารถเรียนรู้และจดจำแพตเทิร์นได้แล้ว มันจะเบื่อหรือเลิกเสพติดไหม

ก็เป็นไปได้นะครับ ในระบบการทำงานของสมอง ถ้าทุกอย่างเกิดขึ้นแบบที่เราคาดเดาได้หมดทุกอย่างแล้ว เราจะตอบสนองโดยให้ความสําคัญกับสิ่งนั้นลดลง หากอธิบายในเชิงกลไกสมอง ลองนึกภาพว่าสมมติมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งปรากฏขึ้นบนหน้าจอมือถือ เป็นเส้นเส้นหนึ่งก็ได้ แสงตกกระทบเส้นนั้นแล้วสะท้อนเข้าดวงตาเรา ส่งสัญญาณไปที่สมองส่วนการเห็น เกิดเป็นการรับรู้ นี่เป็นกระบวนการธรรมดา แต่มีงานศึกษาที่ค้นพบว่าถ้าเราให้เห็นสิ่งกระตุ้นเดียวกันซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่ง สมองจะหยุดตอบสนอง ทั้งๆ ที่มีสิ่งนั้นอยู่บนโลก เรายังมองเห็นมันอยู่นะครับ ไม่ใช่ว่ามันหายไปจากการรับรู้ แต่ความรุนแรงในการตอบสนองของสมองน้อยลง ราวกับว่าการทำงานของสมองจะยิ่งตอบสนองต่อสิ่งที่ผิดจากความคาดหมาย ถ้ามันตรงกับความคาดหมาย มันก็จะตอบสนองน้อย ทีนี้ในระดับพฤติกรรมก็อาจจะปรากฏในรูปแบบความเบื่อหรือการปรับตัวได้

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมทุกวันนี้ มันไม่ได้มีลักษณะที่คาดเดาได้ทุกอย่างขนาดนั้น หรือต่อให้เกิดเรื่องคล้ายกัน ก็มีความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่เรื่องเดิมเสียทีเดียวใช่ไหมครับ ผมว่าก็ยากเหมือนกันคนจะเบื่อโซเชียลเน็ตเวิร์ก แล้วถ้าคนเริ่มเบื่อ ระบบก็จะปรับตัวให้ไปสู่สิ่งใหม่ เราอาจจะเบื่อการพิมพ์เป็นบทความยาวๆ ก็สลับไปเป็นโพสต์รูป ดูรูปในอีกแพลตฟอร์มหนึ่ง ต่อมาอีกแพลตฟอร์มหนึ่งก็ทำวิดีโอ ต่อไปเป็นอะไรดีครับ อาจจะเป็นความจริงเสมือน (virtual reality: VR) ก็ได้ มันไปเรื่อยๆ ของมัน


หลายคนมองว่าคลิปสั้นเป็นคอนเทนต์ที่ทำให้เราเสพติดได้ง่ายมาก ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น มันทำอะไรกับสมองของเรา

สิ่งที่สั้นมักจะทำให้เราตอบสนองรุนแรงกว่า เพราะว่ามันมีวงจร (cycle) สั้น สมมติเราดูมัน เราตอบสนองจนรู้สึกพีคขึ้นมาในช่วงสั้นๆ จากนั้นดูอีกคลิป ก็พีคอีก มันก่อให้เกิดจุดพีคของความสนใจได้บ่อยกว่า เปรียบเทียบกับหนังที่ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงค่อยเข้าไคลแมกซ์ คลิปสั้นคือเข้าไคลแมกซ์เลย มันมีช่วงเวลาที่ reward system ได้รางวัลบ่อยกว่า ฉะนั้นยิ่งสั้นก็ยิ่งดี ทำให้คนทำซ้ำเรื่อยๆ

ผมยกตัวอย่างการทดลองหนึ่ง เพื่อให้เห็นภาพว่าเมื่อ reward system ถูกทํางานแล้ว คนก็มักจะกลับมาทำซ้ำ คือการทดลองฝังขั้วไฟฟ้าเข้าไปในสมองหนูในส่วน reward system แล้วต่อสายเข้ามาในกรงของหนูกับแท่นหนึ่งแท่น พอกดปุ๊บ กระแสไฟฟ้าจะไหลเข้าไปในขั้วนั้น ขณะที่อีกแท่นหนึ่ง พอกดแล้วจะให้อาหาร ซึ่งเราก็คิดว่าอาหารนี้ก่อให้เกิดความสุขได้เช่นกัน จากนั้นก็รอดูว่าหนูจะเลือกอะไร

ปรากฏว่าหนูเลือกกดแท่นที่กระตุ้นไฟฟ้าไปที่ reward system ครับ กดซ้ำๆ โดยไม่กินอาหาร เพราะมันได้รางวัลอย่างรวดเร็วทันที นี่เปรียบเทียบได้กับการดูคลิปสั้นที่เป็นการกระตุ้นแบบเดี๋ยวนี้ เอาเลย ทันที มันก็ต้องรู้สึกดีกว่าอยู่แล้วครับ แต่ถ้ามันสั้น และไม่กระตุ้น ก็ไม่เวิร์กนะครับ ถ้าเป็นคลิปสั้นที่ไม่มีอะไร เป็นรูปต้นไม้ใบไหวๆ เฉยๆ ก็ไม่น่าเวิร์ก สิ่งที่สำคัญน่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในคลิปกระตุ้น reward system ได้หรือเปล่าในเวลาสั้นๆ


อันที่จริง ระบบ reward system ไม่น่าจะเหมือนกัน แต่เรากลับชอบบางอย่างเหมือนกันได้ แสดงว่ามันน่าจะมีอะไรสักอย่างเป็นลักษณะความชอบร่วมกันของสมองมนุษย์หรือเปล่า

มันอาจจะมีพื้นฐานใกล้เคียงกัน ไม่งั้นมันคงไม่มีไวรัล คอนเทนต์บางอย่างได้รับความนิยมกันเป็นวงกว้าง แสดงว่าสิ่งนั้นต้องถูกจริตคนวงกว้างหรือเปล่า แน่นอนว่าคนมีความหลากหลายนะ ไม่ใช่ทุกคนจะเหมือนกันหมด แต่มันน่าจะมีกติการ่วมกันบางอย่างที่ทําให้คนส่วนใหญ่ชอบโดยไม่มีสาเหตุ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีวิทยาศาสตร์อะไรมาสนับสนุนหรือเปล่า อย่างเช่นคลิปบีบสิวอะไรอย่างนี้ มันคงมีความรู้สึกทะลุทะลวงแล้วคลี่คลายอะไรบางอย่างที่เวลาเห็นแล้วคนรู้สึกฟิน (หัวเราะ)


คลิปบีบสิว ตัดเล็บม้า กินข้าว หรือบรรดาคลิป ASMR ต่างๆ นี่เป็นที่นิยมมาก คอนเทนต์เหล่านี้มันตรงจริตสัญชาตญาณมนุษย์ของเราไหม

มันน่าจะเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความผ่อนคลาย การ de-stress ในจังหวะที่สิวมันเต่ง จนมันคลายออก (หัวเราะ) ผมคิดว่ามันคงมีเซนส์อะไรบางอย่างที่ทำให้สมองของคนหลายๆ คนเหมือนกัน ทั้งๆ ที่ดูเนื้อหาตัวมันเองก็ไม่เห็นจะมีความหมายอะไร

ในหลักการ มันคงแปลว่าสมองคนเรา อย่างน้อยก็ส่วน primitive มันมีกติกาอะไรบางอย่างร่วมกันอยู่ ที่น่าจะมีประโยชน์ในทางวิวัฒนาการ การอยู่ในอันตรายแล้วปรากฏว่าคลี่คลายแล้ว ไม่ได้อยู่ในอันตรายแล้ว คนมักจะรู้สึกดีตามธรรมชาติ แต่สมองเราไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น บางทีเจออะไรคล้ายๆ กัน มันก็รู้สึก โอ แบบนี้ก็ชอบเหมือนกัน (หัวเราะ)



ระบบ reward system ในสมองของแต่ละคนสามารถถูกบ่มเพาะจากอะไรได้บ้าง เช่น สภาพแวดล้อม ประสบการณ์การเติบโต?

ส่วนหนึ่งก็เป็นแบบ innate หรือของที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด มีร่วมกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ หรือเป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการ แต่บางอย่างก็เกิดจากสภาพแวดล้อม สังคน คนรอบข้าง เช่น สิ่งที่เป็นนามธรรม (abstract) อย่างความสำเร็จในหน้าที่การงาน มันคงไม่เกิดมาพร้อมตัวเราหรอก แต่มันเป็นคุณค่าทางสังคม การยอมรับจากเพื่อนร่วมงาน คนรอบข้าง ก็ทำให้เกิด reward ได้ ฉะนั้น reward ไม่ได้มีแค่ของหรือมีลักษณะโดยเฉพาะบางอย่าง มันเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นร่วมกันได้

สังคมแต่ละสังคมให้คุณค่ากับสิ่งที่แตกต่างกัน เราอยู่ในสังคมต่างกันก็อาจจะมี reward system ที่แตกต่างและผูกพันกับสิ่งที่สังคมนั้นให้ค่า บรรดาบทสนทนาที่อยู่ในสังคม คนในสังคมชอบดูรายการไหนเหมือนๆ กัน ก็แปลว่าเราให้คุณค่ากับสิ่งนั้น


เวลาพูดถึงเรื่องสมาธิสั้น ถ้าเป็นผู้ใหญ่ประสบอาการจดจ่ออะไรได้น้อยลง คนอาจรู้สึกว่าไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าเป็นเด็ก คนมักจะกังวล คุณหมอมองเรื่องนี้อย่างไร

ต้องบอกก่อนว่าเด็กมีแนวโน้มสมาธิสั้นกว่าผู้ใหญ่อยู่แล้ว เพราะสมองในส่วนของการควบคุมพฤติกรรมเป็นสมองในส่วนที่เติบโตช้ากว่าบริเวณอื่น เพราะฉะนั้น เด็กจะมีความสามารถในการเพ่งความสนใจอยู่ที่ใดที่หนึ่งได้น้อยกว่าผู้ใหญ่ แล้วพอเติบโตขึ้นถึงจะมีการพัฒนาด้านนี้อย่างเต็มที่ ไม่ใช่เพราะว่าคลุกคลีกับสิ่งนี้ (คอนเทนต์ในโซเชียลมีเดีย) ตั้งแต่เด็กเลยมีปัญหาเสมอไป เขามีแนวโน้มจะมีปัญหาอยู่แล้ว ภาวะสมาธิสั้นก็เจอในเด็กเป็นหลัก เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการด้วย  

เราต้องเข้าใจว่ามันเป็นธรรมชาติของเขา เราไม่ควรให้เด็กทุกคนตั้งเป้าว่าต้องมีสมาธิจดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เป็นเวลา 3-4 ชั่วโมง นั่นอาจไม่ใช่ประเด็น ตราบใดที่เขายังมีพฤติกรรมที่เหมาะสม ก็ให้เข้าใจว่าเป็นธรรมชาติ การฝืนธรรมชาติจะทําให้เกิดความเครียดและไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เป็นอยู่ด้วย แต่สิ่งที่เรากังวลกันอยู่ทุกวันนี้ คือสิ่งแวดล้อมชวนให้เราวอกแวกมากขึ้น เพราะมันมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่มากมาย พอประกอบกับธรรมชาติของเด็กที่มีความวอกแวกง่าย มันอาจเสริมกําลังกัน และทําให้ความวอกแวกง่ายทวีคูณปัญหามากหรือเกิดภาวะสมาธิสั้น

ดังนั้น คำว่าสมาธิสั้น ต้องเข้าใจก่อนว่ามีสองปัจจัย ทั้งปัจจัยทางชีววิทยา และปัจจัยทางสังคม ถ้าเราไม่แยกแยะทั้งสองอย่างนี้ จะกลายเป็นความเข้าใจว่าสังคมทำให้เด็กสมาธิสั้นมากขึ้น หรือคล้ายกับว่าเด็กตอนนี้มีสมาธิสั้นกันไปหมด แล้วไปจัดการด้วยยา ทีนี้มันก็จะเริ่มงงล่ะ


สมองส่วนควบคุมสมาธิที่คุณหมอบอกว่าเติบโตช้า มันจะโตเต็มที่เมื่อไหร่

ต้องเลยวัยรุ่น วัยรุ่นนี่คือพีคเลย กำลังกาย อารมณ์ ความปรารถนา ทุกอย่างเต็มที่ แต่ส่วนควบคุมยังไม่ค่อยเยอะ (หัวเราะ) เราต้องรอให้เลยวัยรุ่นขึ้นไป มันจะค่อยๆ ดีขึ้นครับ อาการสมาธิสั้นส่วนมากเกิดในเด็กเล็ก พอโตขึ้นก็จะควบคุมได้ดีขึ้น แต่การควบคุมพฤติกรรมแบบความยับยั้งชั่งใจก็เป็นอีกระดับหนึ่ง มันจะค่อยโตเต็มที่ตอนเป็นผู้ใหญ่แล้ว


ในเชิงวินิจฉัยทางการแพทย์ ช่วงหลังๆ มีเด็กได้รับการวินิจฉัยเป็นสมาธิสั้นกันเพิ่มขึ้นจริงไหม

เพิ่มขึ้นแน่นอน แต่มีหลายสาเหตุ หนึ่งในนั้นคือสิ่งที่เราคุยกันว่าสิ่งแวดล้อมชวนให้สมาธิสั้นมากขึ้น ขนาดผู้ใหญ่ยังรู้สึกว่าสมาธิสั้นมากขึ้นเลยใช่ไหมครับ ทุกคนคงเห็นในทำนองเดียวกัน ไม่มีใครปฏิเสธหรอกว่าที่จริงแล้วเราสมาธิดีขึ้นกว่าเดิม

แต่อีกส่วนหนึ่ง เป็นเพราะมีคนรู้จักภาวะนี้มากขึ้น ทำให้มีการวินิจฉัยเพิ่มขึ้น จนคุณหมอบางกลุ่มรู้สึกว่าอาจจะเยอะไปด้วยซ้ำ หมายถึงเราอาจจะวินิจฉัยเร็วเกินไป หรือเราอาจจะเห็นอาการนิดหน่อยว่าก็นับแล้วว่าเป็นสมาธิสั้น ถ้าใช้เกณฑ์การวินิจฉัยที่กำกวม หรือมีการใช้ความรู้สึกอยู่ในนั้น ก็อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่มองเห็นเด็กคนเดียวกันแล้วบอกว่าเด็กสมาธิสั้น อาจจะมีความเห็นขัดแย้งกันได้


เรามักคาดหวังว่าเด็กที่ดีหรือเด็กปกติ ต้องมีสมาธิจดจ่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน และเราพยายามสอนให้เด็กมีสมาธิมาโดยตลอด เอาเข้าจริง มันเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องไหม

ผมคิดว่ามันควรสอดคล้องกับเป้าหมายและความเหมาะสมตามบริบท สมมุติว่าเราคนหนึ่งสามารถจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เต็มที่ แต่ไม่สามารถเคลื่อนความสนใจเมื่อจําเป็นได้เลย ก็ไม่ดี มันเหมือนกับเรื่องใจลอยน่ะครับ คนบอกว่าเราไม่ควรใจลอยนะ ภาวะใจลอยเป็นสิ่งไม่ดี ควรลดมันให้น้อยที่สุด แต่ความสร้างสรรค์ จินตนาการ ส่วนหนึ่งก็มาจากช่วงใจลอยนะ ผมว่ามันไม่ใช่อะไรดีไม่ดี แต่เราสามารถปรับใช้ได้ตามความเหมาะสม ตามเป้าหมาย และบริบทหรือเปล่า ถ้าบริบทมันต้องทำ ต้องเปลี่ยนความสนใจ ก็ต้องเปลี่ยนได้ จะจดจ่อ ก็ต้องทำได้



เราจะดูแลเด็กให้มีพัฒนาการทางสมองที่เหมาะสมกับโลกในตอนนี้ได้อย่างไรบ้าง คุณหมอมีคำแนะนำบ้างไหม

โอ้ เรื่องนี้ยาก (หัวเราะ) เป็นคําถามที่ผมว่าไม่น่าจะมีใครกล้าตอบชัด


สิ่งที่เราพูดๆ กันมา เช่นเรื่องจำกัดเวลาใช้งานหน้าจอเด็กเล็ก ถือว่ายังเวิร์กไหม

การจำกัดเวลาใช้งานน่าจะจำเป็นในแง่ว่าไม่ปล่อยให้เขาเทรนตัวเองให้ติดกับการไถโซเชียลไปเรื่อยๆ หรือติดดูคลิปสั้น ไม่งั้นเขาก็จะอยู่กับสิ่งนั้น มีโอกาสที่เขาจะชอบและอยู่กับสิ่งนั้นอย่างเดียว เด็กควรมีการละเล่นที่เหมาะสมกับร่างกายที่กําลังเติบโต ถ้าเขาได้ใช้ร่างกายของเขา เรียนรู้ผ่านร่างกาย การพัฒนาของสมองก็จะสอดคล้องกับเจตจํานง กล่าวคือสมองส่วนต่างๆ มันพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้เรามีปฏิสัมพันธ์กับโลก การที่เขาได้ไปเรียนรู้ด้วยการจับต้อง เล่นอยู่ในโลกจริง อย่างโหนบาร์ในเกมกับโหนบาร์จริงก็ไม่เหมือนกันใช่ไหมล่ะครับ การเรียนรู้ผ่านการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมจึงสำคัญ และยังไม่นับว่าเขาควรมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ซึ่งไม่ใช่แค่เล่นเกมออนไลน์ แชตคุย เปิดไมค์คุย เรากำลังพูดถึงข้อมูลบางอย่าง เช่น ท่าทางร่างกาย สีหน้า น้ำเสียงด้วย

ผมไม่รู้เหมือนกันว่าในอนาคตเราจะมีโลกจําลองที่เหมือนโลกจริงมากๆ แล้วเด็กอาจได้ออกกําลังกาย ได้มีปฏิสัมพันธ์กับใครก็ได้หรือเปล่า มันอาจจะดีก็ได้ แต่นับแค่ปัจจุบัน ในโลกของเทคโนโลยีที่เราคุยกันอยู่ มันเป็นโลกเสมือนที่ยังไม่ตอบโจทย์หรือสอดคล้องกับสิ่งที่ควรเป็นในพัฒนาการเต็มที่ ดังนั้นควรให้น้ำหนักกับการที่เด็กได้ทําความเข้าใจโลก เพราะสมองมีหน้าที่ทําความเข้าใจโลกในแบบที่สอดคล้องกับธรรมชาติ แล้วมีเทคโนโลยีเป็นตัวเสริม น่าจะเหมาะสมที่สุด


เทคโนโลยีก้าวหน้าไปทุกวัน ในอนาคต คุณหมอมองว่ามีอะไรที่อาจจะเข้ามาท้าทายพัฒนาการเด็กหรือกระทั่งตัวผู้ใหญ่บ้าง

ผมคิดว่าการที่โลกเสมือนกับโลกจริงเหมือนกันมากๆ อาจทําให้สมองเราสับสน เพราะสมองทำงานโดยสร้างแบบจําลองของโลก เวลาเรามองเห็นสิ่งหนึ่ง หรือเราจดจํา หรือเราตัดสินใจ มันมีที่มาจากข้อมูลที่เรามีในอดีต ข้อมูลที่เราสร้างขึ้นมาว่าโลกมันทํางานแบบนี้ เวลาเราจะทําอะไร ก็เหมือนเราจำลองสถานการณ์ในหัวว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ถ้าเราได้เซ็ตข้อมูลเกี่ยวกับโลกในแบบที่ต่างไปจากเดิม แบบจําลองของโลกจะเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบนึง แล้วบุคลิก วิธีคิดหรืออะไรต่างๆ ก็อาจจะเปลี่ยนไปได้เยอะ ผมสมมติเหมือนนิยายไซไฟนะ ถ้าคนคนหนึ่งอยู่ในโลกเสมือนซึ่งมีกติกาไม่เหมือนกับโลกจริงเลย แน่นอนว่าสมองของเขาต้องถูกปรับให้สอดคล้องกับโลกเสมือนนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อเขาอยู่ในโลกเสมือนนั้น จนกระทั่งสมบูรณ์แล้ว ถ้าเขาออกมาสู่ในโลกจริง เขาก็จะไม่สอดคล้องกับโลกจริงแน่นอน นั่นหมายความว่ามันก็จะทำให้เขาต้องกลับไปสู่โลกเสมือน และมีแนวโน้มว่าคนอาจจะอยู่ในโลกเสมือนไปตลอด เพราะสมองถูกปรับให้สอดคล้องกับสิ่งนั้นไปแล้ว

นี่เป็นกรณีสุดโต่งคือโลกเสมือนไม่เหมือนโลกจริงนะครับ จริงๆ มันอาจจะเหมือนกันและไม่ได้แย่มากขนาดนั้น แต่เราต้องเข้าใจก่อนว่าสมองไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น ศาสตร์ของสมองที่เราคุยกันมาตลอด คือสมองมีกติกาการเรียนรู้ที่เรียบง่ายมาก อะไรที่ทำซ้ำแล้วฉันชอบ ฉันจะทําอีก เพราะฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดี มันไม่มีการเข้าถึงสิ่งที่ ‘ดี’ อย่างแท้จริง มันไม่ใช่สิ่งที่คนควรหรือไม่ควรทํา มันคือสิ่งที่ทําแล้วชอบ จะทําอีก

แล้วสมองของเราก็มีขีดจํากัด อย่างเช่นเรื่องสมาธิ เราสนใจไม่ได้หมดทุกอย่าง เราจะเลือกดึงเฉพาะข้อมูลบางส่วนเท่านั้นที่เข้ามาอยู่กับเรา เราเป็นทั้งคนเลือก ทั้งถูกดึงดูดด้วยการให้คุณค่าของเรา และตัวเราก็ถูกผลักดันด้วยสิ่งแวดล้อมได้อีกว่าจะสนใจอะไร เมื่อเรารับข้อมูลนั้นเข้ามาแล้ว เราก็ฟอร์มแบบจําลองของโลกว่าโลกนี้มันทํางานยังไง เมื่อฟอร์มเสร็จ เราก็ทำให้ตัวเองเหมาะสมกับโลกมากขึ้น และเราก็จะรู้สึกดี แล้วก็พาตัวเราเข้าไปทำสิ่งที่รู้สึกดีอีก วนเป็นวงกลม

สมองมันไม่เก่งขนาดว่า โอ๊ย ฉันสามารถควบคุมได้ ฉันแยกแยะได้ว่านี่เป็นเรื่องจริง เรื่องนี้ไม่เป็นเรื่องจริง ฉันรู้ว่าฉันทําอะไรอยู่ ตอนนี้ฉันอยากจะทําสิ่งนี้ แต่ฉันรู้ว่ามันไม่ดี เดี๋ยวฉันจะทําอย่างอื่น ความรู้สึกที่ว่าเราเป็นผู้กําหนดชะตากรรมของเราหมดทุกอย่างเป็นภาพลวงตาครับ สมองของเราจะพาเราไปในแบบที่สอดคล้องกับประสบการณ์เราได้รับ และสิ่งที่เราเป็นก็ขึ้นกับเราสิ่งที่เราประสบ

เคยมีคนกล่าวว่า ‘You are what you eat.’ สำหรับผม your brain ก็ขึ้นกับ your experience เราต้องเลือกชนิดของประสบการณ์ให้เหมาะสมกับความเป็นอยู่ที่ดีของเราในอนาคต




ผลงานชิ้นนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ The101.world

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save